บทความวิธีฝึกบริหารความคิด

ที่นำเสนอก่อนการอ่านเรื่องคิดดี ทำดี

 

พระราชดำรัสเรื่องคิดดี ทำดี  หรือคิดดี พูดดี ทำดี  หรือคิดดี พูดดี ทำดี และรู้รักสามัคคี  หรือการทำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรงและมั่นคงอยู่ในเหตุผล เพื่อให้เกิดความเจริญ ความมั่นคง และความผาสุกของตนเองและประเทศชาตินั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนส่วนใหญ่ในชาติบ้านเมืองสามารถฝึกบริหารจิตใจตนเองให้คิดดี ทำดีได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่องตามสมควร จึงจะทำให้เกิดการคิดดี ทำดีได้อย่างต่อเนื่อง.

            ดังนั้น คนไทยทุกคนจึงควรมีความรู้เรื่องคิดดี ทำดี และฝึกมีสติคิดดี ทำดีในชีวิตประจำวัน เพื่อให้สามารถคิดดี ทำดีได้จนเป็นนิสัย ซึ่งเป็นการสนองพระราชดำรัสอย่างตรงประเด็น และเป็นการถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย.      

วัตถุประสงค์ของการนำเสนอบทความวิธีฝึกบริหารความคิดของเอกสารนี้ คือ เพื่อช่วยให้ท่านผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจ จดจำ นำเอาไปใช้เอง หรือเป็นแนวทางในการนำเสนอวิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันให้แก่ผู้อื่น.

            คนไทยทุกคนตั้งแต่นักเรียนจนถึงผู้บริหารประเทศ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ก็สามารถทำความเข้าใจได้โดยง่าย และนำไปใช้เป็นแนวทางในการสร้างสื่อเรื่องคิดดี ทำดีในรูปแบบต่าง ๆ ต่อไป.

            บทความนี้แบ่งเป็นตอน ๆ เรียงกันตามลำดับ ซึ่งเป็นขั้นตอนของการฝึกปฏิบัติ และตอนต่าง ๆ ในบทความนี้อาจจะไม่ตรงกับการนำเสนอเรื่องคิดดี ทำดีในแผ่นซีดี.

            นักเรียน นิสิต นักศึกษา กลุ่ม ชมรม ชุมนุม ครู อาจารย์ ข้าราชการ พนักงาน และบุคลากรในองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ควรรวมกลุ่มกันแล้วช่วยกันคิดสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับกลุ่มหรือกิจกรรมที่รับผิดชอบ พร้อมทั้งช่วยกันเผยแพร่ให้เกิดการคิดดี ทำดี เพื่อการสนองพระราชดำรัสกันอย่างทั่วถึง.

            สำหรับโรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ราชการ หน่วยงาน  ชุมชน วิทยุการกระจายเสียง สื่อต่าง ๆ  ควรช่วยกันกระจายความรู้ให้แก่บุคลากรและประชาชนในเชิงรุก ก็จะทำให้พระราชดำรัสเรื่องคิดดี ทำดี เป็นประเด็นสำคัญของรัฐบาลและสังคม ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง.

 

ตอนที่ ๐๑

            ก่อนที่จะนำเสนอเรื่องคิดดี ทำดีนั้น ขอถือโอกาสนี้กราบระลึกถึงพระเมตตาธิคุณอันกว้างใหญ่ไพศาล และพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีแก่ปวงชนชาวไทยอย่างทั่วถึงและต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า ๖๐ ปีแล้ว จนเป็นผลให้ประชาชนและประเทศชาติสามารถผ่านพ้นปัญหาและวิกฤตการต่าง ๆ มาได้ด้วยดีตลอดมา.

            พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทในเรื่องของการมีสติคิดและทำอย่างรอบคอบและถูกต้องเสมอมา เป็นเวลานานมาแล้ว.

พระราชดำรัสเรื่องคิดดี ทำดีนั้น เป็นหลักคุณธรรมด้านภาคปฏิบัติ ที่ทุกคนในชาติบ้านเมือง ตั้งแต่ผู้บริหารระดับชาติจนถึงระดับชุมชนทั่วประเทศ ทุกศาสนา หรือแม้แต่นานาชาติ ก็สามารถนำไปเป็นหลักคุณธรรมในการทำกิจต่าง ๆ รวมทั้งการดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างรอบคอบ ถูกต้อง และดีงาม.

การแสดงออกของปวงชนชาวไทยถึงการเทิดทูน และเคารพรักอย่างสูงส่งต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นเรื่องที่เหมาะสมและดีงาม จนเป็นที่สรรเสริญของนานาชาติ.  แต่ที่สำคัญมาก ๆ  จัดว่าเป็นอันดับแรก และขาดไม่ได้เลย ก็คือ การมีสติฝึกปฏิบัติตนตามพระราชดำรัสของพระองค์ท่านในเรื่องคิดดี ทำดี เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อตนเองและประเทศชาติ เพราะจะทำให้พูดและทำความดีนานับประการ เช่น ทำให้เกิดความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน เกื้อกูลกัน ประสานงานและประสานประโยชน์กันและกัน ปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน เกิดความคิดและความเห็นที่ถูกต้อง เที่ยงตรง มั่นคง อยู่ในเหตุผล เพื่อความเจริญ มั่นคงและความผาสุกของประเทศชาติ ตามพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน .

ขณะเดียวกัน การฝึกมีสติคิดดี ทำดีนั้น เป็นเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศไทย เป็นการพัฒนาจิตใจให้เป็นบุคคลที่ละชั่ว มุ่งทำแต่ความดี ทำจิตใจของตนเองให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส มีความพอเพียงตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงหรือเป็นทางสายกลาง สามารถมีสติใช้ความรู้คู่คุณธรรมในการทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บริสุทธิ์ ใสสะอาด โปร่งใส ยุติธรรม มีคุณค่า เป็นบุคคลที่ประเสริฐของครอบครัว หน่วยงาน สังคม ศาสนา ประเทศชาติ และเป็นคุณธรรมประจำใจของคนไทยสืบต่อไป.

            พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชานุญาติให้อันเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์จำนวน ๒๔ เพลงมาบันทึกลงในแผ่นซีดีการบรรยายวิธีบริหารความคิดให้ คิดดี ทำดี เพื่อสนองพระราชดำรัส.  ซึ่งคาดหวังว่า บทเพลงพระราชนิพนธ์ที่เปิดนำนี้ จะช่วยให้ท่านผู้ฟังได้ระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าหัว ทำให้จิตใจมีความสงบ มีปีติ มีพลังทางใจ และมีความพร้อมที่จะพยายามมีสติตั้งมั่นในการศึกษาเรื่องคิดดีทำดีและฝึกคิดดี ทำดีอย่างจริงจัง เพื่อเป็นรูปแบบหรือเป็นแนวทางหนึ่งในการฝึกดูแลจิตใจของตนเองในชีวิตประจำวันให้คิดดี ทำดีอย่างต่อเนื่อง และฝึกกันชั่วชีวิต.

 

ตอนที่ ๐๒

            ท่านผู้ฟังครับ ก่อนที่จะศึกษาเรื่องคิดดีทำดีเพื่อสนองพระราชดำรัสนั้น ก็ขอเรียนเชิญให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกเตรียมจิตใจและร่างกายให้พร้อมที่จะศึกษาต่อไป ขณะเดียวกัน ท่านก็จะได้เรียนรู้รูปแบบหนึ่งของการฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวัน.

            การจะเตรียมจิตใจและร่างกายให้พร้อมนั้น  ท่านต้องทำให้จิตใจและร่างกายของท่านมีความสงบเสียก่อน  เพื่อที่ท่านจะได้ศึกษาเรื่องคิดดีทำดีอย่างมีประสิทธิภาพ  และเมื่อท่านนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ท่านก็จะสามารถทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน.

            เพื่อให้ท่านได้ทราบถึงหลักการและวิธีฝึกบริหารความคิดด้วยการหยุดความคิดนั้น จึงขอเกริ่นนำเสียก่อน.

            ท่านผู้ฟังครับ ชีวิตของเราประกอบด้วยใจและกาย หรือประกอบด้วยจิตใจและร่างกาย  ขณะที่ท่านหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ใจหรือจิตใจของท่านก็จะสงบ   อีกครั้งนะครับ กล่าวคือ เมื่อท่านหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ  จิตใจของท่านก็จะสงบ.   ขณะเดียวกันจิตใจก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส และไม่มีความทุกข์ที่เกิดจากความคิดใช่หรือไม่ ?   เพราะขณะนั้นความคิดกำลังหยุดอยู่.

            ครับ เมื่อท่านหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ จิตใจและร่างกายของท่านก็จะได้พัก  เพราะธรรมชาติของจิตใจและร่างกายเป็นเช่นนั้นเอง.

            ดังนั้น จึงพอจะสรุปได้ว่า ขณะหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ จิตใจก็จะสงบ บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ทุกข์   ขณะเดียวกันสมอง และร่างกายก็จะได้พักด้วย.  ครั้นได้พักตามสมควรแล้ว จิตใจ สมอง และร่างกายก็จะมีความพร้อมในการศึกษาเรื่องคิดดีทำดีอย่างมีประสิทธิภาพ.

            ท่านผู้ฟังครับ  เรามาฝึกหยุดความคิดกันนะครับ เริ่มต้นด้วยการหลับตาเบา ๆ  ด้วยความผ่อนคลาย  พร้อมกับสั่งตนเองว่า ต่อจากนี้ไปเราจะพยายามมีสติอยู่กับความว่าง ณ เบื้องหน้าเพียงกิจเดียว  เราจะไม่คิดเรื่องอื่นใดเลย  ครั้นเผลอสติไปคิดเรื่องใด ๆ ก็ตาม  เราก็จะมีสติไม่คิดต่อทันที  พร้อมกับกลับมามีสติอยู่กับความว่างอย่างต่อเนื่อง.

            ต่อจากนี้ไปให้ท่านพยายามมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเวลาประมาณ ๑ นาทีด้วยความจริงใจและจริงจัง  โดยให้ท่านผู้ฟังกดปุ่มพอส หรือหยุดเครื่องไว้เป็นการชั่วคราว.    เอาละครับ ให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกปฏิบัติได้แล้วนะครับ.   

************

            เมื่อท่านออกจากการหยุดความคิดแล้ว ให้ทดลองประเมินผลของการฝึกหยุดความคิดที่ผ่านมาแล้วว่า ท่านพอจะหยุดความคิดได้บ้างหรือไม่ ?  ถ้าพอจะหยุดได้บ้าง ก็ถือว่า ท่านเริ่มสามารถบริหารความคิดของท่านได้บ้างแล้ว และถ้าฝึกเป็นประจำ ท่านก็จะเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในการหยุดความคิดของตนเองเมื่อไรก็ได้ที่ท่านต้องการนั่นเอง.

            เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกควบคุมความคิดของตนเอง ในการฝึกเบื้องต้นนี้ ให้ท่านสั่งตนเองว่า  ต่อจากนี้ไป  เราจะตั้งใจฝึกมีสติควบคุมจิตใจของเราไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน  เราจะตั้งใจฟัง ตั้งใจคิด และพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ  เข้าถึงข้อเท็จจริง โดยไม่หลงเชื่อผู้บรรยาย  เพื่อให้เกิดความรู้และความสามารถในการบริหารความคิด  ให้คิดดี ทำดี ได้อย่างต่อเนื่อง. 

            ในขณะฟังอยู่นั้น พอมีสติรู้ว่าเผลอสติไปคิดเรื่องอื่นใด  ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับการฟัง คิด และพิจารณาต่อไป เพื่อให้ท่านสามารถศึกษาและฝึกบริหารความคิดให้คิดดี ทำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            ท่านผู้ฟังครับ กรุณาลงมือฝึกควบคุมความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่าน ณ ปัจจุบันขณะเลยนะครับ และควรฝึกเช่นนี้ตลอดชีวิต นะครับ.

 

 

 

ตอนที่ ๐๓

            ท่านผู้ฟังครับ ก่อนที่จะศึกษาเรื่องคิดดีทำดีเพื่อสนองพระราชดำรัสในตอนต่อไป ก็ขอเรียนเชิญให้ท่านผู้ฟังได้ฝึกเตรียมจิตใจ สมอง และร่างกายให้พร้อมที่จะศึกษาต่อไป.

            การจะเตรียมจิตใจ สมอง และร่างกายให้พร้อมได้นั้น  ท่านต้องทำให้จิตใจและร่างกายของท่านสงบเสียก่อน.  จิตใจจะสงบลงได้ ก็เพราะหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นการฝึกมีสติในการบริหารจิตให้หยุดการคิดเรื่องต่าง ๆ   เพื่อที่ท่านจะได้ศึกษาเรื่องคิดดีทำดี หรือทำกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ.

            การฝึกมีสติหยุดความคิดที่ผ่านมาทั้ง ๒ ตอนแล้วนั้น เป็นการฝึกเบื้องต้น เพื่อปูพื้นฐานการฝึกในขั้นตอนนี้.

            การฝึกหยุดความคิดในขั้นตอนนี้ เป็นวิธีฝึกหยุดความคิดที่คนไทยนิยมใช้กันมาโดยตลอด  คือ การฝึกมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่บริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียว ไม่ปล่อยให้สมองไปคิดฟุ้งซ่าน หรือไม่ปล่อยให้คิดเรื่องอื่นใด และไม่ให้หลับใน.

            เพื่อให้ท่านได้ทราบถึงหลักการและวิธีฝึกหยุดความคิดตามแบบมาตรฐาน หรือตามรูปแบบที่คนไทยนิยมฝึกปฏิบัติกันมาเป็นเวลานานแล้ว.     จึงจำเป็นต้องขอเกริ่นนำหลักการและวิธีการเสียก่อน.   ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้ฟังได้ทราบแนวทางในการจัดการกับความคิดหรือบริหารความคิดของท่านเองได้อย่างตรงประเด็น. 

            เพื่อให้ท่านผู้ฟังเกิดปัญญาหรือความรู้อย่างแจ้งชัดตามความเป็นจริง จึงขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดอย่าเชื่อ แต่ขอได้โปรดช่วยกันคิดอย่างรอบคอบ และถูกต้องตามความเป็นจริง.    ดังนั้น จึงขอให้ท่านพยายามตั้งใจฟัง ตั้งใจคิดอย่างรอบคอบ และถูกต้องตามความเป็นจริง หรือพิจารณาโดยการเทียบเคียงกับประสบการณ์ตรงของท่านเอง พร้อมทั้งตอบกับตนเองว่า ใช่หรือไม่ใช่ ?  ใช่หรือไม่ใช่ ?

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาศึกษาเรื่องของจิตใจและร่างกายกันครับ ช่วยตอบผมด้วยนะครับ ว่า ขณะที่ความคิดของท่านหยุดจากการคิดเรื่องราวต่าง ๆ   ใจของท่านจะสงบใช่หรือไม่ ?   อีกครั้งนะครับ ขอถามว่า ขณะที่ความคิดของท่านหยุดจากการคิดเรื่องราวต่าง ๆ   ใจของท่านจะสงบใช่หรือไม่ ?    ท่านคงจะตอบว่าใช่แล้ว  เพราะธรรมชาติหรือความจริงของจิตใจหรือการทำงานของสมอง เป็นเช่นนั้นเอง.

            ครับ เมื่อท่านหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ สมองของท่านก็ได้พักใช่หรือไม่ ?  อีกครั้งนะครับ ขอถามว่า เมื่อท่านหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ สมองของท่านก็ได้พักใช่หรือไม่ ?  ท่านก็คงจะตอบว่าใช่แล้ว.

            ครับ ขอถามต่อไปว่า เมื่อท่านหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ร่างกายของท่านก็ได้พักไปด้วย ใช่หรือไม่ ?   อีกครั้งนะครับ ขอถามว่า เมื่อท่านหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ร่างกายของท่านก็ได้พักใช่หรือไม่ ?   ท่านก็คงจะตอบว่าใช่แล้ว  ครับ เพราะธรรมชาติ หรือความจริงในเรื่องของจิตใจและร่างกายเป็นเช่นนั้นเอง.

            ดังนั้น จึงพอจะสรุปได้ว่า ขณะที่ท่านหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ จิตใจก็จะสงบ บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่ทุกข์ ขณะเดียวกันสมองและร่างกายก็จะได้พักไปด้วย.  ครั้นได้พักตามสมควรแล้ว จิตใจ สมอง และร่างกายก็จะมีความพร้อมในการศึกษาเรื่องคิดดีทำดี หรือทำกิจต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ.   ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงาน และการดำเนินชีวิต  อีกทั้งยังสามารถเอาไปใช้ได้ชั่วชีวิตอีกด้วย.

            ท่านผู้ฟังคงจะเห็นประโยชน์ของการหยุดความคิดเพื่อการพักด้วยความมีสติอย่างสมบูรณ์ แล้วนะครับ   และขอให้กำลังใจกับท่านผู้ฟังว่า วิธีการหยุดความคิดเป็นเรื่องง่าย ๆ  เป็นเรื่องใกล้ตัว  คนทั่วไปสามารถนำเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้โดยง่าย.

            ท่านจะฝึกในท่านั่งหรือนอนก็ได้ ตามความเหมาะสมของเหตุปัจจัย.   ท่านที่เหนื่อยงานมาทั้งวัน หรือร่างกายอยู่ในสภาพที่ไม่สะดวกในท่านั่งฝึก ท่านจะฝึกในท่านอนก็ได้  เพราะนอนฝึกยังดีกว่าไม่ฝึกเลย และถ้าจะเผลอสติหลับไปก็ไม่เป็นไร ขอแต่เพียงว่าให้ฝึกเป็นประจำในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย.

            เริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไปเราจะฝึกหยุดความคิดโดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง   กล่าวคือ เมื่อหายใจเข้าก็มีสติรู้ว่า ลมหายใจผ่านเข้าตรงรูจมูก    เวลาหายใจออกก็มีสติรู้ว่า มีลมหายใจผ่านออก เป็นการมีสติรับรู้ความรู้สึกเบา ๆ สบาย ๆ  ด้วยความผ่อนคลาย ซึ่งเป็นงานที่เบาที่สุดในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ  ไม่มีงานอื่นใดที่เบาไปกว่านี้อีกแล้ว คือ ท่านแค่ทำหน้าที่ง่าย ๆ  เบา ๆ  สบาย ๆ  และเพียงกิจเดียวเท่านั้นเอง คือ ให้สังเกตว่า มีลมหายใจผ่านเข้าและออกที่บริเวณรูจมูก หรืออาจจะเปรียบเหมือนเป็นคนเฝ้าประตู ที่ทำหน้าที่สังเกตว่า มีลมหายใจผ่านเข้าและออกเท่านั้นเอง เพื่อโยงใยจิตใจไว้ ไม่ให้ไปคิดเรื่องอื่นใด.

            ขณะเดียวกันเราจะไม่คิดเรื่องอื่นใดอีกเลย ครั้นมีการคิดเรื่องอะไรก็ตาม ซึ่งเป็นธรรมชาติของสมอง  เราก็จะมีสติไม่คิดต่อ  เราจะมีสติจดจ่ออยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่บริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียว อย่างต่อเนื่อง.

            ถ้าท่านไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกว่ามีลมหายใจผ่านเข้าออก ก็ให้ท่านหายใจให้แรงขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง  เพื่อให้ลมปะทะที่บริเวณรูจมูกแรงขึ้น  ท่านก็จะสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้น  แต่ไม่ควรหายใจแรงเกินไปจนเกิดเสียงดัง จนเป็นที่สนใจของผู้ข้างเคียง.

            ครั้นรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจได้ดีตามสมควรแล้ว ก็ผ่อนมาเป็นการหายใจตามปรกติ.

            หากท่านไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจขึ้นมาอีก ก็ให้ท่านหายใจแรงขึ้น ครั้นรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจได้ดีตามสมควรแล้ว ก็ผ่อนมาเป็นการหายใจตามปรกติ.       เมื่อท่านฝึกไปไม่กี่ครั้งหรือไม่นานนัก  ท่านก็จะสามารถรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกได้เป็นอย่างดี.         

            ขอให้กำลังใจว่า  ถึงแม้ว่า วันนี้ท่านจะทำได้ดีหรือทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรก็ตาม  ท่านก็ต้องเพียรฝึกเช่นนี้ในชีวิตประจำวันตลอดชีวิต.

            ขณะฝึกอยู่นั้น ธรรมชาติของสมองจะมีความคิดแวบขึ้นมา หรือแทรกขึ้น หรือคิดนำขึ้นมา เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นกลาง ๆ บ้าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปรกติ คนที่ไม่มีความคิดแวบขึ้นมาเลยนั้น คือ คนที่ผิดปรกติ เพราะขณะนั้นสมองอาจไม่ทำงานจากสาเหตุต่าง ๆ.

            ประเด็นสำคัญคือ เมื่อมีความคิดแวบขึ้นมา ท่านก็อย่าคิดต่อ เพราะถ้าท่านคิดต่อ ความคิดก็จะไม่หยุด ซึ่งเป็นการแสดงว่า ท่านกำลังฟุ้งซ่าน.  เมื่อท่านมีสติรู้ว่าฟุ้งซ่าน  ก็ให้หยุดการคิดฟุ้งซ่านนั้น ๆ เสีย

            ครั้นเผลอสติไปคิดเรื่องใดก็ตาม ซึ่งธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง ข้อสำคัญ คือ พอรู้ตัวหรือรู้ทันความคิดว่า เผลอสติไปคิดเรื่องอื่นใดก็ตาม ให้ท่านมีสติหยุดการคิดเรื่องนั้นทันที.   

            ขอให้กำลังใจว่า ทุกคนต้องฟุ้งซ่านด้วยกันทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย จะให้ไม่มีการฟุ้งซ่านเลยนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้.

            การฝึกเจริญสมาธิจึงเป็นการฝึกระงับความฟุ้งซ่านโดยตรง และไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องหยุดการคิดฟุ้งซ่าน ๑๐๐%   แต่เป็นการที่เราจะต้องพยายามเอาชนะความคิดฟุ้งซ่านไว้เสมอ ๆ ตลอดอายุขัย.

            ท่านผู้ฟังครับ เห็นไหมครับว่า  วิธีฝึกนั้นสั้น  และง่ายนิดเดียว คือ แค่มีสติหายใจเข้าก็รู้ออกก็รู้เท่านั้นเอง.   ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเวลาประมาณ ๑ นาที.   สำหรับท่านที่ฝึกใหม่ ยังไม่ควรฝึกนาน เพราะจะทำให้เครียด.

            ส่วนท่านที่ชำนาญแล้วก็ฝึกนานได้  แต่ก็อย่าให้นานเกินไปจนกลายเป็นการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.

            ท่านผู้ฟังครับ ให้ท่านกดปุ่มพอส หรือหยุดเครื่องไว้ชั่วคราวเป็นเวลาประมาณ ๑ นาที  เอาละครับ ให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกปฏิบัติได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อท่านออกจากการหยุดความคิดแล้ว ให้ท่านทดลองฝึกประเมินผลของการฝึกหยุดความคิดที่ผ่านมาแล้วว่า ท่านพอจะหยุดความคิดได้บ้างหรือไม่ ?  ถ้าพอจะหยุดได้บ้าง ก็ถือว่า ท่านเริ่มสามารถบริหารความคิดของท่านได้บ้างแล้ว และขอให้กำลังใจว่า ถ้าท่านฝึกเป็นประจำ ท่านก็จะเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในการหยุดความคิดของตนเองเมื่อไรก็ได้ที่ท่านต้องการนั่นเอง   จึงได้ชื่อว่าท่านเริ่มมีอำนาจเหนือความคิด หรือเหนือใจของท่านเอง ซึ่งเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่.

            เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเอง ในการฝึกเบื้องต้นนี้ ให้ท่านตั้งสติสั่งตนเอง หรือตั้งเจตนาว่า   ต่อจากนี้ไป  เราจะตั้งใจฝึกมีสติควบคุมจิตใจของเราไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน  เราจะตั้งใจฟัง  ตั้งใจคิด และตั้งใจพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ  เข้าถึงข้อเท็จจริง โดยไม่หลงเชื่อผู้บรรยาย  เพื่อให้เกิดความรู้และความสามารถในการบริหารความคิด  เพื่อทำให้สามารถคิดดี ทำดี ได้อย่างต่อเนื่อง.

            การคิดดีก็คือ การคิดที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น.

            การคิดดีทำดี ก็คือ การคิดดีจนถึงขั้นทำดีด้วยกาย วาจา และด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส.

            การคิดดี ทำดี ได้อย่างต่อเนื่องเป็นเป้าหมาสูงสุดของหนังสือเล่มนี้ และเป็นการสนองพระราชดำรัสอย่างตรงประเด็นที่สุด. 

            โปรดอย่าลืมว่า ในขณะฟังอยู่นั้น พอมีสติรู้ว่าเผลอสติไปคิดเรื่องอื่นใด  ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาต่อไป เพื่อให้ท่านสามารถศึกษาและฝึกบริหารความคิดให้คิดดี ทำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            ท่านผู้ฟังครับ กรุณาลงมือฝึกควบคุมความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้มีสติอยู่กับกิจที่ทำอย่างต่อเนื่อง ณ ปัจจุบันขณะ  เพื่อทำให้สามารถทำกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.

 

ตอนที่ ๐๔

            ท่านผู้ฟังครับ ก่อนที่จะศึกษาเรื่องคิดดีทำดีเพื่อสนองพระราชดำรัสในตอนต่อไป ก็ขอเรียนเชิญให้ท่านผู้ฟังได้ฝึกเตรียมจิตใจ สมอง และร่างกายให้พร้อมที่จะศึกษาต่อไป หรือเป็นรูปแบบที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยการฝึกบริหารจิตใจของท่านให้หยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นการชั่วคราว เพื่อที่ท่านจะได้ศึกษาเรื่องคิดดีทำดี หรือทำกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ.

            การฝึกหยุดความคิดในขั้นตอนนี้ เป็นการฝึกหยุดความคิดที่คนไทยนิยมใช้กันมาโดยตลอด  คือ การฝึกมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่ตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียว หรือมีเพียงอารมณ์เดียว พยายามไม่ให้มีการคิดฟุ้งซ่าน หรือไม่ปล่อยให้คิดเรื่องอื่นใด และไม่ให้หลับในด้วย.

            จึงขอถือโอกาสนี้เกริ่นนำว่า  ความคิดเป็นหัวหน้าของการพูดและการกระทำ.     เมื่อคิดอย่างไรก็จะพูดอย่างนั้นและทำอย่างนั้น  เช่น เมื่อคิดดี ก็จะพูดดี และทำดี ขณะเดียวกันจิตใจก็จะดี หรือจิตใจก็จะมีความบริสุทธิ์ผ่องใสด้วย.    เมื่อคิดไม่ดี ก็จะพูดไม่ดี และทำไม่ดี เป็นผลให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ขณะเดียงกันจิตใจก็ไม่ดี หรือจิตใจสกปรกและขุ่นมัวด้วย.    

            ดังนั้น  ท่านผู้ฟังคงจะตอบคำถามได้ เราควรคิดดีหรือคิดไม่ดี?    ท่านคงจะตอบได้ทันทีเลยว่า เราควรคิดดี.

            ขอถามว่า ในขณะที่ท่านกำลังคิดอยู่ภายในใจ มีใครในโลกนี้บ้างที่สามารถรู้เห็นความคิดของท่าน ?  แล้วใครล่ะที่รู้เห็นความคิดของท่าน ?  ท่านก็คงจะตอบอย่างรวดเร็วว่า ก็ตัวเราเอง.

            สมมุติว่า  ท่านเผลอสติไปคิดไม่ดี ก็ขอถามท่านผู้ฟังว่า ใครล่ะที่จะรู้ว่าท่านคิดไม่ดี ?  ท่านคงจะตอบได้อย่างรวดเร็วว่า ก็ตัวเราเองที่จะรู้ว่าเราคิดดี หรือไม่ดี ?    ขอถามต่อไปว่า แล้วใครล่ะที่จะเป็นผู้หยุดความคิดที่ไม่ดีของท่าน ?  ท่านก็คงจะตอบว่า ตัวของเราเอง.

            การจะหยุดความคิดที่ไม่ดีได้นั้น ท่านจึงจำเป็นต้องฝึกหยุดความคิดให้เป็น และต้องเชี่ยวชาญด้วย เพราะท่านต้องสามารถหยุดความคิดที่ไม่ดีในทุกเมื่อที่ต้องการ.จึงจะทำให้ท่านพูดดี ทำดี ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ทุกข์จากความคิด ขณะเดียวกันสมองและร่างกายก็จะได้พักไปด้วย.

            เริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไปเรามาฝึกหยุดความคิดกันนะครับ เริ่มด้วยการหลับตา ด้วยความผ่อนคลาย พร้อมกับสั่งตนเองหรือตั้งเจตนาว่า  ต่อจากนี้ไปเราจะพยายามมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูก หายใจเข้าก็รู้ หายออกก็รู้  รู้เบา ๆ รู้แบบสบาย ๆ  หรือรู้อย่างผ่อนคลาย           เราจะฝึกหยุดความคิดโดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง   กล่าวคือ เมื่อหายใจเข้าก็มีสติรู้ว่า ลมหายใจผ่านเข้าตรงรูจมูก    เวลาหายใจออกก็มีสติรู้ว่า มีลมหายใจผ่านออก เป็นการมีสติรับรู้ความรู้สึกเบา ๆ สบาย ๆ  ด้วยความผ่อนคลาย ซึ่งเป็นงานที่เบาที่สุดในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ  ไม่มีงานอื่นใดที่เบาไปกว่านี้อีกแล้ว คือ ท่านแค่ทำหน้าที่ง่าย ๆ  เบา ๆ  สบาย ๆ  และเพียงกิจเดียวเท่านั้นเอง คือ ให้สังเกตว่า มีลมหายใจผ่านเข้าและออกที่บริเวณรูจมูก หรืออาจจะเปรียบเหมือนเป็นคนเฝ้าประตู ที่ทำหน้าที่สังเกตว่า มีลมหายใจผ่านเข้าและออกเท่านั้นเอง เพื่อโยงใยจิตใจไว้ ไม่ให้ไปคิดเรื่องอื่นใด.

            ถ้าท่านไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกว่ามีลมหายใจผ่านเข้าออก ก็ให้ท่านหายใจให้แรงขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง  เพื่อให้ลมปะทะที่บริเวณรูจมูกแรงขึ้น  ท่านก็จะสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้น.

            ครั้นรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจได้ดีตามสมควรแล้ว ก็ผ่อนมาเป็นการหายใจตามปรกติ.

            หากท่านไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจขึ้นมาอีก ก็ให้ท่านหายใจแรงขึ้น ครั้นรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจได้ดีตามสมควรแล้ว ก็ผ่อนมาเป็นการหายใจตามปรกติ.       ถ้ามีการคิดแวบขึ้นมาเรื่องอะไรก็ตาม  เราก็จะมีสติไม่คิดต่อ  เราจะพยายามมีสติจดจ่ออยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่ตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียว อย่างต่อเนื่อง.

            ครั้นเผลอสติไปคิดเรื่องใดก็ตาม พอท่านมีสติรู้ตัว หรือรู้ทันความคิดว่า ท่านเผลอสติไปคิดเรื่องอื่นใด  ก็ ให้มีสติหยุดการคิดเรื่องนั้นในทันที ทันใด.  

            ขอให้กำลังใจว่า ทุกคนต้องฟุ้งซ่านด้วยกันทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย จะให้ไม่มีการฟุ้งซ่านเลยนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเวลาประมาณ ๒ นาที.   ส่วนท่านที่ชำนาญแล้วก็ฝึกนานได้  แต่ก็อย่าให้นานเกินไปจนกลายเป็นการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.

            ท่านผู้ฟังครับ ให้ท่านกดปุ่มพอส หรือหยุดเครื่องไว้ชั่วคราวเป็นเวลาประมาณ ๒ นาที  เอาละครับ ให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกปฏิบัติด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อท่านออกจากการหยุดความคิดแล้ว ให้ท่านทดลองฝึกประเมินผลของการฝึกหยุดความคิดที่ผ่านมาแล้วว่า ท่านพอจะหยุดความคิดได้บ้างหรือไม่ ?  ถ้าพอจะหยุดได้บ้าง ก็ถือว่า ท่านเริ่มสามารถบริหารความคิดของท่านได้บ้างแล้ว และขอให้กำลังใจว่า ถ้าท่านฝึกเป็นประจำ ท่านก็จะเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในการหยุดความคิดของตนเองเมื่อไรก็ได้ที่ท่านต้องการนั่นเอง  จิตใจของท่านก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสมากขึ้น.

            เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเอง โดยการตั้งเจตนาว่า   ต่อจากนี้ไป  เราจะตั้งใจฝึกมีสติความคุมจิตใจของเราไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน  เราจะตั้งใจฟัง  ตั้งใจคิด และตั้งใจพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ  เข้าถึงข้อเท็จจริง เพื่อทำให้เราสามารถคิดดี ทำดี ได้อย่างต่อเนื่องตามพระราชดำรัสของพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.

            อีกครั้งหนึ่งนะครับ ให้ท่านผู้ฟังตั้งเจตนาว่า   ต่อจากนี้ไป  เราจะตั้งใจฝึกมีสติควบคุมจิตใจของเราไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน  เราจะตั้งใจฟัง  ตั้งใจคิด และตั้งใจพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ  เข้าถึงข้อเท็จจริง เพื่อทำให้เราสามารถคิดดี ทำดี ได้อย่างต่อเนื่องตามพระราชดำรัสของพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.

            โปรดอย่าลืมว่า ในขณะฟัง หรือขณะทำกิจอะไรอยู่ก็ตาม  พอมีสติรู้ว่า เผลอสติไปคิดเรื่องอื่นใด  ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาต่อไป เพื่อให้ท่านสามารถศึกษาและฝึกบริหารความคิดให้คิดดี ทำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            ขอให้กำลังใจว่า  ถึงแม้ว่า วันนี้ท่านจะทำได้ดีหรือทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรก็ตาม  ท่านก็ต้องเพียรฝึกเช่นนี้ในชีวิตประจำวันตลอดชีวิต.

            ท่านผู้ฟังครับ กรุณาลงมือฝึกมีสติควบคุมความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่าน ให้มีสติอยู่กับกิจที่ทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ณ ปัจจุบันขณะนี้เอง  เพื่อทำให้สามารถทำกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.

 

ตอนที่ ๐๕

            ท่านผู้ฟังครับ ขอเรียนเชิญให้ท่านผู้ฟังได้ฝึกเตรียมจิตใจ เตรียมสมอง และเตรียมร่างกายให้พร้อมที่จะศึกษาเรื่องคิดดี ทำดี เพื่อสนองพระราชดำรัสในตอนต่อไป โดยการฝึกบริหารจิตใจของท่านเอง ให้หยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นการชั่วคราว ซึ่งจะเป็นผลให้ท่านสามารถศึกษาเรื่องคิดดีทำดีอย่างมีประสิทธิภาพ  และเป็นรูปแบบในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีคุณธรรม.

            ก่อนฝึกหยุดความคิดในครั้งนี้  ขอเกริ่นนำว่า  คำพูดและการกระทำต่าง ๆ จะดี หรือชั่ว เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์นั้น เกิดจากความคิดนี่เอง.

            ขอถามท่านผู้ฟังว่า ในขณะที่คิดดี ก็จะพูดดี   ทำดี ขณะเดียวกันจิตใจก็จะดี และจิตใจก็จะมีความบริสุทธิ์ผ่องใสด้วย ใช่หรือไม่ ?.

            ในขณะที่คิดชั่ว ก็จะพูดชั่ว ทำชั่ว และจิตใจก็จะมีความสกปรกและขุ่นมัวไปด้วย ใช่หรือไม่ ?.    

            ขอถามต่อไปว่า ทุก ๆ วินาทีที่ความคิดของท่านหยุด จิตใจของท่านก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสใช่หรือไม่ ?  และความทุกข์ทางจิตใจที่เกิดจากความคิดก็จะไม่เกิดขึ้นในขณะที่ความคิดหยุดใช่หรือไม่ ?  ท่านคงจะตอบทุกคำถามได้ทันที ใช่แล้ว เพราะธรรมชาติของจิตใจเป็นเช่นนั้นเอง.

            ท่านผู้ฟังครับ ต่อจากนี้ไป เมื่อมีสติรู้ทันว่า จิตใจของท่านกำลังคิดไม่ดี หรือจิตใจกำลังสกปรกและขุ่นมัว ก็ให้มีสติหยุดความคิดที่ไม่ดีนั้น ๆ  หรือกำจัดความทุกข์รวมทั้งจิตใจที่สกปรกและขุ่นมัวในทันทีทันใดอย่ารอแม้แต่วินาทีเดียว.  การจะหยุดความคิดอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องได้นั้น  ท่านต้องพยายามฝึกหยุดความคิดของตนเองเป็นประจำในชีวิตประจำวัน จนเกิดความชำนาญหรือมีความสามารถในการหยุดความคิดนั่นเอง.

            เรามาฝึกหยุดความคิดเป็นการชั่วคราวกันนะครับ   เริ่มด้วยการหลับตาด้วยความผ่อนคลาย พร้อมกับสั่งตนเองหรือตั้งเจตนาว่า  ต่อจากนี้ไปเราจะพยายามมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูก หายใจเข้าก็รู้ หายออกก็รู้  รู้เบา ๆ รู้แบบสบาย ๆ  หรือรู้อย่างผ่อนคลาย     เราจะฝึกหยุดความคิดโดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง   กล่าวคือ เมื่อหายใจเข้าก็มีสติรู้ว่า ลมหายใจผ่านเข้าตรงบริเวณรูจมูก    เวลาหายใจออกก็มีสติรู้ว่า มีลมหายใจผ่านออกตรงบริเวณรูจมูก.   เป็นเรื่องของการมีสติรับรู้ความรู้สึกเบา ๆ  สบาย ๆ  ด้วยความผ่อนคลายทั้งจิตใจและร่างกาย ซึ่งเป็นงานที่เบาที่สุดในขณะที่ไม่ได้นอนหลับโดยทำหน้าที่เหมือนคนเฝ้าประตู หรือเป็นนายทวาร ที่ตั้งใจทำหน้าที่สังเกตว่า มีลมหายใจผ่านเข้าและออกเท่านั้นเอง เพื่อผูกโยงจิตใจไว้กับลมหายใจอย่างต่อเนื่อง จะได้ไม่ให้ไปคิดเรื่องอื่นใด.

            ในขณะฝึกหยุดความคิดอยู่นั้น ถ้าท่านเผลอสติไปคิดเรื่องอะไรก็ตามหรือไปคิดฟุ้งซ่าน พอมีสติรู้ทันความคิด ก็ให้มีสติหยุดความคิดที่เกิดขึ้นทันที และพยายามกลับมามีสติจดจ่ออยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่ตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียวอย่างต่อเนื่อง.

            ขอให้กำลังใจว่า ทุกคนต้องฟุ้งซ่านด้วยกันทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย จะให้ไม่มีการฟุ้งซ่านเลยนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เราจะพยายามไม่ให้มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นในขณะฝึกหยุดความคิด เพื่อท่านจะได้สามารถหยุดความคิดได้ทุกขณะที่ต้องการ.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเวลาประมาณ ๒ นาที.   สำหรับท่านที่ชำนาญแล้วก็ฝึกนานได้  แต่ก็อย่าให้นานเกินไปจนกลายเป็นการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.

            ท่านผู้ฟังครับ ให้ท่านกดปุ่มพอส หรือหยุดเครื่องไว้ชั่วคราวเป็นเวลาประมาณ ๒ นาที  เอาละครับ ให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกปฏิบัติด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อท่านออกจากการหยุดความคิดแล้ว ให้ท่านทดลองฝึกประเมินผลของการฝึกหยุดความคิดที่ผ่านมาแล้วว่า ท่านพอจะหยุดความคิดได้บ้างหรือไม่ ?  ถ้าพอจะหยุดได้บ้าง ก็ถือว่า ท่านเริ่มสามารถบริหารความคิดของท่านได้บ้างแล้ว และถ้าฝึกเป็นประจำ จิตใจของท่านก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสมากขึ้นตามลำดับใช่ไหมครับ ?  ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องอาศัยความเพียรในการฝึกฝนตนเอง ใช่หรือไม่ครับ?

            เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเอง.

            การฝึกมีสติควบคุมความคิดนั้น เริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาเสมอ.  ท่านคงจะเห็นด้วยว่า  เจตนานั้น เกิดจากความคิดที่ถูกจดจำ และเจตนาที่ถูกจดจำไว้ในความจำนี้เอง ที่คอยกำกับให้คิดตามแนวทางที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ เป็นผลให้เกิดการกระทำทางกาย วาจา ใจ ตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้.

            เอาละครับ ต่อจากนี้ไปให้ทุกท่าน น้อมจิตน้อมใจของท่านไปตั้งเจตนาว่า  เราจะตั้งใจฝึกมีสติควบคุมจิตใจของเราไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน  เราจะตั้งใจฟัง  ตั้งใจคิด และตั้งใจพิจารณาเรื่องคิดดี ทำดี อย่างละเอียด รอบคอบ  และเข้าถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ เพื่อทำให้เราสามารถคิดดี ทำดี ได้อย่างต่อเนื่องตามพระราชดำรัสของพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และเราจะใช้เป็นรูปแบบในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย.

            อีกครั้งหนึ่งนะครับ ให้ท่านผู้ฟังตั้งเจตนาว่า   ต่อจากนี้ไป  เราจะตั้งใจฝึกมีสติควบคุมจิตใจของเราไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน  เราจะตั้งใจฟัง  ตั้งใจคิด และตั้งใจพิจารณาเรื่องคิดดี ทำดี อย่างละเอียด รอบคอบ  และเข้าถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ เพื่อทำให้เราสามารถคิดดี ทำดี ได้อย่างต่อเนื่องตามพระราชดำรัสของพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และเป็นรูปแบบในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย.

            ในขณะฟัง หรือขณะทำกิจอะไรอยู่ก็ตาม  พอมีสติรู้ว่า เผลอสติไปคิดเรื่องอื่นใด  ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาต่อไป เพื่อให้ท่านสามารถศึกษาและฝึกบริหารความคิดให้คิดดี ทำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            ท่านผู้ฟังครับ กรุณาลงมือฝึกมีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดชั่ว ให้คิดดี ไม่ฟุ้งซ่าน เพื่อการพูดดี ทำดี มีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส และไม่มีความทุกข์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมีสติอยู่กับกิจที่ทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ณ ปัจจุบันขณะนี้เอง  เพื่อทำให้ท่านสามารถทำกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม และควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.

 

ตอนที่ ๐๖

            ท่านผู้ฟังครับ ก่อนที่จะฟังเรื่องคิดดี ทำดี เพื่อสนองพระราชดำรัสในตอนต่อไป  ก็ขอเกริ่นนำว่า  การจะบริหารความคิด ให้คิดดี ทำดีเพื่อสนองพระราชดำรัสของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น จำเป็นจะต้องรู้จักวิธีบริหารความคิด เพื่อให้สามารถหยุดความคิด และสามารถควบคุมความคิดให้ละการคิดไม่ดี หรือละการคิดชั่ว หรือละการคิดอกุศล ให้คิดดี หรือให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีความทุกข์จากการคิดไม่ดี  และเป็นผลให้เกิดการพูดดี ทำดี อย่างต่อเนื่อง.

            ขอถามท่านผู้ฟังว่า ในขณะขับรถอยู่นั้น ถ้าไม่มีความรู้เรื่องวิธีหยุดรถหรือวิธีห้ามล้อ ก็ย่อมก่อให้เกิดอันตรายได้โดยง่าย ใช่หรือไม่ ?   และถ้าหยุดรถไม่เป็น หรือห้ามล้อไม่ได้ ก็อาจทำให้เกิดการชน หรืออาจเกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย และสูญเสียทรัพย์สิน ใช่หรือไม่ ?   อันตรายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ใช่หรือไม่ ?   ท่านผู้ฟังคงจะตอบได้อย่างรวดเร็วในทุกคำถามว่า ใช่แล้ว.

            ในเรื่องของความคิดก็เช่นเดียวกัน ในขณะคิด ถ้าเราไม่รู้จักการหยุดความคิด โดยปล่อยให้คิดเรื่องที่ไม่ดี ความคิดที่ไม่ดีก็จะต่อเติมอยู่ในความจำ จนเกิดการคิดไม่ดีที่รุนแรงมากขึ้น ถึงขั้นเกิดการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจที่ไม่ดี  ซึ่งเป็นผลให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นได้.

            การฝึกหยุดความคิดตามที่นำเสนอนั้น เป็นการฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องต่าง ๆ เพื่อฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถในการหยุดความคิดได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการฝึกสติอย่างเข้มข้น เพื่อใช้ในการหยุดและควบคุมความคิดอย่างมีประสิทธิภาพ.

            เรามาฝึกหยุดความคิดเป็นการชั่วคราวกันนะครับ   เริ่มโดยการหลับตาด้วยความผ่อนคลาย พร้อมกับสั่งตนเองหรือตั้งเจตนาว่า  ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูก หายใจเข้าก็รู้ หายออกก็รู้  รู้เบา ๆ รู้แบบสบาย ๆ  หรือรู้อย่างผ่อนคลาย     เราจะฝึกหยุดความคิดโดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง   กล่าวคือ เมื่อหายใจเข้าก็มีสติรู้ว่า ลมหายใจผ่านเข้าตรงบริเวณรูจมูก    เวลาหายใจออกก็มีสติรู้ว่า มีลมหายใจผ่านออกตรงบริเวณรูจมูก.   อย่าเพ่งสติหรืออย่าตั้งใจมากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด และอย่าน้อยเกินไปจนเกิดการคิดฟุ้งซ่านและหลับใน  เป็นเรื่องของการมีสติรับรู้ความรู้สึกเบา ๆ  สบาย ๆ  ด้วยความผ่อนคลายทั้งจิตใจและร่างกาย ซึ่งเป็นการมีสติที่พอเหมาะพอควร หรือตามทางสายกลาง.

            ในขณะฝึกหยุดความคิดอยู่นั้น ถ้าท่านเผลอสติไปคิดเรื่องอะไรก็ตามหรือไปคิดฟุ้งซ่าน พอมีสติรู้ทันความคิด ก็ให้มีสติหยุดความคิดที่เกิดขึ้นทันที และพยายามกลับมามีสติจดจ่ออยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่ตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียวอย่างต่อเนื่อง.

            ขอให้กำลังใจว่า วิธีการหยุดความคิดนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว คนทั่วไป ก็สามารถฝึกหยุดความคิด ณ ขณะนี้ แล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกคน.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเวลาประมาณ ๒ นาที.   สำหรับท่านที่ชำนาญแล้วก็ฝึกนานได้  แต่ก็อย่าให้นานเกินไปจนกลายเป็นการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.

            ท่านผู้ฟังครับ ให้ท่านกดปุ่มพอส หรือหยุดเครื่องไว้ชั่วคราวเป็นเวลาประมาณ ๒ นาที  เอาละครับ ให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกปฏิบัติด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเอง.

            เพื่อให้เห็นประโยชน์ของการควบคุมความคิด จึงขอเกริ่นนำเรื่องของการควบคุมความคิดซักเล็กน้อย โดยเปรียบเทียบกับเรื่องของการขับรถว่า  ถ้าขับรถโดยไม่มีความรู้และความสามารถในการควบคุมรถ ก็อาจจะขับชนนั่นชนนี่ ก็ก่อให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นได้โดยง่าย.

            ความคิดก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่มีความรู้และความสามารถในการบริหารความคิด เราก็จะไม่สามารถบริหารความคิดได้ จึงอาจเกิดการคิดไม่ดีหรือคิดชั่ว ซึ่งก่อให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น มากบ้างน้อยบ้างตามความรุนแรงของความคิดในขณะนั้น หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อตนเองและหรือผู้อื่นได้โดยง่าย.

            การจะฝึกมีสติควบคุมความคิด ไม่ให้คิดชั่ว ให้คิดดีนั้น  ต้องเริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาเพื่อสั่งการกับตนเองว่า  ต่อจากนี้ไป  เราจะตั้งใจฝึกมีสติควบคุมจิตใจของเราไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน  เราจะตั้งใจฟัง  ตั้งใจคิด และตั้งใจพิจารณาเรื่องคิดดี ทำดี อย่างละเอียด รอบคอบ  และเข้าถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ เพื่อทำให้เราสามารถคิดดี ทำดี ได้อย่างต่อเนื่องตามพระราชดำรัสของพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และเราจะใช้เป็นรูปแบบในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย.

            ในขณะฟัง หรือขณะทำกิจอะไรอยู่ก็ตาม  พอมีสติรู้ว่า มีการเผลอสติไปคิดเรื่องอื่นใด  ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาต่อไป เพื่อให้ท่านสามารถศึกษาและฝึกบริหารความคิดให้คิดดี ทำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            ท่านผู้ฟังครับ ความสามัคคีจะเกิดขึ้นในหมู่คณะ และประเทศชาติได้นั้น ก็ต่อเมื่อคิดดี พูดดี และทำดีต่อกัน.  การจะสนองพระราชดำรัสในเรื่องคิดดี ทำดีนั้น จะต้องฝึกฝนให้เกิดการคิดดี ทำดี จึงจะเกิดความสามัคคีด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส.

            การคิดไม่ดีต่อกันจึงเป็นสาเหตุของการแตกความสามัคคี ใช่หรือไม่ ?

            ดังนั้น การจะไม่ให้เกิดการแตกความสามัคคี จึงจำเป็นจะต้องคิดดี พูดดี และทำดีต่อกันและกัน ใช่หรือไม่ ?

            ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเอง ไม่ให้คิดชั่ว ให้คิดดี ไม่ฟุ้งซ่าน เพื่อจะได้พูดดี ทำดี มีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส มีความสามัคคีตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และไม่มีความทุกข์ พร้อมกับมีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ณ ปัจจุบันขณะนี้เอง  เพื่อทำให้ท่านสามารถทำกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม และควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.

 

ตอนที่ ๐๗

            ท่านผู้ฟังเรามาฝึกหยุดความคิดเป็นการชั่วคราวกันนะครับ   เริ่มโดยการหลับตาด้วยความผ่อนคลาย พร้อมกับสั่งตนเองหรือตั้งเจตนาว่า  ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูก หายใจเข้าก็รู้ หายออกก็รู้  รู้เบา ๆ รู้แบบสบาย ๆ  หรือรู้อย่างผ่อนคลาย         เราจะฝึกหยุดความคิดโดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง.   อย่าเพ่งสติหรืออย่าตั้งใจมากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด และอย่าน้อยเกินไปจนเกิดการคิดฟุ้งซ่านและหลับใน  เป็นเรื่องของการมีสติรับรู้ความรู้สึกเบา ๆ  สบาย ๆ  ด้วยความผ่อนคลายทั้งจิตใจและร่างกาย ซึ่งเป็นการมีสติที่พอเหมาะพอควร หรือตามทางสายกลาง.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเวลาประมาณ ๒ นาที.   เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกปฏิบัติด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเอง.

            การจะฝึกมีสติควบคุมความคิด ไม่ให้คิดไม่ดี และให้คิดดีจนเป็นนิสัยนั้น   ต้องเริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาเพื่อสั่งการกับตนเองว่า  ต่อจากนี้ไป  เราจะตั้งใจฝึกมีสติควบคุมจิตใจของเราไม่ให้คิดไม่ดี ไม่คิดฟุ้งซ่าน  เราจะตั้งใจฟัง  ตั้งใจคิด และตั้งใจพิจารณาเรื่องคิดดี ทำดี อย่างละเอียด รอบคอบ  และเข้าถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ เพื่อทำให้เราสามารถคิดดี ทำดี ได้อย่างต่อเนื่องตามพระราชดำรัสของพระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และเราจะใช้เป็นรูปแบบในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย.

            ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านผู้ฟังมีความเพียร ฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเอง ไม่ให้คิดไม่ดี ไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ให้คิดดี เพื่อจะได้พูดดี ทำดี มีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส มีความสามัคคีตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และไม่มีความทุกข์ พร้อมกับมีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ณ ปัจจุบันขณะนี้เอง  เพื่อทำให้ท่านสามารถทำกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม และควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.

 

ตอนที่ ๐๘

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกหยุดความคิดเป็นการชั่วคราวกันนะครับ   เริ่มโดยการหลับตาด้วยความผ่อนคลาย พร้อมกับสั่งตนเองหรือตั้งเจตนาว่า  ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูก หายใจเข้าก็รู้ หายออกก็รู้  รู้เบา ๆ รู้แบบสบาย ๆ  หรือรู้อย่างผ่อนคลาย           เราจะฝึกหยุดความคิดโดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง.           ในขณะฝึกหยุดความคิดอยู่นั้น ถ้าท่านเผลอสติไปคิดเรื่องอะไรก็ตาม หรือไปคิดฟุ้งซ่าน พอมีสติรู้ทันความคิด ก็ให้มีสติหยุดความคิดที่เกิดขึ้นทันทีหรือในวินาทีนั้นเลย และพยายามกลับมามีสติจดจ่ออยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่ตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียวอย่างต่อเนื่อง.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเวลาประมาณ ๒ - ๔ นาที.  เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกปฏิบัติด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

************

            เมื่อออกจากการฝึกหยุดความคิดแล้ว ท่านจะพบด้วยตนเองว่า ในทุกวินาทีที่หยุดการคิดอยู่นั้น จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส สงบ เบาสบาย ไม่มีความทุกข์จากความคิดใช่หรือไม่ ?  ท่านคงจะตอบได้อย่างรวดเร็วว่าใช่แล้ว.  นี่คือเป้าหมายสูงสุดของการหยุดความคิด.

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเองอย่างต่อเนื่อง.

                        ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านผู้ฟังมีความเพียร ฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเอง ไม่ให้คิดไม่ดี ไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ให้คิดดี เพื่อจะได้พูดดี ทำดี มีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส มีความสามัคคีตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และไม่มีความทุกข์ พร้อมกับมีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ณ ปัจจุบันขณะนี้เอง  เพื่อทำให้ท่านสามารถทำกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม และควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.                                                  

 

 ตอนที่ ๐๙

            ท่านผู้ฟังครับ เราฝึกบริหารความคิดให้ คิดดี ทำดี เพื่อสนองพระราชดำรัสกันนะครับ   เริ่มโดยการหลับตาด้วยความผ่อนคลาย พร้อมกับสั่งตนเองหรือตั้งเจตนาว่า  ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูก หายใจเข้าก็รู้ หายออกก็รู้  รู้เบา ๆ รู้แบบสบาย ๆ  หรือรู้อย่างผ่อนคลาย        เราจะฝึกหยุดความคิดโดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง.   อย่าเพ่งสติหรืออย่าตั้งใจมากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด และอย่าน้อยเกินไปจนเกิดการคิดฟุ้งซ่านและหลับใน  เป็นการฝึกมีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูก เป็นการรับรู้ที่เบา สบาย ด้วยความผ่อนคลายทั้งจิตใจและร่างกาย ซึ่งเป็นการมีสติที่พอเหมาะพอควร หรือตามทางสายกลางนั่นเอง.

            ขอให้กำลังใจว่า วิธีการหยุดความคิดนั้นเป็นเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว  คนทั่วไปก็สามารถฝึกหยุดความคิดได้ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกคน.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ โดยสิ้นเชิง เป็นเวลาประมาณ ๒ - ๕ นาที หรือตามความเหมาะสมของแต่ละท่าน.  เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

*********

            เมื่อออกจากการฝึกหยุดความคิดแล้ว         ขอให้ท่านผู้ฟังมีความเพียร ในการฝึกมีสติรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดของตนเอง ไม่ให้คิดไม่ดี ไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน หรือไม่ให้คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น   ให้คิดดี หรือให้คิดแต่เรื่องที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น เพื่อจะได้พูดดี ทำดี  ขณะเดียวกัน จิตใจก็จะมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีความทุกข์ และมีความสามัคคีเกิดขึ้นตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับมีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ณ ปัจจุบันขณะนี้เอง  เพื่อทำให้ท่านสามารถทำกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม และทุกท่านควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.

 

ตอนที่ ๑๐

            ท่านผู้ฟังครับ ในชีวิตประจำวัน เราควรที่จะสามารถหยุดความคิดของเราได้ทุกเมื่อที่ต้องการ โดยไม่ต้องหลับตา.  ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตาได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ.

            เริ่มต้นโดยการ ให้ฝึกในท่านั่งหรือนอนก็ได้ ตามความเหมาะสม ด้วยความผ่อนคลายไม่ต้องหลับตาอย่างที่เคยทำ ในขณะฝึกครั้งนี้นั้น ท่านไม่ต้องหลับตาอย่างที่เคยทำ.  ให้มองเฉียงลงล่าง คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ได้คิด.

            การมองเฉียงลงล่าง ก็เพื่อที่จะลดการรับรู้ทางตา และไม่แสดงตนว่า กำลังฝึกหยุดความคิดอยู่.  พร้อมกับสั่งตนเองหรือตั้งเจตนาว่า  ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตา โดยการพยายามมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง เป็นการรับรู้ความรู้สึกอย่างเบาสบาย  หรือรู้อย่างผ่อนคลาย.

            ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตาม ถ้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่าน หรือเรื่องที่เป็นอันตราย เราจะไม่คิดปรุงแต่ง เราจะมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกเพียงกิจเดียว.  ทั้งนี้ก็เพื่อฝึกให้ท่านสามารถหยุดความคิดในขณะลืมตานั่นเอง.

            หลังจากฝึกแล้ว ท่านจะพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า ถึงแม้ขณะลืมตา ท่านก็สามารถหยุดความคิดได้เช่นกัน.  โดยหลักการแล้ว ถึงแม้ไม่ได้อุดหู แต่ก็สามารถหยุดความคิดได้เช่นกัน เมื่อมีเจตนาจะหยุด.

            เมื่อท่านฝึกเป็นประจำ ไม่นานนักท่านก็จะสามารถหยุดความคิดได้อย่างรวดเร็วในขณะลืมตา.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดในขณะลืมตาเป็นเวลาประมาณ ๒ นาที หรือตามความเหมาะสมของแต่ละท่าน.  เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

************

            เมื่อออกจากการฝึกหยุดความคิดแล้ว ขอให้ท่านผู้ฟังมีความเพียร ในการฝึกมีสติรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดของตนเอง ให้คิดดีทำดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้จิตใจของท่านมีความบริสุทธิ์ผ่องใส สามารถทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  มีคุณค่า มีประโยชน์  มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม มีความสุขสงบ เป็นบุคคลที่ประเสริฐ และทุกท่านควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.

 

ตอนที่ ๑๑

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตากันนะครับ.          เริ่มต้นโดยการลืมตามองเฉียงลงล่าง คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ได้คิด.

            ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะลดการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ทางตา และเป็นการไม่แสดงออกว่า กำลังฝึกหยุดความคิด.   พร้อมกับสั่งตนเองหรือตั้งเจตนาว่า  ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตา โดยการพยายามมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่องเพียงกิจเดียว เป็นการรับรู้ความรู้สึกอย่างเบาสบาย  หรือด้วยความผ่อนคลาย.  การกระพริบตาเป็นครั้งคราวในระหว่างการฝึกอยู่นั้น เป็นเรื่องปรกติ.   การไม่กระพริบตาเลยจะทำให้ตาแห้ง และเกิดการอักเสบตาได้.

            ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตาม ถ้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่าน หรือเรื่องที่เป็นอันตราย เราจะไม่คิดปรุงแต่ง.  ทั้งนี้ก็เพื่อฝึกให้ท่านสามารถหยุดความคิดในขณะลืมตานั่นเอง.

            ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดในขณะลืมตาเป็นเวลาประมาณ ๒ - ๓ นาที หรือตามความเหมาะสมของแต่ละท่าน.  เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

************

            เมื่อออกจากการฝึกหยุดความคิดแล้ว ขอให้ท่านผู้ฟังมีความเพียร ในการฝึกมีสติรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดของตนเอง ให้คิดดีทำดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้จิตใจของท่านมีความบริสุทธิ์ผ่องใส สามารถทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  มีคุณค่า มีประโยชน์  มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม มีความสุขสงบ เป็นบุคคลที่ประเสริฐ และทุกท่านควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.

 

ตอนที่ ๑๒

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตา เพื่อเป็นรูปแบบสำหรับนำไปใช้ในชีวิตประจำวันกันนะครับ.              

เริ่มต้นโดยการลืมตา มองเฉียงลงล่าง คล้ายกำลังนั่งคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ได้คิด.

            ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะลดการรับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ทางตา และเป็นการไม่แสดงออกว่า ท่านกำลังฝึกหยุดความคิดอยู่  แล้วสั่งตนเองหรือตั้งเจตนาว่า  ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตา โดยการพยายามมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่องเพียงกิจเดียว เป็นการรับรู้ความรู้สึกอย่างเบาสบาย  หรือด้วยความผ่อนคลาย.  การฝึกหยุดความคิดในขณะหลับตาหรือในขณะลืมตานั้นควรฝึกในสถานที่ปลอดภัย เพราะขณะฝึก สมองจะหยุดการคิดชั่วคราว เป็นผลให้การทำงานของสมองลดลง จึงอาจทำให้คิดแก้ปัญหาในขณะมีเหตุฉุกเฉินช้าลงไปด้วย.

            ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดในขณะลืมตาเป็นเวลาประมาณ ๒ - ๓ นาที หรือตามความเหมาะสมของแต่ละท่าน.  เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกหยุดด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.                 

************

            เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ให้ท่านประเมินผลของการฝึกว่า ท่านพอจะหยุดความคิดได้บ้างหรือไม่ ?  ท่านคงจะตอบได้ทันทีว่า ทำได้.   ดังนั้น ถ้าท่านฝึกเป็นประจำ ท่านก็จะมีพละกำลังของสติในการหยุดความคิดได้อย่างรวดเร็ว. 

            ในชีวิตประจำวัน ความสามารถในการหยุดความคิดจะทำให้ท่านสามารถหยุด หรือกำจัด หรือรักษาจิตใจที่ไม่ดี จากการคิดที่ไม่ดีได้อย่างรวดเร็ว.

            เมื่อออกจากการฝึกหยุดความคิดแล้ว ขอให้ท่านผู้ฟังมีความเพียร ในการฝึกมีสติรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดของตนเอง ให้คิดดีทำดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้จิตใจของท่านมีความบริสุทธิ์ผ่องใส สามารถทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  มีคุณค่า มีประโยชน์  มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม มีความสุขสงบ เป็นบุคคลที่ประเสริฐ และทุกท่านควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.

 

ตอนที่ ๑๓

            ท่านผู้ฟังครับ ก่อนที่จะฟังเรื่องวิธีฝึกบริหารความคิดให้ คิดดี ทำดี เพื่อสนองพระราชดำรัสในตอนต่อไปนั้น  ก็ขอเกริ่นนำว่า  ถึงแม้จะมีความรู้เรื่องของจิตใจและเรื่องคิดดีทำดีมากมายเพียงใด  แต่ถ้าไม่สามารถบริหารความคิดของตนเอง เพื่อให้เกิดคิดดีทำดีในชีวิตประจำวันได้อย่างต่อเนื่อง  ก็จะไม่สามารถคิดดีทำดีได้อย่างต่อเนื่อง.

            ในชีวิตประจำวัน เมื่อร่างกายและสมองเหนื่อยล้า ท่านก็ควรพักร่างกายและสมองด้วยการหยุดความคิดเป็นการชั่วคราว.  ท่านจะพบกับข้อเท็จจริงว่า  ในทุกวินาทีที่ความคิดหยุด  ร่างกายและสมองก็จะได้พัก.

            การพักสมองในที่ทำงานนั้น ควรหยุดความคิดในขณะลืมตา เพราะถ้าท่านหลับตา ผู้ที่อยู่ข้างเคียงอาจจะตำหนิเอาได้ว่า หลับในขณะทำงาน ขี้เกียจ เอาเปรียบคนอื่น เป็นต้น.  แท้ที่จริงแล้ว เราต้องการพักสมองและร่างกายด้วยความมีสติ เพื่อที่จะได้สามารถกลับมาทำงานตามปรกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            หลักการสำคัญ คือ ในขณะฝึกหยุดความคิดอยู่นั้น ถ้าท่านเผลอสติไปคิดเรื่องอะไรก็ตาม หรือไปคิดฟุ้งซ่าน ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วไปพึงมี พึงเป็นด้วยกันทั้งนั้น.  ท่านไม่ต้องไปเคร่งเครียด หรือบีบคั้นตนเองมากเกินไปจนกลายเป็นความทุกข์.

            ข้อสำคัญ คือ พอมีสติรู้ทันความคิดว่าฟุ้งซ่านหรือกำลังคิดไม่ดี ก็ให้มีสติหยุดความคิดที่เกิดขึ้นทันทีหรือในวินาทีนั้นเลย และพยายามกลับมามีสติจดจ่ออยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่ตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียวอย่างต่อเนื่อง ด้วยความผ่อนคลาย.

            เรามาฝึกหยุดความคิดในขณะหลับตาเป็นเวลาประมาณ ๑ นาที แล้วจึงฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตามองเฉียงลงล่าง เป็นเวลาประมาณ ๒ นาที  โดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง.   อย่าเพ่งสติหรืออย่าตั้งใจมากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด และอย่าน้อยเกินไปจนเกิดการคิดฟุ้งซ่านและหลับใน  แต่เป็นเรื่องของการมีสติที่พอเหมาะพอควร หรือตามทางสายกลาง.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ในขณะหลับตาและลืมตาด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

************

            เมื่อออกจากการฝึกหยุดความคิดแล้ว ขอให้ท่านได้โปรดประเมินผลของการฝึกว่า ท่านพอจะหยุดความคิดในขณะลืมได้บ้างหรือไม่ ?  ท่านคงจะตอบได้ว่า หยุดได้บ้างตามสมควร ขอถามต่อไปว่า แล้วความคิดฟุ้งซ่านลดลงหรือไม่ ?  ท่านคงจะตอบได้ว่า ความคิดฟุ้งซ่านลดลงตามสมควร  ......และในทุกวินาทีที่หยุดการคิดอยู่นั้น จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส สงบ เบาสบาย ไม่มีความทุกข์จากความคิดใช่หรือไม่ ?  ท่านคงจะตอบได้อย่างรวดเร็วว่าใช่แล้ว.   ผลที่เกิดขึ้นนั้น เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า การหยุดความคิดเป็นประโยชน์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะนี่เอง เป็นผลให้ร่างกายและสมองได้พัก จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส มีความพร้อมที่จะปฏิบัติงานต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ.

            การใส่ใจที่จะฝึกหยุดความคิด เพื่อการพักสมอง ร่างกาย และจิตใจ ในระหว่างการดำเนินชีวิตเป็นประจำ จะช่วยให้ท่านมีความเชี่ยวชาญในการมีสติหยุดความคิดได้อย่างรวดเร็ว.

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเองอย่างต่อเนื่อง.

            ในเรื่องของการควบคุมความคิดนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานมรดกทางคุณธรรมที่ง่าย ตรงประเด็น เพื่อให้พสกนิการนำไปเป็นหลักการในการดำเนินชีวิต ผู้ที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาและเพิ่มพูนมรดกทางคุณธรรม.

            ดังนั้น จึงขอให้ท่านผู้ฟังปฏิบัติตามหลักคุณธรรมเรื่องคิดดีทำดี  โดยการพยายามมีสติบริหารจิตใจของตนเอง  ไม่ให้คิดอกุศลหรือไม่ให้คิดชั่ว  หรือไม่ให้คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น  ให้คิดแต่กุศล  หรือคิดดี  หรือคิดแล้วเป็นประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น  เพื่อที่จะทำให้เป็นคนที่มีจิตใจดี  หรือจิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส  ไม่ทุกข์จากการคิดอกุศล เป็นผลให้เกิดการพูดดี และการความทำดีอย่างต่อเนื่อง

            การจะฝึกมีสติควบคุมความคิด ไม่ให้คิดไม่ดี และให้คิดดีจนเป็นนิสัยนั้น   ต้องเริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาเพื่อสั่งการกับตนเองว่า  ต่อจากนี้ไป  เราจะตั้งใจฝึกมีสติความคุมจิตใจของเราไม่ให้คิดไม่ดี ไม่คิดฟุ้งซ่าน  เราจะตั้งใจฟัง  ตั้งใจคิด และตั้งใจพิจารณาเรื่องคิดดี ทำดี อย่างละเอียด รอบคอบ  และเข้าถึงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ เพื่อทำให้เราสามารถคิดดี ทำดี ได้อย่างต่อเนื่องตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และเราจะใช้เป็นรูปแบบในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย.

            ในขณะฟัง หรือขณะทำกิจอะไรอยู่ก็ตาม ก็ให้มีสติในการทำกิจนั้น ๆ   พอมีสติรู้ว่า มีการเผลอสติไปคิดเรื่องอื่นใด  ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาต่อไป เพื่อให้ท่านสามารถศึกษาและฝึกบริหารความคิดให้คิดดี ทำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            ในยามที่ว่างจากการทำกิจต่าง ๆ  คนทั่วไปก็มักจะคิดเรื่องต่าง ๆ ตามความคิดที่แวบขึ้นมาในขณะนั้น.  ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ท่านก็ควรฝึกมีสติส่วนใหญ่อยู่กับลมหายใจ และส่วนน้อยอยู่กับการรับรู้เรื่องต่าง ๆ  ก็จะเป็นผลให้ไม่ไปคิดปรุงแต่งเรื่องต่าง ๆ ได้โดยง่าย.

            การมีสติอยู่กับลมหายใจจึงเปรียบเหมือนการโยงจิตของเราไว้กับเสาหลัก หรือไว้กับฐานหลักของจิต จึงทำให้สามารถสำรวมความคิดได้ดีขึ้น.

            ฐานหลักของจิตจะเป็นเรื่องของการเคลื่อนไหวของนิ้ว มือ การบริกรรมว่า พุทธโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอ พองหนอ แม่พระ พระบิดา พระเยซู พระเป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้า นักบุญ หรือชื่อท่านที่เราเคารพรัก หรือคำว่า คิดดีทำดี ก็ได้.  มีผู้ฟังคำบรรยายเรื่องคิดดี ทำดี แล้วบริกรรมคำนี้เพื่อเป็นฐานหลักของจิตก็ได้ผลเช่นกัน.

            ขอแนะนำว่า ณ ขณะนี้ ท่านควรทำตามที่เสนอแนะเสียก่อน เพื่อเปิดวิสัยทัศน์ หลังจากเข้าใจหลักการและได้ฝึกปฏิบัติตามสมควรแล้ว จึงค่อยใช้วิธีการอื่น ๆ ตามความเหมาะสมก็ได้.

            ท่านคงทราบดีแล้วว่า สาเหตุของความชั่วหรือความไม่ดี และสาเหตุของความดีนั้น เกิดจากความคิดนี่เอง.  ดังนั้น ถ้าท่านสามารถบริหารจิตของตนเอง ให้หยุดความคิดที่ไม่ดีและควบคุมความคิดไม่ให้คิดไม่ดีได้ ก็ได้ชื่อว่าท่านสามารถเอาชนะความชั่ว และกำลังทำความดี ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสนั่นเอง ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวัน.

            ท่านผู้ฟังครับ ความปรารถนาดี  ความสามัคคี ความเอื้ออารี จะเกิดขึ้นในหน่วยงาน ครอบครัว  สังคม และประเทศชาติได้นั้น ก็ต่อเมื่อคิดดี พูดดี และทำดีต่อกัน.

            ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านผู้ฟังมีความเพียร ฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเอง ไม่ให้คิดไม่ดี ไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ให้คิดดี เพื่อจะได้พูดดี ทำดี มีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส มีความสามัคคีตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และไม่มีความทุกข์ พร้อมกับมีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่อย่างต่อเนื่อง ณ ปัจจุบันขณะนี้เอง  เพื่อทำให้ท่านสามารถทำกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม และควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต นะครับ.

 

ตอนที่ ๑๔

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกหยุดความคิดในขณะหลับตาเป็นเวลาประมาณ ๑ นาที แล้วจึงฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตามองเฉียงลงล่าง เป็นเวลาประมาณ ๒ นาที  โดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ในขณะหลับตาและลืมตาด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

*********

            เมื่อออกจากการฝึกหยุดความคิดแล้ว ขอให้ท่านได้โปรดประเมินผลของการฝึกว่า ในทุกวินาทีที่หยุดการคิดอยู่นั้น จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส สงบ เบาสบาย ไม่มีความทุกข์ที่เกิดจากความคิด ซึ่งเป็นประโยชน์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะนี่เอง เป็นผลให้สมองได้พัก ร่างกายได้พัก จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส และมีความพร้อมที่จะปฏิบัติงานต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ.

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเองไม่ให้คิดไม่ดี ให้คิดดีเท่านั้น.

            ก่อนที่จะฝึกสำรวมความคิด ก็ขอเกริ่นนำว่า.  ในขณะที่ท่านกำลังดูละครโทรทัศน์อยู่ และตั้งใจดูอย่างเต็มที่ ท่านก็จะคิดปรุงแต่งไปตามบทละคร ทำให้ท่านคิดดีบ้าง คิดไม่ดีบ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้างไปตามเนื้อเรื่องที่ผู้แต่ง ผู้กำกับ และผู้แสดงสร้างขึ้น ซึ่งในละครส่วนใหญ่มักจะกระตุ้นให้ผู้ชมเป็นทุกข์อย่างต่อเนื่อง และมักลงท้ายตอนจบก็จะมีความสุข เพราะเป็นไปตามที่ผู้ชมปรารถนา หรือความทุกข์ที่ถูกสร้างขึ้นหมดไป.

            ท่านจะสังเกตว่า ก่อนการชมละครโทรทัศน์เรื่องใดก็ตาม ท่านก็จะไม่มีความทุกข์จากละครเรื่องนั้น ครั้นได้ชมละครเรื่องนั้น ท่านก็อาจจะเริ่มเป็นทุกข์แทนพระเอกบ้าง นางเอกบ้าง บางทีก็เป็นทุกข์แทนครอบครัวของพระเอกและนางเอก เพื่อนของพระเอกและนางเอก เป็นต้น.  ขอถามท่านผู้ฟังว่า แล้วท่านดูละครโทรทัศน์ทำไม ทั้ง ๆ ที่ดูแล้ว ทำให้เป็นทุกข์ในเรื่องของคนอื่น ?  ท่านก็คงจะตอบได้ทันทีว่า เพราะอยากดู ?  ถามต่อไปว่า ทำไมท่านอยากดู ? ท่านคงจะตอบว่า ก็อยากนะซิ.  ท่านผู้ฟังครับ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่อยากรู้เรื่องของคนอื่นใช่ไหมครับ ?   คนที่อยากรู้เรื่องของคนอื่นผิดไหมครับ ?  คำตอบคือ ไม่ผิด เพราะธรรมชาติหรือสัญชาติญานของคนทั่วไปเป็นเช่นนั้นเอง.

            ดังนั้น การชมการแสดงต่าง ๆ การดูข่าวต่าง ๆ  การพูดคุยกัน และการประชุม เป็นเรื่องที่คนทั่วไปต้องรับรู้ข้อมูลตามปรกติในชีวิตประจำวัน.  ข้อสำคัญคือ ต้องรู้จักวิธีสำรวมจิตใจของตนเองโดยการสำรวมที่ความคิด เพื่อที่จะทำให้ท่านสามารถรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส  เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต  และไม่เป็นทุกข์ทางจิตใจ.  

            ท่านสามารถทดลองฝึกสำรวมความคิดในเบื้องต้นนี้ ที่หน้าโทรทัศน์ เช่น ขณะชมละครโทรทัศน์อยู่นั้น ให้ท่านทำการฝีมือไปด้วย.  ท่านจะสังเกตว่า ขณะที่ทำการฝีมืออยู่นั้น ความใส่ใจในละครโทรทัศน์ก็จะลดลง การคิดปรุงแต่งไปตามเนื้อหาของละครก็จะลดลงไปด้วย.  ความทุกข์ ความสุข และความสนุกจากการชมละครก็จะลดลงไปด้วย เพราะท่านได้แบ่งสติมาอยู่กับงานการฝีมือ.  ในขณะที่ตั้งใจหรือใช้สติในการทำการฝีมือเต็มที่ ท่านก็จะไม่คิดปรุงแต่งละคร เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

            เมื่อท่านเลิกทำการฝีมือ แล้วตั้งใจหรือมีสติในการชมละครโทรทัศน์เต็มที่ ท่านก็จะคิดปรุงแต่งไปตามบทละคร คิดดีบ้าง ไม่ดีบ้าง จึงเป็นสุข และเป็นทุกข์ไปตามบทละคร.

            ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน เมื่อท่านต้องพบปะกับบุคคล และเหตุการณ์ต่าง ๆ  ท่านสามารถสำรวมความคิดโดยการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตโดยไม่ต้องเอางานการฝีมือไปทำ.

            วิธีการง่าย ๆ ก็คือ เมื่อท่านต้องการสำรวมความคิดตามสมควร ท่านก็ควรมีสติอยู่กับการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆประมาณครึ่งหนึ่ง และอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจประมาณครึ่งหนึ่ง.

            เมื่อท่านต้องการสำรวมความคิดมากขึ้น ท่านก็พยายามมีสติอยู่กับลมหายใจให้มากขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย.

            การจะฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติ พร้อมทั้งควบคุมความคิด ไม่ให้คิดไม่ดี และให้คิดดีในขณะนี้นั้น   ต้องเริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาเพื่อสั่งการกับตนเองว่า 

            ต่อจากนี้ไป  เราจะพยายามมีสติอยู่กับฐานหลักของจิตประมาณครึ่งหนึ่ง และมีสติอยู่กับการฟังครึ่งหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่หลงเชื่อได้โดยง่าย.  ในช่วงไหนของการฟังที่ต้องใช้

3 ความคิดมาก ท่านก็ควรใช้สมองไปกับการคิดหรือพิจารณาเต็มที่ เพื่อให้เกิดปัญญาหรือความรู้มากที่สุด  และในช่วงที่ท่านไม่ต้องใช้ความคิดหรือใช้สมองมาก ก็ให้ท่านมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตประมาณครึ่งหนึ่ง.

            ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามมีสติในการสำรวมความคิดไปเรื่อยทั้งในขณะนี้ และในชีวิตประจำวัน ให้ท่านฝึกเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยไม่ต้องไปเร่งรัดหรือเคร่งเครียดจนมากเกินไป.  เอาละครับ กรุณาหายใจแรง ๆ ซัก ๑ ครั้ง เพื่อเรียกสติคืนมา และลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

 

ตอนที่ ๑๕

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกหยุดความคิดในขณะหลับตาเป็นเวลาประมาณ ๑ นาที แล้วจึงฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตามองเฉียงลงล่าง เป็นเวลาประมาณ ๒ นาที  โดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าตรงบริเวณรูจมูกอย่างต่อเนื่อง.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ในขณะหลับตาและลืมตาด้วยความจริงใจและจริงจังได้แล้วนะครับ.

*********

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกมีสติควบคุมความคิดของตนเองไม่ให้คิดไม่ดี ให้คิดดีเท่านั้น.

            การฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเพื่อสำรวมความคิดนั้น จะต้องพยายามมีสติอยู่กับการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ  และอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจด้วย หรืออยู่กับฐานหลักของจิตในสัดส่วนที่เหมาะสมด้วย.

            เมื่อท่านต้องการสำรวมความคิดให้มากขึ้น ท่านก็ควรพยายามมีสติอยู่กับลมหายใจให้มากขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย. 

            การสำรวมความคิดเกิดขึ้นจากการลดการคิดปรุงแต่งไปตามข้อมูลที่ได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย.  ยิ่งมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจมากเท่าใด โอกาสที่จะคิดปรุงแต่งไปตามข้อมูลที่ได้รับมาย่อมลดลงไปตามสัดส่วนด้วย.

            ในชีวิตประจำวัน ถ้าท่านจำเป็นต้องพูดคุยกับคนที่ช่างนินทา ท่านควรมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติในสัดส่วนที่มากหรือน้อย ?  ท่านคงจะตอบได้ทันทีว่า มาก  เพราะถ้าตั้งใจฟังเต็มที่ ย่อมกระตุ้นให้ท่านคิดอกุศลตามคำพูดของคนที่ช่างนินทาได้โดยง่าย จึงมีโอกาสติดเชื้อโรคทางใจจากคนช่างนินทาได้โดยง่าย.

            ในขณะข้ามถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่อยู่นั้น ท่านควรมีสติเต็มที่อยู่กับการข้ามถนนเพื่อความปลอดภัยของชีวิตใช่หรือไม่ ?  ท่านคงจะตอบว่า ใช่แล้ว  เพราะถ้ามีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติในสัดส่วนที่มาก สมองจะไม่พร้อมในการดูแลความปลอดภัยในขณะข้ามถนน.

            ในขณะทำงานสำคัญ ที่ต้องใช้สมองในการคิดหรือพิจารณางานอย่างละเอียด และเต็มประสิทธิภาพ  ท่านก็ควรใช้สมองในการคิดหรือพิจารณาเต็มที่ โดยไม่ต้องมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติก็ได้.   แต่ก็ควรกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติเป็นช่วง ๆ  เพื่อการพักสมองและร่างกายไปด้วย.

            ในขณะออกกำลังกายหรือทำกิจต่าง ๆ ที่ไม่ต้องใช้สมองมาก ก็พยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติประมาณครึ่งหนึ่ง และอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง.    ครั้นต้องการใช้สมองมาก ก็ให้มีสติอยู่กับกิจเต็มที่ และอย่าลืมพักเป็นช่วง ๆ เมื่อสมองหรือร่างกายอ่อนล้า โดยการกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิต.

            ในขณะอยู่ในแหล่งอบายมุข ท่านมีโอกาสคิดอกุศลได้โดยง่าย จึงควรที่จะมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเป็นส่วนใหญ่เพื่อสำรวมความคิด ใช่หรือไม่ ?  ท่านคงจะตอบว่าใช้แล้ว.

            ในขณะรับประทานอาหาร ท่านก็ควรพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตไว้เสมอ คือ ประมาณครึ่งหนึ่ง เพื่อสำรวมระวังในการรับประทานอาหาร ไม่ให้มากหรือน้อยเกินทั้งปริมาณ รสชาติ องค์ประกอบ หรือให้เป็นทางสายกลาง  เพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บจากการรับประทานอาหาร.

            ขอให้ท่านผู้ฟังพยายามมีสติในการสำรวมความคิดไปเรื่อยทั้งในขณะนี้ และในชีวิตประจำวัน ให้ท่านฝึกเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยไม่ต้องไปเร่งรัดหรือเคร่งเครียดจนมากเกินไป.  เอาละครับ กรุณาหายใจแรง ๆ ซัก ๑ ครั้ง เพื่อเรียกสติคืนมา และลงมือฝึกควบคุมความคิดและสำรวมความคิดได้แล้วนะครับ.

 

ตอนที่ ๑๖

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกหยุดความคิดในขณะหลับตาหรือลืมตามองเฉียงลงล่าง โดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกเพียงเรื่องเดียว ไม่ไปคิดเรื่องอื่นใด และขณะฝึกหยุดความคิดอยู่นั้น มักจะมีความคิดแวบขึ้นมาเป็นช่วง ๆ  ซึ่งธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง ให้ท่านพยายามไม่ไปคิดปรุงแต่งต่อไป เพื่อหยุดการคิด เพื่อพักสมองและร่างกายเป็นการชั่วคราว.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ในขณะหลับตาและลืมตาด้วยความจริงใจและจริงจังเป็นเวลา ประมาณ 2-3 นาที ลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง ให้คิดดี เพื่อจะได้พูดดีและทำดีได้อย่างต่อเนื่อง ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.

            การควบคุมความคิดและการสำรวมความคิด ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีการคิดไม่ดี หรือป้องกันการคิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น หรือป้องกันการคิดอกุศล.

            ในขณะที่ฟุ้งซ่าน มักจะมีการคิดอกุศลได้โดยง่ายและไม่รู้ตัว เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

            ดังนั้น เมื่อมีความคิดแวบขึ้นมาหรือคิดแทรกขึ้นมาในขณะทำกิจต่าง ๆ อยู่นั้น และความคิดที่แวบขึ้นมานั้นไม่เกี่ยวข้องกับกิจที่กำลังทำอยู่ หรือไมใช่เรื่องที่รีบด่วน ก็ให้ท่านอย่าคิดปรุงแต่งหรือคิดต่อเติม ให้ท่านมีสติอยู่กับการทำกิจนั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง  ครั้นเผลอสติไปคิดเรื่องอะไรก็ตามพอรู้ตัวก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับงานนั้น ๆ ทันที ในวินาทีนั้นเลย  และในช่วงที่ว่างจากกิจต่าง ๆ  ให้พยายามฝึกมีสติอยู่กับลมหายใจไว้เสมอๆ จนเป็นนิสัย.

            ในขณะที่ทำกิจต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้สมองมาก เช่น ขณะฟังรายการวิทยุ หรือดูโทรทัศน์ ท่านควรพยามฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตหรือมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกบริเวณรูจมูกประมาณครึ่งหนึ่ง อยู่กับการดูหรือการฟังประมาณครึ่งหนึ่ง เพื่อสำรวมความคิดไม่ให้ไปคิดปรุงแต่งตามข้อมูลที่ได้รับมา.

            ครั้นต้องการใช้สมองในการคิดหรือพิจารณาเนื้อหามากขึ้นหรือละเอียดอ่อน หรือต้องใช้ความคิดมาก ก็ลดสัดส่วนของสติที่อยู่กับลมหายใจลงไปตามสัดส่วนด้วย.

            เมื่อท่านต้องการสำรวมความคิดให้มากขึ้น ท่านก็ควรพยายามมีสติอยู่กับลมหายใจให้มากขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย. 

            ท่านไม่ต้องกังวลว่า จะต้องไม่ฟุ้งซ่านเลย หรือจะต้องมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติอย่างต่อเนื่อง 100 %  เพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากธรรมชาติของสมองต้องมีการฟุ้งซ่านบ้างและไม่สามารถมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติได้อย่างต่อเนื่อง  แต่เราจะพยายามควบคุมจิตใจของเราให้ฟุ้งซ่านน้อยลง และคิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ จนเป็นนิสัย.

            การฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเพื่อสำรวมความคิดนั้น จะต้องพยายามมีสติอยู่กับการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ  และอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูกด้วย หรืออยู่กับฐานหลักของจิตในสัดส่วนที่เหมาะสมด้วย เพื่อสำรวมความคิด ซึ่งควรเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมหรือตามทางสายกลางนั่นเอง.

            ขอให้ท่านผู้ฟังพยายามมีสติในการสำรวมความคิดไปเรื่อยทั้งในขณะนี้ และในชีวิตประจำวัน ให้ท่านฝึกเท่าที่สามารถจะทำได้ โดยไม่ต้องไปเร่งรัดหรือเคร่งเครียดจนมากเกินไป.  เอาละครับ กรุณาหายใจแรง ๆ ซัก ๑ ครั้ง เพื่อเรียกสติคืนมา แล้วลงมือฝึกควบคุมความคิดและสำรวมความคิดได้แล้วนะครับ.

 

ตอนที่ ๑๗

            ท่านผู้ฟังครับ การจะคิดดีได้นั้น ต้องมีความสามารถในการบริหารความคิด.  ซึ่งมีเพียง ๒ เรื่อง คือ ๑. เรื่องของการหยุดความคิด  และ ๒. เรื่องของการควบคุมความคิด การควบคุมความคิดก็เพื่อให้สามารถมีความรู้และความสามารถในการหยุดการคิดไม่ดี หรือการคิดชั่ว หรือละการคิดอกุศล  โดยการฝึกมีสติคิดดี หรือให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ไม่มีความทุกข์จากการคิดไม่ดี  และทำให้เกิดการพูดดี ทำดีหรือทำประโยชน์ให้กับตนเองและหรือผู้อื่นได้อย่างต่อเนื่อง อันจะนำพาชีวิตไปสู่ความเจริญ ความผาสุกและความมั่นคง ตามพระราชดำรัสนั่นเอง.

            ก่อนที่จะฟังเรื่องคิดดีทำดีในตอนต่อไป      เราก็ควรฝึกบริหารความคิดโดยการฝึกหยุดความคิดในขณะที่หลับตา หรือในขณะที่ลืมตามองเฉียงลงล่างก็ได้ โดยการมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกเพียงเรื่องเดียว ไม่ไปคิดเรื่องอื่นใด.

            ในขณะฝึกหยุดความคิดอยู่นั้น มักจะมีความคิดแวบขึ้นมาเป็นช่วง ๆ  เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ซึ่งเป็นการทำงานตามปรกติของสมอง ขอแต่เพียงให้ท่านพยายามไม่ไปคิดต่อเติมในเรื่องที่แวบขึ้นมา  ให้ท่านพยายามหยุดการคิดต่อเติมในทุกเรื่อง คงมีเพียงแค่การมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกเท่านั้นเอง.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ในขณะหลับตาหรือลืมตาด้วยความจริงใจและจริงจังเป็นเวลา ประมาณ 1- 2 นาที เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกบริหารความคิดโดยการมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง ให้คิดดี เพื่อจะได้พูดดีและทำดีได้อย่างต่อเนื่อง ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.

            การคิดดีหรือการคิดแต่กุศลมี ๒ องค์ประกอบหลัก คือ

    ๑. การไม่คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น  รวมทั้งการคิดทำประโยชน์ให้กับตนเองและหรือผู้อื่น.

    ๒. การไม่คิดฟุ้งซ่าน  เพราะการคิดฟุ้งซ่านนี่เองที่ทำให้เรามีโอกาสคิดเบียดเบียนตนเองและหรือ  ผู้อื่น ได้โดยง่าย เพราะขณะคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น สมองจะคิดไปตามเหตุปัจจัยในขณะนั้น และเราไม่สามารถควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศลได้เหมือนขณะมีสติ.  ขณะเดียวกัน การคิดฟุ้งซ่านทำให้เสียเวลาการทำการงานต่าง ๆ หรือทำงานโดยไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น

            ดังนั้น ต่อจากนี้ไปเราจะพยายามมีสติอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะคิดดีอย่างต่อเนื่อง เท่าที่จะทำได้ โดยไม่ต้องบีบคั้นตนเองจนมากเกินไป.

            ธรรมชาติของสมองนั้น ก็มักจะมีการคิดฟุ้งซ่านอยู่เสมอ  ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ขอแต่เพียงให้ท่านพยายามมีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่ และคอยควบคุมความคิด ไม่คิดอกุศล ให้คิดแต่กุศลก็เพียงพอแล้ว.

            อย่าคาดคั้นตนเองให้ต้องทำได้ ๑๐๐%  เพราะจะทำให้เกิดความกังวลและความเครียด หรือเป็นทุกข์ขึ้นมาได้.

            ขณะนี้ ขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกสำรวมความคิดในขณะนี้ด้วยการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติประมาณครึ่งหนึ่ง อยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาครึ่งหนึ่ง เพื่อสำรวมระวังไม่คิดปรุงแต่งไปตามเนื้อหาของคำพูดจนเกิดการหลงงมงาย.

            ครั้นจำเป็นต้องใช้สมองในการคิดหรือพิจารณาเนื้อหาอย่างละเอียด ท่านก็ควรมีสติส่วนใหญ่อยู่กับการพิจารณา  และถ้าเป็นเรื่องที่ต้องใช้สมองหรือความคิดมาก ท่านก็ควรมีสติอยู่กับการคิดอย่างเต็มที่ เพื่อประสิทธิภาพของการคิด แต่ก็ควรพักโดยการกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเป็นช่วง ๆ.

            ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน ให้ท่านพยายามมีสติอยู่กับงาน ถ้ามีการคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ก็ให้มีสติหยุดการคิดฟุ้งซ่าน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ท่านสามารถทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสติอยู่กับกิจอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นการฝึกฝนตนเองให้ฟุ้งซ่านลดลง.

            ในขณะเดียวกัน ให้ท่านพยายามมีสติควบคุมจิตใจของท่านไม่ให้คิดอกุศลอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการไม่คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ให้คิดแต่เรื่องที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น รวมทั้งพยายามมีสติอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน.

      ท่านผู้ฟังครับ ต่อจากนี้ไปให้ท่านสั่งตนเองว่า เราจะฝึกควบคุมความคิดโดยการพยายามมีสติคิดแต่กุศล หรือคิดดี เพื่อที่จะได้พูดดี  ทำดี และทำจิตให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องชั่วชีวิต เพื่อสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่.

 

ตอนที่ ๑๘

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกบริหารความคิดโดยการฝึกหยุดความคิดในขณะที่หลับตา หรือในขณะที่ลืมตามองเฉียงลงล่างก็ได้ ตามความเหมาะสม หรือตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่.

            การหยุดความคิดจึงเปรียบเหมือนการปิดแฟ้มเรื่องราวต่าง ๆ ของชีวิต เพราะขณะที่หยุดคิด ก็จะเกิดการปล่อยวาง.  การปล่อยวางเช่นนี้เป็นการปล่อยวางจากการหยุดความคิด.  โดยการมีสติอยู่แค่การรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียว ไม่ไปคิดเรื่องอื่นใด.

            ดังนั้น ทุกวินาทีที่ไม่คิดอกุศล หรือขณะที่ความคิดหยุด สมอง ร่างกาย และจิตใจก็จะได้พักทันที เป็นการเว้นวรรคทางความคิดโดยไม่ต้องใช้ยา แต่การจะทำได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงได้นั้น ต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นประจำ จนเกิดความสามารถในการหยุดความคิด.

            ความสามารถในการหยุดความคิดเช่นนี้ เกิดจากการฝึกฝนตนเองจนข้อมูลความสามารถในหน่วยความจำของสมองมีจำนวนมาก และถ้าฝึกนาน ๆ เข้า ข้อมูลในสมองก็จะฝังแน่นในความจำมากขึ้น.

            ขณะเดียวกันถ้าไม่ฝึกไว้เสมอ ข้อมูลความรู้และความสามารถในการบริหารความคิดก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว.  ดังนั้น ทุกท่านต้องมีความเพียรในการฝึกฝนตนเองไปชั่วชีวิต.

            ในชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกหยุดความคิดหรือพักสมองและร่างกายเป็นช่วง ๆ เช่น เมื่อสมองหรือร่างกายเหนื่อยล้า ท่านก็ควรพักโดยการหยุดความคิดเป็นการชั่วคราว จากนั้นท่านก็ควรเปลี่ยนอิริยาบถ.  การทำเช่นนี้ แสดงว่า ท่านมีเมตตาต่อตนเอง เมื่อท่านมีเมตตาต่อตนเองได้ ท่านก็จะมีเมตตาต่อผู้อื่นได้.

            โปรดอย่าลืมว่า ขณะฝึกหยุดความคิดนั้น ท่านควรฝึกในที่ปลอดภัย เพราะขณะฝึกอยู่นั้น การรับรู้การคิดและการแก้ปัญหาต่าง ๆ ของสมองจะช้าลง  จึงอาจคิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันได้ไม่ดีเท่าที่ควร.

            ขณะฝึกในที่ทำงานหรือมีผู้อื่นอยู่ในสถานที่นั้น ก็ควรฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตา และไม่ควรบอกผู้อื่นว่า ท่านกำลังฝึกหยุดความคิดอยู่.

            ในชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกหยุดความคิดในขณะดูโทรทัศน์ด้วย โดยไม่ต้องบอกให้ผู้ข้างเคียงทราบ.   

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ ในขณะหลับตาหรือลืมตาด้วยความจริงใจและจริงจังเป็นเวลาประมาณ 1- 2 นาที เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกบริหารความคิดโดยการมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง ให้คิดดี เพื่อจะได้พูดดีและทำดีได้อย่างต่อเนื่อง ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.

            ในขีวิตประจำวัน ถ้าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฟุ้งซ่าน ท่านก็จะมีโอกาสคิดอกุศลได้โดยง่าย เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง และจะเป็นผลให้นอนหลับไม่สนิทเนื่องจากการคิดฟุ้งซ่านในขณะนอน.

            ความฝันเกิดจากความคิดนี่เอง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตอนใกล้จะนอนหลับ และตอนใกล้จะตื่นเพราะขณะนั้นสมองทำงานลดลง สติจึงอ่อนกำลังลง เป็นผลให้เกิดการคิดปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานาตามเหตุปัจจัยในขณะนั้น ๆ.   ดังนั้น คนที่ฟุ้งซ่านมากก็มักจะฝันเก่งด้วย.

            ในชีวิตประจำวัน ท่านจึงควรฝึกหยุดความคิดสลับกับการฝึกควบคุมความคิดอย่างต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะลดความคิดฟุ้งซ่าน และสามารถทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            เมื่อถึงเวลาพัก ท่านก็ควรฝึกหยุดคิดเรื่องงานต่าง ๆ เพื่อให้สมองและร่างกายได้พัก.   การคิดเรื่องงานอย่างต่อเนื่องโดยไม่พัก ก็จะทำให้เกิดความเครียดซึ่งเป็นภัยต่อจิตใจและร่างกายโดยตรง.

            เมื่ออยู่บ้านก็ควรมีสติคอยควบคุมจิตใจ ไม่ให้ไปคิดเรื่องงาน ยกเว้นในกรณีย์รีบด่วนเท่านั้น.

            เมื่อศรีษะถึงหมอนหรือเป็นเวลานอน ก็พยามมีสติเพื่อการนอนหลับ โดยการพยายามมีสติอยู่กับฐานหลักของจิตเพียงเบา ๆ  เพื่อเป็นที่เกาะเกี่ยวสำหรับไม่ให้สมองไปคิดฟุ้งซ่าน และพร้อมที่จะหลับตลอดเวลา.

            เมื่อเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน พอรู้ตัว ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเช่นเดิม อย่าปล่อยให้คิดต่อ เพราะจะเสียนิสัย.   พร้อมกับเตือนตนเองว่า เป็นเวลานอน ไม่ควรคิดเรื่องอะไรอีกแล้ว เพราะการคิดในขณะที่เป็นเวลานอนนั้น เป็นการเบียดเบียนตนเอง และหรือผู้อื่น.

            เมื่อตื่นขึ้นกลางดึก เช่นตื่นไปเข้าห้องน้ำ ก็ให้พยายามมีสติประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอ จนเป็นนิสัย เพื่อป้องกันการคิดฟุ้งซ่าน.

            เมื่อยังไม่ถึงเวลาตื่นนอน ไม่ควรลุกขึ้นทำกิจอื่นใดเพราะยังเป็นเวลานอน  ถ้าลุกขึ้นมาทำกิจใด ๆ ก็ตาม เพียงไม่กี่ครั้ง สมองก็จะเกิดความเคยชินกับการต้องใช้เวลานอนมาทำกิจอื่น ซึ่งเป็นการเบียดเบียนตนเอง และหรือผู้อื่นก็ได้ เพราะจะทำให้การพักผ่อนไม่เพียงพอ และทำงานไม่มีประสิทธิภาพ.

            ขอให้ท่านฝึกมีสติเพื่อการนอนทุกวันจนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป.  ไม่ว่าท่านจะนอนหลับได้ดีหรือไม่ดี ท่านก็ควรฝึกเช่นนี้ตลอดไป.

            ครั้นจำเป็นต้องใช้สมองในการคิดหรือพิจารณาเนื้อหาอย่างละเอียด ท่านก็ควรมีสติส่วนใหญ่อยู่กับการพิจารณา  และถ้าเป็นเรื่องที่ต้องใช้สมองหรือความคิดมาก ท่านก็ควรมีสติอยู่กับการคิดอย่างเต็มที่ เพื่อประสิทธิภาพของการคิด แต่ก็ควรพักโดยการกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเป็นช่วง ๆ ตามความเหมาะสม.

            การควบคุมความคิดและการสำรวมความคิด ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีการคิดไม่ดี หรือป้องกันการคิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น หรือป้องกันการคิดอกุศล.

ครับ ขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกสำรวมความคิดในขณะนี้ ด้วยการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติประมาณครึ่งหนึ่ง อยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาครึ่งหนึ่ง เพื่อสำรวมระวังไม่ให้คิดปรุงแต่งไปตามเนื้อหาของคำพูดจนเกิดการหลงงมงาย.

            การสำรวมความคิดเกิดขึ้นจากการลดการคิดปรุงแต่งไปตามข้อมูลที่ได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย.  ยิ่งมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจมากเท่าใด โอกาสที่จะคิดปรุงแต่งไปตามข้อมูลที่ได้รับมาย่อมลดลงไปตามสัดส่วนด้วย.

            ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน ท่านควรพยายามมีสติอยู่กับงาน และมีสติควบคุมจิตใจของท่านไม่ให้คิดอกุศลอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการไม่คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ให้คิดแต่เรื่องที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น รวมทั้งพยายามมีสติอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน.

            ท่านผู้ฟังครับ ต่อจากนี้ไปให้ท่านสั่งตนเองว่า เราจะฝึกควบคุมความคิดโดยการพยายามมีสติคิดแต่กุศล หรือคิดดี เพื่อที่จะได้พูดดี  ทำดี และทำจิตให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องชั่วชีวิต เพื่อสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่.

 

ตอนที่ ๑๙

              ท่านผู้ฟังครับ ก่อนที่จะฟังเรื่องคิดดีทำดี หรือก่อนทำกิจต่าง ๆในชีวิตประจำวัน เรามาฝึกบริหารความคิดโดยการฝึกหยุดความคิด เพื่อทำให้จิตใจมีความสงบ มีความบริสุทธิ์ผ่องใส จึงทำให้มีความพร้อมที่จะมีสติในการทำกิจต่าง ๆ ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส.

            ท่านจะรู้เห็นได้ด้วยตนเองว่า ทุกวินาทีที่ความคิดหยุด และทุกวินาทีที่ไม่คิดอกุศล จิตใจก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิดจากการคิดอกุศลเลย ซึ่งเป็นคุณสมบัติของบุคคลที่ประเสริฐ  และเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนในทุกชาติ และศาสนาสามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน.

            ครับ ในชีวิตประจำวัน เมื่อร่างกายของท่านเหนื่อยล้า สมองก็จะเหนื่อยล้าไปด้วย หรือเมื่อสมองเหนื่อยล้า ร่างกายก็จะเหนื่อยล้าไปด้วย.  ดังนั้น ท่านจึงควรพักสมองและร่างกายด้วยหยุดความคิดเป็นการชั่วคราว เมื่อมีความเหนื่อยล้าเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยล้าทางสมอง หรือร่างกาย หรือจิตใจ.

            ท่านจะพบกับข้อเท็จจริงว่า  ในทุกวินาทีที่ความคิดหยุด  สมองและร่างก็จะได้พัก.

            หลังจากการพักด้วยการหยุดความคิดแล้ว ท่านก็ควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรืออาจจะเปลี่ยนอิริยาบถเสียก่อน เสร็จแล้วจึงค่อยพักสมองโดยการหยุดความคิดเป็นการชั่วคราว.

            ในชีวิตประจำวัน ท่านควรฝึกหยุดความคิดในขณะดูโทรทัศน์หรือขณะฟังวิทยุด้วย โดยไม่ต้องบอกให้ผู้ข้างเคียงทราบ.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ หรือฝึกปล่อยวาง ในขณะหลับตาหรือลืมตา ด้วยความจริงใจและจริงจังเป็นเวลาประมาณ 1- 2 นาที เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

 

ตอนที่ ๒๐

            ท่านผู้ฟังครับ การฝึกหยุดความคิดเป็นเหมือนการปิดแฟ้มเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นทั้งอดีต และอนาคต คงเหลือเรื่องปัจจุบันเพียงเรื่องเดียว ซึ่งเป็นเรื่องของการโยงใยจิตใจไว้กับเรื่อง เล็ก ๆ ง่าย ๆ และเป็นกิจที่เบาที่สุดในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ นั่นคือ การมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณจมูกเพียงกิจเดียว ซึ่งคนไทยมักนิยมฝึกกันในทุกวัย ที่เรียกว่าฝึกสมาธิ.

            ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านรู้ตัวว่า กำลังมีปัญหาทางจิตใจเกิดขึ้น เช่น กำลังคิดไม่ดี หรือกำลังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่เป็นอกุศล หรือกำลังมีจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์และขุ่นมัว หรือกำลังกังวล เครียด หรือกำลังเป็นทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ จากการคิดไม่ดี ท่านก็จะสามารถหยุดความคิดภายในวินาทีนั้น ถ้าท่านผ่านการฝึกหยุดความคิดมาก่อน.

            การจะมีความสามารถในการหยุดความคิดอย่างมีประสิทธิภาพได้ดีนั้น ต้องฝึกหยุดความคิดเป็นประจำในชีวิตประจำวัน ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม จนมีความเชี่ยวชาญในการหยุดความคิดของตนเองได้ทุกขณะที่ต้องการ.

            แต่ถ้าไม่ฝึกเป็นประจำ ความรู้และความสามารถในการหยุดความคิดก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องอาศัยศรัทธาและความเพียรด้านคุณธรรมของแต่ละบุคคล.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติปิดแฟ้มเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคต โดยการฝึกมีสติอยู่กับลมหายใจเพียงกิจเดียว เพื่อปล่อยวางหรือให้มีอุเบกขา ณ ปัจจุบันขณะ ในขณะหลับตาหรือลืมตา ด้วยความจริงใจและจริงจังเป็นเวลาประมาณ 1- 2 นาที เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกบริหารความคิดโดยการมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง ให้คิดดี เพื่อที่จะได้พูดดีและทำดี ณ ปัจจุบันขณะ อย่างรอบคอบและถูกต้องทั้งหลักวิชาการทางโลกและทางคุณธรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างตรงประเด็น.

            ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านได้รับข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น หรือทางกาย  สมองก็มักจะคิดปรุงแต่งไปตามข้อมูลที่ได้รับ  บางครั้งก็อาจรู้สึกชอบ ไม่ชอบ ถูกใจ ไม่ถูกใจ หรือรู้สึกเฉยก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ. 

            การไม่มีสติคอยควบคุมความคิด ก็อาจเป็นผลให้คิดฟุ้งซ่านไปตามเรื่องต่าง ๆ ที่ได้รับมา จึงมักเกิดการต่อยอดของความคิดที่เป็นอกุศลขึ้นมาได้โดยง่าย.  ครั้นมีการต่อยอดของความคิดที่เป็นอกุศล ก็จะเป็นผลให้การคิดเรื่องที่เป็นอกุศลมีความรุนแรงมากขึ้น และอาจกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคิดอกุศล ซึ่งเป็นเรื่องที่พบเห็นเป็นประจำในรายการข่าวทางสื่อมวลชนต่าง ๆ.

            ดังนั้น ผู้ที่มีสติคอยดูแลความคิดให้คิดแต่กุศล ย่อมไม่คิดอกุศล หรือไม่คิดฟุ้งซ่านไปตามข้อมูลที่ได้รับรู้ และการมีสติในการสำรวมความคิดอยู่เสมอ ย่อมมีจิตใจสงบ เบาสบาย บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่ทุกข์จากการคิดอกุศล ขณะเดียวกันก็จะไม่พูดและไม่ทำอกุศลด้วย.

            เรื่องที่ท่านผู้ฟังควรทำได้ ณ ขณะนี้และทำตลอดไปคือ คือ การพัฒนาตนเองให้สามารถคิดดีทำดีได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอ ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสำรวมความคิด และคอยรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศล ให้คิดดี หรือให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง เราจะมีสติใช้ความรู้คู่คุณธรรม เอาหลักคุณธรรมนำหน้าการศึกษาเล่าเรียน การงาน และการดำเนินชีวิต พร้อมทั้งเผยแพร่พระราชดำรัสเรื่องคิดดีทำดี ให้ผู้ข้างเคียง และสังคม ให้ได้เรียนรู้และนำไปฝึกปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป.

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาพูดคุย เรื่องประโยชน์ของการคิดดี ทำดีกันครับ.

 

ตอนที่ ๒๑

            ท่านผู้ฟังครับ การฝึกหยุดความคิดเป็นเหมือนการปิดแฟ้มเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นทั้งอดีต และอนาคต คงเหลือเรื่องปัจจุบันเพียงเรื่องเดียว ซึ่งเป็นเรื่องของการโยงใยจิตใจไว้กับเรื่อง เล็ก ๆ ง่าย ๆ และเป็นกิจที่เบาที่สุดในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ นั่นคือ การมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียว ซึ่งคนไทยมักนิยมฝึกกันในทุกวัย ที่เรียกว่าฝึกสมาธิ.

            ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านรู้ตัวว่า กำลังมีปัญหาทางจิตใจเกิดขึ้น เช่น กำลังคิดไม่ดี หรือกำลังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่เป็นอกุศล หรือกำลังมีจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์และขุ่นมัว หรือกำลังกังวล เครียด หรือกำลังเป็นทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ จากการคิดไม่ดี ท่านก็จะสามารถหยุดความคิดภายในวินาทีนั้น ถ้าท่านผ่านการฝึกหยุดความคิดมาก่อน.

            การจะมีความสามารถในการหยุดความคิดอย่างมีประสิทธิภาพได้ดีนั้น ต้องฝึกหยุดความคิดเป็นประจำในชีวิตประจำวัน ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม จนมีความเชี่ยวชาญในการหยุดความคิดของตนเองได้ทุกขณะที่ต้องการ.

            แต่ถ้าไม่ฝึกเป็นประจำ ความรู้และความสามารถในการหยุดความคิดก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องอาศัยศรัทธาและความเพียรด้านคุณธรรมของแต่ละบุคคล.

            ครับ ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านผู้ฟังพยายามฝึกมีสติปิดแฟ้มเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคต โดยการฝึกมีสติอยู่กับลมหายใจเพียงกิจเดียว เพื่อปล่อยวางหรือให้มีอุเบกขา ณ ปัจจุบันขณะ ในขณะหลับตาหรือลืมตา ด้วยความจริงใจและจริงจังเป็นเวลาประมาณ 1- 2 นาที เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกบริหารความคิดโดยการมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง ให้คิดดี เพื่อที่จะได้พูดดีและทำดี ณ ปัจจุบันขณะ อย่างรอบคอบและถูกต้องทั้งหลักวิชาการทางโลกและทางคุณธรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างตรงประเด็น.

            ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านได้รับข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น หรือทางกาย  สมองก็มักจะคิดปรุงแต่งไปตามข้อมูลที่ได้รับ  บางครั้งก็อาจรู้สึกชอบ ไม่ชอบ ถูกใจ ไม่ถูกใจ หรือรู้สึกเฉยก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ. 

            การไม่มีสติคอยควบคุมความคิด ก็อาจเป็นผลให้คิดฟุ้งซ่านไปตามเรื่องต่าง ๆ ที่ได้รับมา จึงมักเกิดการต่อยอดของความคิดที่เป็นอกุศลขึ้นมาได้โดยง่าย.  ครั้นหนึ่งเมื่อมีการต่อยอดของความคิดที่เป็นอกุศล ก็จะเป็นผลให้การคิดเรื่องที่เป็นอกุศลมีความรุนแรงมากขึ้น และอาจกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคิดอกุศล ซึ่งเป็นเรื่องที่พบเห็นเป็นประจำในรายการข่าวทางสื่อมวลชนต่าง ๆ.

            ดังนั้น ผู้ที่มีสติคอยดูแลความคิดให้คิดแต่กุศล ย่อมไม่คิดอกุศล หรือไม่คิดฟุ้งซ่านไปตามข้อมูลที่ได้รับรู้ และการมีสติในการสำรวมความคิดอยู่เสมอ ย่อมมีจิตใจสงบ เบาสบาย บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่ทุกข์จากการคิดอกุศล ขณะเดียวกันก็จะไม่พูดและไม่ทำอกุศลด้วย.

            เรื่องที่ท่านผู้ฟังควรทำได้ ณ ขณะนี้และทำตลอดไปคือ คือ การพัฒนาตนเองให้สามารถคิดดีทำดีได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของสติไว้เสมอ ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสำรวมความคิด และคอยรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศล ให้คิดดี หรือให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง เราจะมีสติใช้ความรู้คู่คุณธรรม เอาหลักคุณธรรมนำหน้าการศึกษาเล่าเรียน การงาน และการดำเนินชีวิต พร้อมทั้งเผยแพร่พระราชดำรัสเรื่องคิดดีทำดี ให้ผู้ข้างเคียง และสังคม ให้ได้เรียนรู้และนำไปฝึกปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป.

            ท่านผู้ฟังครับ เราพูดคุย เรื่องประโยชน์ของการคิดดี ทำดีกันครับ.

 

ตอนที่ ๒๒

         ท่านผู้ฟังครับ เราฝึกมีสติปิดแฟ้มเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคต โดยการฝึกมีสติอยู่กับลมหายใจเพียงกิจเดียว เพื่อปล่อยวางทุกเรื่อง ณ ปัจจุบันขณะ ในขณะหลับตาหรือลืมตาเป็นเวลาประมาณ 1 นาที เพื่อจะได้มีความพร้อมในการศึกษาเรื่องคิดดีทำดี หรือทำกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ  เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกบริหารความคิดโดยการมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง ให้คิดดี เพื่อที่จะได้พูดดีและทำดี ณ ปัจจุบันขณะด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส เพื่อสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างตลอดไปนะครับ.

            ในขณะฟัง ให้พยายามมีสติพิจารณาเนื้อหาอย่างละเอียด ไม่คิดฟุ้งซ่าน และพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตประมาณครึ่งหนึ่งด้วย เพื่อให้เกิดความเคยชินในการสำรวมความคิด.

            ท่านผู้ฟังครับ เราพูดคุย เรื่องประโยชน์ของการคิดดี ทำดีกันครับ.

 

ตอนที่ ๒๓

            ท่านผู้ฟังครับ เราฝึกมีสติปิดแฟ้มเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคต โดยการฝึกมีสติอยู่กับลมหายใจเพียงกิจเดียว เพื่อปล่อยวางทุกเรื่อง ณ ปัจจุบันขณะ ในขณะหลับตาหรือลืมตาเป็นเวลาประมาณ 1/2 นาที เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกบริหารความคิดโดยการมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง ให้คิดดี เพื่อที่จะได้พูดดีและทำดี ณ ปัจจุบันขณะด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส เพื่อสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างตลอดไปนะครับ.

            ในขณะฟัง ให้พยายามมีสติพิจารณาเนื้อหาอย่างละเอียด ไม่คิดฟุ้งซ่าน และพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตประมาณครึ่งหนึ่งด้วย เพื่อให้เกิดความเคยชินในการสำรวมความคิด.

            เมื่อฟังตอนนี้จบ ให้ท่านฝึกประเมินผลว่า ตั้งแต่เริ่มฟังจนจบตอนนี้ ท่านคิดอกุศลรวมทั้งฟุ้งซ่านมากเกินไปหรือไม่ ถ้ายังคิดอกุศลหรือฟุ้งซ่านมากเกินไป ก็ให้เตือนตนเองว่า เราจะพยามยามไม่คิดอกุศลและไม่คิดฟุ้งซ่านในขณะทำกิจต่าง ๆ อีกต่อไป.

            ท่านผู้ฟังครับ เราพูดคุย เรื่องประโยชน์ของการคิดดี ทำดีกันครับ.

 

ตอนที่ ๒๔     

ท่านผู้ฟังครับ  การฝึกหยุดความคิดทั้งระยะเวลาสั้น ๆ และระยะเวลานานนั้นเป็นเรื่องที่ท่านผู้ฟังจะต้องฝึกฝนตนเองไว้เสมอ.  การฝึกหยุดความคิดในระยะเวลาสั้น ๆ อาจใช้เวลาในการฝึกเป็นวินาที  การฝึกหยุดความคิดนานหน่อย อาจใช้เวลาในการฝึกนานขึ้น เช่น  ๑๕ นาทีถึง ๑ ชั่วโมงเป็นต้น.  ท่านไม่ควรฝึกนานเกินไปจนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น  และอย่าน้อยเกินไปจนไม่เพียงพอที่จะพัฒนาความสามารถของตนเองให้สูงขึ้น.   การฝึกเป็นประจำด้วยเวลาที่เหมาะสม  จะทำให้ท่านมีความสามารถในการบริหารจิตใจของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            เรามาฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อปล่อยวางจากทุกเรื่อง ณ ปัจจุบันขณะ โดยใช้เวลาในการฝึกน้อยลง คือ ใช้เวลาประมาณหายใจเข้าออกเพียง ๔ ครั้ง เพื่อฝึกฝนตนเองให้สามารถหยุดความคิดอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลให้จิตใจมีความสุขสงบ มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างรวดเร็ว  และพร้อมที่ศึกษาเรื่องคิดดีทำดี หรือทำกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ.  เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังฝึกหยุดความคิดโดยใช้เวลาประมาณหายใจเข้าออกเพียง ๔ ครั้ง ลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ ขอให้ท่านผู้ฟังได้โปรดฝึกบริหารความคิด โดยการมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง ให้คิดดี เพื่อที่จะได้พูดดีและทำดี ณ ปัจจุบันขณะด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส เพื่อสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างต่อเนื่องและตลอดไปนะครับ.

            เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าออกซัก ๑ ๒ ครั้ง โดยหายใจให้แรงขึ้นกว่าปรกติ แต่อย่าแรงจนทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็น เพื่อกระตุ้นให้มีสติในการรับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้น.   จากนั้นให้ท่านพยายามมีสติอยู่กับฐานหลักของสติประมาณครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งอยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาตามเนื้อหา เพื่อฝึกให้ท่านสำรวมความคิด.

            ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน  ในขณะทำกิจต่าง ๆ ท่านก็ควรแบ่งสติมาไว้ที่ฐานหลักของจิตในสัดส่วนที่เหมาะสม  เพื่อจะได้สำรวมความคิดได้อย่างต่อเนื่อง.  ท่านไม่ต้องห่วงว่า  จะต้องมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตได้ตลอดเวลาหรืออย่างต่อเนื่อง ๑๐๐ %  เพราะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ให้ท่านฝึกเป็นประจำเพื่อสร้างนิสัยของการสำรวมความคิด จนในที่สุด ก็จะเป็นเรื่องอัตโนมัติ  อันเป็นผลให้จิตใจของท่านมีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นบุคคลที่ประเสริฐอย่างต่อเนื่อง หรือคิดดีทำดีได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง.

 

ตอนที่ ๒๕

            ท่านผู้ฟังครับ  เรามาฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อปล่อยวางจากทุกเรื่อง ณ ปัจจุบันขณะ โดยใช้เวลาในการฝึกน้อยลง คือ ใช้เวลาประมาณหายใจเข้าออกเพียง ๓ ครั้งก็พอแล้ว.  เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง.เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าออกซัก ๑ ๒ ครั้ง โดยหายใจให้แรงขึ้นกว่าปรกติ แต่อย่าแรงจนทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็น เพื่อกระตุ้นให้มีสติในการรับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้น.   จากนั้นให้ท่านพยายามมีสติอยู่กับฐานหลักของจิตประมาณครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งอยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาตามเนื้อหา เพื่อฝึกให้ท่านสำรวมความคิดได้อย่างต่อเนื่องตามสมควร.

            ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน  ในขณะที่มีแรงกระตุ้นให้ท่านคิดอกุศล ให้ท่านพยายามสำรวมความคิดให้มากขึ้น  โดยการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตให้มากขึ้น เพื่อทำให้จิตใจของท่านมีความบริสุทธิ์ผ่องใส หรือคิดดีทำดีได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง ให้ท่านฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต.  ขณะเดียวกัน ในชีวิตประจำวัน ท่านก็ควรให้เวลาในการฝึกฝนตนเองในการศึกษาเรื่องคิดดีทำดี ความฉลาดทางอารมณ์ คุณธรรม จริยธรรม หรือเรื่องศาสนาเป็นประจำ เพื่อพัฒนาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสมากขึ้นเรื่อย.

 

ตอนที่ ๒๖

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อปล่อยวางจากทุกเรื่อง ณ ปัจจุบันขณะ โดยใช้เวลาในการฝึกน้อยลง คือ ใช้เวลาประมาณหายใจเข้าออกเพียง 2 ครั้งก็พอแล้ว.  เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง.เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าออกเพียง ๑ ๒ ครั้ง โดยหายใจให้แรงขึ้นกว่าปรกติ แต่อย่าแรงจนทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็น เพื่อกระตุ้นให้มีสติในการรับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้น.   จากนั้นให้ท่านพยายามมีสติอยู่กับฐานหลักของจิตประมาณครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งอยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาตามเนื้อหา เพื่อฝึกให้ท่านสำรวมความคิดได้อย่างต่อเนื่องตามสมควร.   เอาละครับ ลงมือฝึกได้แล้วครับ.

 

ตอนที่ ๒๗

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกมีสติหยุดการคิดเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อปล่อยวางจากทุกเรื่อง ณ ปัจจุบันขณะ โดยใช้เวลาในการฝึกน้อยลงไปอีก คือ ใช้เวลาประมาณหายใจเข้าออกเพียง ๑ ครั้งก็พอแล้ว.  เอาละครับ ขอให้ท่านผู้ฟังลงมือฝึกได้แล้วนะครับ.

************

            ท่านผู้ฟังครับ เรามาฝึกมีสติควบคุมความคิดและสำรวมความคิดของตนเอง.เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าออก ๑ ครั้ง โดยหายใจให้แรงขึ้นกว่าปรกติ แต่อย่าแรงจนทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็น เพื่อกระตุ้นให้มีสติในการรับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้น.   จากนั้นให้ท่านพยายามมีสติอยู่กับฐานหลักของจิตประมาณครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งอยู่กับการฟัง การคิด และการพิจารณาตามเนื้อหา เพื่อฝึกให้ท่านสำรวมความคิดได้อย่างต่อเนื่องตามสมควร.

            ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน ให้ท่านพยายามใช้สติปัญญาทางโลกในการทำกิจต่าง ๆ ด้วยความมีสติ เพื่อจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน และสามารถทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            ขณะเดียวกันควรใช้สติปัญญาทางคุณธรรมในการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดให้คิดดี เพื่อที่จะพูดดีและทำดีได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งไม่ปล่อยให้มีการคิดฟุ้งซ่าน เพราะขณะคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น จะไม่มีสติในการควบคุมความคิด จึงเป็นผลให้เกิดการคิดอกุศลได้โดยง่าย.

            เมื่อท่านเผลอสติไปคิดอกุศลหรือคิดฟุ้งซ่านให้ท่านตั้งสติหยุดความคิดนั้น ๆ ภายในวินาทีนั้นเลย อย่าปล่อยให้คิดต่อแม้แต่วินาทีเดียว.  เมื่อใดที่เผลอสติไปคิดอกุศลหลายวินาที ก็ต้องรีบตั้งสติให้ดี พร้อมทั้งเตือนตนเองว่า เราจะไม่คิดเช่นนั้นอีก เมื่อเตือนหลายครั้งเข้า ความจำในเรื่องของการตักเตือนตนเองก็จะมากขึ้น จึงเป็นผลให้มีสติรู้ทันความคิดที่เป็นอกุศลได้รวดเร็วขึ้น.

            ในยามที่ท่านมีความทุกข์ในเรื่องอะไรก็ตาม เช่น กังวลหรือเครียดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ท่านก็ควรตั้งเจตนาว่า เราจะไม่คิดเรื่องนี้อีก.  ครั้นเผลอสติไปคิดในเรื่องที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็ให้มีสติหยุดความคิดนั้น ๆ ทันที พร้อมกับเตือนตนเองเช่นเดิม.  เมื่อทำเป็นประจำไม่นานนักท่านก็จะสามารถหยุดคิดเรื่องราวที่เป็นทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

            ท่านที่มีความเชี่ยวชาญในการคิดอกุศลมาเป็นเวลานาน ต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนข้อมูลจากอกุศลมาเป็นกุศล ซึ่งต้องใช้เวลานานตามสมควร ขึ้นอยู่กับศรัทธา ความจริงใจ ความจริงจัง และความเพียรในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

            เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารความคิด จึงขอสรุปสั้น ๆ อีกครั้งหนึ่งนะครับว่า เรื่องของการควบคุมความคิดนั้น มีหลักการงง่ายนิดเดียว คือ ให้คิดแต่กุศลเท่านั้น เพื่อทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส จะได้ไม่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น พร้อมทั้งทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและหรือผู้อื่นด้วยความพอเหมาะพอควร.

            ในการคิดดีหรือปรารถนาดีนั้น เราควรคิดอยาก หรือไม่อยาก หรือมีความปรารถนาดี ด้วยความพอเหมาะพอควร เพื่อป้องกันการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.

            การปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองหรือประชาชนเป็นเรื่องที่ดีงาม ความปรารถนาดีเป็นความอยากหรือไม่อยากก็ได้ แต่ถ้าความปรารถนาดีที่มากเกินไป หรือมีความอยากและไม่อยากที่มากเกินไปจนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ก็คือความโลภนั่นเอง ครั้นไม่ได้ตามที่ตนโลภก็จะโกรธ แค้นเคือง หรือพยาบาท.  ดังนั้น ทุกวันนี้มักมีการอ้างว่า ตนมีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองกันบ่อยครั้ง แต่อาจเป็นความปรารถนาดีที่เป็นอกุศลก็ได้ ความปรารถนาดีที่ถูกต้องนั้นต้องเป็นความปรารถนาดีที่อยู่บนพื้นฐานของจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส.

ต่อจากนี้ไปท่านควรฝึกฝนตนเองให้มีเมตตาต่อตนเอง ด้วยการมีสติไม่คิดอยากหรืออยากอะไรที่มากเกินความพอเหมาะพร้อมทั้งสำรวมความคิดไว้เสมอ เพื่อที่จะคิดดีทำดีได้อย่างต่อเนื่อง.

    

************

 

1