วิธีแก้นิมิต ๑

Home

วิธีแก้นิมิต

๑.  เจริญญาตปริญญาวิธี   แปลว่าทำความกำหนดรู้ ทั้งจิต ทั้งนิมิต อยู่เฉย ๆ หรือมีสติกำหนดจิต นิ่งเฉยต่อนิมิต
๒. เจริญติรณะปริญญาวิธี แปลว่าพิจารณาตรวจค้นเหตุผลของนิมิต ให้รอบคอบ
๓. เจริญปหานปริญญาวิธี คือสละลงซึ่งนิมิตต์นั้นให้ขาด หรือถอนตัณหาเสียทั้งโคน

วิธีที่  ๑.   เจริญญาตปริญญาวิธี 
  เป็นวิธีที่นักปฏิบัติใหม่ทั้งหลาย จำเป็นต้องใช้ประกอบกับภูมิจิตของตน ที่ได้เจริญกรรมฐานใหม่ ๆ และได้ฝึกหัดสมาธิน้อย สติยังอ่อน ไม่มีกำลังพอที่จะต่อสู้กับนิมิตทั้งปวงได้ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีนี้ ทำความกำหนดรู้ ทั้งจิต ทั้งนิมิตอยู่เฉย ๆ หรือมีสติกำหนดจิตนิ่งเฉย ต่อนิมิตนั้น ๆ
ในเวลานั่งสมาธิภาวนา จิตกำลังสงบตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ หรืออุปจารสมาธิแล้วกำลังก้าวหน้าเข้าสู่อัปปนาสมาธิ บังเกิดมีนิมิตอันใดอันหนึ่ง มาปรากฏเฉพาะหน้า ครั้นจะถือเอานิมิตนั้นเป็นอารมณ์ ก็ถือเอาไม่ได้ เพราะเป็นเหตุให้เผลอสติ จิตนั้นก็ถอนจากสมาธิ นิมิตนั้นก็หายไป จำเป็นต้องเจริญญาตปริญญาวิธี คือ มีสติกำหนดจิตทำความกำหนดรู้นิ่งเฉยอยู่ตลอดเวลา จนกว่านิมิตนั้นจะสงบหายไปเอง

     ญาตปริญญาวิธีนี้ เป็นวิธีอบรมบ่มอินทรีย์ ให้มีกำลังแก่กล้า คือ ทำให้จิตของเรามีความเชื่อมั่น และมีความเพียรมากขึ้น มีสติดีขึ้นตลอดทำให้จิตตั้งมั่นแน่วแน่จริง ๆ จนบังเกิดมีปัญญาเฉลียวฉลาดมากขึ้นโดยลำดับ ยิ่งมีนิมิตมาปรากฏบ่อย ๆ และได้เจริญญาตปริญญาวิธีนี้บ่อย ๆ ก็ยิ่งได้สติ และมีปัญญาสามารถทำจิตให้เป็นสมาธิ ดำเนินตามหนทางอริยมรรคได้ดีมากขึ้นโดยเร็ว ๆ ไม่ถอยหลัง

อนึ่ง ความรู้ความเห็นบางประการ บังเกิดขึ้นแล้วกลายเป็นสัญญาวิปลาส จิตตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส ความรู้ความเห็นเหล่านั้น ไม่ใช่เป็นความรู้ความเห็น ที่เกิดจากความหวั่นไหวง่อนแง่น ไปตามอารมณ์สัญญาและนึกเดา หรือคาดคะเนเอาจาก นิมิตต่าง ๆ เนื่องด้วยเหตุนี้ เมื่อความรู้ความเห็นเกิดขึ้น อย่าพึงรู้หน้าเดียวเห็นหน้าเดียว ให้พึงเจริญญาตปริญญาวิธี ทำความเป็นผู้ไม่ยินดีและยินร้าย ในความรู้ความเห็นเหล่านั้น ฯ

การเจริญญาตปริญญาวิธี มีอานิสงส์มาก สามารถทรมานจิต ให้ละพยศอันร้ายได้ คือในเมื่อไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ในความรู้ ความเห็น และในนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดไม่ส่งจิตให้คิดไปตามเช่นนั้นแล้ว ตัณหาความดิ้นรนกระวนกระวายย่อมบังเกิดมีขึ้น เป็นพยศอันร้ายแรงแห่งจิต คืออยากเห็นนิมิตนั้นแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น หรือมิฉะนั้นเมื่อได้เห็นซึ่งนิมิตที่น่ากลัว ก็อยากให้นิมิตที่น่ากลัวนั้นหายไป เมื่อนิมิตที่น่ากลัวนั้นไม่หายไปตามประสงค์ ก็บังเกิดความเสียใจ และร้อนใจ ไม่อยากพบ ไม่อยากเห็น ซึ่งนิมิตที่น่ากลัวนั้นเสียเลย ชื่อว่าพยศอันร้าย ฯ

ครั้นเมื่อจิตบังเกิดพยศอันร้าย   ดังกล่าวแล้วปฏิฆะกับความประมาทก็บังเกิดขึ้นพร้อม เป็นเหตุให้เสื่อมเสียศรัทธา ท้อถอยจากการปฏิบัติ ไม่บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา ก็เสื่อมจากทางมรรค ทางผล ทางสวรรค์ ทางนิพพาน ถ้าได้เจริญญาตปริญญาวิธีนี้เสมอ ก็สามารถทรมานซึ่งพยศอันร้ายแรง แห่งจิตให้หายได้ กับบังเกิดเป็นผู้มีสติดีกำหนดรู้ซึ่งจิต ทำความสงบนิ่งเฉยอยู่ได้ดี เมื่อจิตสงบตั้งมั่นลงได้แล้ว ตัณหาทั้ง ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็สงบไปเอง คือไม่ยินดี ไม่ยินร้าย และไม่ทะเยอทะยานอยาก พร้อมทั้งความไม่อยาก ก็สงบระงับไปตามกัน กลับตั้งใจไว้ได้ในมัชฌิมาปฏิปทา คือตั้งใจไว้เป็นกลางไม่ตกใจกลัว และไม่กล้าเกินไป สม่ำเสมอพอเหมาะพอดีเป็นหนึ่งอยู่ได้ ไม่เดือดร้อนในเรืองนิมิตจะมีมา หรือไม่มีมา ก็แล้วแต่เหตุผล หรือ มีมาแล้วจะหายไปหรือไม่หายไป ก็แล้วแต่เรื่องของเรื่อง "สนฺทิฏฐิโก" เป็นผู้เห็นเอง "อกาลิโก" ไม่เลือกกาล "เอหิปสฺสิโก" มีเครื่องแสดงบอกให้รู้เห็นตามเป็นจริงอยู่อย่างนั้น "ปจฺจตตํ" รู้จำเพาะกับจิตตลอดไป

เมื่อทรมานจิต ให้ละพยศอันร้ายได้แล้ว ย่อมบำเพ็ญสมาธิ ดำเนินตามหนทางอริยะมรรคได้ดี คือ
        ๑. ทางดำเนินของสติ ก็ดำเนินได้สะดวกดีขึ้น
        ๒. ทางดำเนินของสัมปขัญญะ ก็ดำเนินได้สะดวกดีขึ้น
        ๓. ทางดำเนินของ มัชฌิมาปฏิปทา ก็ดำเนินได้สะดวกดีขึ้น
        ๔. ทางดำเนินของ ทิฏฐุชุกรรม ก็ทำความเห็นซื่อตรงดีขึ้น
        ๕ ทางดำเนิน แห่งการรวมจิต พร้อมทั้งสติสัมปชัญญะ ทั้งความเห็นก็รวมได้สะดวกดีขึ้น ชื่อว่าดำเนินอริยะมรรคได้ดี เรียกว่าญาตปริญญาวิธี

---  จากพระปฏิปัตติสัทธรรม ของพระญาณวิศิษฐ์ (หลวงปู่สิงห์ ขนฺตฺยาคโม) ---

Home

1