เครื่องวัดอารมณ์


        นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล  ที่ปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า เราเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง

สังโยชน์ ๑๐
    สังโยชน์ แปลว่ากิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่างคือ
    ๑. สักกายทิฎฐิ  มีความเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา
    ๒. วิจิกิจฉา สงสัยในผลการปฏิบัติว่า จะไม่มีผลจริงตามที่ฟังมา
    ๓. สีลัพพตปรามาส ถือศีลไม่จริงไม่จัง สักแต่ว่าถือตาม ๆ เขาไปอย่างนั้นเอง
            ถ้าตัดได้ ๓ ข้อนี้อย่างเด็ดขาด ท่านว่าได้บรรลุเป็นพระโสดา กับพระสกิทาคามี
    ๔. กามราคะ  ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และ อาการถูกต้องสัมผัส
    ๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งใจ ทำให้ไม่พอใจ อันนี้เป็นโทสะแบบเบา ๆ
            ถ้าตัดข้อ ๑ - ๕ ได้เด็ดขาด ท่านว่าบรรลุในพระอนาคามี
    ๖. รูปราคะ  พอใจในรูปธรรม คือความพอใจในวัตถุ หรือ รูปฌาน
    ๗. อรูปราคะ  พอใจในอรูป คือ เรื่องราวที่กล่าวถึง หรือ ในอรูปฌาน
    ๘. อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง
    ๙. มานะ ความถือตนโตความรู้สึกว่า เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา
    ๑๐. อวิชชา ความโง่ คือหลงพอใจในกามคุณ ๕ และกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ ที่ท่านเรียกว่า อุปทาน เป็นคุณธรรมฝ่ายทราม ที่ท่านเรียกว่า อวิชชา
            สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ ๑๐ อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผล
            

1