Homepage(index)

แก่นธรรม(อริยสัจ ๔)

(ไม่สงวนลิขสิทธิ์ทุกรูปแบบ)

 

สารบัญ

 

คำบูชาพระรัตนตรัย และคำนำ

แนวทางในการศึกษาอริยสัจ ๔ แบบปัจจุบันธรรม

ตอนที่ ๑ ปฏิจจสมุปบาท

ความทุกข์(ทุกข์)

สาเหตุของความทุกข์(สมุทัย)

ความดับทุกข์(นิโรธ)

ตอนที่ ๒ วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อความดับทุกข์(มรรค)

มรรคข้อที่ ๑ - ๘

สติปัฏฐาน ๔ (สัมมาสติ)

-------ตอนที่ ๑ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม

-------ตอนที่ ๒ อานาปานสติวิปัสสนาสติปัฏฐาน ๔

อริยบุคคล

-------รูปแบบการตรัสสอนของพระพุทธเจ้า

-------การบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล

รูปแบบการประเมินผลด้วยตนเอง

สรุป

บรรณานุกรม

คำบูชาพระรัตนตรัย

 

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา,

พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง, ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง;

พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ.

ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน.

(กราบ)

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,

พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว;

ธัมมัง นะมัสสามิ.

ข้าพเจ้ามนัสการพระธรรม.

(กราบ)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, ปฏิบัติดีแล้ว;

สังฆัง นะมามิ.

ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์.

(กราบ)

 

 

คำนำ

ขอกราบระลึกถึงพระคุณของครู อาจารย์ พระอาจารย์ และทุกท่านที่ได้ให้ความรู้ทางธรรมแก่ผู้เขียนด้วยความเคารพอย่างสูง.

การรู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จนสามารถทำจิตของตนเองให้บริสุทธิ์และผ่องใสได้อย่างต่อเนื่อง คือ เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา.

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาเพื่อนำเสนอเรื่องอริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นแก่นธรรมของพระพุทธศาสนาอย่างตรงประเด็นที่สุดเท่าที่จะทำได้.

เนื้อหาทั้งหมดเป็นความรู้ที่ได้มาจากครู อาจารย์ พระอาจารย์ แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ความรู้ทางการแพทย์ รวมทั้งประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่ได้จากการตรวจสอบและพิสูจน์ผลของการปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง. ดังนั้น ความหมายและเนื้อหาบางประเด็นจึงมีความแตกต่างจากคนอื่นไปบ้าง เพราะข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่ในความจำของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน.

แนวทางที่ผู้เขียนนำเสนอนั้น เป็นเรื่องธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ โดยเน้นเรื่องของความพ้นทุกข์และการพัฒนาจิตใจให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ ซึ่งท่านสามารถศึกษาได้ที่จิตใจของตนเองและนำไปปฏิบัติตนได้โดยง่ายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งได้รับผลในทันทีที่ลงมือปฏิบัติ.

เรื่องใดที่ผู้เขียนยังไม่สามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ด้วยตนเองก็จะไม่ขอกล่าวถึง เพราะเกรงว่า อาจนำพาท่านให้หลงเชื่อได้โดยง่าย.

สิ่งสำคัญมาก ๆ คือ ท่านควร ฝึกตรวจสอบและพิสูจน์ผลของการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันด้วยตนเองในทุกประเด็น เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำตามความเป็นจริงโดยไม่ต้องหลงเชื่อผู้เขียนและผู้อื่น.

อนึ่ง ความหมายของภาษาบาลีที่ผู้เขียนพยายามเขียนขึ้นมานั้น เป็นเพียงมุมมองของผู้เขียนเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะกิจ เพื่อให้เหมาะกับตนเอง และคนในยุคปัจจุบัน. ความหมายต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ดังนั้น ท่านจึงควรให้ความสนใจและจดจำคำบาลีที่อยู่ในวงเล็บไว้ด้วย เพราะเป็นคำดั้งเดิม เพื่อที่ท่านจะได้คุ้นเคยกับคำบาลี และสามารถค้นคว้าหาความหมายที่เหมาะสมต่อไป.

ท่านควรศึกษาอริยสัจ ๔ จากหนังสือ “พุทธธรรม” ซึ่งเขียนโดยพระธรรมปิฎก(ป. อ. ปยุตโต)ควบคู่กันไปด้วย เพราะเป็นหนังสือที่มีพุทธพจน์ในเรื่องอริยสัจ ๔ อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเปิดกว้างทั้งด้านความจริง ความเชื่อ และความเห็นของท่านผู้เขียนไว้อย่างดีเยี่ยม.

เอกสารที่ใช้ในการอ้างอิงของผู้เขียนนั้น ส่วนใหญ่มาจากหนังสือพุทธธรรม ซึ่งเปรียบเหมือนพระไตรปิฎกสำหรับประชาชนที่ท่านควรมีไว้ค้นคว้าในครอบครัว.

การศึกษาอริยสัจ ๔ ตามแนวทางที่นำเสนอ จะทำให้เนื้อหาที่ต้องศึกษาอย่างจริงจังน้อยลง คือ มีเพียงกำมือเดียวเท่านั้นเองเมื่อเทียบกับการศึกษาเล่าเรียนทางโลก. ดังนั้น อริยสัจ ๔ จึงกลายเป็นเรื่องง่าย และเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของทุกคน.

ความพ้นทุกข์ การพัฒนาจิตใจให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐในพระพุทธศาสนา(อริยบุคคล) การเข้าถึงภาวะนิพพานชั่วคราว และความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิตใจนั้น จึงเป็นเรื่องที่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง ถ้าท่านศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างถูกทาง.

การศึกษาอริยสัจ ๔ ด้วยความหลงเชื่อเป็นที่ตั้ง โดยไม่ตรวจสอบและพิสูจน์ด้วยสติปัญญาของตนเอง ทำให้ไม่เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ และการบรรลุธรรมจะกลายเป็นเรื่องยากที่สุด.

ขอให้กำลังใจว่า อริยสัจ ๔ เป็นเรื่องของความทุกข์และวิธีดับความทุกข์ในชีวิตประจำวันนี่เอง ซึ่งคนทั่วไปสามารถทำความเข้าใจและฝึกปฏิบัติธรรมได้โดยง่าย เพราะทุกคนต่างก็เคยมีความทุกข์และเคยดับความทุกข์ทางจิตใจของตนเองมามากมายแล้ว ขอแต่เพียงให้มีความเพียรที่จะศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องในชีวิตประจำวันเป็นประจำ ท่านก็จะบรรลุธรรมในระดับต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับสมัยพุทธกาล.

การศึกษาอริยสัจ ๔ และการฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง จะทำให้ท่านมีความเชี่ยวชาญในการดับกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างรวดเร็วจนคล้ายอัตโนมัติ แต่ถ้าท่านไม่ศึกษา ไม่ทบทวน และไม่ใช้ความรู้ด้านธรรมอยู่เสมอ ๆ ไม่นานนักความสามารถในการดับกิเลสและกองทุกข์ก็จะลดลงหรือหมดไป เพราะธรรมชาติของจิตใจเป็นเช่นนั้นเอง.

เนื่องจากผู้เขียนกำลังพัฒนาสติปัญญาทางธรรมอยู่ ดังนั้น ข้อความใด ๆ ที่ไม่ตรงกับเนื้อหาเดิม ขอให้ท่านได้โปรดใช้ข้อความล่าสุดเป็นหลัก.

ขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านที่กรุณาให้ความสนใจ และหวังว่า ท่านคงจะได้ประโยชน์จากเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ตามสมควร.

 

อริยสัจ ๔

ก่อนการศึกษาเรื่องอริยสัจ ๔ อย่างเต็มรูปแบบในหนังสือเล่มนี้ ท่านควรศึกษาและทดลองฝึกปฏิบัติธรรมตามรายละเอียดในหนังสือแนะนำวิธีเจริญสติปัญญาทางธรรมเพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ เล่ม ๑ เสียก่อน จะเป็นเล่มใหญ่หรือฉบับย่อ หรือผ่านการฟังคำบรรยายของผู้เขียนเรื่องอริยสัจ ๔ อย่างย่อก็ได้ เพื่อให้ท่านมีข้อมูลขั้นพื้นฐานสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ ตรวจสอบ และพิสูจน์หลักธรรมต่าง ๆ ในอริยสัจ ๔ ได้ง่ายขึ้น.

ในการอ่านหนังสือเล่มนี้ ขอได้โปรดตั้งใจอ่านช้า ๆ เพราะเป็นหนังสือวิชาการทางธรรม อย่าข้ามขั้นตอน พร้อมทั้งทำความเข้าใจในเนื้อหาต่าง ๆ ให้แจ้งชัดตามความเป็นจริง ด้วยการวิเคราะห์ ตรวจสอบ และพิสูจน์เนื้อหาของบทความทั้งหมดด้วยสติปัญญาของท่านเองโดยไม่ต้องรีบหลงเชื่อ ก็จะทำให้เกิดปัญญาทางธรรมที่ถูกต้อง(ปัญญาชอบ).

ในช่วงแรกของการศึกษาเรื่องนี้ บางท่านอาจจะรู้สึกว่ายาก เพราะยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องอริยสัจ ๔ แบบที่ตรวจสอบและพิสูจน์ได้ในชีวิตปัจจุบัน(แบบปัจจุบันธรรม) แต่เมื่อเข้าใจเนื้อหาของอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติตามที่ผู้เขียนนำเสนอได้ตามสมควรแล้ว จะพบว่า เป็นเรื่องไม่ยาก เพราะเป็นเรื่องของความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคน บางคนถึงกับเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องความทุกข์ รวมทั้งมีความสามารถในการดับทุกข์ได้เป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำไป.

เมื่อท่านฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควรแล้ว ท่านก็จะสามารถดับทุกข์ได้มากขึ้น ตามกำลังของความรู้และความสามารถทางธรรมที่มีอยู่ในความจำของท่านขณะนั้น เช่นเดียวกับความรู้และความสามารถทางโลก ที่ต้องอาศัยข้อมูลในความจำเช่นกัน.

พุทธศาสตร์เป็นวิชาพัฒนาจิตใจของมนุษย์ให้ประเสริฐ

พุทธศาสตร์ ประกอบด้วยคำว่า พุทธะ และ ศาสตร์.

พุทธะ คือ ท่านผู้ตรัสรู้แล้ว หรือผู้รู้อริยสัจ ๔. ศาสตร์ คือ วิชาความรู้.

พุทธศาสตร์ คือ วิชาความรู้ของผู้ตรัสรู้แล้ว หรือวิชาผู้รู้อริยสัจ ๔ หรือวิชาของพระพุทธเจ้า.

พุทธศาสตร์มีเนื้อหาที่เป็นแก่นแท้ คือ อริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นวิชาความรู้ด้านการพัฒนาจิตใจของมนุษย์ให้เป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสหรือเป็นบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล) ผู้ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์*.

พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า “สมณะ(นักบวช*)หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้จักธรรมเหล่านี้(ทุกข์*) รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้(สมุทัย*) รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่านี้(นิโรธ*) รู้จักทางดำเนินถึงความดับแห่งธรรมเหล่านี้(มรรค*) ฯลฯ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นแล จึงควรแก่การยอมรับว่า เป็นสมณะในหมู่สมณะ …..เป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์….ได้บรรลุประโยชน์….ด้วยปัญญาอันยิ่ง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน” (พุทธธรรม หน้า ๘๐ พิมพ์ครั้งที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๔๒ พระธรรมปิฎก - ป.อ.ปยุตโต).

การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงว่า “ธรรมเหล่านี้” คือ อริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นแก่นธรรมของพระพุทธศาสนา และเป็นวิชาการทางจิตใจที่มวลมนุษย์ไม่ว่าชาติใดหรือศาสนาใดก็สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ เพราะเป็นเรื่องของการใช้ ปัญญาหรือความรู้ทางธรรม บริหารจิตใจให้อยู่กับปัจจุบันขณะในชีวิตประจำวัน เพื่อให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ.

นักบวชและบุคคลในศาสนาใดก็ตาม ถ้ามีความรู้ในอริยสัจ ๔ และสามารถปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้ดี ก็ควรแก่การยอมรับว่า เป็นบุคคลที่ดีของศาสนานั้น ๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยนศาสนาแต่ประการใด.

อริยสัจ ๔ เป็นศาสตร์ของการพัฒนาจิตใจให้ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์ ด้วยการไม่คิดชั่วและไม่ทำชั่ว แต่ให้มุ่งคิดดีและทำดี เพื่อทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส(ตามโอวาทปาฏิโมกข์) และเป็นบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล)ในชีวิตปัจจุบันนี้เอง.

อริยสัจ ๔ เป็นศาสตร์ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบจากการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาจิตใจโดยเฉพาะ จะเรียกว่าวิชา “พุทธศาสตร์” ก็ได้.

พุทธศาสตร์ประกอบด้วยเรื่องพระธรรมและวินัย.

ธรรม คือ ธรรมชาติ ในที่นี้จึงหมายถึงธรรมชาติของจิตใจ อีกความหมายหนึ่งคือ คุณธรรม.

พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เปิดเผยเรื่องธรรมชาติของจิตใจ เพื่อนำไปสู่ความมีคุณธรรม หรือเพื่อการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ นั่นก็คือ อริยสัจ ๔.

วินัย คือ ข้อปฏิบัติที่มุ่งกำกับความประพฤติของพระสงฆ์เพื่อให้เป็นแบบแผนเดียวกัน.

อริยสัจ ๔ มี ๒ ตอนใหญ่ ๆ

อริยสัจ ๔ คือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และตรัสสอน เพื่อพัฒนาจิตใจมนุษย์ให้ห่างไกลจากกิเลส กองทุกข์ หรือเป็นบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล).

อริยสัจ ๔ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วย ๔ เรื่องหลัก ๆ คือ ๑. ความทุกข์(ทุกข์) ๒. สาเหตุของความทุกข์(สมุทัย) ๓. ความดับทุกข์(นิโรธ) ๔. ทาง(วิธี*)ปฏิบัติธรรมเพื่อความดับทุกข์(มรรค). เครื่องหมาย * คือ ข้อความของผู้เขียนที่เติมเข้าไป หรือย่อ หรือสรุป เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น.

การอธิบายอริยสัจ ๔ ในหนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น ๒ ขั้นตอนใหญ่ ๆ ดังนี้ :-

ตอนที่ ๑. ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งประกอบด้วย ๓ เรื่อง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ.

ตอนที่ ๒. มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งมีเพียงเรื่องเดียว คือ มรรค.

ปัจจุบันนี้มีชาวพุทธจำนวนไม่น้อย ที่ยังไม่เข้าใจเนื้อหาที่แท้จริงของอริยสัจ ๔ รวมทั้งไม่ได้ฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่องตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ จึงยังมีความทุกข์ จิตใจยังไม่บริสุทธิ์ผ่องใส เพราะมีการคิดและการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ที่เจือปนด้วยกิเลส.

แก่นธรรมในพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ และทรงปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างต่อเนื่อง จึงทรงพ้นทุกข์ทางพระทัย(นิโรธหรือนิพพาน)ได้ จนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน. ดังนั้น แก่นธรรมของพระพุทธศาสนาที่พระองค์ตรัสรู้และตรัสสอนก็คืออริยสัจ ๔ นั่นเอง.

พระอรหันต์ทุกองค์ต้องมีความรู้ในอริยสัจ ๔ และสามารถปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่องเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า.

การศึกษาธรรมในพระพุทธศาสนา หรือการศึกษาวิชาพุทธศาสตร์ ที่ตรงประเด็นที่สุด คือ ศึกษาอริยสัจ ๔ ให้รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ.

อริยสัจ ๔ แบบปัจจุบันธรรมเป็นเรื่องง่ายและไม่มีเงื่อนงำใด ๆ

เนื้อหาในอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนนั้น เป็นความจริงที่ประเสริฐ ซึ่งคนทั่วไปที่มีสติปัญญาในเกณฑ์ปกติ สามารถศึกษา ปฏิบัติ ได้รับผล ตรวจสอบ และพิสูจน์ผลได้ในชีวิตปัจจุบัน เพราะเป็นเรื่องง่าย เปิดเผย สัมผัสได้ง่าย เข้าใจได้ง่าย ปฏิบัติได้ง่าย ไม่มีอะไรที่ซ่อนเร้นหรือมีเงื่อนงำใด ๆ สมดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมทั้งหลายที่เรากล่าวไว้ดีแล้ว เป็นของง่าย เปิดเผย ประกาศไว้ชัด ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ ….” (พุทธธรรม หน้า ๖๖๒ ป.อ.ปยุตโต). การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงว่า การศึกษาเรื่องอริยสัจ ๔ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วเป็นเรื่องง่าย มีเนื้อหาที่เปิดเผย ชัดเจน เพราะเป็นเรื่องที่คนทั่วไปสามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง. เมื่อศึกษาพุทธประวัติจะพบว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องอริยสัจ ๔ ให้ผู้ที่ตั้งใจฟังเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ผู้ฟังคนนั้นมีดวงตาเห็นธรรม(เป็นพระโสดาบัน). เมื่อผู้มีดวงตาเห็นธรรมได้ฝึกปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ แล้วกลับมาฟังธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ ซ้ำอย่างเดิมอีก ก็มักบรรลุธรรมในระดับสูงขึ้น ซึ่งเป็นการแสดงว่า เนื้อหาของอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนนั้นมีน้อย.

ปัจจุบันธรรม

ปัจจุบันธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นเรื่องในชีวิตปัจจุบัน เพื่อใช้ในการละชั่ว ทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสในปัจจุบันขณะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องในอดีตและอดีตชาติที่ผ่านไปแล้ว รวมทั้งไม่ใช่เรื่องของอนาคตและอนาคตชาติที่ยังมาไม่ถึง.

การศึกษาอริยสัจ ๔ แบบข้ามภพข้ามชาตินั้น เป็นผลให้การศึกษาอริยสัจ ๔ กลายเป็นเรื่องยาว ยาก สับสนมาก สัมผัสไม่ได้ ตรวจสอบและพิสูจน์ไม่ได้ เข้าใจข้อเท็จจริงไม่ได้ และไม่ใช่เรื่องของปัจจุบันธรรม.

ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านก็ควรศึกษาอริยสัจ ๔ แบบข้ามภพข้ามชาติไว้ด้วย เพื่อเป็นความรู้ แต่ท่านควรศึกษาด้วยสติปัญญาจริง ๆ.

การศึกษาอริยสัจ ๔ แบบปัจจุบันธรรมทำให้เนื้อหาของอริยสัจ ๔ ที่ต้องศึกษามีน้อย ตรงไปตรงมา ง่าย ไม่สับสน สัมผัสได้ ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ และเป็นข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้จากประสบการณ์ตรงของแต่ละบุคคล รวมทั้งพิสูจน์ผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมได้ด้วยตนเอง.

การศึกษาอริยสัจ ๔ แบบปัจจุบันธรรม จึงเป็นเรื่องการศึกษาธรรมชาติของจิตใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความทุกข์ในจิตใจของตนเอง รวมทั้งการฝึกปฏิบัติธรรมโดยใช้ความรู้ในเรื่องธรรมชาติของจิตใจ(ความรู้ทางธรรม)ที่จดจำไว้ได้ ทำการรู้เห็นและควบคุมจิตใจ ไม่ให้คิดชั่วและทำชั่ว ให้คิดดีและทำดี เพื่อความพ้นทุกข์และเพื่อความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิตใจในปัจจุบันขณะนี่เอง.

ความพ้นทุกข์(นิพพาน)เป็นเรื่องของปัจจุบันชาติ

พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ต่างก็พ้นทุกข์ทางจิตใจ(นิพพาน)ในปัจจุบันชาติของแต่ละท่านโดยไม่มีเงื่อนงำว่า จะต้องบรรลุความพ้นทุกข์(นิพพาน)ในชาติหน้าแต่ประการใด.

ชาวพุทธควรเอาอย่างพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ด้วยการศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง เพื่อความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิตใจและเพื่อความพ้นทุกข์(นิพพาน)ในปัจจุบันขณะของปัจจุบันชาตินี้.

ในช่วงเริ่มต้นฝึกปฏิบัติธรรม ท่านจะพบกับความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิตใจและความพ้นทุกข์ชั่วคราว(นิพพานชั่วคราวหรือตทังคนิพพาน) ครั้นมีความเพียรในการฝึกปฏิบัติธรรมมากขึ้น ความพ้นทุกข์(นิพพาน)ก็จะมีความต่อเนื่องมากขึ้น.

ขอให้กำลังใจแก่ท่านผู้อ่านว่า ความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิตใจและความพ้นทุกข์(นิพพาน)ชั่วคราวได้ตามสมควรนั้น อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้เอง ถ้าท่านศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่องได้ตามสมควร.

เนื้อหาในอริยสัจ ๔ ที่จำเป็นต้องศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมนั้นมีเพียงกำมือเดียว

เนื้อหาต่าง ๆ ในอริยสัจ ๔ นั้น มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงมีอยู่.

สมัยหนึ่ง….ณ ป่าสีสปาวัน….พระพุทธเจ้าทรงหยิบใบประดู่ลายจำนวนเล็กน้อยถือไว้ด้วยฝ่าพระหัตถ์ เพื่อทรงแสดงว่า เรื่องที่พระองค์ตรัสสอนอริยสัจ ๔ นั้นมีน้อยมากเมื่อเทียบกับความรู้เรื่องต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้.

พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า “พระภิกษุทั้งหลาย อะไรเล่าที่เราบอก เราบอกว่า นี้ทุกข์….สมุทัย….นิโรธ….มรรค(ตรัสสอนอริยสัจ ๔); เพราะเหตุไรเราจึงบอก ก็เพราะข้อนี้ประกอบด้วยประโยชน์….เป็นหลักเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์…. เพื่อความหน่ายในทุกข์*(นิพพิทา) เพื่อความดับทุกข์(นิโรธ) เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง(ปัญญา) เพื่อนิพพาน.” (พุทธธรรม หน้า ๘๙๕ ป.อ.ปยุตโต). การตรัสสอนเช่นนี้เป็นเครื่องแสดงว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนอริยสัจ ๔ เพื่อความบริสุทธิ์ของจิตใจ(พรหมจรรย์) ให้เบื่อความทุกข์ มีความสุขสงบ มีปัญญาทางธรรม และเข้าถึงความดับทุกข์(นิพพาน) ซึ่งมีเนื้อหาน้อย คือ มีเพียงกำมือเดียวเมื่อเทียบกับความรู้ด้านอื่น ๆ.

เมื่อท่านได้ศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมตามแนวทางที่ผู้เขียนนำเสนอ ก็จะทำให้เกิดการรู้เห็นได้ด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองว่า ความดับทุกข์นั้น ต้องมีความรู้ในเรื่องอริยสัจ ๔ ซึ่งมีเนื้อหาน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ทางโลกที่ได้ศึกษามาแล้วชั่วชีวิต.

ในสมัยพุทธกาล ชาวอินเดียมีการศึกษาน้อย แต่ก็มีคนเป็นจำนวนมากที่มีดวงตาเห็นธรรมในอริยสัจ ๔ และเป็นบุคคลที่ประเสริฐระดับแรก(พระโสดาบัน)ได้โดยง่าย ภายหลังการฟังธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ จากพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น.

การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลเกิดขึ้นภายในไม่กี่วัน เช่น ท่านยสะเป็นพระอรหันต์ภายใน ๑ วัน คณะปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์ ภายใน ๕ วัน พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ วัน พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ภายใน ๑๕ วัน และมีพระภิกษุอีกเป็นจำนวนมากที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นการแสดงว่า เนื้อหาของอริยสัจ ๔ ที่เป็นข้อมูลสำคัญที่สุดในการบรรลุธรรมนั้น มีน้อยมากและง่าย เมื่อเทียบกับการศึกษาเล่าเรียนในยุคปัจจุบัน ซึ่งต้องใช้เวลาในการศึกษาเล่าเรียนกันนานมาก และยังต้องศึกษาเพิ่มเติมกันตลอดชีวิต.

ความสำเร็จของการศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมตามอริยสัจ ๔ ในสมัยพุทธกาลจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะพระพุทธเจ้าตรัสสอนแบบง่าย ๆ ครบถ้วน และตรงประเด็น. ประกอบกับผู้ศึกษาธรรมในสมัยนั้น มีข้อมูลด้านกิเลสในความจำไม่มากนัก จึงทำให้สามารถรู้เห็นและควบคุมจิตใจ(ความคิด)ให้บริสุทธิ์ผ่องใส เป็นบุคคลที่ประเสริฐได้อย่างรวดเร็ว.

อย่าปิดกั้นวิสัยทัศน์ทางธรรมของท่านเอง

การศึกษาทางโลกและทางธรรมก็เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลสติปัญญาทางโลกและทางธรรมในความจำ สำหรับใช้ในการดับความทุกข์ทางร่างกายและจิตใจในชีวิตประจำวัน.

การศึกษาเล่าเรียนทางธรรมมีหลักการเช่นเดียวกับการศึกษาเล่าเรียนทางโลก คือ จะต้องศึกษาจากหลายท่าน เช่น จากบิดา มารดา ผู้ปกครอง เพื่อน ผู้ใกล้ชิด ครู ผู้นำ ผู้รู้ สื่อต่าง ๆ อาจารย์ พระอาจารย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ซึ่งต้องศึกษากันชั่วชีวิตเลยทีเดียว.

การศึกษาธรรมในพระพุทธศาสนานั้น ควรทำเช่นเดียวกับการศึกษาทางโลก. ไม่ควรปิดกั้นวิสัยทัศน์ของตนเองด้วยการศึกษาจากพระอาจารย์หรืออาจารย์เพียงท่านเดียว เพราะสติปัญญาทางธรรมของผู้สอนธรรมเพียงคนเดียว อาจจะไม่กว้างขวางและไม่ครอบคลุมความรู้ในอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และตรัสสอนด้วยพระองค์เอง.

พระไตรปิฎกเป็นแหล่งข้อมูลหลักของพระพุทธศาสนา

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสสอนพระอานนท์ว่า “ดูก่อนอานนท์! ธรรมและวินัยอันใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไป” (คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา หน้า ๒๐๑ พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๑ สุชีพ ปุญญานุภาพ).

การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงว่า พระธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คือ อาจารย์ผู้อบรมสั่งสอน(ศาสดา)แทนพระองค์ท่านเมื่อปรินิพพานแล้ว. ดังนั้น การศึกษาพระธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ.

คนทั่วไปควรศึกษาพระธรรมหรืออริยสัจ ๔ ให้รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ.

พระภิกษุควรศึกษาพระธรรมและวินัย รวมทั้งฝึกฝนตนเองให้สามารถปฏิบัติตนตามวินัยอย่างเคร่งครัด.

ในยุคปัจจุบัน ถ้าไม่มีพระไตรปิฎกที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ ก็อาจถือว่า ขณะนี้ไม่มีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเหลืออีกแล้ว.

ข้อมูลอริยสัจ ๔ ที่บันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกเป็นหลัก(แก่น)ธรรมสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ซึ่งท่านควรศึกษา นำมาทดลองฝึกปฏิบัติ ตรวจสอบ และพิสูจน์ผลจากการฝึกปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง เพื่อทำให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำ และใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อการดำเนินชีวิตอย่างบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล).

ควรศึกษาอริยสัจ ๔ จากบทความต่าง ๆ ที่คัดสำเนามาจากพระไตรปิฎกด้วย

ท่านควรเปิดวิสัยทัศน์ทางธรรมให้กว้างขวางและลึกซึ้งด้วยการใช้สติปัญญาทำการศึกษาหลักธรรมในอริยสัจ ๔ จากบทความต่าง ๆ ที่คัดสำเนามาจากพระไตรปิฎก หรือศึกษาจากพระไตรปิฎกโดยตรง พร้อมทั้งตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองและพิสูจน์จากผลของการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน.

ภาษาในบทความที่คัดสำเนามาจากพระไตรปิฎกหรือภาษาในพระไตรปิฎกนั้น อาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนยุคปัจจุบัน อีกทั้งยังมีเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่ใช่อริยสัจ ๔ แท้ ๆ ปะปนอยู่จำนวนหนึ่ง จึงทำให้ผู้อ่านสับสนได้ง่าย.

เมื่อท่านทำความเข้าใจเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้ดีตามสมควรแล้ว จะช่วยให้ท่านเข้าใจเนื้อหาของบทความต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกได้ง่ายขึ้น.

ท่านสามารถตรวจสอบและพิสูจน์เนื้อหาของอริยสัจ ๔ ได้ด้วยตนเอง

เนื้อหาของอริยสัจ ๔ แท้ ๆ เป็นเรื่องที่ผู้มีสติปัญญาปานกลางก็สามารถศึกษาได้(ปริยัติ) เข้าใจได้ ปฏิบัติได้(ปฏิบัติ) รับผลได้(ปฏิเวธ) หรือเข้าถึงความดับทุกข์(นิพพาน)ได้ และเป็นอริยบุคคลในระดับต่าง ๆ ได้ในชีวิตปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบจากประสบการณ์ตรงของตนเองและพิสูจน์ผลได้ทุกเมื่อที่ลงมือปฏิบัติธรรม รวมทั้งเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นได้โดยง่าย.

ในทันทีที่ท่านลงมือฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร ก็จะตรวจสอบและพิสูจน์ผลของการปฏิบัติธรรมด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองว่า ท่านสามารถดับกิเลส กองทุกข์ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส และพัฒนาจิตใจให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐได้จริง โดยไม่ต้องรอวัน รอเวลา รอสถานที่ และไม่ต้องรอผลในชาติหน้าแต่ประการใด เพราะเป็นเรื่องของการมีและใช้ข้อมูลสติปัญญาทางธรรมที่มีอยู่ในความจำขณะนั้น ๆ.

ความหลงเชื่อ

ความหลงในพุทธศาสนาหมายถึง ความไม่รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงในอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ. ผู้ที่มีความหลง คือ ผู้ที่ไม่มีความรู้ในอริยสัจ ๔ และไม่มีความสามารถในการปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง.

ความหลงเชื่อ คือ ความเชื่อที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้กลั่นกรองด้วยสติปัญญาของตนเองและไม่ได้ตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองเสียก่อน.

ความเชื่อที่ถูกต้อง คือ ความเชื่อที่ผ่านการกลั่นกรองด้วยสติปัญญาทางธรรม รวมทั้งผ่านการตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองว่า เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน.

ท่านควรศึกษา ค้นคว้า ตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงของบทความในหนังสือเล่มนี้ทุกวรรคและขั้นตอนด้วยตัวของท่านเอง เพื่อสร้างนิสัยที่ดีในการศึกษาธรรมและฝึกปฏิบัติธรรมตามความเป็นจริง โดยไม่หลงเชื่อเรื่องต่าง ๆ อีกต่อไป.

ความจริงในอริยสัจ ๔ เป็นเรื่องใกล้ตัวที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ ปฏิบัติได้ พ้นทุกข์ได้ เป็นบุคคลที่ประเสริฐได้ ประเมินผลได้ ตรวจสอบได้ และพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ตามกำลังความรู้และความสามารถทางธรรมของแต่ละบุคคลที่มีอยู่ในขณะนั้น ๆ.

ในกาลามสูตร พระพุทธเจ้าตรัสสอนไม่ให้มีความหลงเชื่อว่า "….อย่ายึดถือ โดยการฟัง(เรียน)ตามกันมา อย่ายึดถือ โดยการถือสืบ ๆ กันมา อย่ายึดถือ โดยการเล่าลือ อย่ายึดถือ โดยการอ้างตำรา อย่ายึดถือ โดยตรรก(คิดว่าสมเหตุสมผล*) อย่ายึดถือ โดยการอนุมาน(คาดคะเนตามหลักเหตุผล*) อย่ายึดถือ โดยการคิดตรองตามแนวเหตุผล อย่ายึดถือ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน อย่ายึดถือ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ อย่ายึดถือ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา…." (พุทธธรรม หน้า ๖๕๑ ป.อ.ปยุตโต).

การที่ตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงว่า อย่าหลงเชื่อแม้แต่บุคคลที่เรานับถือว่าเป็นพระอาจารย์ แต่ให้ตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเอง จนรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงแล้วจึงค่อยเชื่อ.

การตรวจสอบและพิสูจน์พุทธธรรมนั้น ทำได้โดยง่าย โดยตรวจสอบด้วยการเทียบเคียงกับประสบการณ์ตรงของตนเอง และพิสูจน์โดยการนำไปทดลองฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ในชีวิตประจำวัน ด้วยการประเมินผลของการปฏิบัติธรรมที่เกิดขึ้นกับตนเองว่า สามารถดับกิเลสและกองทุกข์ตามที่แสดงไว้ในอริยสัจ ๔ ได้จริงหรือไม่ ถ้าดับได้จริง ดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถปฏิบัติได้ง่าย ทุกเวลา ทุกสถานที่ เป็นเรื่องที่เปิดเผย คนอื่นก็สามารถนำไปปฏิบัติได้เช่นเดียวกัน ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ ก็น่าจะเป็นการฝึกปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องและควรแก่การยอมรับ.

ความหลงเชื่อต่าง ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับอริยสัจ ๔

การมีความหลงเชื่อเรื่องต่าง ๆ ในอดีตชาติ ก็ไม่เกี่ยวกับความพ้นทุกข์ในปัจจุบันขณะ เพราะการจะพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ได้นั้น เป็นเรื่องปัจจุบันขณะ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วนในชีวิตปัจจุบัน ที่ท่านสามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง.

พระพุทธเจ้าไม่ตรัสสอนเรื่องอื่นที่ไม่ใช่อริยสัจ ๔ ไว้ว่า “….เธอทั้งหลาย….เราไม่พยากรณ์(ทำนาย*)ว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง ฯลฯ….(เพราะ*)ไม่ประกอบด้วยประโยชน์(ไม่พ้นทุกข์*)….เราพยากรณ์(ตรัสสอน*) ข้อว่า นี้ทุกข์….สมุทัย….นิโรธ….มรรค….เพื่อนิพพาน” (พุทธธรรม หน้า ๘๙๔ ป.อ.ปยุตโต). การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนอริยสัจ ๔ เพื่อความดับทุกข์เท่านั้น เรื่องอื่นพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสสอน.

การมีความหลงเชื่อมากน้อยเพียงใดก็ไม่สำคัญและไม่ใช่เรื่องที่ต้องตำหนิแต่ประการใด เพราะเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเสรีภาพทางความคิด ขอเพียงให้ศึกษาความจริงอันประเสริฐ(อริยสัจ ๔) เพื่อจะได้พัฒนาจิตใจให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐก็เพียงพอแล้ว.

ในสมัยพุทธกาล อริยบุคคลรวมทั้งพระอรหันต์ส่วนใหญ่เคยมีความหลงเชื่อมาก่อน แต่เมื่อมาศึกษาอริยสัจ ๔ ก็สามารถปรับเปลี่ยนมาเป็นผู้รู้ความจริงอันประเสริฐในระดับต่าง ๆ หรือเป็นอริยบุคคลในระดับต่าง ๆ.

ชาวพุทธควรมุ่งศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาจิตใจของตนเอง ให้เป็นบุคคลที่ประเสริฐที่ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างต่อเนื่องมากที่สุด. ส่วนความหลงเชื่อเรื่องต่าง ๆ นั้น มักจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเอง เมื่อความหลง(โมหะหรืออวิชชา)ลดลงหรือหมดไป.

อริยสัจ ๔ เป็นความจริงที่ประเสริฐและทำให้พ้นทุกข์

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “ภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ ๔ ประการเหล่านี้แล เป็นของแท้อย่างนั้น ไม่คลาดเคลื่อนไปได้ ไม่กลายเป็นอย่างอื่น ฉะนั้น จึงเรียกว่า อริยสัจ…”. “ภิกษุทั้งหลาย เพราะได้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้นามเรียกว่าเป็นอริยะ” (พุทธธรรม หน้า ๘๙๕ ป.อ.ปยุตโต).

เมื่ออริยสัจ ๔ เป็นความจริงที่ประเสริฐดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเช่นนี้ คนที่ศึกษาอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้อง จะต้องรู้เห็นเหมือนกันหมด. การรู้เห็นที่แตกต่างกัน จึงเป็นเรื่องที่น่าพิจารณาว่า การรู้เห็นนั้น ๆ น่าจะเป็นการรู้เห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง.

บทความในหนังสือเล่มนี้ จะเน้นไม่ให้หลงเชื่อคนอื่น แต่ให้ฝึกตรวจสอบและพิสูจน์หลักธรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง.

พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องความสำคัญในอริยสัจ ๔ กับความพ้นทุกข์ว่า “มนุษย์มากมายแท้ ถูกภัยคุกคามเข้าแล้ว พากันยึดเอาภูเขาบ้าง ป่าบ้าง สวนและต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บ้าง เป็นที่พึ่ง สิ่งเหล่านั้นไม่เป็นที่พึ่งอันเกษมได้เลย นั่นไม่ใช่สรณะอันอุดม คนยึดเอาสรณะอย่างนั้น จะพ้นไปจากสรรพทุกข์หาได้ไม่” ….“ส่วนผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ มองเห็นด้วยปัญญาโดยถ่องแท้ซึ่งทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้น(สมุทัย) ความก้าวล่วงทุกข์(นิโรธ) และอริยมรรคมีองค์ ๘ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ นี่แหละคือสรณะอันเกษม นี่คือสรณะอันอุดม คนถึงสรณะอย่างนี้แล้ว ย่อมปลอดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง” พุทธธรรม หน้า ๙๑๑ ป.อ.ปยุตโต).

การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงว่า ที่พึ่งต่าง ๆ เพื่อความดับทุกข์ซึ่งไม่ใช่อริยสัจ ๔ นั้น ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง ที่พึ่งที่หวังได้แน่นอนคือ การมีความรู้อย่างแจ้งชัดในอริยสัจ ๔ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติตามความเป็นจริงด้วยสติปัญญาของตนเอง จึงจะมีความสุขสงบ และพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง.

การฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ทำให้เป็นนักบริหารจิต

การฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามสมควร จะทำให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านสติปัญญาทางธรรมในความจำของท่านเองอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการใช้ข้อมูลดังกล่าวในการกำกับและควบคุมจิตใจ(บริหารจิต) ให้สามารถคิด ปฏิบัติงาน และดำเนินชีวิตประจำวันโดยไม่มีกิเลสเจือปน เป็นผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ รวมทั้งควบคุมจิตใจให้มีการคิดและทำกิจต่าง ๆ ที่เป็นกุศล เพื่อยังประโยชน์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อครอบครัว ต่อสังคม ต่อสัตว์อื่น และต่อสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง เป็นผลให้จิตใจมีความผ่องใส ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจะเป็นการดำเนินชีวิตอย่างบุคคลที่ประเสริฐ และมีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เป็นนิจ.

การควบคุมความคิดและการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ โดยการฝึกปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ จัดว่า เป็นการฝึกบริหารจิตที่เรียนรู้ง่าย ตรงประเด็น ได้ผลทันทีที่ลงมือปฏิบัติ ซึ่งชาวพุทธและคนทั่วไปพึงฝึกบริหารจิตใจของตนเองในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา เพื่อการดำเนินชีวิตที่ดีงามตามแนวทางของบุคคลที่ประเสริฐ และเพื่อความสันติสุข.

การพัฒนาสติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางธรรมมีกระบวนการที่เหมือนกัน

การพัฒนาสติปัญญาทางโลก คือ การพัฒนาความรู้และความสามารถทางโลก ด้วยการศึกษา เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ สำหรับใช้ในการประกอบอาชีพและทำกิจต่าง ๆ เพื่อดับความทุกข์ทางร่างกายเป็นสำคัญ.

การพัฒนาสติปัญญาทางธรรม คือ การพัฒนาความรู้และความสามารถทางธรรม สำหรับใช้ในการดับกิเลสและความทุกข์ทางจิตใจเป็นหลัก ซึ่งมีกระบวนการในการศึกษาและเรียนรู้เช่นเดียวกันกับการศึกษาเล่าเรียนทั่วไป.

ไม่มีการพัฒนาสติปัญญาทางธรรมที่เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์แต่ประการใด แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็ยังทรงใช้ความเพียรอย่างมากมายในการต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ นา ๆ เป็นเวลานานถึง ๖ ปี ทำการศึกษาวิจัย(ธรรมวิจัยหรือค้นคว้า)ที่พระวรกายและพระทัยของพระองค์เองในเรื่องของความทุกข์ จนรู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง(ตรัสรู้).

สรุป

แก่นธรรมของพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔ ซึ่งมีเนื้อหาเพียงกำมือเดียวเมื่อเทียบกับความรู้ด้านอื่น ๆ.

อริยสัจ ๔ เป็นเรื่องของการพัฒนาจิตใจมนุษย์ให้พ้นจากกิเลส กองทุกข์ และเป็นบุคคลที่ประเสริฐในชีวิตปัจจุบัน.

อริยสัจ ๔ เป็นวิชาการด้านจิตใจของมนุษย์ ที่คนทั่วไปสามารถศึกษา ตรวจสอบ และพิสูจน์ผลด้วยตนเองได้โดยง่าย ถ้าศึกษาอย่างตรงประเด็น.

การศึกษาอริยสัจ ๔ ด้วยการหลงเชื่อผู้อื่น จะทำให้ต้องศึกษาธรรมมากมาย ยาก และอาจเป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรมได้อีกด้วย.

 

ตอนที่ ๑ ปฏิจจสมุปบาท

(ทุกข์ สมุทัย นิโรธ)

ความหมายของคำว่า “ปฏิจจสมุปบาท” ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ คือ การที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา.

ความหมายของปฏิจจสมุปบาทที่ผู้เขียนตีความเพื่อให้เหมาะกับยุคปัจจุบัน คือ กระบวนการทางใจ(จิตหรือจิตใจ)ที่เป็นกิเลส และเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ.

สำหรับกระบวนการทางใจที่ไม่เป็นกิเลสและไม่เป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์นั้น เป็นกระบวนการทางใจทั่วไป และไม่ใช่ปฏิจจสมุปบาท.

การตีความของผู้เขียนว่า "กระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส" ก็เพราะว่า ทุก ๆ ขั้นตอน(ทุก ๆ หัวข้อธรรมในปฏิจจสมุปบาท)นั้น เป็นขั้นตอนทางใจที่เป็นกิเลส โดยมีเหตุปัจจัยที่ต่อเนื่องกันมาในลักษณะของกระบวนการทางธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ และเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ ที่ทุกท่านสามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง.

เพื่อให้บทความกระชับ จึงขอย่อประโยคที่ว่า "กระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส และเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ" เป็น "กระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส" และคำว่า “จิตใจ” เป็นคำเดียวกับ คำว่า จิต ใจ มโน. การที่ผู้เขียนใช้คำว่า จิตใจ เป็นส่วนใหญ่เพราะเป็นคำที่ใช้คู่กับคำว่า ร่างกาย อีกทั้งเป็นคำที่ไพเราะ และป้องกันไม่ให้สับสนกับคำว่า ดวงจิต ดวงใจ และดวงวิญญาณ แต่บางครั้งก็ใช้คำว่า “จิตหรือใจ” ตามความเหมาะสม.

การตรวจสอบและพิสูจน์กระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส(หรือเจือปนด้วยกิเลส)นั้น ทำได้ง่าย เพราะทุกคนเคยมีความทุกข์มาแล้ว ถึงขั้นเชี่ยวชาญก็ว่าได้ จึงทำให้สามารถตรวจสอบโดยการมีสติระลึกถึงกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลสของตนเองในช่วงที่เคยมีความทุกข์. ขณะเดียวกัน ถ้ามีความทุกข์ที่เกิดขึ้นใหม่ ก็จะสามารถพิสูจน์โดยการมีสติรู้เห็นและรู้ทันกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลสได้ทันที ขอเพียงให้มีเจตนาที่จะมีความตั้งใจ(มีสติ)และมีความเพียรในการสังเกตกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลสในชีวิตประจำวัน แล้วสมองของท่านก็จะทำหน้าที่ตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้.

การอธิบายกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลสจะครอบคลุม ๓ เรื่อง เพราะเป็นเรื่องที่มีความเชื่อมโยงกัน(มีเหตุปัจจัย)โดยตรง ดังนี้ :-

๑. ความทุกข์(ทุกข์)

๒. สาเหตุของความทุกข์(สมุทัย)

๓. ความดับทุกข์(นิโรธ)

คำว่า "ปฏิจจสมุปบาท" อ่านออกเสียงว่า "ปะ-ติด-จะ-สะ-มุบ-บาท" ไม่อ่านออกเสียงว่า "ปะ-ติด-จะ-สะ-มุบ-ปะ-บาท" และคำว่า สะ-มุบ ให้ออกเสียงต่ำ คล้ายคำว่า สมุด แต่ออกเสียง ป แทน ด. เพื่อความสะดวกต่อการศึกษาเรื่องกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส ขอความกรุณาให้ท่านผู้อ่าน ได้โปรดหัดออกเสียงและจำคำว่าปฏิจจสมุปบาทให้ขึ้นใจด้วย.

ต่อจากนี้ไป ทุกประโยคหรือทุกตอน กรุณาตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยประสบการณ์ตรงที่ผ่านมาในอดีตและที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะของตนเอง เพื่อให้เกิดปัญญาทางธรรมโดยไม่ต้องเชื่อ.

ความสำคัญของปฏิจจสมุปบาทและการพึ่งตนเอง

พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเรื่องความสำคัญของปฏิจจสมุปบาทว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น ย่อมเห็นปฏิจจสมุปบาท”.

“ภิกษุทั้งหลาย แท้จริง อริยสาวก(สาวกที่ประเสริฐ*)ผู้ได้เรียนรู้(อริยสัจ ๔*)แล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้(มีปัญญา*)ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ” (พุทธธรรม หน้า ๗๙ ป.อ.ปยุตโต).

คำตรัสสอนในตอนที่ ๑ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปฏิจจสมุปบาทที่เป็นส่วนหนึ่งของแก่นธรรมในพระพุทธศาสนา.

มีหลายคนเข้าใจผิด ลงมือปฏิบัติธรรมโดยไม่มีความรู้ว่า ทุกข์คืออะไร มีสาเหตุจากอะไร และความดับทุกข์(นิพพาน)เป็นอย่างไร จึงเป็นผลให้ความสำเร็จในการฝึกปฏิบัติธรรมไม่ดีเท่าที่ควร.

การไม่มีความรู้เรื่องความทุกข์(ทุกข์)ก็ย่อมไม่รู้ว่า มีทุกข์อะไรบ้างที่ต้องดับ และดับทุกข์ได้แล้วหรือยัง.

การไม่มีความรู้เรื่องสาเหตุของความทุกข์(สมุทัย)ก็ย่อมไม่รู้ว่า ต้องดับสาเหตุของความทุกข์ที่ตรงไหน ดับอย่างไร.

การไม่มีความรู้เรื่องความดับทุกข์(นิโรธหรือนิพพาน)ว่าเป็นอย่างไร จึงทำให้ไม่สามารถประเมินผลว่า ได้ปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้ถูกต้องจนเข้าถึงภาวะความดับทุกข์หรือไม่.

คำตรัสสอนในตอนที่ ๒ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า สาวกที่ประเสริฐ(อริยสาวก) คือ ผู้ที่มีความรู้ในอริยสัจ ๔ ย่อมมีปัญญาในการศึกษาอริยสัจ ๔ ตรวจสอบ และพิสูจน์ข้อเท็จจริงในกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส โดยไม่ต้องหลงเชื่อผู้อื่น.

ถ้าไม่รู้จักกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส ก็จะดับสาเหตุของความทุกข์ไม่ตรงประเด็น

ก่อนที่จะฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ จำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดในกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลสเสียก่อน. ถ้าท่านไม่เข้าใจในเนื้อหาของกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส ก็จะไม่สามารถดับสาเหตุของความทุกข์ได้ตรงประเด็น จึงทำให้ดับความทุกข์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ดับไม่ได้เลย หรือกลับมีความทุกข์มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก.

บางท่านไม่ได้ศึกษากระบวนการทางใจที่เป็นกิเลสเสียก่อน แต่ลงมือปฏิบัติธรรมด้วยความหลงเชื่อและความศรัทธาที่มีต่อผู้สอน ขณะเดียวกัน ผู้สอนก็ไม่รู้แจ้งชัดในกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส จึงอาจสอนให้ดับสาเหตุของความทุกข์ที่ไม่ตรงประเด็น บางครั้งอาจทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก เป็นผลให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และที่น่าเป็นห่วงคือ อาจมีกิเลสและความทุกข์มากขึ้น รวมทั้งเกิดความเข้าใจผิดและเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาไปเสียเลย.

ชาวพุทธทุกท่าน ควรอย่างยิ่งที่จะศึกษากระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส(ปฏิจจสมุปบาท)ให้รู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงที่ตรวจสอบและพิสูจน์ได้ในปัจจุบันชาติเสียก่อน เพื่อจะได้ดับสาเหตุของความทุกข์ได้ตรงประเด็นในชีวิตประจำวันนี้เอง.

องค์ประกอบของจิตใจ

ก่อนที่จะวิเคราะห์กระบวนการทางใจ(จิตหรือจิตใจ)ที่เป็นกิเลส ควรทบทวนหรือทำความเข้าใจเรื่องจิตใจให้ดีเสียก่อน.

มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ ภาษาบาลีเรียกว่าขันธ์ ๕.

ร่างกายหรือกาย คือ รูป(รูปเป็นภาษาบาลี).

จิตใจหรือจิตหรือใจ ประกอบด้วย ความรู้สึก(เวทนา) ความจำ(สัญญา) ความคิด(สังขาร) การรู้เห็นทางจิตใจ(วิญญาณ).

ชีวิตหรือขันธ์ ๕
ร่างกาย(รูป)
จิตใจ(จิต ใจ)
รูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เช่น เลือด เนื้อ กระดูก เอ็น สมอง ฯลฯ
ความรู้สึก ความจำ ความคิด การรู้เห็นทางใจ(วิญญาณ)

ต่ละองค์ประกอบของจิตใจมีความหมายดังนี้ :-

ความรู้สึก(เวทนา) คือ ความรู้สึกต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์(เฉย ๆ).

ความจำ(สัญญา) คือ ความจำในเรื่องต่าง ๆ.

ความคิด(สังขาร) คือ ความคิดต่าง ๆ หรือความคิดปรุงแต่ง.

การรู้เห็นทางใจ(วิญญาณ) คือ การรู้เห็นเรื่องต่าง ๆ ของใจ.

เพื่อป้องกันความสับสน จึงควรทำความเข้าใจ เรื่องสังขารและวิญญาณเพิ่มเติม กล่าวคือ :-

สังขาร ในความเข้าใจของคนทั่วไปมักหมายถึง กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร(จิตตสังขาร).

สำหรับคำว่าสังขารที่กำลังกล่าวถึง คือ สังขารในขันธ์ ๕ จึงหมายถึงมโนสังขารหรือความคิดปรุงแต่ง. เพื่อให้บทความกระชับ จึงใช้คำว่า ความคิด แทนคำว่า มโนสังขาร.

สมองเป็นอวัยวะสำคัญเปรียบเหมือนศูนย์บัญชาการของชีวิต เพราะสมองทำหน้าที่จดจำข้อมูล คิด มีความรู้สึก รู้เห็นเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัย.

ขณะที่ไม่ได้หลับสนิท เมื่อมีการ รับรู้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย(โผฏฐัพพะ) เรื่องต่าง ๆ ทางใจ(ธรรมารมณ์) ผ่านเข้ามาทางประสาทสัมผัสได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะเป็นทางใดทางหนึ่งหรือหลาย ๆ ทางก็ได้ ย่อมทำให้เกิดกระบวนการทางจิตใจ กล่าวคือ เกิดการคิด(มโนสังขารเกิด) เป็นผลให้เกิดความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ (เวทนาเกิด) ต่อด้วยเกิดการจดจำ(สัญญาเกิด) และเกิดการรู้เห็นเรื่องต่าง ๆ ในจิตใจ(มโนวิญญาณเกิด) รวมทั้งมีการสั่งการต่าง ๆ ตามความคิด(สังขาร) จึงเกิดการกระทำต่าง ๆ ทาง กาย วาจา ใจ.

สมองที่ได้รับความกระทบเทือนอย่างรุนแรงจนหมดสติ เช่น จากอุบัติเหตุ พบว่า การ รับรู้ ข้อมูลยังคงมีอยู่ แต่ไม่มีการคิด(มโนสังขารดับ) จึงทำให้ไม่มีความรู้สึก(เวทนาดับ) ไม่มีการจำ(สัญญาดับ) และไม่มีการรู้เห็นทางใจ(วิญญาณดับ) ซึ่งเป็นการดับของกระบวนการทางจิตใจ หรือสมองเสียหน้าที่ดังกล่าวไป.

ขณะที่กำลังหลับสนิท สมองหยุดคิดเรื่องต่าง ๆ จึงไม่มีการคิด(สังขารดับ) และ กระบวนการทางจิตใจที่ได้กล่าวถึงจึงไม่เกิดขึ้น(ดับ)เป็นการชั่วคราว. คนที่สมองพิการจากโรคต่าง ๆ ย่อมทำให้การทำงานของสมองลดลงหรือหมดไปตามความรุนแรงของโรคนั้น ๆ.

วิญญาณในความเข้าใจของคนทั่วไปมักหมายถึงวิญญาณที่ท่องเที่ยวไปเกิดในภพชาติต่าง ๆ. สำหรับคำว่าวิญญาณในพระพุทธศาสนานั้น หมายถึงวิญญาณ ๖ ชนิด กล่าวคือ ตาเห็นรูปเรียกว่าจักขุวิญญาณเกิด หูได้ยินเสียงเรียกว่าโสตวิญญาณเกิด จมูกได้กลิ่นเรียกว่าฆานวิญญาณเกิด ลิ้นได้รู้รสเรียกว่าชิวหาวิญญาณเกิด กายได้รู้สัมผัสทางกาย เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นต้น เรียกว่ากายวิญญาณเกิด ใจได้ รู้เห็น เรื่องต่าง ๆ ทางใจ เช่น ความคิด ความสุข ความทุกข์ ความเบื่อหน่าย เป็นต้น เรียกว่ามโนวิญญาณเกิด.

มโนวิญญาณ คือ การรู้รายละเอียดของเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจจึงใช้คำว่า รู้เห็น ซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานของสมอง.*

เมื่อไม่มีการรับรู้เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือทางใดทางหนึ่ง วิญญาณนั้น ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น(ดับหรือหมดไป).

ความรู้สึก(เวทนา) ความจำ(สัญญา) ความคิด(สังขาร) การรู้เห็น(วิญญาณ) จึงเป็นเรื่องของจิตใจที่เกิดจากการทำงานของสมองนี่เอง โดยมีความคิดเป็นจุดเริ่มต้นหรือเป็นหัวหน้า เช่น เมื่อคิดจะทำอะไร สมองจะทำงานและสั่งการให้ทำตามความคิดนั้น ๆ. เมื่อหยุดคิด การกระทำต่าง ๆ ก็จะหมดไปด้วย. ดังนั้น ความคิดจึงเป็นหัวหน้าใหญ่ของจิตใจ และเป็นที่เริ่มการกระทำต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน.

เมื่อใดที่สมองเสียหน้าที่ไป จิตใจก็จะเสียหน้าที่ไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา ทุกท่านสามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ที่ตัวของท่านเอง ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไรเลย แต่ถ้าใช้ความหลงเชื่อ ก็มักจะตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้ อีกทั้งยังทำให้สับสนได้โดยง่าย.

ความคิดเป็นหัวหน้าของจิตใจและการกระทำต่าง ๆ

การกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ เกิดขึ้นจากความคิดทั้งสิ้น แสดงว่า หัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ มาจากความคิด.

ถ้าไม่คิด ข้อมูลความจำก็ไม่ถูกนำมาใช้ประกอบการคิด และการกระทำต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น เช่น ขณะนอนหลับสนิท จะไม่มีการคิด และไม่มีการกระทำต่าง ๆ เกิดขึ้น.

ขณะคิดเรื่องใดก็ตาม จะมีการใช้ข้อมูลต่าง ๆ ในความจำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังคิดมาใช้ประกอบการคิดเสมอ อีกทั้งยังมีการคิดปรุงแต่งเพิ่มเติมขึ้นมาอีก. ทั้งความคิด ความรู้สึก จะถูกบันทึกไว้ในความจำด้วย จึงทำให้เกิดการต่อยอดของความคิดและความรู้สึกในความจำ.

ความจำ <-----> ความคิด <------> การกระทำทางกาย วาจา ใจ

พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องความคิดไว้ว่า “ความคิดนำโลกไป(โลกในที่นี้หมายถึงหมู่มนุษย์), ความคิดทำให้โลกดิ้นรน, สิ่งทั้งปวง(การกระทำต่าง ๆ*)ตกอยู่ใต้อำนาจของความคิด” (อริยสัจ ๔ หน้า ๑๐๑ วศิน อินทสระ).๑๐ การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงว่า ความคิดเป็นหัวหน้าของมนุษย์ และมนุษย์ดิ้นรนไปต่าง ๆ นา ๆ เพราะความคิดนั่นเอง.

ผู้เขียนมักใช้คำว่า "ความคิด" แทนคำว่า "จิตใจ" เพราะความคิดเป็นหัวหน้าขององค์ประกอบทางจิตใจที่รู้เห็นได้โดยเด่นชัด ขณะเดียวกัน การรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ จะสามารถควบคุมจิตใจและร่างกายได้หมด.

เมื่อคิดชั่วย่อมทำชั่ว

ความคิดเป็นหัวหน้าใหญ่ ดังนั้น เมื่อคิดชั่วย่อมทำชั่วและเป็นทุกข์ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวง(การกระทำต่าง ๆ*) มีความคิดเป็นประธาน สำคัญที่ความคิด ย่อมสำเร็จได้ด้วยความคิด ถ้าคนคิดไม่ดี ย่อมพูดไม่ดี และทำไม่ดี หลังจากนั้นความทุกข์ก็ตามมา เหมือนล้อเกวียนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป” (อริยสัจ ๔ หน้า ๑๐๐ วศิน อินทสระ).๑๑ ขอให้ท่านตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า เป็นไปตามพุทธพจน์หรือไม่ ถ้าเป็นไปตามพุทธพจน์จริง ก็จะไม่มีความสงสัยเรื่องนี้ในพุทธพจน์อีก เป็นผลให้เกิดความเชื่อที่ถูกต้องและมั่นคง.

บางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมคนบางคนคิดชั่วแต่กลับพูดจาดีมาก ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว การทำเป็นพูดดีทั้งที่กำลังคิดชั่วอยู่นั้น ก็คือการพูดเท็จ จึงเป็นการพูดไม่ดี(พูดชั่ว).

บางคนคิดไม่ดี แต่ทำความดีต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งความจริงแล้ว เป็นการกระทำที่หลอกลวง ไม่จริงใจ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ดี(ทำชั่ว).

ความคิดเป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ เมื่อคิดชั่ว ย่อมพูดชั่วและทำชั่ว

จิตใจจึงไม่บริสุทธิ์ เป็นทุกข์ ไม่ผ่องใส ไม่สงบ และไม่มีความสุข.

ขณะคิดชั่ว พูดชั่ว หรือทำชั่วอยู่นั้น บางคนไม่รู้ตัวเองว่า กำลังมีความทุกข์ ก็เพราะขาดสติปัญญาทางธรรม เช่น ขณะโจรคิดปล้นทรัพย์(ด้วยความโลภ)จะเป็นทุกข์มาก แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นทุกข์ จึงต้องไปปล้นเพื่อลดความทุกข์ของตนเอง. ครั้นเจ้าทรัพย์ขัดขืน ก็เป็นทุกข์มากทันที จึงอาจทำร้ายเจ้าทรัพย์(ด้วยความโกรธ)เพื่อลดความทุกข์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เป็นต้น.

คนที่โกงกินเป็นบุคคลที่ขาดสติปัญญาทางธรรมเช่นเดียวกันกับโจร แต่จะเลวร้ายกว่าโจรมากมาย เพราะสามารถโกงกินองค์กรที่ตนประกอบอาชีพ หรือโกงกินชาติบ้านเมืองของตนเองได้.

ความฝันเกิดจากสมองคิดปรุงแต่งเป็นมโนภาพหรือภาพทางใจ เพราะขณะนั้นขาดสติในการควบคุมความคิด จึงเกิดการคิดปรุงแต่งเป็นมโนภาพไปตามเหตุปัจจัย. ดังนั้น เมื่อฝันไม่ดี(ฝันด้วยกิเลสหรือฝันชั่ว) ก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ได้เช่นกัน บางคนเก็บเอาความฝันที่ไม่ดีมาคิดปรุงแต่งต่อไปอีก จึงเป็นทุกข์ ๒ ต่อ และบางคนต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อแก้ฝันอีก จึงเป็นทุกข์ ๓ ต่อก็มี.

เมื่อคิดดีย่อมทำดี

ความคิดเป็นหัวหน้าใหญ่ ดังนั้น เมื่อคิดดีย่อมทำดีและเป็นสุข ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า “ใจ(ความคิด*)มาก่อนทุกสิ่ง ใจ(ความคิด*)ประเสริฐสุด ทุกอย่างสำเร็จจากใจ(ความคิด*) หากใจ(คิด*)ดีเสียแล้ว จะพูดหรือจะทำ ก็พลอยดีไปด้วย เมื่อพูดดีทำดีไว้แล้ว ก็จะมีแต่สุขติดตามตัวไป เหมือนกับเงาติดตามตัว” (พระธรรมบท หน้า ๓ น.อ.ทองใบ หงษ์เวียงจันทร์).๑๒

การคิดดีย่อมทำให้เกิดการกระทำต่าง ๆ ที่ดีด้วย เป็นความจริงที่ทุกท่านสามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้จากประสบการณ์ตรงของตนเอง.

เมื่อไม่คิดชั่ว จิตใจจึงบริสุทธิ์และไม่ทุกข์

เมื่อคิดดี จิตใจจึงผ่องใสและมีความสุข

เมื่อไม่คิดชั่ว แต่คิดดี จิตใจจึงบริสุทธิ์ ไม่ทุกข์ ผ่องใส สงบ และมีความสุข

หลักธรรมง่าย ๆ แต่สำคัญมากสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน คือ อย่าคิดไม่ดีและทำไม่ดีเพื่อจิตใจจะได้บริสุทธิ์ แต่ให้คิดดีและทำดีเพื่อจิตใจจะได้ผ่องใส ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์(โอวาทปาฏิโมกข์).

กิเลสทำให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

พระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องกิเลสที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ก่อนสัมโพธิการ(ก่อนการตรัสรู้*)….เมื่อเราไม่ประมาท มีความเพียร….(ศึกษาพระทัย*)…. เราก็(มีสติ*)รู้ชัดว่า : เราเกิดกามวิตก(เกิดการคิดด้วยความโลภในกามคุณ*)ขึ้นแล้ว ก็แหละ กามวิตกนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง….ผู้อื่นบ้าง….ทำให้ปัญญาดับ(มีอวิชชาครอบงำ*) จัดว่าเป็นพวกสิ่งบีบคั้น(เป็นทุกข์*) ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน”…. “เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า มันเป็นไปเพื่อเบียดเบียน….ไม่เป็นไปเพื่อนิพพานก็ดี กามวิตกนั้นก็สลายตัวไป(ความโลภก็ดับ*)….”. “….(เมื่อ)*เกิดมีพยาบาทวิตกเกิดขึ้น(คิดด้วยความโกรธ*)….เราก็รู้ชัด จึงละ…พยาบาทวิตก(ความโกรธก็ดับ*)” (พุทธธรรม หน้า ๗๕๕ ป.อ. ปยุตโต).๑๓

การที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องการพิจารณาธรรมของพระองค์ในช่วงเวลาก่อนการตรัสรู้เช่นนี้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า เมื่อพระองค์คิดด้วยกิเลส(โลภ โกรธ เพราะมีความหลง) ทำให้เกิดการเบียดเบียนตนเอง หรือผู้อื่น หรือเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น จึงทำให้เกิดความทุกข์ และไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน.

ดังนั้น ความโลภและความโกรธเป็นความคิดที่ทำให้เกิดการเบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่น และเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ที่มากกว่าปกติ.

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงมีความรู้ในเรื่องความโลภและความโกรธ จึงทำให้ไม่ทรงคิดด้วยความโลภและความโกรธอีกต่อไป. การที่ทรงใช้พระสติปัญญาศึกษาจากพระประสบการณ์ตรงของพระองค์เช่นนี้ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔.

ท่านผู้อ่านก็ควรพิจารณาธรรมตามรูปแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าไว้ ซึ่งมีหลักการและวิธีการที่ง่าย ๆ ตรงประเด็น เพื่อให้เกิดสติปัญญาทางธรรมได้โดยง่าย.

กิเลสคือรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง

เรื่องของเชื้อโรคทางร่างกายนั้น มีมากมายจนเรียนไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่เรื่องของเชื้อโรคทางจิตใจนั้น มีเพียง ๓ ตัว คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง. เพื่อช่วยให้ท่านเข้าใจได้โดยง่าย จึงอธิบายเรื่องความโกรธก่อน.

ความโกรธ คือ ความไม่พอใจมาก ซึ่งเป็นความไม่พอใจที่เกินความพอเหมาะพอควร จนเกิดการเบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่นมาก และทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจมากกว่าปกติ ซึ่งไม่ใช่ทางสายกลางของชีวิต.

คนปกติทุกคนต้องมีความไม่พอใจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ความไม่พอใจจะไม่เกิดขึ้นในขณะหลับสนิท เพราะขณะหลับสนิทไม่มีการคิด ขอยืนยันว่า ความไม่พอใจจะเกิดต่อเมื่อมีการคิด.

ความไม่พอใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้มีความทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของชีวิตที่เกิดขึ้นคล้ายอัตโนมัติ และเป็นทางสายกลางของชีวิตด้วย.

การคิดไม่พอใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้เกิดความไม่พอใจมาก(ความโกรธ)ในเรื่องนั้น ๆ.

การคิดด้วยความไม่พอใจมาก(ความโกรธ)ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้เกิดความทะยานอยาก(ตัณหา)ที่จะให้เป็นไปตามความโกรธนั้น ๆ.

การคิดด้วยความทะยานอยาก(ตัณหา)ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน)ที่จะให้เป็นไปตามความโกรธนั้น ๆ.

ขณะที่มีความทะยานอยาก หรือมีความยึดมั่นถือมั่นที่จะให้เป็นไปตามความโกรธนั้น ๆ จะทำให้เกิดการดิ้นรนและบีบคั้นจิตใจมาก เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์และเกิดการกระทำด้วยความโกรธ. เพื่อลดความบีบคั้นและความทุกข์นั้น จึงเกิดการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น รวมทั้งมีความทุกข์มากขึ้นอีก ซึ่งไม่ใช่ทางสายกลางของชีวิต.

โดยทั่วไป จะไม่นิยมใช้คำว่า ตัณหาและอุปาทานในเรื่องของความโกรธ คงมีการใช้คำง่าย ๆ ที่สื่อความหมายตรง เช่น ขัดเคือง คิดร้าย โกรธ แค้นเคือง พยาบาท เป็นต้น. ในที่นี้ ผู้เขียนนำเสนอเรื่องตัณหาและอุปาทานที่เกิดจากความโกรธตามรูปแบบกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส(ปฏิจจสมุปบาท) ซึ่งท่านจะได้ศึกษาต่อไป.

เมื่อคิดด้วยความโกรธซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเกิดความทะยานอยาก(ตัณหา) เกิดความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน)ที่จะให้เป็นไปตามความโกรธนั้น ๆ และมีความทุกข์มากกว่าปกติ.

เมื่อไม่คิดด้วยความโกรธ จะไม่เกิดความทะยานอยาก ไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่น และไม่มีความทุกข์.

สรุป: การคิดไม่พอใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเรื่องปกติ แต่การคิดไม่พอใจซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเกิดความไม่พอใจมากที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความคิดที่ไม่พอใจนั้น ๆ เรียกว่า มีความโกรธ.

ความโลภ คือ ความอยากมาก ซึ่งเป็นความอยากที่เกินความพอเหมาะพอควร จนเบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่น และทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจมากกว่าปกติ ซึ่งไม่ใช่ทางสายกลางของชีวิต.

ขยายความสำหรับนักวิชาการ: คนปกติทุกคนต้องมีความอยากหรือไม่อยากด้วยกันทั้งสิ้น ความอยากและไม่อยากจะไม่เกิดขึ้นในขณะหลับสนิท เพราะขณะหลับสนิทไม่มีการคิด. ดังนั้น “ความอยากและไม่อยาก” จะเกิดขึ้น “เมื่อมีการคิด”.

ตามพจนานุกรมบาลี-ไทย คำว่า โลภ แปลเป็นภาษาไทยว่า ความอยากหรือความดิ้นรน. เมื่อรวมความหมายของคำว่า “ความอยากและความดิ้นรน” เข้าด้วยกัน คำว่า “โลภ” จึงควรแปลว่า “ความอยากมาก” เพราะเมื่ออยากมาก ก็จะเกิดการดิ้นรนหรือบีบคั้นจิตใจให้เป็นทุกข์มาก และทำให้เกิดการเบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่นมาก.

คนที่มีพื้นนิสัยโลภในการเสพกามคุณ(ราคจริต) โกรธง่าย(โทสจริต) หลงงมงาย(โมหจริต) น้อมใจเชื่อโดยง่าย(สัทธาจริต) ชอบคิดฟุ้งซ่าน(วิตกจริต) เมื่อได้มาศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้อง ก็จะสามารถปรับเปลี่ยนพื้นนิสัย(จริต) ให้มาดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐตามโอวาทปาฏิโมกข์ได้เช่นกัน.

คนที่ขาดความอยากกลับกลายเป็นเรื่องที่ผิดปกติ เช่น คนที่เป็นโรคซึมเศร้า ท้อแท้ เบื่อหน่าย โรคจิต สมองเสื่อม สมองพิการ กำลังหมดสติ เป็นต้น.

ธรรมชาติของสัตว์โลก จะต้องมีการพึ่งพาและเบียดเบียนกันอยู่เสมอไม่มากก็น้อย. การไม่มีความโลภจะทำให้การเบียดเบียนลดลงหรือหมดไปตามความเหมาะสมและตามเหตุปัจจัยในขณะนั้น.

การมีความอยากหรือไม่อยากเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้เกิดความทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นคล้ายอัตโนมัติ และเป็นทางสายกลางของชีวิต.

การคิดอยากหรือไม่อยากในเรื่องใดเรื่องหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้เกิดความอยากที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความคิดอยากหรือไม่อยากในเรื่องนั้น ๆ. (โปรดอ่านซ้ำอีกครั้ง และแยกข้อความที่ว่า “คิดอยากและไม่อยาก” ออกจากคำว่า “ความอยาก” ให้ได้เสียก่อน จึงค่อยอ่านต่อ เพราะตรงนี้สับสนได้โดยง่าย).

การคิดด้วยความอยากหรือไม่อยากซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้เกิดความอยากมาก(ความโลภ)ที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความอยากหรือไม่อยากนั้น ๆ.

การคิดด้วยความอยากมาก(ความโลภ)ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้เกิดความอยากมาก ๆ หรือความทะยานอยาก(ตัณหา)ที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความโลภนั้น ๆ.

การคิดด้วยความทะยานอยาก(ตัณหา)ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเกิดความยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน) ที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความโลภนั้น ๆ.

เมื่อคิดด้วยความโลภซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเกิดตัณหาและอุปาทาน

ที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความโลภนั้น ๆ และมีความทุกข์มากกว่าปกติ.

เมื่อไม่คิดด้วยความโลภ จะไม่เกิดตัณหาและอุปาทาน จึงทำให้ไม่เกิดความทุกข์.

ขณะที่มีความอยากมาก หรือมีความทะยานอยาก หรือมีความยึดมั่นถือมั่น จะเกิดการดิ้นรนและบีบคั้นมากที่จะให้ได้มาตามความอยากนั้น ๆ จึงเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์มาก.

ขณะมีความทุกข์มาก จะบีบคั้นและเร่งรัดให้หาหนทางที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความอยากนั้น ๆ จนถึงขั้นต้องเบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่นได้โดยง่าย.

ข้อมูลด้านความโลภมีอยู่ในความจำของทุกคน เมื่อไม่คิดด้วยความโลภ ความโลภก็จะไม่เกิดขึ้น.

สรุป: การคิดอยากหรือไม่อยากเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเรื่องปกติ แต่การคิดอยากและไม่อยากซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้เกิดความอยากมากที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความคิดอยากหรือไม่อยากนั้น ๆ เรียกว่า มีความโลภ.

เมื่อคิดด้วยกิเลส(คิดด้วยความโลภหรือความโกรธ) จะเกิดตัณหาและอุปาทาน ที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความคิดที่เป็นกิเลสนั้น ๆ เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ แต่เมื่อไม่คิดด้วยกิเลส ก็จะไม่เกิดความทุกข์.

 

ความหลง คือ การไม่มีความรู้ในอริยสัจ ๔ และไม่สามารถปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง. ความหมายดังกล่าวเป็นความหมายในพระพุทธศาสนา.

ความหลง โมหะ และอวิชชา มีความหมายเดียวกัน.

ถ้ามีความหลงมาก(มีโมหะหรือมีอวิชชามาก) ย่อมมีการคิดด้วยกิเลสมาก.

ถ้ามีความหลงน้อย ย่อมมีการคิดด้วยกิเลสน้อยลง.

ถ้าความหลงหมดไป ย่อมไม่มีการคิดด้วยกิเลส(ไม่คิดด้วยความโลภและความโกรธ)อย่างต่อเนื่อง นั่นคือภาวะจิตใจของพระอรหันต์.

การจะดับความหลง(ดับอวิชชา)ให้หมดสิ้นนั้น ต้องมีความรู้ ในอริยสัจ ๔ พร้อมทั้งสามารถ ปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง.

ความโลภและความโกรธต่อยอดได้ง่ายแต่ลดยอดได้ยาก

เมื่อคิดด้วยความโลภหรือความโกรธ จะมีความรู้สึกเป็นทุกข์เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน สมองก็จะจดจำความคิดและความรู้สึกดังกล่าวไว้ได้.

เมื่อคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก รวมทั้งคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม สมองจะใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิเลสที่มีอยู่ในความจำมาใช้ประกอบการคิดด้วย จึงเป็นผลให้ความโลภ ความโกรธ และความทุกข์ มีความรุนแรงมากขึ้น ขณะเดียวกัน สมองก็จะจดจำเรื่องความโลภ ความโกรธ และความทุกข์ไว้ได้มากยิ่งขึ้น.

ทั้งความคิด ความจำ และความรู้สึกเป็นทุกข์ จึงมีการต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งท่านสามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ด้วยประสบการณ์ตรงของตนเอง.

ความโลภและความโกรธจึงเป็นได้ทั้งความคิด(สังขาร) ความรู้สึก(เวทนา) ความจำ(สัญญา) ที่สามารถรู้เห็นได้ทางใจ(วิญญาณ).

ยิ่งมีการลงมือทำตามความคิดที่เป็นกิเลสเป็นประจำ จะยิ่งเกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านกิเลสในความจำมากขึ้นจนเป็นนิสัยประจำตัว หรือกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกิเลส เช่น คนที่ชอบแทงหวยเป็นประจำ ก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องหวย คนที่ชอบโกรธเป็นประจำ ก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องโกรธ. ดังนั้น เมื่อมีอะไรไม่พอใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มักจะโกรธได้ง่าย เพราะมีข้อมูลความโกรธอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก คนที่ชอบติเตียนคนอื่นอยู่เสมอ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการนินทา คนที่ชอบสั่งสอนโดยไม่เลือกเวลา จะกลายเป็นคนเชี่ยวชาญในการบ่น เป็นต้น.

เมื่อคิดด้วยความโลภหรือความโกรธ(กิเลส)ซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเกิดการต่อยอดทางความคิด ความรู้สึกเป็นทุกข์ และความจำด้านกิเลส จนกลายเป็นความทะยานอยาก และความยึดมั่นถือมั่นที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความโลภหรือความโกรธนั้น ๆ และมีความทุกข์เกิดขึ้นด้วย.

การลดข้อมูลความโลภและความโกรธในความจำ ทำได้โดยการมีสติควบคุมความคิด ไม่ให้คิดด้วยกิเลสอย่างต่อเนื่อง. เมื่อไม่คิดด้วยกิเลสได้อย่างต่อเนื่องตามสมควร ข้อมูลด้านกิเลสในความจำก็จะลดลง และความเชี่ยวชาญด้านกิเลสก็จะลดลงไปด้วย.

ที่ต้องระวังก็คือ สมองจะจดจำกิเลสไว้ได้ดี จำได้รวดเร็ว และมักจำได้นานกว่าเรื่องอื่นเสียด้วย จึงต้องระมัดระวังตนเองในเรื่องนี้ให้มากขึ้น โดยพยายามมีสติอย่างต่อเนื่องที่จะไม่คิดด้วยกิเลสแม้แต่นิดเดียว และทันทีที่มีสติรู้เห็นว่า มีการคิดด้วยกิเลสเกิดขึ้น ก็หยุดคิดทันที อย่าปล่อยโอกาสให้มีการคิดด้วยกิเลสต่อไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว.

ความหลงเป็นหัวหน้าใหญ่ของกิเลส

เมื่อไม่มีความรู้แจ้งชัดในอริยสัจ ๔ และไม่สามารถปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง จึงไม่สามารถควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้ เป็นผลให้คิดด้วยความโลภและความโกรธ.

ความหลง(อวิชชา) ----> ความโลภ ----> ความโกรธ

การจะดับความโลภและความโกรธได้นั้น ต้องมีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลส.

การจะมีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้นั้น ต้องดับความหลง.

การจะดับความหลงให้หมดสิ้นได้นั้น ต้องศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่องด้วย.

ความสำคัญสูงสุดในการบรรลุธรรม คือ ต้องดับความหลง(อวิชชา)ให้หมดไป จะได้ไม่คิดชั่วและไม่ทำชั่ว เพื่อทำให้จิตบริสุทธิ์(เป็นพรหมจรรย์) แต่ให้คิดดีและทำดี เพื่อทำจิตของตนให้ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

เมื่อดับความหลงได้ ความโลภและความโกรธก็จะดับไปด้วย การจะดับความโลภและความโกรธให้หมดสิ้น จึงต้องดับที่ความหลง(ดับอวิชชา)ให้หมดสิ้น หรือดับกิเลสให้หมดสิ้น นี่คือเป้าหมายหลักในพระพุทธศาสนา.

ความไม่ประมาท

พระพุทธเจ้าทรงตักเตือนไม่ให้ประมาทโดยตรัสสอนว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรสร้างอัปปมาท คือ รักษาใจด้วยสติ โดยตนเอง ในฐานะ ๔ คือ

๑. ….จิตของเรา อย่าติดใจในธรรมที่ชวนให้เกิดความติดใจ(อย่าโลภ*)

๒. ….จิตของเรา อย่าขัดเคืองในธรรมที่ชวนให้เกิดความขัดเคือง(อย่าโกรธ*)

๓. ….จิตของเรา อย่าหลงในธรรมที่ชวนให้เกิดความหลง(อย่าหลง*)

๔. ….จิตของเรา อย่ามัวเมาในธรรมที่ชวนให้เกิดความมัวเมา(อย่ามัวเมา*)

เมื่อจิตของภิกษุ ไม่ติดใจในธรรมที่ชวนให้เกิดความติดใจ….เพราะปราศจากราคะแล้ว(ไม่โลภ*) ไม่ขัดเคือง(ไม่โกรธ*)….ไม่หลง….ไม่มัวเมา เธอย่อมไม่หวาดเสียว ไม่หวั่นไหว ไม่ครั่นคร้าม ไม่สะดุ้ง และไม่(ต้อง)เชื่อถือแม้แต่ถ้อยคำของสมณะ” (พุทธธรรม หน้า ๘๐๖ ป.อ.ปยุตโต).๑๔

การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงว่า พระองค์ทรงห่วงใยภิกษุทั้งหลาย จึงทรงเร่งรัดให้มีสติดูแลจิตใจให้บริสุทธิ์ คือ ไม่คิดด้วยกิเลส(ไม่โลภ โกรธ หลง) และทรงสำทับว่า อย่าเพลิดเพลินหรือมัวเมาในเรื่องต่าง ๆ จนเกิดความประมาท.

ขณะเดียวกัน ทรงชี้ให้เห็นประโยชน์ของการดับกิเลสและไม่มัวเมาในเรื่องต่าง ๆ ไว้ว่า จะไม่ทำให้กลัว ไม่หวั่นไหว ซึ่งเป็นเรื่องของการดับกิเลสและกองทุกข์ ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะสามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องหลงเชื่อผู้อื่น และทรงให้รีบดับกิเลสและความมัวเมาต่าง ๆ จนหมดสิ้นในชีวิตปัจจุบัน.

ท่านผู้อ่านโปรดอย่าประมาท จงมีความเพียรในการมีสติรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

อย่าเพิ่งรีบใช้วิชาวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันมาประกอบการพิจารณา

ขณะเริ่มต้นศึกษาเรื่องกระบวนการทางใจที่เป็นกิเลส ท่านควรพยายามฝึกคิดและพิจารณาตามรูปแบบของคนในสมัยพุทธกาล ด้วยการศึกษากระบวนการทางจิตใจทั่วไปที่ไม่เป็นกิเลสของตนเองอย่างเป็นขั้นตอน จะทำให้สามารถเข้าใจเนื้อหาของกระบวนการทางจิตใจที่เป็นกิเลสได้โดยง่ายและตรงประเด็น.

ท่านไม่ควรคิดและพิจารณาอริยสัจ ๔ อย่างละเอียดแบบตัวเลข อย่าคิดแบบวิทยาศาสตร์ด้านวัตถุ อย่าคิดแบบวิชาแพทย์ในยุคปัจจุบัน เพราะท่านอาจคิดลึกซึ้งมากเกินไปจนกลายเป็นเรื่องยากมาก.

ที่จริงแล้ว อริยสัจ ๔ เป็นเรื่องของจิตวิทยาและจิตเวชในสมัยพุทธกาลที่ง่ายและตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นวิชาที่ทำให้คนพ้นความทุกข์โดยการพัฒนาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส หรือเป็นบุคคลที่ประเสริฐ(อริยบุคคล)ในระดับต่าง ๆ ซึ่งเป็นรูปแบบที่ง่าย ๆ แต่มีคุณค่าต่อมวลมนุษย์อย่างมหาศาล.

การคิดตามแบบวิชาจิตวิทยาและวิชาแพทย์ในยุคปัจจุบันอย่างละเอียด จะทำให้ท่านเข้าใจความหมายของหัวข้อธรรม(องค์ธรรม)ต่าง ๆ ผิดพลาดและสับสนได้โดยง่าย เพราะความหมายของหัวข้อธรรมต่าง ๆ นั้น เป็นความหมายในสมัยพุทธกาล.

การที่อริยสัจ ๔ กลายเป็นเรื่องยากมาก ๆ สำหรับบางคน เพราะมีการคิดลึกซึ้ง คิดมากมาย คิดเกินความจำเป็น คิดออกไปนอกประเด็น คิดด้วยความหลงเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคิดไกลไปถึงขั้นข้ามภพข้ามชาติที่มีเงื่อนงำมาก สัมผัสไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้ และพิสูจน์ไม่ได้.

เมื่อท่านเข้าใจความหมายของหัวข้อธรรม(องค์ธรรม)ต่าง ๆ ในอริยสัจ ๔ โดยใช้สติปัญญาของท่านตรวจสอบและพิสูจน์กับข้อเท็จจริงด้วยประสบการณ์ตรงของตนเองในชีวิตปัจจุบัน. ท่านจะรู้เห็นอย่างแจ้งชัดว่า อริยสัจ ๔ เป็นความจริงที่ประเสริฐ และเป็นเรื่องง่าย เปิดเผย ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ ให้เกิดความสงสัยแต่ประการใด.

การศึกษาปฏิจจสมุปบาทต้องตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเอง

ในยุคปัจจุบัน หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนของในกระเป๋าที่เราไม่ได้เปิดดูว่ามี(มีเนื้อหา)อะไรอยู่ข้างใน. ครั้นมีคนมาบอกว่า ของในกระเป๋าเป็นอะไร(พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าอย่างไร)ก็เชื่อ แต่ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าตรัสสอนโดยสรุปว่า ให้ศึกษา ตรวจสอบ และพิสูจน์ด้วยตนเอง เป็นการพึ่งตนเองโดยไม่ต้องหลงเชื่อผู้อื่น นั่นคือ ท่านควรศึกษาพุทธพจน์ที่คัดสำเนามาจากพระไตรปิฎกหรือศึกษาพระไตรปิฎกด้วยตนเอง(เปิดกระเป๋าดูด้วยตาหรือคลำช้างด้วยตนเอง) พร้อมทั้งตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่าง ๆ กับจิตใจของตนเองด้วยประสบการณ์ตรง จะได้เกิดความรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริง(เกิดญาณ=เกิดปัญญาทางธรรม).

การหลงเชื่อคำบอกเล่าของผู้อื่นว่า พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ๆ โดยไม่ได้ตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเอง อาจเกิดการผิดพลาดที่ทำให้ท่านเสียโอกาสไปได้.

ความหลงเชื่อและความยึดมั่นถือมั่น(มีอุปาทาน)ตามความเข้าใจของบุคคลที่ตั้งตัวเป็นผู้สอนธรรม จึงมักเกิดการแตกแยกทางความคิด จนเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสายและนิกายต่าง ๆ ขึ้นมากมายในพระพุทธศาสนา.

อย่าด่วนปฏิเสธและอย่าตำหนิผู้อื่นที่ใช้ความหลงเชื่อ

มีเนื้อหาเป็นจำนวนมากมายในพระไตรปิฎกที่ผู้อ่านบางคนไม่สามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ เพราะสติปัญญาอาจไม่เพียงพอ. ดังนั้น ส่วนไหนของเนื้อหาที่ท่านยังตรวจสอบและพิสูจน์ไม่ได้ ก็ควรรับทราบ แล้วหาทางในการตรวจสอบและพิสูจน์ต่อไปตามความเหมาะสม ไม่ควรด่วนปฏิเสธ และในขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรตำหนิผู้อื่นที่มีความหลงเชื่อเป็นอันขาด.

ท่านควรหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความหลงเชื่อหรือเรื่องที่ท่านยังตรวจสอบและพิสูจน์ไม่ได้ เพราะอาจจะทำให้เกิดการขัดแย้งทางความคิดได้โดยง่าย. วิธีหลีกเลี่ยงง่าย ๆ คือ การยอมรับตามความจริงว่า ท่านเองก็ยังไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะพูดคุย หรือยังศึกษาอยู่ หรือยังไม่มีความสามารถพอที่จะตรวจสอบและพิสูจน์เรื่องนี้ได้ จึงของดไว้ก่อน.

ปฏิจจสมุปบาทไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเวรกรรม

พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องกรรมในอดีตว่า “ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี….“สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี….เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำ….ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา….” (พุทธธรรม หน้า ๒๐๖ ป.อ.ปยุตโต).๑๕ การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า การยึดถือเรื่องกรรมในอดีตโดยไม่ศึกษาและไม่ฝึกปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน ก็เท่ากับมีความหลง(มีอวิชชา) เพราะไม่มีสติปัญญาทางธรรมในการรักษาตนเองให้พ้นทุกข์.

การใช้หนี้เวรหนี้กรรม ด้วยการทำบุญ ทำทาน สะเดาะเคราะห์ ปล่อยสัตว์ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร อาจช่วยให้รู้สึกสบายใจชั่วคราว แต่ถ้าไม่ศึกษาอริยสัจ ๔ และไม่ฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง ย่อมไม่พ้นทุกข์อย่างแท้จริง เพราะไม่มีสติปัญญาทางธรรมในการควบคุมความคิดของตนเองให้ห่างไกลจากกิเลสและกองทุกข์ได้.

กระบวนการทางใจที่เป็นกิเลสไม่ใช่เรื่องของเวรกรรมในอดีตที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ แต่เป็นเรื่องของการมีความหลง(มีอวิชชา) จึงทำให้ไม่สามารถมีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยกิเลสได้ต่างหาก.

ปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องของจิตใจ

พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องโรคทางใจไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย โรคมี ๒ ชนิดดังนี้ คือ โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ สัตว์ทั้งหลายที่ยืนยันได้ว่า….ตนไม่มีโรคทางกายเลยตลอดเวลา ๒ ปี….๑๐๐ ปี ก็มีปรากฏอยู่ แต่สัตว์ที่ยืนยันได้ว่า ตนไม่เป็นโรคทางใจเลย แม้เวลาเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น หาได้ยากในโลก ยกเว้นแต่พระขีณาสพ(ผู้สิ้นอาสวะแล้ว)ทั้งหลาย(หรือพระอรหันต์*)” (พุทธธรรม หน้า ๘๑๘ ป.อ.ปยุตโต).๑๖

การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้น สามารถพ้นจากโรคทางใจได้ คือ ไม่มีความทุกข์ด้วยกิเลส. ดังนั้น กระบวนการทางใจที่เป็นกิเลสจึงเป็นเรื่องของจิตใจเท่านั้น และไม่ควรเอาเรื่องทางร่างกายมาประกอบการพิจารณา เพราะถ้าเอาเรื่องทางกายมาประกอบการพิจารณา ก็จะทำให้ตรวจสอบและพิสูจน์ไม่ได้ อีกทั้งยังทำให้สับสนด้วย.

ความทุกข์ทางร่างกาย ความแก่ ความเจ็บ และความตาย เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกันหมด พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน แต่พระองค์ทรงไม่มีความทุกข์ทางพระทัยด้วยกิเลสเลย เพราะได้ตรัสรู้เรื่องความทุกข์ทางจิตใจแล้ว.

พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระอานนท์ในเรื่องความทุกข์ทางพระวรกายและการปฏิบัติธรรมของพระองค์ว่า “อานนท์ บัดนี้ ตถาคตเจริญวัย อายุ ๘๐ ปีแล้ว กายตถาคตปรากฏวิปริตโดยอาการเห็นปานนี้ (เช่น*)อินทรีย์ทั้งหลาย มีจักขุเป็นต้น ก็วิกลแปรปรวน ไม่ปกติเหมือนแต่ก่อน ทุกประการ (และร่างกายนี้เปรียบ*)เหมือนเกวียนเก่าคร่ำคร่า อาศัยไม้ไผ่ผูกกระหนาบ คาบ ค้ำ อุปถัมภ์บำรุงไว้ ฉันใด กายตถาคต ก็ฉันนั้น เมื่อล่วงลุถึงวัยชรา อาศัยสมาธิภาวนาอุปถัมภ์บำรุงไว้ จึงค่อยพอเป็นไป” (พุทธประวัติทัศนศึกษา หน้า ๑๕๖ พระธรรมโกศาจารย์ - ชอบ อนุจารีเถระ).๑๗

มีคหบดีท่านหนึ่งชื่อกุลบิดา ได้เล่าให้พระสารีบุตรฟังว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนดังนี้ “….ถึงกายเราจะมีโรครุมเร้า แต่ใจเราจักไม่มีโรครุมเร้าเลย….” (พุทธธรรม หน้า ๘๑๙ ป.อ.ปยุตโต).๑๘

การตรัสสอนทั้ง ๒ ตอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พระวรกายของพระองค์นั้น ทรงมีความชรา โรคภัยไข้เจ็บ และความทุกข์เช่นเดียวกับคนทั่วไป แต่พระองค์ทรงไม่มีความทุกข์ทางพระทัยจากความคิดที่เป็นกิเลสอีกเลย เพราะทรงปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง.

ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของการดับกิเลสและความทุกข์ทางจิตใจในปัจจุบันขณะ ด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันของชาติปัจจุบันนี้เอง.

สวรรค์ในชาติหน้าไม่สำคัญเท่าความพ้นทุกข์ในชาติปัจจุบัน

พระพุทธเจ้าทรงเน้นเรื่องความพ้นทุกข์ในชาติปัจจุบัน โดยตรัสสอนว่า “….อริยสาวกนั้น ผู้มีจิตปราศจากเวร…ปราศจากความเบียดเบียน…ไม่เศร้าหมอง…มีจิตบริสุทธิ์…ย่อมได้ประสบความอุ่นใจ(ว่า*)”….“ถ้าปรโลกมีจริง…(เมื่อตายแล้ว*)จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”. “ถ้าปรโลกไม่มี เราก็ครองตนโดยไม่มีทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขอยู่แต่ในชาติปัจจุบันนี้แล้ว”…. (พุทธธรรม หน้า ๖๕๑-๒ ป.อ.ปยุตโต).๑๙ การตรัสสอนเช่นนี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า สาวกที่ประเสริฐ(สาวกที่มีความรู้ในอริยสัจ ๔ ) ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส ก็ควรมีความอุ่นใจได้ เพราะถ้าชาติหน้ามีจริง เมื่อตายแล้วย่อมจะไปเกิดในสวรรค์ แต่ถ้าชาติหน้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะจะดูแลจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส และไม่มีความทุกข์ตั้งแต่ชาติปัจจุบันนี้แล้ว.

พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของการพัฒนาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสในปัจจุบันขณะ ในปัจจุบันชาติ และเป็นปัจจุบันธรรม.

เรื่องชาติหน้าจะมีหรือไม่มีนั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะความบริสุทธิ์ผ่องใสแห่งจิตใจและความพ้นทุกข์(นิโรธหรือนิพพาน)นั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีความรู้ในอริยสัจ ๔ และสามารถปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่องในปัจจุบันขณะ.

สำหรับท่านที่มีความเชื่อเรื่องชาติหน้าก็ไม่เป็นไร แต่ควรศึกษาอริยสัจ ๔ และฝึกปฏิบัติธรรมตามมรรคมีองค์ ๘ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง เพื่อจะได้ดับกิเลสและกองทุกข์ในปัจจุบันขณะของชาติปัจจุบันนี้ให้หมดไปอย่างต่อเนื่อง.

ขอเน้นว่า พระอรหันต์ทุก ๆ องค์ และพระพุทธเจ้าได้ดับกิเลสและกองทุกข์ รวมทั้งเข้าถึงภาวะนิพพานในชาติปัจจุบันของแต่ละองค์. ดังนั้น ท่านจึงไม่ควรเลยที่จะต้องรอความพ้นทุกข์หรือนิพพานชาติหน้าแต่ประการใด.

ปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องของปัจจุบันธรรม

พระพุทธเจ้าตรัสสอนหัวหน้าหมู่บ้านชื่อคันธภักในเรื่องของปัจจุบันธรรมว่า “….ท่านนายบ้าน ถ้าเราแสดงความเกิดขึ้นและความอัสดง(ปฏิจจสมุปบาท*)แห่งทุกข์แก่ท่านโดยอ้างกาลส่วนอดีตว่า ‘ในอดีตกาล ได้มีมาอย่างนี้’….(หรือ*)อ้างกาลส่วนอนาคตว่า ‘ในกาลอนาคต จักเป็นอย่างนี้’ ความสงสัย ความเคลือบแคลง ก็จะมีแก่ท่านในข้อนั้นได้อีก ก็แล ท่านนายบ้าน เรานั่งอยู่ที่นี่แหละ จักแสดงความเกิดขึ้นและอัสดงแห่งทุกข์แก่ท่าน ผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้เหมือนกัน” (พุทธธรรม หน้า ๑๐๘ ป.อ.ปยุตโต).๒๐

การตรัสสอนเช่นนี้ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่อง ความทุกข์ การเกิดและดับไปของความทุกข์(ปฏิจจสมุปบาท) ที่เกิดขึ้นในชีวิตปัจจุบัน(ชาติปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเรื่องที่ง่าย เปิดเผยในสาธารณะ รู้เห็นได้ สัมผัสได้ ตรวจสอบและพิสูจน์ได้ ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ และพระองค์ไม่ได้ตรัสสอนเรื่องอดีตหรืออนาคตชาติให้เกิดความสงสัยแต่ประการใด.

พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระอุทายีในทำนองเดียวกันว่า “ก็แล อุทายี เรื่องหนก่อน ก็งดไว้เถิด เรื่องหนหน้า ก็งดไว้เถิด เราจักแสดงตัวธรรมแก่ท่าน: เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ” (พุทธธรรม หน้า ๑๐๘ ป.อ.ปยุตโต).๒๑

การตรัสสอนเช่นนี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องสาเหตุที่ทำให้เกิดและดับของกิเลสและกองทุกข์(สอนปฏิจจสมุปบาท)ในชีวิตปัจจุบันนี่เอง.

สรุป

การคิดอกุศล คือ การคิดด้วยกิเลส ตัณหา หรืออุปาทาน.

การกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ มีความคิดเป็นหัวหน้าใหญ่. ดังนั้น ถ้าคิดอกุศล จิตใจก็จะไม่บริสุทธิ์เป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์(สมุทัย) ถ้าไม่คิดอกุศลและคิดแต่กุศล จิตใจก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส(นิโรธ).

การศึกษาปฏิจจสมุปบาทนั้น เป็นการศึกษาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจในชีวิตปัจจุบัน โดยใช้สติปัญญาของตนเองทำการตรวจสอบและพิสูจน์ผลของการฝึกปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน.

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องของจิตใจ. ดังนั้น ปฏิจจสมุปบาทจึงเป็นเรื่องของจิตใจเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของร่างกาย. ถ้าเอาเรื่องของร่างกายมาประกอบการพิจารณาด้วย ก็จะกลายเป็นเรื่องยาก และสับสนได้โดยง่าย.

 

๑. ความทุกข์(ทุกข์)

ความทุกข์ทางจิตใจเป็นปัญหาหลักที่ผลักดันให้เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชา เพื่อทรงศึกษาและค้นคว้า(ธรรมวิจัย)เรื่องของจิตใจที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์(ทุกข์) สาเหตุของความทุกข์(สมุทัย) ความดับทุกข์(นิโรธ) วิธีดับความทุกข์(มรรค).

ในการเผยแพร่ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ตรัสสอนเรื่องของความทุกข์และความดับทุกข์เท่านั้น และไม่ตรัสสอน(ไม่พยากรณ์)เรื่องอื่นใด ที่ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์* (สรุปจากพุทธธรรม หน้า ๘๙๔ ป.อ.ปยุตโต).๒๒ การตรัสสอนเช่นนี้เป็นเครื่องแสดงว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องอริยสัจ ๔ เพื่อการดับความทุกข์เท่านั้น และจะไม่ตรัสสอนเรื่องอื่นใดที่ไม่ใช่เรื่องของอริยสัจ ๔.

การศึกษาพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องนั้น จำเป็นจะต้องมีความรู้อย่างแจ้งชัดตามความเป็นจริงในเรื่องของความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเสียก่อน ซึ่งเป็นเรื่องของความทุกข์ทางจิตใจเป็นหลัก. สำหรับความทุกข์ทางร่างกายที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากความทุกข์ทางจิตใจโดยตรงนั้น อาจจะลดลงหรือหมดไปได้เมื่อความทุกข์ทางจิตใจลดลงหรือหมดไป.

คนที่ไม่มีความรู้และความสามารถทางธรรม ก็จะไม่สามารถดับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ เช่น นักพนัน โจรผู้ร้าย คนติดยา คนโกงกิน เป็นต้น เพราะคนเหล่านี้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมีความทุกข์มาก ไม่รู้ว่าสาเหตุของความทุกข์เกิดจากอะไร และไม่รู้วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อการดับความทุกข์ในชีวิตประจำวัน จึงตกอยู่ในกองทุกข์โดยไม่รู้ตัว.

การรู้จักเรื่องของความทุกข์ จะทำให้รู้ว่า ความทุกข์อะไรบ้างที่ดับได้ด้วยการฝึกปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน และสามารถประเมินผลการฝึกปฏิบัติธรรมว่า ความทุกข์อะไรบ้าง ที่ยังคงมีเหลืออยู่ หรือได้ดับไปแล้วมากน้อยเพียงใด.

ความทุกข์ทางจิตใจ

ความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และดับได้อย่างต่อเนื่องนั้น คือ ความทุกข์ในพระทัยของพระองค์เอง.

พระพุทธเจ้าทรงมีความทุกข์ทางพระวรกายเช่นเดียวกับความทุกข์ทางร่างกายของคนทั่วไป เช่น ทรงหนาว ร้อน หิว กระหาย อ่อนเพลีย เจ็บป่วย ชรา ปรินิพพาน(ตาย) แต่ทรงไม่มีความทุกข์ทางพระทัยด้วยความคิดที่เป็นกิเลสเลย เพราะทรงสามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดไม่ให้มีการคิดด้วยกิเลสได้อย่างต่อเนื่อง.

ส่วนความทุกข์ที่เกิดขึ้นทางพระวรกายที่สืบเนื่องมาจากความทุกข์ทางพระทัยนั้น ไม่เกิดขึ้นเพราะพระพุทธเจ้าไม่มีความทุกข์ทางพระทัยด้วยความคิดที่เป็นกิเลสอีกเลย.

ความทุกข์ในอริยสัจ ๔ คือ ความรู้สึกไม่สบายที่จิตใจและร่างกาย ซึ่งเกิดขึ้นจากการคิดด้วยกิเลสเท่านั้น สำหรับความทุกข์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการคิดด้วยกิเลส ไม่ใช่ความทุกข์ในพระพุทธศาสนา.

ความทุกข์ในอริยสัจ ๔ เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลด้านกิเลสที่มีอยู่ในความจำ(อาสวะ) มาประกอบการคิดและพิจารณาเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสเพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งอาจจะเป็นการตั้งใจคิด(คิดอย่างมีสติ) หรือเผลอสติไปคิด(คิดฟุ้งซ่าน)ก็ได้.

ความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนจำแนกออกเป็น ๕ กลุ่ม พอจะสรุปได้ดังนี้ :-

กลุ่มที่ ๑. ความเศร้าโศกใจ ความแห้งใจ(โสกะ). ความเศร้าโศกใจ ความแห้งใจ เป็นความทุกข์ภายในจิตใจที่รุนแรง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการผิดหวัง การสูญเสียทรัพย์สมบัติ การพลัดพรากจากบุคคลที่ตนรักมาก ๆ การเสื่อมของร่างกาย การเจ็บป่วยที่รุนแรง การพิการ จึงทำให้มีอาการของความทุกข์ภายในจิตใจ เช่น มีอาการเศร้าสร้อย ซึมเศร้า ห่อเหี่ยว ท้อแท้ เบื่อหน่าย เป็นต้น.

กลุ่มที่ ๒. ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน(ปริเทวะ). ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพรรณ เป็นความทุกข์ทางจิตใจที่มีการแสดงออกมาทางร่างกายและคำพูด เพราะมีความทุกข์ภายในจิตใจที่รุนแรงมาก จนมีการแสดงความทุกข์ออกมาภายนอก ซึ่งอาจมีสาเหตุเช่นเดียวกันกับความทุกข์กลุ่มที่ ๑.

กลุ่มที่ ๓. ความทุกข์ทางร่างกาย(ทุกข์)*. บางคนมีความทุกข์ทางจิตใจที่รุนแรง จนเป็นเหตุให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่วยขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะร่างกายและจิตใจมีการเชื่อมโยงกันโดยตรง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของมนุษย์ เช่น เมื่อมีความทุกข์ใจเกิดขึ้น ร่างกายอาจจะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อย ปวดศรีษะ คลื่นไส้ ปวดท้อง อาเจียน เป็นโรคกระเพาะอาหาร โรคลำไส้ ใจสั่น เป็นลม นอนไม่หลับ ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ผ่ายผอม ผมร่วง เครียด ความดันสูง โรคหัวใจ โรคภูมิแพ้ ความต้านทานลด ติดเชื้อ มะเร็ง เป็นต้น*.

กลุ่มที่ ๔. ความเสียใจ(โทมนัส). ความเสียใจเป็นความทุกข์ที่ไม่รุนแรง เช่น ความผิดคาด ผิดหวัง เสียหาย สูญเสีย การผิดนัด สอบตก โดนดุ โดนนินทา โดนกล่าวร้าย ขาดทุน ของชำรุด ของหาย ทวงหนี้ไม่ได้ เป็นต้น*.

กลุ่มที่ ๕. ความคับแค้นใจ ความอึดอัดใจ(อุปายาส). ความคับแค้น ความอึดอัด เป็นความทุกข์ภายในจิตใจ ซึ่งเป็นความทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับความโกรธ(โทสะ) เช่น ถูกเอาเปรียบ ถูกเหยียดหยาม ถูกรังแก ถูกบีบคั้นแล้วหาทางออกไม่ได้ รวมทั้งการที่ต้องเผชิญกับเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่ปรารถนา เป็นต้น*.

เมื่อตั้งใจพิจารณาเรื่องของความทุกข์ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในจิตใจของตนเอง รวมทั้งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็จะสามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า ความทุกข์ดังกล่าวนั้น มีสาเหตุมาจากความคิดที่เป็นกิเลส จะด้วยเจตนาคิด(ตั้งใจคิดหรือคิดอย่างมีสติ)หรือไม่ได้มีเจตนาคิด(คิดฟุ้งซ่านหรือคิดอย่างไม่มีสติ)ก็ตาม และความทุกข์ต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นความทุกข์ที่ท่านสามารถใช้วิชาความรู้ในพระพุทธศาสนา(อริยสัจ ๔ หรือวิชชา) ทำการดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

ทุกข์มีหลายความหมาย

ในการศึกษาพระพุทธศาสนานั้น บางคำมีความหมายได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับเนื้อหาในตอนนั้น ๆ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะภาษาบาลีมีจำกัด. ดังนั้น การจะตีความหมายได้อย่างถูกต้องนั้น ควรเข้าใจเรื่องอริยสัจ ๔ ตามสมควรเสียก่อน เช่น :-

ทุกข์ เมื่อเป็นองค์ประกอบของอริยสัจ ๔ หมายถึงความไม่สบายกายไม่สบายใจ โดยเน้นเรื่องใจ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้และตรัสสอนเรื่องของจิตใจเป็นหลัก.

ทุกข์ เมื่อเป็นองค์ประกอบของทุกข์ในอริยสัจ ๔ หมายถึงความทุกข์ทางร่างกายหรือความเจ็บป่วยของร่างกายที่เกิดขึ้นจากความทุกข์ทางจิตใจ.

ทุกข์ เมื่อเป็นองค์ประกอบของเวทนา หมายถึงความทุกข์ทางจิตใจ.

ทุกข์ เมื่อเป็นองค์ประกอบของไตรลักษณ์ หมายถึงความคงอยู่อย่างเดิมไม่ได้(มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย = ทุกขตา ซึ่งมีความหมายตรงกันข้ามกับอัตตา).

ทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการคิดด้วยกิเลส ถือว่าเป็นทางสายกลางของชีวิต จึงไม่จัดว่าเป็นความทุกข์ในพระพุทธศาสนา และไม่ต้องการธรรมในการบำบัดรักษาแต่ประการใด.

สรุป: ความทุกข์มี ๕ กลุ่ม คือ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส. ท่านควรจดจำหัวข้อธรรมทั้ง ๕ กลุ่มและความหมายได้เป็นอย่างดี เพื่อความคล่องตัวในการศึกษาอริยสัจ ๔ ต่อไป.

 

 

1