วิธีแก้ง่วง
ความง่วงเป็นศัตรูที่สำคัญต่อการทำสมาธิ
คอยตัดกำลังกาย กำลังใจ
และกำลังปัญญา
ทำให้ผู้ปฏิบัติตกอยู่ในความหนักหน่วง
ฟังธรรมไม่เข้าใจ
ไม่เห็นสภาวะกายใจ
ไม่รู้แจ้งเห็นธรรม
ยังจะทำให้อกุศลเจริญ
เสียประโยชน์ตนอย่างมากจึงควรรีบแก้ไข
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่พระโมคคัลลานะ
ขณะที่พระโมคคัลลานะได้ทำความเพียรนั่งโงกง่วงและ
เกิดความอ่อนใจอยู่ ณ
บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ
พระองค์จึงทรงแสดงวิธีแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะไว้หลายวิธีดังนี้
1. ให้นึกถึงสัญญาต่าง ๆ
2.
ให้ยกจิตขึ้นพิจารณาถึงธรรมที่เคยได้ฟังได้เรียนมา
3. ให้สาธยาย คือ
ท่องธรรมที่เคยได้ฟังได้เรียนมา
4. ให้เอามือยอนหู คือ ไชหูทั้ง 2
ข้าง หรือเอามือลูบตามตัว
5. ลุกขึ้นยืน เอาน้ำล้างหน้า
และเหลียวดูทิศต่าง ๆ แหงนดูดาว
6. ให้นึกถึงแสงสว่าง
คิดว่าอยู่กับความสว่าง
ทำใจให้เปิดเผยและเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง
7.
เดินจงกรมทำใจให้สำรวมมีจิตอยู่กับกายภายใน
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระโมคคัลลานะ
ซึ่งผู้ปฏิบัติควรปฏิบัติตามด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งจนกว่าจะหายง่วง
อุบายเพิ่มเติม
สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในความง่วงอยู่เสมอ
แก้ไม่หาย หรือไม่หายขาด
ความเพียรไม่ก้าวหน้า
เพียรครั้งใดก็ง่วงนอนครั้งนั้น
ถ้าไม่เพียรไม่ก้าวหน้า
เพียรครั้งใดก็ง่วงนอนครั้งนั้น
ถ้าไม่เพียรไม่ง่วง
แต่เมื่อทำความเพียรแล้ว
เกิดความง่วงก็ควรปฏิบัติดังนี้
1. สังเกตดูการบริโภคอาหารว่า
การบริโภคอาหารนั้นมากน้อยเพียงไร
ถ้าความง่วงเกิดจากการบริโภคมาก
ให้ผู้ปฏิบัติลดการบริโภคลง
เพื่อลดการเมาอาหาร
ให้บริโภคเพียงแค่มีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น
อย่าเห็นแก่รสอร่อยของอาหาร
ถ้าหากเห็นแก่รสของอาหารก็จะทำให้การเห็นธรรมนั้นเป็นไปโดยยาก
ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งสำหรับเรื่องการบริโภคก็คือ
หลังจากรับประทานอาหารอิ่มนั้น
ผู้ปฏิบัติส่วนมากมักจะไม่สามารถทำสมาธิได้
หรือทำได้ก็ได้น้อยมาก
เพราะหลังอาหารใหม่ ๆ
กายจะหนักและทำให้จิตหนักตามไปด้วย
จิตจะไม่ปลอดโปร่ง
ดังนั้นถ้ารู้ว่า
ความง่วงนี้เกิดจากการบริโภคอาหารมาก
ก็ควรลดการบริโภคลง
แต่อย่าให้น้อยจนถึงกับเกิดความทุกข์
ทำความเพียรไม่ได้ เพราะหมดแรง
หมดกำลังที่จะทำความเพียร
ควรบริโภคแต่พอดีกับความต้องการของตนเอง
2. สังเกตดูการทำความเพียรนั้น
ผู้ปฏิบัติบังคับจิตมากเกินไปหรือไม่
การบังคับจิตมากเกินไป
ทำให้จิตเกิดความเพลีย
ผู้ปฏิบัติก็จะต้องลดหย่อนการทำความเพียร
ลดการบังคับจิตลง
อย่าให้ตึงเกินไป
(การบังคับจิตมากจะมีผล 2
อย่างคือ ทำให้ฟุ้ง
เพราะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน
และถ้าไม่ฟุ้งก็ง่วง
เพราะจิตเกิดความอ่อนเพลีย)
ควรทำจิตให้สบาย ๆ ทำอะไรที่สบาย
ๆ ไว้ก่อน อย่างพึงร้อนใจ
ควรมองสิ่งที่อยู่รอบตัว
มองอากาศ ที่สดใส
หรือมองสิ่งที่มีสีเขียว เช่น
ต้นไม้ใบหญ้า
เพื่อให้จิตเกิดความสดใส
กระเตื้องตื่นตัว
ความง่วงประเภทนี้ส่วนมากมักจะเกิดกับผู้ชอบบริกรรมภาวนาต่าง
ๆ
เมื่อจิตถูกบังคับให้อยู่กับองค์บริกรรม
จึงทำให้เกิดความง่วง
ผู้ปฏิบัติควรเลิกบริกรรม
หันมาประคองจิตอยู่ที่กายหยาบแทนโดยทำความรู้สึกตัวไปตลอดตัว
หรือครั้งแรกจะทำความรู้สึกไว้ที่สะโพก
ที่สัมผัสกับพื้นเบื้องล่างก่อนก็ได้
ถ้ายืนก็ทำความรู้สึกที่ฝ่าเท้า
ไม่ต้องบริกรรม
ทำใจให้สบายไว้ก่อน
เมื่อผู้ปฏิบัติหันมาเพียรประคองตั้งจิต
ทำความรู้สึกอยู่ที่กายหยาบความง่วงก็จะบรรเทาลง
3. สังเกตดูว่าจิตนั้นคิดหรือไม่
ถ้าจิตสงบมากก็ทำให้เกิดความง่วงมากได้
เพราะจิตนั้นไม่นึกคิดวิตก
จึงทำให้เกิดความง่วง
ขาดสติทำให้จิตลงภวังค์
ทำให้จิตไม่รับรู้อยู่ที่กายหยาบ
และไม่รู้สภาวธรรม
ให้ผู้ปฏิบัติยกจิตขึ้นตั้งที่ท้ายทอย
หรือที่หน้าผากอยู่เสมอ
อย่าเอาจิตไว้ที่ต่ำ
เช่นที่ท้อง เป็นต้น
จะต้องยกจิตไว้ให้สูงอยู่เสมอ
เพื่อให้จิตผ่องใสและเกิดปัญญา
ควรหางานให้จิตทำอยู่เสมอ
4.
ความง่วงที่เกิดจากความท้อแท้สิ้นหวัง
เพราะไม่เห็นผลของการปฏิบัติทำให้เกิดความเกียจคร้าน
และเป็นผลให้ง่วงนอนในที่สุด
วิธีแก้
ควรหากัลยาณมิตรที่มีความเพียรมากและเป็นที่วางใจของผู้ปฏิบัติ
คือยอมให้กัลยาณมิตรผู้นี้ว่ากล่าวตักเดือนได้
เพราะเมื่อผู้ปฏิบัติไม่สามารถบังคับตนเองได้
ก็ควรให้ผู้ที่มีความสามารถมากกว่าช่วยบังคับ
และวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งก็คือ
การศึกษาค้นคว้าปฏิปทาของพระสาวกหรือพระปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติ
เพื่อจะทำให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติ
แต่อย่ายึด