วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๔
เรามาฝึกหยุดความคิดชั่วคราวเป็นเวลาประมาณ ๑ ๑๕ นาทีหรือนานกว่านี้ตามความเหมาะสม เพื่อทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส และพร้อมที่จะทำกิจต่าง ๆ ต่อไปในชีวิตประจำวันด้วยความฉลาดทางอารมณ์อย่างมีประสิทธิภาพ.
ขณะที่ฝึกหยุดความคิดอยู่นั้น ก็มักจะมีการคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว. ความคิดฟุ้งซ่านเป็นอกุศล เพราะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์. ความคิดฟุ้งซ่านเกิดจากการไม่มีสติในการควบคุมความคิด จึงมักคิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นตามเหตุปัจจัยในขณะนั้น ๆ. บางครั้ง สติอาจอ่อนกำลังลงจนไม่สามารถหยุดความคิดได้ จึงอาจเกิดการคิดฟุ้งซ่านในรูปแบบต่าง ๆ เช่น คิดปรุงแต่งเป็นมโนภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ และฝัน เป็นต้น.
เมื่อท่านเข้าใจหลักการแล้ว ก็ขอได้โปรดลงมือฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจัง ณ บัดนี้.
เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ให้ท่านพยายามฝึกมีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศล ให้คิดแต่กุศล เพื่อทำกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิ์ภาพ และด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.
ความรู้และความสามารถของการบริหารความคิดในชีวิตประจำวันจึงเป็นความฉลาดทางอารมณ์ ที่ส่งผลให้การทำกิจต่าง ๆ มีประสิทธิภาพ มีคุณค่า เป็นประโยชน์ บริสุทธิ์ และยุติธรรม.
บทที่ ๑๑
ขั้นตอนที่ ๓.
สาเหตุของปัญหาต่างๆ
เรื่องของความฉลาดทางอารมณ์เป็นเรื่องของจิตใจโดยตรง และไม่มีใครสามารถรู้เห็นจิตใจของเราได้.
ผู้ที่สามารถรู้เห็นจิตใจของเรา คือ ตัวของเราเอง. เราจึงต้องรู้เห็นจิตใจของเรา เพื่อดูแลจิตใจของเราให้พ้นจากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน.
การจะกำจัดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจให้หมดไปได้นั้น ต้องมีความรู้ในเรื่องของปัญหาต่าง ๆ ซึ่งได้กล่าวถึงโดยรายละเอียดในบทที่แล้ว.
เมื่อมีปัญหาอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในจิตใจ เจ้าตัวจะต้องมีสติรู้ทันว่า ปัญหากำลังเกิดขึ้นแล้ว ให้รีบกำจัดสาเหตุของปัญหานั้น ๆ ให้หมดไป เพื่อที่จะทำให้ปัญหาต่าง ๆ หมดไปอย่างรวดเร็ว.
ดังนั้น ถ้าไม่รู้ว่าสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ นั้น มีสาเหตุมาจากอะไร เราก็จะไม่สามารถกำจัดสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างตรงประเด็น. เช่นเดียวกันกับคุณหมอที่รักษาโรคของผู้ป่วยโดยไม่รู้ว่า โรคของผู้ป่วยนั้น มีสาเหตุมาจากอะไร. เมื่อกำจัดสาเหตุไม่ได้ จึงทำให้รักษาโรคไม่หาย หรืออาจเป็นมากขึ้นก็ได้.
ความจำทำหน้าที่สนับสนุนความคิด
ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่ากำลังทำกิจอะไรอยู่ก็ตาม จะมีความคิดแวบ(จุดประกาย)ขึ้นมาเองเป็นครั้งคราว อาจเป็นเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยในขณะนั้น.
ความคิดที่แวบขึ้นมาเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น ก็เพื่อจุดประกายความคิดในเรื่องนั้น ๆ ให้เกิดขึ้น ซึ่งมักจะเป็นเรื่องที่มีข้อมูลอยู่แล้วในความจำ.
การจุดประกายความคิดเช่นนี้ เป็นการทำงานตามธรรมชาติของสมอง เพื่อการศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงาน การดำเนินชีวิต ความอยู่รอดปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน เช่น มีการจุดประกายความคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่า เราควรรีบกลับบ้าน เดี๋ยวคุณแม่เป็นห่วง, ควรทำการบ้านให้เสร็จจะได้หมดห่วง, ลืมปิดเตาแก็ส เราควรรีบไปปิดเดี๋ยวนี้, เราจะไม่ใจดำกับคุณแม่อีกต่อไป เราจะช่วยคุณแม่ทำงานบ้านเป็นประจำ, เราจะไม่ร่วมมือกับคนชั่วในการโกงกินชาติบ้านเมืองเป็นอันขาด เป็นต้น.
ความคิดที่แวบขึ้นมาเป็นครั้งคราวตามเหตุปัจจัยในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ หรือเรื่องใด ๆ ก็ตาม ถือว่า เป็นเรื่องปรกติที่ทุกคนพึงมีพึงเป็นด้วยกันทั้งนั้น.
คนที่กำลังมีความห่วง กังวล เครียด หรือทุกข์ในเรื่องอะไรก็ตาม ความคิดที่แวบขึ้นมาก็มักเป็นเรื่องนั้น ๆ เช่น ขณะเป็นห่วงเรื่องลูกกลับบ้านช้า จะมีความคิดแวบขึ้นมาว่า ลูกอาจได้รับอันตราย ไปเล่นเกม แวะเที่ยวศูนย์การค้า ไปเสพสิ่งเสพติด เป็นต้น.
เมื่อมีความคิดแวบขึ้นมา แล้วไม่มีสติควบคุมความคิดไว้ให้ดี ก็มักจะคิดปรุงแต่งหรือคิดต่อเติมเรื่องที่แวบขึ้นมา จึงเป็นเหตุให้ความคิดในเรื่องนั้นมีความรุนแรงมากขึ้นก็ได้ เช่น เมื่อคิดเรื่องห่วงลูกซ้ำแล้วซ้ำอีก ความห่วงก็จะมากขึ้น, เมื่อคิดโกรธเพื่อนเป็นประจำ ความโกรธก็จะรุนแรงมากขึ้นด้วย เป็นต้น.
คนที่มีข้อมูลเรื่องใดก็ตามอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก หรือมีความห่วงใยในเรื่องใดมาก ความคิดในเรื่องนั้นก็มักจะแวบขึ้นมาบ่อยครั้ง และมักจะคิดปรุงแต่งต่อเติมด้วยความคิดอกุศลได้โดยง่าย เพราะธรรมชาติของสมองคนทั่วไปเป็นเช่นนั้นเอง.
คนที่มีข้อมูลอกุศลอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก เมื่อมีความคิดแวบขึ้นมา ก็มักจะเป็นเรื่องอกุศล และมีโอกาสที่จะคิดปรุงแต่งอกุศลเพิ่มเติมขึ้นมาได้อีกโดยง่าย.
ขณะคิดปรุงแต่งอกุศลอยู่นั้น สมองก็มักจะต่อเติมข้อมูลอกุศลในความจำให้มากขึ้นและครอบงำความคิดให้คิดอกุศลเป็นประจำ. เมื่อคิดอกุศลเป็นประจำ ความรุนแรงของความคิดที่เป็นอกุศลก็จะมากขึ้น เป็นผลให้คำพูด การกระทำ และอารมณ์(จิตใจ)ไม่ดีมากขึ้นด้วย.
คนที่มีข้อมูลอกุศลที่เลวร้ายและรุนแรงอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก ครั้นตั้งใจคิดอกุศล ข้อมูลอกุศลในความจำก็จะเป็นแหล่งสนับสนุนข้อมูลในการคิดอกุศลได้เป็นอย่างดี ทำให้คิดอกุศลได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้น เช่น นักการพนัน ผู้ค้าสิ่งเสพติด ผู้มีอิทธิพล โจร ผู้ก่อการร้าย คนคอร์รัปชั่น เป็นต้น.
ข้อมูลในความจำจึงเป็นแหล่งของข้อมูลที่คอยสนับสนุนการคิด หรือมีอิทธิพลต่อความคิดโดยตรง. ถ้าจะลดหรือกำจัดข้อมูลอกุศลในความจำให้หมดไป ก็ต้องพยายามมีสติควบคุมจิตใจของตนเอง ไม่ให้คิดอกุศลตลอดไป.
ถ้าจะเพิ่มข้อมูลกุศลในความจำให้มากขึ้น ก็ต้องพยายามมีสติควบคุมจิตใจของตนเอง ให้คิดแต่กุศลตลอดไป.
การคิดอกุศลเป็นสาเหตุของความทุกข์และปัญหาต่าง ๆ
ดังที่ท่านได้รับทราบมาแล้วว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว คนเราจะดีหรือชั่ว จะสุขหรือทุกข์ สงบหรือไม่สงบก็อยู่ที่ใจของตนเอง.
ขณะที่ใจคิดดี การกระทำทางกาย วาจา ใจ ในขณะนั้นย่อมดีไปด้วย จึงเป็นผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส เบาสบาย สงบ ไม่ทุกข์ อารมณ์ดี ไม่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น คงทำประโยชน์ให้กับตนเองและหรือผู้อื่น จึงได้ชื่อว่า เป็นคนที่คิดดี พูดดี ทำดี ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส.
ขณะที่ใจคิดไม่ดี การกระทำทางกาย วาจา ใจ ในขณะนั้นย่อมไม่ดีไปด้วย จึงเป็นผลให้จิตใจมีความสกปรก ขุ่นมัว ไม่สบาย ไม่สงบ เป็นทุกข์ อารมณ์ไม่ดี และก่อให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น จึงได้ชื่อว่า เป็นคนที่คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี และจิตใจสกปรกด้วย.
ดังนั้น ในวินาทีที่คิดดี อารมณ์ก็จะดีในวินาทีนั้น และในวินาทีที่คิดไม่ดี อารมณ์ก็จะไม่ดีในวินาทีนั้น.
เมื่อมีการคิดอกุศล การกระทำทางใจจึงเป็นอกุศล ปัญหาต่าง ๆ ทางจิตใจจากการคิดอกุศลก็จะเกิดขึ้น.
เมื่อคิดลงมือทำอกุศล การกระทำทางกาย และวาจาก็จะเป็นอกุศลไปด้วย ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการทำอกุศลก็จะเกิดขึ้น.
การไม่มีความฉลาดทางอารมณ์เป็นสาเหตุให้คิดอกุศล
สาเหตุของการกระทำทางกาย วาจา ใจที่เป็นอกุศล ก็เพราะการคิดอกุศล.
สาเหตุของการคิดอกุศล ก็เพราะไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.
ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยนั้น เป็นเรื่องของการมีความรู้และความสามารถทางคุณธรรมในการบริหารความคิดของตนเอง เพื่อทำจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์น้อย ก็จะสามารถควบคุมความคิดของตนเองให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้เป็นช่วงสั้น ๆ.
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์มาก ก็จะสามารถควบคุมความคิดของตนเองให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้นานมากขึ้นตามสัดส่วน.
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์เต็มเปี่ยม ก็จะสามารถควบคุมความคิดของตนเองให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้อย่างต่อเนื่อง.
คนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์จะไม่สามารถควบคุมความคิดของตนเองให้คิดแต่กุศลได้อย่างต่อเนื่อง จึงเกิดการคิดอกุศลขึ้น เป็นผลให้จิตใจมีความสกปรกและขุ่นมัว มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่เหตุปัจจัยในขณะนั้น ๆ.
จิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ผ่องใส จึงเกิดขึ้นจากการคิดอกุศล และการคิดอกุศลเกิดขึ้นจากการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ของตนเอง.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสเรื่อง คิดดีทำดี ด้วยความรอบคอบและถูกต้อง ทั้งทางด้านวิชาการและทางด้านคุณธรรม หรือให้ใช้ความรู้คู่คุณธรรม หรือให้คิดแต่กุศล และทำแต่กุศล หรือให้มีความฉลาดทางอารมณ์ เพื่อกำจัดสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ ให้หมดไปนั่นเอง.
ความโลภเป็นสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ
คนทั่วไปเมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส ได้สัมผัสอะไรก็ตาม สมองก็จะทำหน้าที่ในการประมวลข้อมูลที่ได้รับรู้ และอาจจะลงท้ายด้วยการอยาก ไม่อยาก หรือเฉย ๆ ก็ได้.
การคิดอยากจึงทำให้เกิดความอยาก การคิดไม่อยากจึงทำให้เกิดความไม่อยาก และการไม่คิดทั้งอยากหรือไม่อยาก จึงทำให้เกิดความเฉย ๆ.
ความอยากและความไม่อยากจึงเกิดจากความคิดของเรานี่เอง.
คนทั่วไปย่อมมีความอยากและความไม่อยากเป็นของควบคู่กัน เช่น อยากเรียนดีจึงไม่อยากสอบตก อยากให้ลูกช่วยงานบ้านจึงไม่อยากให้ลูกขี้เกียจและเห็นแก่ตัว อยากเห็นลูกตื่นเช้าเพราะไม่อยากให้ลูกเข้าเรียนสาย อยากเห็นข้าราชการและนักการเมืองมีความซื่อสัตย์จึงไม่อยากให้มีการโกงกิน อยากเห็นนักการเมืองพูดความจริงจึงไม่อยากให้โกหกพกลม เป็นต้น.
การมีความอยากและไม่อยากที่พอเหมาะพอควร(ทางสายกลาง) คือ ไม่ถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น เป็นเรื่องที่ดีงาม เพราะจะช่วยให้มีความเจริญ พ้นจากความทุกข์ มีความผาสุก อยู่รอดปลอดภัย มีความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สิน.
คนที่ควบคุมความคิดไม่ได้ แล้วคิดอยากหรือไม่อยากซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงทำให้เกิดความอยากมากที่จะให้ได้มาและเป็นไปตามความคิดของตนเอง.
การคิดอยากหรือไม่อยากที่มากเกินไปจนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น จัดว่าเป็นการคิดอกุศล คนไทยนิยมใช้คำว่า ความโลภ.
ความโกรธเป็นสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ
คนทั่วไปเมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส ได้สัมผัสอะไรก็ตาม สมองก็จะทำหน้าที่ในการประมวลข้อมูลที่ได้รับรู้ และอาจจะลงท้ายด้วยการไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่ถูกใจ หรือเฉย ๆ ก็ได้. ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อมูลพื้นฐานในความจำของแต่ละบุคคล เช่น คนที่ไม่ชอบความก้าวร้าว เมื่อมีใครมาก้าวร้าวกับตน ก็จะไม่ชอบทันที, คนที่ไม่ชอบให้ใครนินทา ครั้นได้ยินคนนนินทาตน ก็จะไม่พอใจทันที, คนที่ชอบรับประทานอาหารจืด แต่ต้องรับประทานอาหารที่เผ็ดจัด ก็จะไม่ถูกใจทันที เป็นต้น ทั้งหมดเป็นการทำงานของสมองโดยอัตโนมัติ.
คนที่รู้สึกเฉย ๆ ในทุกเรื่องนั้น เป็นเพราะสมองมีความผิดปรกติ คือ อาจเป็นคนที่เสียสติ เจ็บป่วยหรือมีความพิการทางสมองก็ได้.
การมีความไม่ชอบ ไม่พอใจ หรือไม่ถูกใจที่พอเหมาะพอควร(ทางสายกลาง)เป็นเรื่องที่ดีงาม เพราะจะช่วยให้มีความเจริญ พ้นจากความทุกข์ มีความผาสุก อยู่รอดปลอดภัย มีความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินเช่นเดียวกันกับความอยากและไม่อยาก.
คนที่ควบคุมความคิดของตนเองไม่ได้ แล้วคิดไม่ชอบ ไม่พอใจ หรือไม่ถูกใจซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงทำให้เกิดความไม่ชอบ ไม่พอใจ หรือไม่ถูกใจที่มีความรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นความโกรธ.
การคิดอยากหรือไม่อยาก จึงมีความอยากหรือไม่อยากเกิดขึ้นในจิตใจ ครั้นไม่ได้สมตามที่ตนคิด ย่อมรู้สึกไม่พอใจ ไม่ชอบ หรือไม่ถูกใจ เพราะการทำงานของสมองเป็นเช่นนี้.
คนที่คิดอยากมากหรือไม่อยากมาก(มีความโลภ) แล้วไม่ได้มาสมกับความโลภ ก็จะเกิดความไม่ชอบมาก ไม่พอใจมาก ไม่ถูกใจมาก ขัดเคืองใจ หรือโกรธ.
ยิ่งมีความโลภมาก แล้วไม่ได้มาหรือไม่เป็นไปตามความโลภนั้น ๆ ก็จะมีความโกรธมาก.
ความโกรธจึงเกิดจากการมีความโลภ ถ้าไม่โลภก็จะไม่เกิดความโกรธ.
ถ้าจะกำจัดความโกรธให้หมดไป ต้องอย่ามีความโลภ หรืออย่าคิดอยากหรือไม่อยากจนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น. ดังนั้น ทุกคนควรคิดอยากและไม่อยากอย่างพอเหมาะพอควร หรือตามทางสายกลาง ปัญหาต่าง ๆ จากการคิดอกุศลก็จะลดลงหรือหมดไป.
ความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุต่าง ๆ ของการคิดอกุศล
เชื้อโรคทางจิตใจที่เป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยทางจิตใจมีเพียง ๓ ตัว ดังนี้ :-
เชื้อโรคตัวที่ ๑. การไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องของการขาดความรู้และความสามารถในการบริหารความคิด เพื่อไม่ให้คิดด้วยความโลภหรือโกรธ.
เชื้อโรคตัวที่ ๒. ความโลภ ซึ่งเป็นเรื่องของความอยากหรือไม่อยากที่มากเกินไป.
เชื้อโรคตัวที่ ๓. ความโกรธ ซึ่งเป็นเรื่องของความไม่ชอบ ไม่พอใจ หรือไม่ถูกใจที่มากจนเกินไป.
การไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมความคิดของตนเองให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดการคิดอกุศลขึ้น คือ คิดด้วยความโลภและความโกรธ.
คนที่คิดด้วยความโลภย่อมต้องการที่จะให้เป็นตามความคิดของตน จึงมีความบีบคั้นทางจิตใจหรือเป็นทุกข์.
ครั้นไม่ได้มาหรือไม่เป็นไปตามความคิดของตน ก็จะเกิดความโกรธขึ้นมาทันที. ยิ่งมีความโลภมากเท่าไร แล้วไม่ได้มาตามความโลภ ความโกรธก็จะมากขึ้นตามสัดส่วนด้วย.
การไม่มีความฉลาดทางอารมณ์
ความโลภ ความโกรธ
ยิ่งมีการคิดด้วยความโลภมาก ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ความโลภก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ จึงมีความบีบคั้นทางจิตใจมากหรือเป็นทุกข์อย่างรุนแรงมาก ครั้นไม่ได้มาหรือไม่เป็นไปตามความคิดของตน ก็จะยิ่งโกรธอย่างรุนแรงมาก จนถึงขั้นทำลายชีวิตของตนเองและหรือผู้อื่นก็ทำได้.
การจะไม่ให้มีความโกรธเกิดขึ้นเลยนั้น จำเป็นต้องมีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยความโลภ ถ้าสามารถควบคุมความคิดไม่ให้คิดด้วยความโลภได้ ความโกรธก็จะไม่เกิดขึ้น.
การจะไม่ให้มีความโลภเกิดขึ้น ก็ต้องมีความรู้และความสามารถในเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์.
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์มาก ก็จะสามารถบริหารความคิดได้ดี จึงเป็นผลให้มีโอกาสน้อยลงที่จะคิดด้วยความโลภและโกรธ หรือเป็นคนมีอารมณ์ดี หรือเป็นคนมีคุณธรรมประจำใจ.
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์น้อยหรือไม่มีเลย ก็มีโอกาสที่จะคิดด้วยความโลภและความโกรธอย่างรุนแรงได้โดยง่าย กลายเป็นคนที่มีอารมณ์ไม่ดี หรือเป็นคนไม่มีคุณธรรมประจำใจ.
การคิดอกุศล(คิดโลภหรือคิดโกรธ)จะต่อยอดข้อมูลอกุศลในความจำ จึงเป็นผลให้ความฉลาดทางอารมณ์ลดลง.
ถ้าคิดอกุศลเป็นประจำ ข้อมูลอกุศลในความจำก็จะมีจำนวนมาก จึงเป็นผลให้คิดอกุศลได้โดยง่ายและรุนแรงด้วย.
เมื่อสรุปแล้วง่ายนิดเดียว คือ ให้พยายามมีสติคิดแต่กุศลเท่านั้นเอง.
ความโลภและความโกรธมีความรุนแรง ๓ ระดับ
การคิดอกุศลซ้ำแล้วซ้ำอีก จะทำให้เกิดการต่อยอดของความคิดที่เป็นอกุศล จึงคิดอยากมากหรือไม่อยากมากที่จะให้เป็นไปตามความคิดอกุศล. ครั้นยังคิดอกุศลซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงคิดทะยานอยากหรือมีความทะยานอยากที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความคิดอกุศลนั้น ๆ. ขณะเดียวกัน สมองก็จะจดจำความทะยานอยากเอาไว้ใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นของการคิดอกุศลเมื่อมีการคิดเรื่องนี้ในคราวต่อ ๆ ไป หรือบางครั้งก็อาจนำเอาไปใช้กับเรื่องอื่นได้อีกด้วย.
ครั้นคิดอกุศลในเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็จะทำให้เกิดการต่อยอดของความคิดที่เป็นอกุศล จนถึงขั้นคิดยึดมั่นถือมั่นที่จะให้เป็นไปตามความคิดที่เป็นอกุศล จึงมีความยึดมั่นถือมั่นที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความคิดอกุศลนั้น ๆ. ขณะเดียวกัน สมองก็จะจดจำความยึดมั่นถือมั่นที่เกิดขึ้นเอาไว้ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการคิดอกุศลในเรื่องนี้สำหรับคราวต่อ ๆ ไป.
ความโลภ ความโกรธ ความทะยานอยาก และความยึดมั่นถือมั่นนั้น เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล.
ขณะที่ไม่คิดอกุศลอยู่นั้น ความโลภ ความโกรธ ความทะยานอยาก และความยึดมั่นถือมั่นก็จะไม่เกิดขึ้น.
สรุปแล้วความรุนแรงของความคิดที่เป็นอกุศลจึงมี ๓ ระดับ ดังนี้:-
ระดับที่ ๑. ความโลภและความโกรธ
ระดับที่ ๒. ความทะยานอยากที่จะให้เป็นไปตาม
ความโลภและความโกรธ
ระดับที่ ๓. ความยึดมั่นถือมั่นที่จะให้เป็นไปตาม
ความโลภและความโกรธ
การจะป้องกันและกำจัดความคิดที่เป็นอกุศลทั้ง ๓ ระดับให้หมดไปนั้น มีหลักการง่าย ๆ คือ พยายามมีสติไม่คิดอกุศลแม้แต่วินาทีเดียว.
ถ้าจะย่อเนื้อหาให้กระชับลงไปอีกก็คือ อย่าคิดอยากมากเกินไป.
เมื่อไม่คิดอยากมากเกินไป ความไม่อยากมาก รวมทั้งความทะยานอยาก และความยึดมั่นถือมั่นก็จะไม่เกิดขึ้น.
ความฉลาดทางอารมณ์กำจัดสาเหตุของปัญหาต่างๆ ธรรมชาติของสมองมนุษย์นั้น เมื่อมีการคิดโลภหรือมี ความโลภเกิดขึ้น แล้วไม่ได้มาหรือไม่เป็นไปตามที่คิดโลภไว้ ก็จะคิดโกรธหรือมีความโกรธเกิดขึ้น. การคิดโลภและโกรธเป็นสาเหตุให้เกิดการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจที่เป็นอกุศล.
การไม่มีความฉลาดทางอารมณ์
คิดโลภ คิดโกรธ
เกิดการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ที่เป็นอกุศล
เกิดปัญหาต่าง ๆ จากการคิดอกุศล
ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นจากการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ที่เป็นอกุศล.
ขณะที่ไม่คิดด้วยความโลภ การคิดโกรธ การกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ และปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการคิดอกุศลก็จะไม่เกิดขึ้น. เมื่อธรรมชาติของสมองทำงานเช่นนี้ จึงจับประเด็นได้ว่า เราต้องอย่าคิดโลภ.
การจะหยุดคิดโลภได้นั้น ต้องมีความฉลาดทางอารมณ์.
การจะทำให้มีความฉลาดทางอารมณ์ได้นั้น ต้องมีความรู้เรื่องของจิตใจและมีความสามารถในการดูแลจิตใจของตนเองไม่ให้คิดอกุศล และให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสและมีความสงบอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผลให้เกิดการคิดดี ทำดี ด้วยกาย วาจา ใจ.
คนที่มีความรู้เรื่องของจิตใจแต่ไม่มีความสามารถในการดูแลจิตใจของตนเองให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสและสงบ ก็ได้ชื่อว่า ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.
การจะดูแลจิตใจของตนเองไม่ให้คิดอกุศลได้ดีนั้น ต้องกำจัดการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ให้หมดไป โดยการพยายามตั้งใจศึกษาเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ และฝึกบริหารความคิดจนสามารถมีสติไม่คิดอกุศศลได้อย่างต่อเนื่อง.
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์มาก ย่อมสามารถควบคุมจิตใจตนเองไม่ให้คิดอกุศลได้นาน. คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์น้อย ย่อมสามารถควบคุมจิตใจตนเองไม่ให้คิดอกุศลได้ไม่นาน. คนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์เลย ย่อมไม่สามารถควบคุมจิตใจตนเองไม่ให้คิดอกุศลได้เลย.
การจะกำจัดความคิดอกุศลให้หมดไปได้อย่างต่อเนื่องนั้น ต้องอาศัยความเพียรตลอดชีวิต.
ชีวิตประจำวันจะมีความดีงามมาก เมื่อใช้ความฉลาดทางอารมณ์เป็นพื้นฐานทางจิตใจควบคู่กับการใช้ความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงาน และการดำเนินชีวิต หรือใช้ความรู้คู่คุณธรรมเพื่อป้องกันและกำจัดสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ ให้หมดไป และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.
ความฉลาดทางอารมณ์ตามแบบภูมิปัญญาไทย จึงเป็นเรื่องของการส่งเสริม ป้องกัน รักษา ฟื้นฟูสุขภาพจิตให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส สงบ เบาสบาย และไม่ทุกข์จากการคิดอกุศล.
ปัญหาต่าง ๆ จะหมดไปในทันทีที่คิดแต่กุศล
การคิดอกุศล คือ การคิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น จึงเป็นผลให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจ.
ในวินาทีที่คิดอกุศล จิตใจก็จะไม่บริสุทธิ์ผ่องใสในวินาทีนั้น. ถ้าคิดอกุศลชั่วคราว จิตใจก็จะไม่บริสุทธิ์ผ่องใสชั่วคราว. ถ้าคิดอกุศลทั้งวัน จิตใจก็จะไม่บริสุทธิ์ผ่องใสทั้งวัน และปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการคิดอกุศลก็จะเกิดขึ้นทั้งวัน.
ในวินาทีที่กำลังคิดแต่กุศล จิตใจก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสทันที. ถ้าคิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง จิตใจก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากจิตใจไม่บริสุทธิ์ผ่องใสก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง.
ปัญหาต่าง ๆ จากการคิดอกุศลจะเกิดทันทีที่คิดอกุศล และปัญหาต่าง ๆ จะหมดไปในทันทีที่ไม่คิดอกุศล.
เป้าหมายสูงสุดของการจัดทำหนังสือเล่มนี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านสามารถฝึกบริหารความคิดของตนเองในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นบุคคลที่คิดแต่กุศลได้อย่างต่อเนื่อง.
ความปรารถนาดีที่มากเกินเป็นการคิดอกุศล
แพทย์ต้องตัดขาข้างที่เป็นมะเร็งของผู้ป่วยเพื่อรักษาชีวิต จัดว่า เป็นการคิดและทำกุศล ซึ่งเกิดจากความปรารถนาดีที่มีต่อผู้ป่วย.
การมีความปรารถนาดีต่อลูกเป็นอย่างมาก จึงมีการเอาใจลูกจนมากเกินไป เป็นผลให้ลูกมีนิสัยเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เอาแต่ใจตนเอง ความปรารถนาดีเช่นนี้เกิดขึ้นจากความโลภ ซึ่งเป็นการคิดอกุศล.
การมีความปรารถนาดีต่อลูกศิษย์เป็นเรื่องที่ดีงามและเป็นกุศลด้วย แต่ถ้ามีมากเกินไปจนทำให้ตนเองเป็นทุกข์มาก หรือจนถึงขั้นคิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ก็จัดว่าเป็นการคิดอกุศล.
การจะตัดสินใจว่า การคิดและทำแค่ไหนจึงเป็นกุศลหรืออกุศลนั้น ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางสติปัญญาของแต่ละบุคคล ยิ่งมีสติปัญญาทั้งทางโลกและทางคุณธรรมมากเท่าไร ความละเอียดในการตัดสินใจก็จะมากขึ้นด้วย.
ควรตัดสินใจโดยใช้ความรู้คู่คุณธรรม
บางครั้งอาจมีเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องตัดสินใจเลือกว่า เราจะทำอย่างไรต่อไป เช่น เกิดเป็นมะเร็งที่ขา เราก็ต้องตัดสินใจให้แพทย์ตัดขาเพื่อรักษาชีวิต, ปลวกขึ้นบ้าน เราก็ต้องตัดสินใจจัดการกับปลวกให้หมดไป เพื่อจะได้มีบ้านเป็นที่อยู่อาศัยต่อไป เป็นต้น.
บางครั้งการตัดสินใจโดยใช้หลักการทางคุณธรรมว่า จะคิดและทำแต่กุศลเท่านั้น ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ จึงจำเป็นต้องตัดสินใจโดยใช้ความรู้คู่คุณธรรม และการตัดสินใจที่ค่อนข้างยาก ก็ควรใช้วิธีชั่งน้ำหนักโดยใช้ความรู้คู่คุณธรรมในการค้นหาความสำคัญและความจำเป็นเพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย.
สำหรับเรื่องที่สำคัญมากนั้น ควรให้เวลาในการพิจารณาตัดสินใจนานขึ้น ด้วยการคิดอย่างรอบคอบและถูกต้องเท่าที่จะทำได้ บางเรื่องอาจใช้เวลาเป็นแรมเดือนถ้าไม่ใช่เรื่องรีบด่วน โดยใช้ความรู้และคุณธรรมที่มีอยู่เป็นเครื่องมือในการชั่งน้ำหนักความสำคัญและความจำเป็น.
; ถ้าข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณายังไม่เพียงพอ ก็ควรค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาอย่างละเอียด จนกว่าจะมีความมั่นใจอย่างเพียงพอ.
การตัดสินใจอย่างรวดเร็วเกินไป ก็อาจผิดพลาดได้โดยง่าย แต่เรื่องไหนที่ต้องตัดสินใจอย่างรีบด่วน และตัวเองยังมีความรู้และมีคุณธรรมน้อย ก็จำเป็นจะต้องปรึกษาผู้ที่มีความรู้และมีคุณธรรมสูงกว่าเรา เพื่อลดความเสี่ยงให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้.
**********
วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๕
เรามาฝึกหยุดความคิดเป็นเวลาประมาณ ๑ ๑๕ นาที หรือนานกว่านี้ตามความเหมาะสม.
ท่านควรฝึกในขณะหลับตาหรือลืมตา และในสถานที่ต่าง ๆ ด้วย เพื่อให้คุ้นเคยกับการฝึกหยุดความคิดอย่างรวดเร็วเมื่อยามที่ต้องการ แต่การฝึกหยุดความคิดควรฝึกในที่ปลอดภัย เพราะขณะปล่อยวางจากการคิด ความสามารถของสมองในการคิดแก้ปัญหาอย่างกะทันหันย่อมลดลงไปด้วย.
ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดลงมือฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจัง ณ บัดนี้.
ในชีวิตประจำวัน เมื่อท่านออกจากการฝึกหยุดความคิดแล้ว ให้ฝึกควบคุมความคิดสลับกันไปทันที โดยการพยายามฝึกมีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศล ให้คิดแต่กุศล เพื่อทำกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิ์ภาพ และด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.
ในยามว่างและในขณะนอน ท่านควรพยายามมีสติอยู่กับลมหายใจไว้เสมอจนเป็นนิสัย เพื่อป้องกันไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ไม่ให้คิดอกุศล ขณะเดียวกันสมองและร่างกายก็จะได้พักด้วย.
ท่านควรฝึกบริหารความคิดเป็นประจำจนเป็นนิสัย.
ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดพยายามมีสติทำตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้อย่างจริงจังและต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เกิดความฉลาดทางอารมณ์อย่างรวดเร็ว.
บทที่ ๑๒
ขั้นตอนที่ ๔.
ประโยชน์ของการมี
ความฉลาดทางอารมณ์
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยหรือมีความฉลาดทางคุณธรรม ย่อมพยายามมีสติในการคิด พูด และทำตามหลักของคุณธรรมที่ดีงาม จึงเป็นคนที่มีความจริงใจ จริงจัง ในการพยายามตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ปฏิบัติงาน และดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามหลักของคุณธรรม.
ประโยชน์ของความฉลาดทางอารมณ์ คือ จะลดปัญหาหรือกำจัดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการคิดอกุศลให้หมดไป จึงทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส มีความสุขที่เกิดจากความสงบ ไม่มีความทุกข์จากการคิดอกุศล คงมุ่งแต่จะคิดและทำแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง. ขณะเดียวกัน ประโยชน์ของความฉลาดทางอารมณ์ยังใช้เป็นเป้าหมายของการฝึกฝนตนเอง และเพื่อการประเมินผลอีกด้วย.
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมมีความเจริญ ผาสุก และมีความมั่นคงมากกว่าคนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.
ผู้ที่อยู่ใกล้เคียงคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ ก็จะได้รับประโยชน์และไม่ถูกเบียดเบียนจากคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์.
หน่วยงาน ครอบครัว สังคม และประเทศใดก็ตาม ที่มีคนฉลาดทางอารมณ์เป็นจำนวนมาก หน่วยงาน ครอบครัว สังคม และประเทศนั้นย่อมมีความเจริญ ผาสุก และมีความมั่นคง ตามเหตุปัจจัยในขณะนั้น.
โปรดอย่าลืมว่า ในชีวิตประจำวันนั้น ต้องใช้ความรู้(ความฉลาดทางรูปธรรม) และความฉลาดทางอารมณ์ควบคู่กันไป จึงจะสามารถกำจัดความทุกข์และปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ทำให้สามารถดำเนินชีวิตตามทางสายกลาง
ทางสายกลาง คือ ความคิด คำพูด และการกระทำต่าง ๆ ที่ไม่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นการกระทำที่มีความพอเหมาะพอควร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส.
เพื่อให้เข้าใจเรื่องของทางสายกลาง จึงเอาเรื่องทางร่างกายมาพิจารณากันก่อน จะได้เข้าใจได้โดยง่าย เช่น การนั่ง นอน ยืน เดิน รับประทานอาหาร ทำงานนานเกินไปหรือน้อยเกินไป เป็นต้น เป็นตัวอย่างของการเบียดเบียนตนเองและหรืออาจเบียดเบียนผู้อื่นด้วย จึงเป็นอกุศลเพราะไม่ใช่ทางสายกลาง.
ในเรื่องของจิตใจนั้น การคิดอยาก ไม่อยาก ชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ถูกใจ ไม่ถูกใจ ที่มากเกินไปจนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ไม่ใช่ทางสายกลาง และเป็นอกุศล.
การคิดอยาก ไม่อยาก ชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ ถูกใจ ไม่ถูกใจ ที่พอเหมาะพอควร คือ ไม่ถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น เป็นทางสายกลาง และเป็นกุศล.
การทำบุญและทำทานเป็นกุศล แต่การทำบุญและทำทานมากจนเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นเป็นอกุศล.
การทำบุญและทำทานน้อยเกินไปหรือไม่ทำเลยจนกลายเป็นคนตระหนี่ ก็เป็นอกุศลเช่นกัน.
การทำบุญและทำทานที่พอเหมาะพอควร ไม่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น เป็นทางสายกลาง เป็นกุศล.
ประโยชน์ของการมีความฉลาดทางอารมณ์ คือ ทำให้สามารถบริหารความคิดของตนเองให้เป็นไปตามทางสายกลางแนวภูมิปัญญาไทย เพื่อจะได้ไม่คิดด ไม่พูด ไม่ทำอะไรก็ตาม ที่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น คงทำประโยชน์ให้กับตนเองและหรือผู้อื่น ด้วยจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส เพื่อให้ห่างไกลจากอกุศลกรรม และความทุกข์ทั้งปวงอย่างต่อเนื่อง.
ทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์จะสามารถหยุดความคิดและควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศลตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้.
ในทุกวินาทีที่มีสติหยุดความคิดของตนเองได้ จะพบว่า ขณะที่ความคิดหยุดอยู่นั้น ความคิดต่าง ๆ และความคิดที่เป็นอกุศลย่อมไม่เกิดขึ้นด้วย.
การละความชั่วที่ความคิดเป็นการละความชั่วอย่างลึกซึ้ง.
ทุกวินาทีที่ไม่คิดอกุศล จิตใจย่อมบริสุทธิ์ผ่องใส.
ทุกวินาทีที่จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ความชั่วทางกาย วาจา ใจ ก็จะไม่เกิดขึ้น จิตใจมีความสงบ และไม่มีความทุกข์จากการคิดอกุศล โดยไม่ต้องรออนาคต ไม่ต้องรอชีวิตใหม่หลังความตาย หรือไม่ต้องรอชาติหน้า.
ผู้ที่มีสติในการดูแลจิตใจของตนเองให้ละการคิดชั่วและมุ่งคิดดี ทำดี อยู่เสมอ ย่อมเกิดการพัฒนาจิตใจให้เป็นคนดี มีคุณธรรม หรือเป็นบุคคลที่มีจิตใจประเสริฐ.
คนที่จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสนั้น ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ก็จะเป็นคนที่ประเสริฐในศาสนานั้น ๆ และถึงแม้จะไม่นับถือศาสนาใด ก็สามารถเป็นบุคคลที่มีความประเสริฐทางจิตใจได้เช่นกัน.
สามารถป้องกันและกำจัดความทุกข์
ทุกคนเกิดมาก็ต้องมีความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่เหตุปัจจัยในขณะนั้น ๆ.
ความทุกข์ช่วยให้เกิดการตื่นตัวทางความคิด เพื่อที่จะกำจัดความทุกข์ให้หมดไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีงาม เพราะทำให้ชีวิตและทรัพย์สมบัติมีความอยู่รอดปลอดภัย.
ความฉลาดทางอารมณ์จะกำจัดความทุกข์ทั้ง ๓ รูปแบบที่เกิดจากการคิดอกุศล ซึ่งประกอบด้วย ๑. ความทุกข์ภายในจิตใจ ๒. ความทุกข์ทางจิตใจที่แสดงอาการออกมาภายนอก ๓. ความทุกข์ทางร่างกายและโรคต่าง ๆ ที่สืบเนื่องมาจากการมีความทุกข์ทางจิตใจ.
ความทุกข์ทั้ง ๓ แบบนั้น เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล ครั้นมีความฉลาดทางอารมณ์จนสามารถควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศลได้ ความคิดที่เป็นอกุศลก็จะหมดไป และความทุกข์ทั้ง ๓ แบบก็จะหมดไปด้วย.
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์น้อย ย่อมมีความเพียรในการมีสติควบคุมความคิดของตนเองไม่ให้คิดอกุศลได้น้อย จึงมีโอกาสที่จะมีความทุกข์และมีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการคิดอกุศลได้โดยง่าย.
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์มาก ย่อมมีความเพียรในการมีสติควบคุมความคิดของตนเองไม่ให้คิดอกุศลได้มาก จึงเป็นผลให้ความทุกข์และปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการคิดอกุศลย่อมน้อยลงไปตามสัดส่วนด้วย.
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมมีความเพียร มีสติ บริหารความคิดของตนเองไม่ให้คิดอกุศล จึงเป็นการส่งเสริมสุขภาพจิตให้แข็งแรง และสามารถป้องกันความทุกข์ทางจิตใจที่เกิดจากการคิดอกุศลได้.
ครั้นมีความทุกข์จากการคิดอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จะสามารถหยุดยั้งการคิดอกุศล เป็นผลให้ความทุกข์หมดไปได้อย่างรวดเร็ว.
ครั้นพ้นจากความทุกข์แล้ว ก็สามารถฟื้นฟูจิตใจให้กลับมาสู่สภาพปรกติได้อย่างรวดเร็วตามเหตุปัจจัยของแต่ละบุคคล.
สามารถป้องกันและกำจัดปัญหาต่างๆ
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมสามารถกำจัดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ได้ตามความรู้ ความสามารถ และเหตุปัจจัยต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล.
ความฉลาดทางอารมณ์ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงอายุต่าง ๆ ลดลงหรือหมดไป.
การสอนและการฝึกเด็กเล็กให้ฝึกควบคุมความคิดในชีวิตประจำวันในรูปแบบต่าง ๆ ได้ จะช่วยให้เด็กเล็กเจริญเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความฉลาดทางอารมณ์.
ครั้นเติบโตเป็นวัยรุ่น ก็จะเป็นวัยรุ่นที่มีความฉลาดทางอารมณ์ จึงเป็นวัยรุ่นที่คิด พูด และทำกุศลอยู่เสมอ.
วัยรุ่นที่มีคุณธรรมย่อมทำให้ปัญหาต่าง ๆ ของวัยรุ่นลดลง เป็นผลให้มีความเพียร มีความตั้งใจ(มีสติ)ในการศึกษาเล่าเรียนดี มีความรับผิดชอบต่อตนเอง หมู่คณะ สถานศึกษา ครอบครัว สังคม และประพฤติตนเป็นคนดีทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง.
ในวัยทำงานย่อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลงานมีประโยชน์ มีคุณค่า มีความบริสุทธิ์ และยุติธรรม. เมื่อทำงานด้วยความฉลาดทางอารมณ์ไปนาน ๆ เข้า ข้อมูลด้านกุศลในความจำก็จะเพิ่มขึ้น และข้อมูลด้านอกุศลในความจำก็จะลดลง จึงทำให้การคิด การพูด และการกระทำต่าง ๆ เป็นกุศลมากขึ้น.
ในองค์กรใด ๆ ก็ตาม ถ้าคนส่วนมากในองค์กรคิดแต่กุศลต่อกัน ย่อมทำให้ไม่เกิดการขัดแย้ง ความทุกข์ การแตกความสามัคคี และปัญหาต่าง ๆ จากการคิดอกุศลก็จะลดลงหรือหมดไป จึงเป็นผลให้เกิดความรัก ความสงบ ความสามัคคีที่จะทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส เป็นผลให้องค์กรนั้น ๆ มีความเจริญ มั่นคง และสวัสดี.
ในเรื่องของการเลือกคบเพื่อน ผู้ร่วมงาน และคู่ครอง ก็จะสามารถเลือกคบบุคคลที่มีความฉลาดทางอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง เพราะมีข้อมูลที่ดีอยู่ในความจำสำหรับการคัดกรองบุคคลต่าง ๆ.
ชีวิตสมรสย่อมราบรื่น ไม่มีการขัดแย้ง จึงไม่มีความทุกข์และไม่มีปัญหาต่าง ๆ จากการคิดอกุศลต่อกัน จึงเป็นครอบครัวที่อบอุ่น และมีความสุขสงบ.
ความฉลาดทางอารมณ์จะช่วยแต่ละบุคคลให้มีการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้ด้วยสติปัญญา จึงเป็นเครื่องมือในการคุ้มครองการงาน การเงิน การเจ็บป่วย ชีวิต ทรัพย์สิน ครอบครัว ให้อยู่รอดปลอดภัย.
ครั้นมีลูกหลาน ก็จะเป็นตัวอย่างให้ลูกหลานได้เรียนรู้ เป็นที่พึ่งพาในรูปแบบต่าง ๆ และจะลดภาระให้กับลูกหลานน้อยลง เมื่อยามเจ็บป่วย พิการ และชราภาพ.
การแสดงออกซึ่งความรัก ความปรารถนาดี การเลี้ยงดู และการฝึกอบรมลูกหลานนั้น ควรเป็นไปด้วยความพอเหมาะพอควรหรือตามทางสายกลาง.
การเอาใจลูกหลานด้วยความพอเหมาะพอควร จึงทำให้ลูกหลานเป็นคนมีนิสัยดี เช่น เป็นคนช่วยตนเอง แข็งแรง ไม่เห็นแก่ตัว ช่วยเหลือผู้อื่นในการทำกิจต่าง ๆ มีสติปัญญาทางคุณธรรม รักบ้าน ครอบครัวมีความอบอุ่น และไม่หนีไปหาความอบอุ่นจากบุคคลภายนอกครอบครัว.
ที่สำคัญมากคือ คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์จะมีโอกาสสอนและฝึกให้ลูกหลานมีความฉลาดทางอารมณ์ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก รวมทั้งสอนผู้ที่อยู่ข้างเคียงและหรือผู้อื่นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตายจากไป.
เมื่อเข้าสู่วัยทองหรือเป็นผู้สูงอายุ ความฉลาดทางอารมณ์จะช่วยให้มีความมั่นคงทางอารมณ์. อาการของคนวัยทองก็จะลดลงหรือไม่มี ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ก็จะช่วยให้ชีวิตมีความสงบ จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ทุกข์ ไม่สร้างปัญหา เป็นคนอารมณ์ดี มีคุณธรรม จิตใจมีความเข้มแข็ง มั่นคง ไม่อ่อนไหว มุ่งทำแต่ความดี จึงเป็นที่เคารพรักของลูกหลาน.
เมื่อยามที่ต้องสูญเสีย พลัดพราก เจ็บป่วย พิการ และจะต้องตายจากไป ผู้ที่มีความฉลาดทางอารมณ์จะสามารถควบคุมความคิดของตนเอง ไม่ให้คิดด้วยความยึดมั่นถือมั่น จิตใจจึงมีความบริสุทธิ์ผ่องใส สงบ หนักแน่น มั่นคง และยอมรับในความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความเปลี่ยนแปลง ความดับสลายของร่างกาย จิตใจหรือชีวิต ทรัพย์สมบัติ ทั้งของตนเองและผู้อื่น.
เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และชาติบ้านเมือง
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมทำประโยชน์ให้กับตนเอง หมู่คณะ สถานศึกษา ครอบครัว หน่วยงาน สังคม และประเทศชาติด้วยจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส โดยไม่มุ่งเอาผลประโยชน์ที่เกินความพอเหมาะพอควรมาเป็นของตนเอง หมู่คณะ และพรรค จึงเป็นบุคคลที่มีความประเสริฐทางจิตใจอย่างแท้จริง.
ถ้ามีบุคคลที่มีความฉลาดทางอารมณ์เป็นจำนวนมากในองค์กรและชาติบ้านเมือง ย่อมทำให้บุคคลในองค์กรและชาติบ้านเมืองมีความเจริญ ผาสุก มีความมั่นคง.
ปัญหาต่าง ๆ อย่างมากมายที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมืองอันสืบเนื่องจากการไม่มีคุณธรรมหรือไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ก็จะลดลงหรือหมดไปได้ตามเหตุปัจจัย.
การมีความท้อถอย ไม่คิดเชิงรุก ไม่ตั้งเจตนา และไม่มีความเพียรที่จะเผยแพร่คุณธรรมให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ความฉลาดทางอารมณ์ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง.
การคิดดี พูดดี ทำดี แต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น ไม่เป็นการเพียงพอ เพราะฝ่ายที่คิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดีย่อมเบียดเบียนตนเองและอีกฝ่ายหนึ่งได้เสมอ.
ดังนั้น จึงควรพยายามช่วยกันทำให้ทุกคนในครอบครัว องค์กร และสังคม มีความฉลาดทางอารมณ์เป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิต เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันด้วยความรัก สามัคคี และมีความสงบ บนพื้นฐานของความฉลาดทางอารมณ์ ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.
ทุกท่านที่มีประสบการณ์ของการมีความฉลาดทางอารมณ์และเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับมวลมนุษย์ ก็ขอได้โปรดร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติการเชิงรุก โดยพยายามช่วยกันเผยแพร่ความรู้เรื่องนี้ให้กับผู้บริหารประเทศ เพื่อให้ผู้บริหารมีศรัทธาที่จะสนับสนุนให้มีการเผยแพร่เรื่องของความฉลาดทางอารมณ์ให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ.
เป็นประโยชน์ต่อนานาชาติ
ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยเป็นวิชาการที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่ง่าย ลึกซึ้ง เปิดเผย ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ เป็นวิชาจิตวิทยาและจิตเวชของคนไทยที่ประเสริฐ เป็นภูมิปัญญาไทยที่สืบต่อกันมาหลายชั่วชีวิต ที่สำคัญมาก ๆ คือ เป็นวิขาการที่ทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งเป็นเรื่องที่มีคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชาติ ทุกศาสนา หรือต่อทุกคน.
ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยจึงมีคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ สรรพสัตว์ และสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง.
ถ้าองค์การสหประชาชาติสนับสนุนศาสตร์ของความฉลาดทางอารมณ์ตามแนวภูมิปัญญาไทยให้เกิดขึ้นในนานาชาติได้อย่างจริงจัง.
ความเจริญ ความผาสุก สันติภาพ และความมั่นคงก็จะขยายตัวออกไปยังนานาชาติได้มากขึ้นตามเหตุปัจจัย.
ท่านที่เห็นประโยชน์ของความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย พร้อมทั้งมีความสามารถในการเผยแพร่เรื่องเช่นนี้ไปยังองค์การสหประชาชาติ และประเทศต่าง ๆ ได้ ก็ขอได้โปรดช่วยกันดำเนินการต่อไปเถิด เพื่อให้ชาวโลกที่ได้ศึกษาและฝึกปฏิบัติในเรื่องนี้ จะได้มีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสและมีความสุขสงบมากขึ้น.
**********
ต่อจากนี้ไป กรุณาฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันตามขั้นตอนในบทนี้
บทที่ ๑๓
ขั้นตอนที่ ๕. วิธีบริหารความคิดให้มีความฉลาดทางอารมณ์
ภาคปฏิบัติ:
ตอน ๑ : วิธีฝึกมีสติควบคุมความคิด
ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยเป็นเรื่องของวิชาการในการมีสติดูแล(บริหาร)จิตใจของตนเองให้ละชั่ว มุ่งทำแต่ความดี และทำจิตใจของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส หรือมีอารมณ์ที่เป็นกุศลอย่างต่อเนื่อง.
ถึงแม้จะเห็นพ้องต้องกันว่า ความฉลาดทางอารมณ์เป็นเรื่องดีงามที่ทุกคนควรนำไปฝึกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าไม่มีความรู้เรื่องของจิตใจและวิธีฝึกบริหารความคิด ก็จะไม่สามารถบรริหารความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
การฝึกบริหารความคิดเพื่อให้มีความฉลาดทางอารมณ์มี ๒ ขั้นตอน คือ ๑. ฝึกควบคุมความคิด. ๒. ฝึกหยุดความคิด.
เหตุที่ต้องฝึกควบคุมความคิดในชีวิตประจำวัน ก็เพื่อควบคุมความคิดของตนเองไม่ให้คิดอกุศล และให้คิดแต่กุศล อันจะเป็นผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส.
เหตุที่ต้องฝึกหยุดความคิดในชีวิตประจำวัน ก็เพื่อการพักสมองและร่างกาย รวมทั้งทำจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส. ครั้นสมองและร่างกายได้พักตามสมควรแล้ว สมองและร่างกายก็มีความพร้อมที่จะทำกิจต่าง ๆ รวมทั้งควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศล และให้คิดแต่กุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
การฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันจึงเป็นเรื่องของการฝึกควบคุมความคิดสลับกับการฝึกหยุดความคิด เพื่อไม่ให้คิดอกุศลและให้คิดแต่กุศล จึงเป็นผลให้เกิดการพูดดี ทำดี และทำจิตใจของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.
การคิดแต่กุศลหมายถึงการไม่คิดอกุศลด้วย. ดังนั้น เพื่อให้บทความกระชับ ข้อความที่ว่า ไม่ให้คิดอกุศลและให้คิดแต่กุศล จึงขอย่อลงเป็น ให้คิดแต่กุศล.
วิธีฝึกควบคุมความคิด
จิตใจประกอบด้วย ความรู้สึก นึกคิด จำและการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ.
การฝึกบริหารจิตใจจึงมีความหมายกว้าง คือ ต้องฝึกบริหารความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ.
เพื่อให้ตรงประเด็นและง่ายขึ้น จึงขอเน้นเรื่องการฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะมีผลต่อทุกองค์ประกอบของจิตใจ รวมทั้งเป็นผลให้เกิดการพูด และการกระทำต่าง ๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยตรง.
การจะมีสติควบคุมความคิดได้ดีนั้น ต้องใช้ข้อมูลของความรู้และความสามารถในการควบคุมความคิดที่มีอยู่ในความจำในขณะนั้น มาใช้ในการควบคุมความคิดของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ขอและซื้อหากันไม่ได้ แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และฝึกฝนให้เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง.
ดังนั้น ในชีวิตประจำวัน ท่านจึงควรพยายามฝึกฝนตนเองในการมีสติควบคุมความคิดของตนเอง ให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง จนเป็นนิสัยหรือเป็นเรื่องปรกติของชีวิต.
วิธีฝึกมีสติควบคุมความคิดในชีวิตประจำวันด้วยตนเองเป็นวิธีการที่ง่ายและมีเพียง ๓ ข้อย่อย ๆ เท่านั้นเอง.
วิธีฝึกมีสติควบคุมความคิดในชีวิตประจำวัน
ข้อที่ ๑. พยายามฝึกมีสติรู้เห็นความคิด และควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.
ข้อที่ ๒. ศึกษาและทบทวนเรื่องความฉลาดทางอารมณ์หรือคุณธรรม รวมทั้งฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยความฉลาดทางอารมณ์.
ข้อที่ ๓. ฝึกมีสติใช้ความรู้คู่คุณธรรมในชีวิตประจำวัน.
วิธีฝึกมีสติควบคุมความคิดในชีวิตประจำวันมีเนื้อหาที่สำคัญเพียงแค่นี้เอง !
ต่อจากนี้ไป ให้ลงมือฝึกมีสติควบคุมความคิดตามข้อความตัวเอนทีละข้อ ดังต่อไปนี้ :-
วิธีฝึกตามข้อที่ ๑: ให้พยายามฝึกมีจิตจดจ่อ(มีสติ)อยู่กับกิจต่าง ๆ ที่มีเจตนาทำอยู่อย่างต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ครั้นเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน แล้วนึกขึ้นมาได้เมื่อใด ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับกิจที่เจตนาทำอยู่
การฝึกเช่นนี้นั้น ไม่ต้องรอวัน เวลา สถานที่ และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ขอให้มีศรัทธาและความเพียรเป็นที่ตั้ง.
ไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องอุดหู แต่ให้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ รอบด้าน รวมทั้งทำกิจต่าง ๆ เหมือนกับการดำเนินชีวิตตามปรกติ.
หลักการสำคัญ คือ ให้ตั้งเจตนาว่า จะพยายามมีสติ(มีจิตจดจ่อ)อยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่เสมอ เพื่อสามารถทำกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน พร้อมทั้งรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิด ให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง.
หลังจากนั้นก็พยายามมีสติในการทำกิจต่าง ๆ ตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ พร้อมทั้งคอยดูแลความคิดของตนเองให้คิดแต่กุศลเป็นหลัก และให้เลิกคิดอกุศลอย่างเด็ดขาด. เมื่อใดที่มีสติรู้ตัวว่า กำลังเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับกิจที่เจตนาทำอยู่ หรือเมื่อใดรู้ตัวว่าคิดอกุศล หรือคิดเรื่องอื่นใดที่ไม่ต้องการคิด ก็ให้มีสติระงับความคิดนั้น ๆ ทันทีในวินาทีนั้น และรีบกลับมามีสติอยู่กับกิจที่เจตนาทำอยู่เช่นเดิม.
ก่อนลงมือฝึก ควรอ่านคำอธิบายเพิ่มเติมเพื่อเสริมความเข้าใจเสียก่อน.
อธิบายเพิ่มเติม: การตั้งเจตนาว่า เราจะฝึกมีสติควบคุมความคิด ก็คือความคิดที่สั่งการให้สมองทำหน้าที่ตามที่ได้ตั้งเจตนาไว้ ขณะเดียวกัน สมองก็จะจำคำสั่งเอาไว้ และสมองก็จะทำตามคำสั่งที่มีอยู่ในความจำ แต่ธรรมชาติของสมองนั้น มักจะไม่ทำตามที่ได้ตั้งเจตนาตลอดเวลา. ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความเพียรที่จะมีสติควบคุมความคิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ เพื่อให้เกิดการละความชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตใจของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.
สมองของคนที่ไม่เคยฝึกมีสติควบคุมความคิดมาก่อน มักจะเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านเก่ง เพราะเป็นความเคยชิน และขณะคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น สมองจะควบคุมความคิดไม่ได้ จึงคิดกุศลบ้าง คิดอกุศลบ้าง ตามเหตุปัจจัยในขณะนั้น.
ดังนั้น จึงต้องพยายาม(เพียร)มีสติดูแลจิตใจของตนเอง อย่าให้มีการคิดฟุ้งซ่าน และทันทีที่มีสติรู้ว่า กำลังคิดฟุ้งซ่าน ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่ จนเป็นนิสัย(เป็นอัตโนมัติ).
การคิดฟุ้งซ่านเล็ก ๆ น้อย ๆ ถือว่า เป็นเรื่องปรกติของทุกคน เพราะไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่คิดฟุ้งซ่านเลย แต่ในการฝึกมีสติควบคุมความคิดนั้น ต้องพยายามไม่ปล่อยให้มีการคิดฟุ้งซ่านเท่าที่จะทำได้ เพราะกำลังฝึกฝนตนเองอยู่.
ไม่มีใครรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดของผู้อื่นได้. ดังนั้น ทุกคนต้องพึ่งความรู้และความสามารถในการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดของตนเอง ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลประสบการณ์ในเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ที่มีอยู่ในความจำ ทำการรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศล รวมทั้งคอยสอนและตักเตือนตนเองให้คิดแต่กุศลตลอดชีวิต.
การฝึกในขั้นตอนนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ขณะมีสติอยู่นั้น จะสามารถควบคุมความคิดได้ แต่ขณะเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน จะไม่สามารถควบคุมความคิดตามที่ได้ตั้งเจตนาไว้.
บางครั้ง มีการชักเย่อทางความคิดระหว่างความคิดที่เป็นฝ่ายอกุศลกับฝ่ายกุศล.
การชักเย่อทางความคิดในขณะข้อมูลของทั้ง ๒ ฝ่ายในความจำมีจำนวนใกล้เคียงกัน จึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดไม่ได้.
การมีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวพร้อมทั้งมีความเพียรที่จะคิดแต่กุศลอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ก็จะช่วยให้ฝ่ายกุศลมีชัยชนะ.
เมื่อใดที่รู้ตัวว่าพ่ายแพ้ความคิดที่เป็นอกุศลหรือมีการตั้งใจคิดอกุศลหลายวินาที ก็ให้รีบหยุดการคิดอกุศลทันที พร้อมทั้งตักเตือนตนเองว่า จะไม่คิดอกุศลอีก.
การมีสติสอนหรือตักเตือนตนเองให้คิดแต่กุศลอยู่เสมอ จะทำให้เกิดการเพิ่มพูนข้อมูลด้านคิดแต่กุศลในความจำอย่างรวดเร็ว.
เมื่อคิดแต่กุศล ความทุกข์ต่าง ๆ จากการคิดอกุศลก็จะไม่เกิดขึ้น เป็นผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส สงบ มีความเบิกบานในคุณธรรม หรือมีความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการบริหารความคิด.
ให้ท่านฝึกพิจารณาว่า การฝึกคิดแต่กุศลตามข้อที่ ๑ เป็นการฝึกควบคุมความคิดในชีวิตประจำวัน ใช่หรือไม่ ? การฝึกควบคุมความคิดนั้น ไม่จำเป็นต้องรอวัน เวลา สถานที่ และไม่ต้องใช้เงิน ใช่หรือไม่ ? ท่านคงจะตอบได้อย่างรวดเร็วว่า ใช่แล้ว.
วิธีฝึกตามข้อที่ ๒: ศึกษาและทบทวนเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ คุณธรรม จริยธรรม พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยการคิดแต่กุศล เพื่อให้เกิดความรู้และความสามารถในการคิดแต่กุศล.
อธิบายเพิ่มเติม: ในชีวิตประจำวัน ควรพยายามตั้งใจ(มีสติ)ศึกษาและทบทวนเรื่องความฉลาดทางอารมณ์(ในที่นี้หมายรวมถึง คุณธรรม จริยธรรม พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) รวมทั้งฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยการคิดแต่กุศลอยู่เสมอ เพื่อทำให้ข้อมูลความฉลาดทางอารมณ์หรือข้อมูลกุศลในความจำเพิ่มมากขึ้น และพยายามตั้งใจ(มีสติ)ใช้ข้อมูลกุศลที่มีอยู่ในความจำ ทำการควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง. ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ข้อมูลด้านความฉลาดทางอารมณ์ที่มีอยู่ในความจำก็จะมีจำนวนลดลง และข้อมูลด้านคิดอกุศลก็จะมีเพิ่มขึ้น.
ความรู้และความสามารถในเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ที่เกิดจากการศึกษา ทบทวน และการฝึกแก้ปัญหาเป็นประจำ จะถูกจดจำและถูกนำมาใช้ในการควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง.
วิธีฝึกตามข้อที่ ๓: ฝึกมีสติใช้ความรู้คู่คุณธรรมในชีวิต ประจำวัน.
อธิบายเพิ่มเติม: ความรู้คู่คุณธรรม ประกอบด้วยความรู้ + คุณธรรม หรือความรู้ + ความฉลาดทางอารมณ์.
การมีสติใช้ความรู้ในการศึกษาเล่าเรียน ทำมาหากิน รวมทั้งการดูแลชีวิตและทรัพย์สินนั้น ยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีสติใช้คุณธรรมในการดูแลจิตใจให้คิดแต่กุศล จึงจะเป็นการดูแลชีวิตอย่างถูกต้อง เพราะเป็นการมีสติดูแลร่างกาย ครอบครัว การงาน ทรัพย์สิน และจิตใจไปพร้อม ๆ กัน.
ความสามารถในเรื่องความฉลาดทางอารมณ์จะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับการศึกษาและการฝึกควบคุมความคิดว่า มีความถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่องเพียงใด.
ขณะมีสติในการทำกิจใดก็ตาม สมองจะใช้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าไม่มีสติ สมองจะคิดและทำกิจต่าง ๆ อย่างไม่มีประสิทธิภาพ.
คนที่สติไม่ตั้งมั่นหรือฟุ้งซ่านเก่ง ความสามารถในการทำกิจต่าง ๆ ก็จะลดลงไปตามสัดส่วนด้วย.
ขณะหลับสนิทหรือหมดสติอยู่นั้น สมองจะไม่สามารถใช้ข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในความจำได้.
ดังนั้น การจะทำกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพและสำเร็จไปได้ด้วยดีนั้น จำเป็นต้องเพียรมีสติใช้ความรู้คู่คุณธรรมในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัย.
การทำกิจที่ยาก จำเป็นต้องมีและใช้ความรู้คู่คุณธรรมที่มากพอ จึงจะทำกิจที่ยากได้สำเร็จ. ยิ่งเป็นกิจที่ยากมากและมีปัญหามาก ก็ยิ่งจำเป็นต้องมีความรู้และคุณธรรมมากขึ้นตามสัดส่วนด้วย จึงจะทำกิจนั้น ๆ สำเร็จไปได้ด้วยดี.
คนจำนวนมากจะมีคุณธรรมในการดูแลจิตใจตนเองไม่ให้คิดอกุศลในบางเรื่องอยู่แล้ว เช่น ไม่คิดฆ่าคน ไม่คิดลักทรัพย์ และไม่คิดประพฤติผิดทางกามจนเป็นนิสัยหรืออัตโนมัติ.
บางคนชอบคิดแต่กุศลจนเป็นนิสัย จึงไม่ค่อยมีการคิดอกุศลแม้แต่ในขณะคิดฟุ้งซ่าน และในขณะฝัน.
ทั้งนี้ เป็นเพราะว่า มีข้อมูลความฉลาดทางอารมณ์อยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก และมีข้อมูลอกุศลอยู่ในความจำเป็นจำนวนน้อย.
บางคนมีเรื่องกระทบกระเทือนต่อจิตใจมากจนไม่สามารถควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศลได้ ครั้นคิดอกุศลซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเกิดความกังวล เครียด นอนไม่หลับ หรือมีความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ. ดังนั้น จึงจำเป็นต้องรีบเพิ่มข้อมูลด้านความฉลาดทางอารมณ์ในความจำ หรือเพิ่มความรู้และขีดความสามารถของการมีความฉลาดทางอารมณ์ในความจำอย่างรวดเร็ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้หมดไป.
วิธีฝึกตามข้อที่ ๓ นี้ เป็นข้อสรุปของการดำเนินชีวิตที่สุดประเสริฐ คือ ให้มีสติใช้ความรู้คู่คุณธรรมในชีวิตประจำวัน จึงจะทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลงานที่มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม มีความเจริญ มีความสุข และมีความมั่นคง ขณะเดียวกัน จิตใจก็มีความบริสุทธิ์ผ่องใส เป็นผลให้ความทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจลดลงหรือหมดไปด้วย.
ดังนั้น จึงไม่ควรใช้ความรู้ หรือใช้คุณธรรมเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้ควบคู่กันไปในชีวิตประจำ วันจนกลายเป็นนิสัยที่ดีสืบต่อไป.
วิธีฝึกมีสติดูแลจิตใจให้คิดแต่กุศลในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องง่าย อยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ ไม่ต้องรอวันเวลา ไม่ต้องรอสถานที่ ไม่ต้องเก็บตัว ไม่ต้องรออาจารย์ ไม่ต้องอยู่ป่า ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะเป็นเรื่องของการพยายามฝึกมีสติคิดแต่กุศลในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง และขณะที่คิดแต่กุศล ก็จะได้รับผลคือ จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสทันที.
เรื่องที่ยากมาก คือ การไม่มีความศรัทธา ไม่มีความสนใจ และไม่มีความเพียรในการฝึกฝนตนเองให้มีสติคิดแต่กุศลอย่างจริงจังนั่นเอง.
ทุกท่านสามารถตั้งใจสอนตนเองและเตือนตนเองวันละหลาย ๆ ครั้งว่า ให้มีสติคิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง. เมื่อใดที่มีสติรู้ว่า กำลังฟุ้งซ่านหรือรู้ว่ากำลังคิดอกุศลอยู่ ก็ให้รีบมีสติหยุดการคิดอกุศลนั้น ๆ ทันที ในวินาทีนั้นเลย พร้อมทั้งตั้งสติเตือนตนเองอยู่เสมอว่า จะคิดแต่กุศลเท่านั้น.
การมีความศรัทธาที่แรงกล้าในการฝึกฝนตนเองให้คิดแต่กุศล หรือคิดดี ทำดี ด้วยความจริงจัง จริงใจ และอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นปัจจัยสำคัญมาก ๆ ที่จะทำให้ท่านสามารถเอาชนะความคิดที่เป็นอกุศลได้เป็นอย่างดี. เมื่อฝึกไปไม่นานนัก ความฉลาดทางอารมณ์ก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสามารถเอาชนะความคิดที่เป็นอกุศลได้ต่อเนื่องมากขึ้น.
งควร
การฝึกควบคุมความคิดในขณะว่างจากกิจต่าง ๆ
ธรรมชาติของจิตใจนั้น เมื่อยามว่างจากการทำกิจต่าง ๆ สมองก็มักจะคิดฟุ้งซ่านไปในเรื่องต่าง ๆ ตามแต่เหตุปัจจัย. แม้แต่ในขณะที่กำลังทำกิจใดกิจหนึ่งอยู่ก็ตาม สมองก็มักจะแอบคิดฟุ้งซ่านเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ. ความคิดฟุ้งซ่านดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นเพราะขณะนั้น สติไม่สามารถควบคุมความคิดได้.
การคิดฟุ้งซ่านจึงทำให้เกิดการคิดอกุศลได้โดยง่าย ถึงแม้จะได้ตั้งเจตนาไว้เรียบร้อยแล้วว่า จะคิดแต่กุศลตลอดไปก็ตาม.
เพื่อป้องกันการคิดฟุ้งซ่านและการคิดไม่ดีในยามว่าง จึงจำเป็นต้องมีกิจง่าย ๆ ให้สมองทำงานเบา ๆ ด้วย เพื่อเป็นที่ตั้งหรือที่อยู่อาศัย หรือที่เกาะเกี่ยวของจิต ในที่นี้ขอใช้คำว่า ฐานหลักของจิต.
บางท่านอาจตั้งคำถามว่า ถ้าอย่างนั้นแล้ว ในยามว่างก็ควรหางานมาทำเพื่อลดการคิดฟุ้งซ่านได้หรือไม่ เช่น อ่านหนังสือ ดูรูปภาพ ทำการฝีมือ พูดคุยกัน ซ่อมเสื้อผ้า รีดผ้า เป็นต้น. ทั้งนี้ เพื่อใช้สมองให้ทำงานไว้เสมอ จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน.
ขอตอบว่า ได้ แต่เป็นการลดความคิดฟุ้งซ่านด้วยการเบี่ยง เบนการคิดหรือเบี่ยงเบนความสนใจ(สติ) ซึ่งเหมาะสำหรับท่านที่ไม่เคยฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตมาก่อน และข้อดีของการเบี่ยง เบนความสนใจไปทำกิจต่าง ๆ คือ มีผลงานเกิดขึ้นถ้างานนั้นเป็นผลผลิต แต่จะมีข้อเสีย คือ สมองและร่างกายไม่ได้พัก.
หลักการสำคัญ คือ ถ้าจะให้สมองและร่างกายได้พักมากขึ้นในขณะไม่ได้นอนหลับ ก็ควรให้สมองทำกิจที่ง่าย ๆ เบา ๆ อยู่กับกิจใดกิจหนึ่ง เพื่อใช้เป็นฐานหลักของจิต เช่น มีสติรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงรูจมูก มีสติอยู่กับความว่าง มีสติอยู่กับการเคลื่อนไหวบริเวณหน้าท้อง มือ ปลายนิ้ว มีสติอยู่กับบริกรรมคำง่าย ๆ มีสติอยู่กับการมีมโนภาพว่าเป็นรูปลูกแก้วที่ใสสว่าง มีสติอยู่กับการท่องคำสวดง่าย ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก มีสติท่องคำว่า พุทโธ ชื่อพระเป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระศาสดา นักบุญ ผู้ที่ท่านเคารพ มีสติสวดมนต์บทที่สั้นและง่ายที่สุด ท่องคำว่าคิดแต่กุศล คิดดีทำดี คิดดีทำดีไม่ต้องเดี๋ยว เป็นต้น.
ในขณะพักผ่อนหรือว่างจากการงาน ควรฝึกมีสติอยู่กับกิจง่าย ๆ ดังกล่าวแล้วเป็นประจำโดยไม่คิดปรุงแต่งอะไร ก็คือ การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิต. ทั้งนี้ ก็เพื่อให้สมองได้พัก ร่างกายได้พัก ได้สำรวมความคิด ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส และเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านนั่นเอง.
การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตแล้วพยายามคิดปรุงแต่งเพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ นั้น ไม่ใช่การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิต แต่เป็นการมีสติคิดปรุงแต่ง.
การฝึกควบคุมจิตใจให้มาจดจ่อ(มีสติ)อยู่ที่ฐานหลักของจิตอยู่เสมอ จะทำให้เกิดความเคยชิน และคุ้นเคยกับการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเป็นประจำ จนกลายเป็นนิสัย.
การจะทำให้ความคิดฟุ้งซ่านหมดไปเลยนั้น เป็นเรื่องยากมาก ๆ คนที่จะไม่คิดฟุ้งซ่านเลย คือ คนที่กำลังหลับสนิท หรือหมดสติในรูปแบบต่าง ๆ.
การคิดฟุ้งซ่านเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ถึงกับสร้างปัญหาและทำให้รำคาญใจ ก็ถือว่า เป็นเรื่องปรกติของคนทั่วไป. บางคนท้อใจและเป็นทุกข์เพราะไม่สามารถระงับการคิดฟุ้งซ่านได้ ๑๐๐ % ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด.
ในขณะทำกิจสำคัญต่าง ๆ ต่อหน้าคนหลายคนหรือต่อหน้าสาธารณชน การเบี่ยงเบนความคิดโดยเอางานอื่นขึ้นมาทำจะสะดุดตา และเป็นเรื่องไม่ควรทำ.
เมื่อถึงเวลานอนและต้องการไม่ให้คิดฟุ้งซ่านโดยการเอากิจต่าง ๆ มาทำเพื่อเบี่ยงเบนความคิด อาจเป็นผลให้ตาสว่าง นอนไม่หลับ สมองและร่างกายไม่ได้พัก อีกทั้งมีความยุ่งยากในการต้องหากิจกรรมต่าง ๆ มาทำตอนดึก ซึ่งเป็นเวลานอนหลับอีกด้วย.
ดังนั้น การฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตจึงเป็นเรื่องที่ทำได้สะดวกสบาย เพื่อให้สมองและร่างกายได้พักผ่อน จึงเหมาะสำหรับการฝึกควบคุมจิตใจไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน และฝึกสำรวมความคิด.
ขอทบทวนว่า จิตใจประกอบด้วยความรู้สึก นึก คิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ.
ขณะที่มีจิตใจจดจ่อ(มีสติ)อยู่กับกิจใดกิจหนึ่งเป็นหลัก นั่นก็คือการมีความรู้สึก นึก คิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจที่เกี่ยวข้องกับกิจนั้น ๆ. ครั้นทำเป็นประจำ จึงเป็นฐานที่ตั้งประจำของจิตใจ เรียกว่า ฐานหลักของจิต หรือ ฐานหลักของสติ ก็ได้.
การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิต พร้อมทั้งมีสติในการทำกิจต่าง ๆ และควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง คือ การควบคุมความคิด(ตรงกับคำว่า เจริญสติ).
การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเพียงกิจเดียว พร้อมทั้งปล่อยวางจากการคิด(ไม่คิด)เรื่องราวทั้งปวงโดยสิ้นเชิง คือ การหยุดความคิด(ตรงกับคำว่า เจริญสมาธิ) ซึ่งจะได้กล่าวถึงในบทต่อไป.
วิธีฝึกมีสติหรือมีจิตอยู่ที่ฐานหลักของจิต
การจะทำกิจใด ๆ อย่างจริงจัง ต้องมีสติคิดและตั้งใจสั่งตนเองให้ทำกิจนั้น ๆ หรือเรียกว่า การตั้งเจตนา. เมื่อมีเจตนาว่า จะทำกิจใด ๆ ก็ตาม สมองจะทำตามเจตนานั้น ๆ ทันที เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.
ดังนั้น การฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตนั้น จึงต้องตั้งเจตนาและต่อด้วยการพยายามมีจิตจดจ่อ(มีสติ)อยู่กับกิจง่าย ๆ ที่กำหนดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตามสมควร.
เพื่อให้ง่ายสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ จึงขอยกตัวอย่าง ๒ แบบ ซึ่งทั้ง ๒ แบบมีอยู่แล้วในประเทศอินเดียตั้งแต่ก่อนพุทธกาล. เมื่อท่านเข้าใจหลักการแล้ว ก็จะสามารถสร้างหรือเลือกแบบต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว ตามความเหมาะสมต่อไป.
ตัวอย่างแบบที่ ๑. วิธีสร้างฐานหลักของจิตโดยการมีสติอยู่กับลมหายใจ
คนไทยส่วนมากจะมีความรู้ในเรื่องวิธีฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนไทยที่จะนำวิธีการที่จะกล่าวถึงไปใช้ในชีวิตประจำวัน.
ตัวอย่างของวิธีฝึกที่คนทั่วไปสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล มีดังต่อไปนี้ :-
เริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาว่า จะเพียรมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูก.
ท่านที่ไม่เคยฝึกมาก่อน ให้เริ่มด้วยการหายใจแรง ๆ คล้ายกับการถอนหายใจ. การหายใจแรง ๆ จะทำให้สามารถรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่บริเวณรูจมูกได้ดีขึ้น.
ครั้นรับรู้ได้แล้ว ก็ให้ผ่อนลมหายใจมาเป็นการหายใจตามปรกติ และพยายามมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกบริเวณรูจมูกเช่นเดิม เพื่อเป็นที่เกาะเกี่ยวหรือเป็นฐานหลักของจิตต่อไปเรื่อย ๆ.
ขณะฝึกอยู่นั้น เมื่อใดที่รับรู้ความรู้สึกของลมหายใจไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ยังหายใจอยู่ ก็ให้หายใจแรงขึ้น เพื่อที่จะได้รับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกบริเวณรูจมูกได้อีก. เมื่อรับรู้ได้แล้วก็ผ่อนลงมาจนเป็นการหายใจตามปรกติ. ถ้าท่านฝึกเช่นนี้เพียงไม่กี่ครั้ง ก็จะสามารถรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกได้ดีขึ้น.
การฝึกเป็นประจำอยู่เสมอ ก็จะกลายเป็นนิสัย คือ มีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตอยู่เสมอ ๆ.
ขณะที่ท่านมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่บริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียว การคิดเรื่องต่าง ๆ ก็จะหมดไป การคิดอกุศลก็จะไม่เกิดขึ้น จึงทำให้จิตใจในขณะนั้นมีความบริสุทธิ์ผ่องใสทันที และความสงบก็จะเกิดขึ้น ความทุกข์ทางจิตใจที่เกิดจากการคิดอกุศลก็จะหมดไปหรือไม่เกิดขึ้น.
สำหรับท่านที่คุ้นเคยกับการฝึกวิธีอื่นมาก่อนแล้วนั้น ถ้าจะเปลี่ยนวิธีการก็ไม่ใช่เป็นเรื่องยาก แต่จำเป็นจะต้องใช้เวลาตามสมควร เพื่อปรับเปลี่ยนข้อมูลในความจำ แต่ถ้าจะใช้วิธีฝึกแบบเดิมก็ไม่เป็นไร ขอเพียงให้เข้าใจในหลักการเท่านั้นเอง.
ตัวอย่างแบบที่ ๒. วิธีสร้างฐานหลักของจิตโดยการมีสติอยู่กับความว่าง
สมมติว่า ท่านต้องการฝึกมีสติอยู่กับความว่าง หรือเอาความว่างเป็นฐานหลักของจิต.
วิธีสร้างความว่างเพื่อเป็นฐานหลักของจิตนั้น เป็นเรื่องง่าย เริ่มต้นด้วยการสร้างจินตนาการเล็ก ๆ เบา ๆ และง่าย ๆ ว่า มีความว่างอยู่ที่ข้างหน้าของท่าน หรือมีความว่างอยู่ภายในศรีษะของท่านก็ได้แล้วแต่ท่านจะชอบ โดยตั้งเจตนาว่า เราจะอยู่กับความว่างของจิตใจโดยไม่คิดเรื่องอื่นใดเลย เสร็จแล้วพยายามมีสติอยู่กับความว่างที่กำหนดขึ้น โดยไม่คิดเรื่องอื่นใด ครั้นเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่นใด พอมีสติรู้ตัวว่า กำลังคิดฟุ้งซ่าน ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับความว่างตามที่ได้กำหนดไว้อย่างเดิม.
ยามว่าง ขณะที่ท่านมีสติอยู่กับความว่าง การคิดเรื่องต่าง ๆ ก็จะหมดไป การคิดอกุศลก็จะไม่เกิดขึ้น จึงทำให้จิตใจในขณะนั้นมีความบริสุทธิ์ผ่องใสทันที ความสงบก็จะเกิดขึ้น และความทุกข์ทางจิตใจที่เกิดจากการคิดไม่ดีก็จะหมดไปหรือไม่เกิดขึ้น.
ยามว่าง ถ้าควบคุมตนเองให้มีสติ(มีจิตจดจ่อ)อยู่ที่ฐานหลักของจิตเป็นการชั่วคราว จิตใจก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสชั่วคราว ถ้ามีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตได้นาน จิตใจก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสได้นาน.
ฐานหลักของจิตตามความถนัดของแต่ละบุคคล
บางท่านเคยฝึกมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกบริเวณรูจมูกเป็นประจำ เพื่อเป็นฐานที่ตั้งของจิต หรือเป็นเครื่องโยงจิตเอาไว้.
บางท่านเคยฝึกบริกรรมด้วยการท่องในใจคำว่า พุทโธบ้าง สัมมาอรหังบ้าง ยุบหนอพองหนอบ้าง ก็ถือว่าเป็นฐานหลักของจิตได้เช่นกัน ถ้าฝึกเป็นประจำ.
บางท่านชอบสวดมนต์บทสั้น ๆ และง่าย ๆ เป็นประจำ ก็ทำเป็นฐานหลักของจิตได้เช่นกัน.
บางท่านท่องชื่อศาสดาหรือนักบุญในศาสนาของตน ก็เป็นฐานหลักของจิตได้เช่นกัน.
หลักการสำคัญเรื่องฐานหลักของจิต คือ ต้องมีสติอยู่กับกิจเล็ก ๆ เบา ๆ และง่าย ๆ เพื่อให้สมองมีงานทำ หรือมีฐานที่ตั้งของจิตเพื่อจะได้ไม่ไปคิดฟุ้งซ่าน และขณะเดียวกัน ยังสามารถใช้เป็นฐานหลักของจิตในการสำรวมความคิดได้เป็นอย่างดี.
การมีฐานหลักของจิตอยู่กับเรื่องใด จิตซึ่งประกอบด้วยความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ก็จะอยู่กับเรื่องนั้น ๆ.
เคยทราบจากผู้มาฟังคำบรรยายของผู้เขียนท่านหนึ่ง เธอเล่าให้ฟังว่า เธอบริกรรมว่า คิดดีทำดี เพื่อเป็นฐานหลักของจิตอยู่เสมอ จึงทำให้เธอมีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสได้เป็นอย่างดี.
เมื่อเข้าใจหลักการฝึกปฏิบัติแล้ว ท่านก็จะสามารถเลือกวิธีตามที่ท่านชอบหรือถนัด.
ความคิดที่แวบขึ้นมาเป็นเรื่องปรกติ
ขณะมีสติอยู่กับความว่างหรือกำลังตั้งใจทำกิจอะไรอยู่ก็ตาม สมองก็มักจะมีความคิดแวบขึ้นมา หรือมีความคิดแทรกขึ้นมา หรือมีการคิดนำขึ้นมาเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่ทุกคนพึงมีและพึงเป็น.
ในขณะที่ฝึกควบคุมความคิดอยู่นั้น ความคิดเรื่องต่าง ๆ ที่มีอยู่ในความจำก็จะแวบขึ้นมา. บางครั้งก็เป็นเรื่องกุศล บางครั้งก็เป็นเรื่องอกุศล บางครั้งก็เป็นเรื่องวิชาการบ้าง อดีตบ้าง และอนาคตบ้าง แล้วแต่เหตุปัจจัยในขณะนั้น ซึ่งถือว่า เป็นการทำงานของสมองตามปรกติที่มนุษย์ทั่วไปพึงมี.
การมีความคิดแวบขึ้นมามากเกินไปก็ไม่ดีและน้อยเกินไปก็ไม่ดี. ในช่วงที่ต้องแก้ปัญหาที่ยากและสำคัญ หรืออยู่ในภาวะคับขัน สมองจะครุ่นคิดมาก ความคิดก็จะแวบขึ้นมามาก เพื่อรีบแก้ปัญหา หรือเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน.
ในช่วงที่ไม่มีภารกิจที่ต้องคิดมาก ความคิดก็จะแวบขึ้นมาน้อยลงไปตามสัดส่วนด้วย.
ข้อสำคัญคือ ถ้าความคิดที่แวบขึ้นมานั้น เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจที่ทำอยู่ หรือเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ ก็ให้มีสติไม่ไปคิดต่อเติมเรื่องที่แวบขึ้นมา เพราะการคิดต่อเติมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา โดยไม่ได้มีเจตนาว่าจะคิด ก็ถือว่า เป็นการคิดฟุ้งซ่าน.
แต่ถ้าเรื่องที่แวบขึ้นมาเป็นเรื่องสำคัญหรือเร่งด่วน ก็ต้องนำมาคิดต่อ และรีบดำเนินการตามความเหมาะสม เช่น มีความคิดแวบขึ้นมาว่า ลืมปิดเตาแก๊ส ลืมวางของมีค่าไว้ในที่ไม่ปลอดภัย, จะต้องรีบเตรียมงานสำคัญเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น จะเกิดความเสียหายมาก เป็นต้น.
วิธีฝึกสำรวมความคิด
ในชีวิตประจำวันของคนในยุคปัจจุบันมักจะมีการดูโทรทัศน์กันเป็นส่วนใหญ่. ท่านก็สามารถใช้เวลาที่อยู่หน้าโทรทัศน์เพื่อการฝึกสำรวมความคิดได้ด้วย.
ขณะที่ดูละครโทรทัศน์ด้วยความตั้งใจ(มีสติ)เต็มที่ ผลที่เกิดขึ้น คือ ความคิดก็จะปรุงแต่งไปตามเนื้อหาของการแสดง จึงทำให้คิดดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง และอารมณ์ก็จะผันแปรไปตามความคิดที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ๆ.
ให้ท่านทดลองฝึกมีสติส่วนใหญ่จดจ่ออยู่กับอีกงานหนึ่ง เช่น ตั้งใจ(มีสติ)อยู่กับการอ่านหนังสือพิมพ์เป็นส่วนใหญ่ และแบ่งความตั้งใจส่วนน้อยไปใช้ในการดูละครโทรทัศน์. ท่านจะเรียนรู้ได้ด้วยตนเองว่า การคิดปรุงแต่งไปตามเนื้อหาของการแสดงจะลดลงทันที และรสชาติจากการคิดปรุงแต่งก็จะลดลงไปตามสัดส่วนด้วย. ที่เป็นเช่นนี้ เพราะสมองถูกแบ่งหน้าที่ส่วนใหญ่มาอยู่กับเรื่องของการอ่านหนังสือพิมพ์ จึงทำให้การคิดปรุงแต่งตามการแสดงลดลง เป็นผลให้โอกาสที่จะคิดอกุศลตามบทละครลดลงไปด้วย.
ในขณะดูละครโทรทัศน์ ให้ท่านทดลองฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตดังได้กล่าวถึงแล้ว ในสัดส่วนต่าง ๆ กัน เช่น มากบ้าง น้อยบ้าง กลาง ๆ บ้าง เป็นต้น. ท่านก็จะได้เรียนรู้ด้วยตนเองว่า การคิดปรุงแต่งไปตามเนื้อหาของการแสดง และรสชาติของการคิดปรุงแต่งก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสัดส่วนด้วย เพราะธรรมชาติของสมองทำงานเช่นนั้นเอง เช่น เมื่อมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตมาก การคิดปรุงแต่งตามบทละครก็จะลดลง เมื่อมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตน้อย การคิดปรุงแต่งตามบทละครก็จะมากขึ้น เป็นต้น.
ให้ท่านทดลองมีสติเต็มที่อยู่กับกิจอื่นอย่างเต็มตัว ท่านก็จะพบว่า ดูละครไม่รู้เรื่องหรือไม่มีรสชาติเลย เพราะจิตใจจดจ่ออยู่กับกิจอื่นอย่างเต็มตัว.
คนที่ดูละครหรือดูบทบาทของชีวิตผู้อื่นไม่เป็น คือ คนที่ไม่รู้จักมีสติในการสำรวมระวังความคิด จึงอาจคิดอกุศลและเกิดความทุกข์ขึ้นได้โดยง่าย.
ในชีวิตประจำวัน ทุกคนต่างก็มีบทบาทหรือมีละครชีวิตที่ต้องเล่นด้วยตนเอง. ถ้าเล่นละครไม่เป็น คือ ไม่สำรวมระวังในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ และไม่สำรวมความคิด ก็จะทำให้เกิดการคิดอกุศลและเป็นทุกข์ได้โดยง่าย.
การมีสติอยู่กับฐานหลักของจิตในสัดส่วนที่เหมาะสม จะทำให้เกิดการสำรวมระวังในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวมทั้งสำรวมระวังในการคิดและพิจารณา.
การฝึกในขั้นตอนนี้ ให้ท่านพยายามฝึกมีสติส่วนหนึ่งอยู่กับฐานหลักของจิตไว้เสมอ ๆ และแบ่งสติไปใช้ในการทำกิจต่าง ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมทั้งรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศลด้วย.
โปรดอย่าลืมว่า ไม่ว่าท่านจะทำกิจอะไรอยู่ก็ตาม ให้ใช้ความรู้คู่คุณธรรมเสมอ.
ตัวอย่างของการฝึกมีสติอยู่เสมอ ๆ ในชีวิตประจำวัน มีดังนี้ :-
ขณะฟังการบรรยาย รวมทั้งการดูหรือฟังเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่นั้น ควรฝึกมีสติไว้เสมอ ๆ คือ ไม่ฟุ้งซ่าน และคอยควบคุมจิตใจให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง.
โดยทั่วไปแล้ว ควรฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตประมาณครึ่งหนึ่ง และมีสติในการฟังประมาณครึ่งหนึ่ง เพื่อจะได้สำรวมระวังไม่ให้คิดปรุงแต่งตามเนื้อเรื่องที่ได้เห็นและฟังจนมากเกินไป.
การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตพร้อมทั้งการแบ่งสติไปใช้ในการทำกิจต่าง ๆ นั้น จะเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่จะทำให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ.
ดังนั้น เราจึงควรพยายามฝึกฝนตนเองไปตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดความชำนาญและเคยชินจนเป็นนิสัย โดยไม่ต้องเร่งรัดตนเองให้มากเกินไปจนกลายเป็นความเครียด.
การประชุมที่มีเรื่องไร้สาระหรือกระตุ้นให้คิดอกุศล ก็ควรสำรวมระวังการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ และสำรวมการคิดให้มากยิ่งขึ้น โดยพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมทั้งคอยเตือนตนเองว่า อย่าคิดอกุศล ให้คิดแต่กุศลเข้าไว้.
เมื่อสมองล้า ก็ควรพักสมองโดยการกลับมามีสติอยู่กับฐานหลักของจิต และปล่อยวางการคิดเรื่องอื่น ๆ เป็นการชั่วคราว เพื่อพักและเรียกสติกลับคืนมา.
ขณะข้ามถนนอยู่นั้น เป็นภาวะที่กำลังเสี่ยงอันตราย หรือขณะคิดแก้ปัญหาเรื่องสำคัญ หรือขณะที่ต้องใช้สมองมาก ก็ควรมีสติอยู่กับกิจนั้นอย่างเต็มตัว ไม่จำเป็นต้องมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้สมองได้เต็มที่.
ครั้นเสร็จกิจ หรือปลอดภัยตามสมควรแล้ว ให้รีบกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิต เพื่อป้องกันการคิดฟุ้งซ่านและเพื่อการสำรวมความคิดต่อไป.
ขณะพูดคุยกับคนที่นิสัยไม่ดี เช่น คนช่างพูด ช่างนินทา ชอบเสียดสี ขี้บ่น ช่างดุด่า ชอบว่าร้าย เป็นต้น ก็ควรมีสติส่วนใหญ่อยู่กับฐานหลักของจิต เพื่อสำรวมระวังไม่ให้เกิดการคิดปรุงแต่งไปตามคำพูดที่ได้ยินมาได้โดยง่าย.
ขณะถูกตำหนิ ตอบโต้ ยกย่อง ชักจูงให้ทำชั่ว หรือถูกกระตุ้นด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ และขณะอยู่ในแหล่งอบายมุข ก็ให้ฝึกมีสติอยู่กับฐานหลักของจิตให้มากขึ้น พร้อมทั้งตั้งใจรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศลตลอดเวลา.
ขณะสั่งสอน อบรม หรือตักเตือนผู้ใดก็ตาม ควรสำรวมระวังความคิดของตนเอง โดยการพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตไว้เสมอ ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม พร้อมทั้งคอยดูแลจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส.
ความปรารถนาดีและการทำดีที่มากเกินไป จนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นนั้น ก็เป็นการทำอกุศล ซึ่งเรื่องเช่นนี้มักพบได้บ่อย จึงควรระมัดระวังด้วย.
ขณะรับประทานอาหาร ควรมีสติอยู่กับลมหายใจเป็นช่วง ๆ พร้อมกับควบคุมจิตใจของตนเองให้คิดรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ และไม่คิดรับประทานอาหารเพื่อเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.
ขณะเดิน วิ่ง หรือขับรถบนทางที่ปลอดภัย ควรฝึกมีสติอยู่กับลมหายใจไปด้วย เพื่อการสำรวมระวังความคิดและฝึกให้คุ้นกับการมีสติอยู่กับฐานหลักของจิตไว้เสมอ.
ขณะที่มีคนมาเบียดเบียน ควรพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตไว้เสมอ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสำรวมระวังความคิดให้คิดแต่กุศลไว้เสมอและอย่าลืมว่า ต้องใช้ความรู้คู่คุณธรรมเพื่อการแก้ปัญหาด้วย.
ขณะที่อยู่ในศูนย์การค้า ควรพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตไว้เสมอ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อจะได้สำรวมระวังความคิดไม่ให้คิดอยากซื้อของที่ไม่จำเป็นได้โดยง่าย.
ขณะทำกิจวัตรต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ท่านก็ควรฝึกมีสติอย่างต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันการคิดฟุ้งซ่าน และคอยดูแลจิตใจให้คิดแต่กุศลอย่างจริงจัง.
คนที่ฟุ้งซ่านในตอนกลางวันเก่ง พอตอนกลางคืนก็มักจะคิดฟุ้งซ่านเก่งด้วย จึงทำให้นอนไม่หลับ.
การจะนอนหลับได้ดีนั้น ในชีวิตประจำวันต้องฝึกควบคุมความคิดไว้เสมอ ๆ เพื่อลดความคิดฟุ้งซ่านให้น้อยลง. เมื่อเลิกงานแล้ว ก็ควรเลิกคิดเรื่องงาน. ขณะทำกิจใด ก็ควรมีสติอยู่กับกิจนั้น และพยายามไม่ปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านจนเป็นนิสัย.
ขณะนอน ให้มีสติเบา ๆ อยู่กับฐานหลักของจิต พร้อมกับสอนตนเองว่า ขณะนี้เป็นเวลานอน เราไม่ควรเบียดเบียนร่างกาย เราต้องการให้ร่างกายได้พักผ่อน ดังนั้น เราจะไม่คิดเรื่องอื่นใดอีกเลย เพื่อที่จะได้พักผ่อนให้เต็มที่.
ครั้นตื่นขึ้นมากลางดึก ถึงแม้ว่าตาจะสว่าง แต่ก็ให้นอนต่อ และให้มีสติเบา ๆ อยู่ที่ฐานหลักของจิตอย่างเดิม เพื่อป้องกันความคิดฟุ้งซ่าน จนกว่าจะถึงเวลาตื่น จึงค่อยลุกขึ้นจากที่นอน.
ถ้ายังไม่ถึงเวลาตื่นนอน ก็ควรนอนต่อไป ถึงแม้จะนอนไม่หลับก็ไม่เป็นไร ขอให้พยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตไว้ตลอดเวลาเท่าที่จะทำได้ อย่าลุกขึ้นมาทำกิจใด ๆ เพราะจะทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่ครบตามกำหนดเวลา คนทั่วไปควรนอนหลับคืนละ ๘ ชั่วโมง จึงจะทำให้สมองและร่างกายพักผ่อนอย่างเพียงพอ และมีสุขภาพดี.
ถ้าลุกขึ้นมาทำกิจต่าง ๆ ก่อนเวลาเพียง ๒ ๓ คืน ก็จะคุ้นกับการตื่นนอนก่อนเวลา. ครั้นเกิดปัญหานอนหลับไม่เพียงพอ ก็จะต้องเสียเวลาแก้ไข หรือต้องรับประทานยาเพื่อให้นอนหลับอย่างเพียงพอ.
บางคนเข้าใจผิด เอาเวลากลางดึกเป็นเวลาทำกิจต่าง ๆ ที่จริงแล้วเป็นการฝืนธรรมชาติ เพราะเวลากลางดึกเป็นเวลานอน ถ้าร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เข้าข่ายเบียดเบียนตนเอง.
เมื่อร่างกายและสมองพักผ่อนจากการนอนหลับน้อยเกินไป ก็อาจเป็นเหตุให้ตอนกลางวันจิตใจจะไม่สดชื่น ง่วงนอน สมองล้าในเวลาอันสั้น และสติอ่อนกำลังลงได้โดยง่าย จึงเป็นผลให้ประสิทธิภาพของการทำงานและผลงานลดลง จึงอาจเข้าข่ายเบียดเบียนนายจ้างหรือองค์กรได้อีกด้วย.
โดยหลักการแล้ว ควรพยายามฝึกมีสติคิดแต่กุศลตลอดเวลาที่ตื่น เพราะขณะที่ไม่ได้นอนหลับ สมองก็จะคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ จึงมีโอกาสที่จะคิดอกุศลได้ในทุกวินาที. ดังนั้น จึงไม่ควรปล่อยให้มีการคิดอกุศลเกิดขึ้นแม้แต่วินาทีเดียว เพราะการคิดอกุศลนั้น จะต่อยอดได้อย่างรวดเร็ว และจดจำไปได้อีกนานด้วย.
ส่วนเวลานอนก็ควรนอนให้เต็มที่เพื่อให้สมองและร่างกายได้พัก ครั้นตื่นนอนขึ้นมาแล้ว สมองจะได้มีความพร้อมที่จะใช้ความรู้คู่คุณธรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
การฝึกควบคุมความคิดไม่ควรรอวัน เวลา สถานที่ ความสงบ และสิ่งแวดล้อมเพื่อให้จิตใจสงบ เพราะการรอเช่นนี้ถือว่า เป็นการรอเหตุปัจจัยภายนอก เลยทำให้ไม่ค่อยได้ฝึกควบคุมความ คิด.
ตามหลักการแล้ว การควบคุมความคิดนั้น ควรอาศัยเหตุปัจจัยภายใน คือ การใช้ข้อมูลความฉลาดทางอารมณ์หรือคุณธรรมที่มีอยู่ในความจำ ทำการดูแลจิตใจของตนเองให้จิตใจมีความสงบและบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ โดยไม่ต้องรอเหตุปัจจัยภายนอกเลย.
ขณะเจ็บป่วย ควรมีสติอยู่กับฐานหลักของจิตอยู่เสมอ ๆ เพื่อสำรวมระวังความคิดให้มาก ๆ เพราะอาจคิดอกุศล และทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ เป็นผลให้เกิดโรคแทรกซ้อน ทำให้หายเจ็บป่วยช้าลง หรืออาจเป็นมากขึ้นก็ได้.
ขณะไม่สมปรารถนา เช่น ขาดทุน ตกงาน โดนกลั่นแกล้ง โดนว่าร้าย ถูกทำร้าย เป็นหนี้ ทวงหนี้ไม่ได้ สูญเสีย พลัดพราก ติดสิ่งเสพติด เจ็บป่วย พิการ ถูกจองจำ เป็นต้น ก็มักจะคิดอกุศลได้โดยง่าย จึงควรพยายามเร่งรัดตนเองให้มีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตไว้เสมอ จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน และเพื่อสำรวมระวังจิตใจให้คิดแต่กุศลเท่านั้น.
ความทุกข์และอกุศลกรรมทั้งปวงเป็นเรื่องที่ท่านสามารถป้องกันและกำจัดได้นั้น คือ ความทุกข์และอกุศลกรรมที่เกิดขึ้นจากการคิด ณ ปัจจุบันขณะนี้เอง.
การมีฐานหลักของจิตพร้อมทั้งมีสติควบคุมความคิดให้คิดละชั่วและทำดีด้วยกาย วาจา ใจ เพื่อทำจิตของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ทุกข์ ณ ปัจจุบันขณะ จึงเท่ากับเป็นการส่งเสริมสุขภาพจิตให้แข็งแรง ป้องกันการคิดอกุศลและความทุกข์ รักษาจิตจากการคิดอกุศลและความทุกข์ ฟื้นฟูจิตใจจากการคิดอกุศลและความทุกข์ ให้กลับมาเป็นปรกติอย่างรวดเร็วและอย่างตรงประเด็น.
ที่แย่มากก็คือ เมื่อมีการคิดอกุศลซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเกิดการต่อยอดของการคิดอกุศล เป็นผลให้มีความทุกข์มากขึ้นอีก.
บางคนน่าสงสาร เป็นทุกข์ ณ ปัจจุบันขณะ เพราะเอาเรื่องอดีตเมื่อ ๒๐ ปีก่อนมาคิดอีก และบางคนเป็นทุกข์ ณ ปัจจุบันขณะ เพราะเอาเรื่องอนาคตเมื่อยามจะแก่เฒ่ามาคิด. การคิดแบบนี้เป็นการคิดอกุศล เพราะทำให้เกิดความทุกข์ และเกิดการเบียดเบียนตนเอง ณ ปัจจุบันขณะ.
เรื่องทั้งหมดในอดีตนั้น ล้วนเป็นบทเรียนที่จะนำมาใช้ประกอบการคิด ณ ปัจจุบันขณะ และเรื่องอนาคตก็เป็นเรื่องที่ต้องเตรียมตัวไว้ ณ ปัจจุบันขณะ โดยการใช้ความรู้และความฉลาดทางอารมณ์ควบคู่กันไป. ไม่ใช่เอาเรื่องอดีตและอนาคตมาคิดด้วยอกุศล ณ ปัจจุบันขณะจนกลายเป็นความทุกข์.
ดังนั้น เมื่อรู้ตัวว่า กำลังคิดอกุศลหรือกำลังเป็นทุกข์อยู่ ก็ให้มีสติหยุดการคิดอกุศลทันที ณ ปัจจุบันขณะ เพื่อกำจัดการคิดอกุศลและความทุกข์ ณ ปัจจุบันขณะให้หมดไปในวินาทีนั้น.
ในสถานที่ทั่วไป การควบคุมความคิดเพื่อให้คิดแต่กุศลและการสำรวมความคิดนั้น ไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องอุดหู คงมีสติในการทำกิจต่าง ๆ ตามปรกติ. ครั้นอยู่ตามลำพัง ควรหลีกเลี่ยงการดูและฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้เกิดการคิดอกุศลได้โดยง่าย เพื่อจะช่วยให้สำรวมความคิดได้.
ในชีวิตประจำวัน ท่านควรศึกษาเรื่องความฉลาดทางอารมณ์หรือเรื่องคุณธรรม พร้อมทั้งพยายามฝึกมีสติคิดแต่กุศลเป็นประจำ ขณะเดียวกัน ต้องมีสติใช้ความรู้คู่คุณธรรมด้วย เพื่อทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีความทุกข์จากการคิดอกุศล จึงเป็นเหตุปัจจัยให้มีความเจริญก้าวหน้า มีความผาสุก และมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น.
**********
บทที่ ๑๔
ขั้นตอนที่ ๕.
วิธีบริหารความคิดให้มีความฉลาดทางอารมณ์(ต่อ)
ภาคปฏิบัติ:
ตอน ๒ : วิธีฝึกมีสติหยุดความคิด
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์เป็นบุคคลที่มีความสามารถในการบริหารความคิดของตนเอง โดยการมีสติหยุดความคิดและควบคุมความคิดของตนเอง เพื่อให้คิดแต่กุศล อันเป็นผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส หรือทำให้มีอารมณ์กุศลอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัย
วิธีฝึกหยุดความคิดนั้นง่าย แต่การจะฝึกหยุดความคิดจนนิ่งสนิทเหมือนการหยุดรถยนต์นั้นเป็นเรื่องยากมาก ๆ เพราะธรรมชาติของจิตใจนั้น จะคิดปรุงแต่งอยู่เสมอ และการหยุดความคิดแบบดับเครื่องยนต์นั้น คงทำไม่ได้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่.
ผู้เขียนไม่มีความประสงค์ที่จะให้ท่านผู้อ่านฝึกมีสติหยุดความคิดได้นิ่งสนิทเป็นเวลานาน แต่ต้องการเพียงให้ท่านมีความเพียรในการฝึกหยุดความคิดหรือให้มีการคิดน้อยที่สุดเป็นช่วง ๆ เพื่อจะได้ฝึกพักสมองและพักร่างกายเป็นช่วง ๆ ในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกัน เป็นการฝึกให้มีความพร้อมที่จะหยุดความคิดเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ.
การมีสติหยุดความคิดในที่นี้หมายถึง การพยายามมีสติหยุดการคิดหรือให้มีการคิดน้อยที่สุด แต่การมีสติควบคุมความคิดนั้น เป็นการพยายามมีสติควบคุมความคิดในขณะทำกิจต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า มีความบริสุทธิ์ และยุติธรรม.
ต่อจากนี้ไปคำว่า การหยุดความคิด คือ การไม่คิดอะไรเลย หรือมีการคิดน้อยที่สุด.
การหยุดความคิดจึงเปรียบเหมือนการหยุดรถเพื่อพักและเพื่อความปลอดภัย. ส่วนการควบคุมความคิดจึงเปรียบเหมือนการควบคุมให้รถวิ่งไปถึงเป้าหมายและเพื่อความปลอดภัย.
ถ้าหยุดความคิดและควบคุมความคิดอกุศลไม่ได้ ย่อมมีโอกาสที่จะคิด พูด และทำอกุศลได้โดยง่าย จึงอาจเป็นผลเสียต่อการศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงาน การดำเนินชีวิต รวมทั้งความอยู่รอดปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน.
ถ้าหยุดความคิดและควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศลได้ ย่อมมีโอกาสที่จะคิด พูด และทำแต่กุศลได้โดยง่าย จึงเป็นผลดีต่อการศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงาน การดำเนินชีวิต รวมทั้งความอยู่รอดปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินด้วย.
การหยุดความคิดและควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศลได้นั้น ย่อมทำให้มีโอกาสคิดแต่กุศลได้โดยง่าย จึงเป็นผลดีต่อการศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงาน การดำเนินชีวิต รวมทั้งมีความอยู่รอดปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น จากการพูดและการกระทำที่เป็นกุศล.
วิธีหยุดความคิดเป็นเรื่องที่ง่าย ใกล้ตัว ทุกคนสามารถศึกษา ตรวจสอบ และพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเองว่า คนทั่วไปสามารถหยุดความคิดเป็นการชั่วคราวได้. ครั้นมีความเพียรในการฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ ก็จะสามารถหยุดความคิดได้อย่างรวดเร็วและนานมากขึ้นด้วย.
คนที่ใช้ความรู้คู่คุณธรรม ก็จะสามารถดูแลความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินได้มากขึ้น.
บางคนไม่เคยฝึกหยุดความคิดมาก่อน ครั้นพบกับปัญหาที่รุมเร้าหรือรุนแรง แล้วต้องการจะหยุดการคิดในเรื่องนั้น ก็มักทำไม่ได้ จึงเป็นผลให้มีความทุกข์ทางจิตใจ. ถ้าเป็นทุกข์ทางจิตใจมาก ก็จะทำให้เกิดความทุกข์ทางร่างกายหรือโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ซ้ำเติมขึ้นมาอีก และอาจก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ได้อีกด้วย.
บางคนรู้ว่า ตัวเองกำลังคิดกังวลและเครียด แต่ไม่สามารถหยุดความคิดลงได้ จึงต้องกังวล เครียด ขุ่นมัว และเป็นทุกข์อยู่กับเรื่องที่กำลังคิดกังวลอยู่. การที่เป็นเช่นนี้เพราะมีความประมาทที่ไม่ได้ฝึกฝนตนเองให้สามารถหยุดความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ผู้ที่ฝึกฝนตนเองในเรื่องของการหยุดความคิด ย่อมสามารถหยุดการคิดกังวลลงได้ ขณะเดียวกัน ความเครียด ความขุ่นมัว และความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดจากการคิดกังวลหรือคิดอกุศลก็จะลดลงหรือหมดไปด้วย.
คนที่มีความสามารถในการหยุดความคิดได้นั้น ครั้นมีสติรู้ว่า กำลังคิดอกุศล ก็จะสามารถหยุดความคิดนั้น ๆ ได้ทันทีหรืออย่างรวดเร็ว.
ขณะหยุดความคิดอยู่นั้น สมองและร่างกาายก็จะได้พัก จิตใจก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส ขณะเดียวกัน ความสงบย่อมเกิดขึ้นทันที.
ครั้นเลิกจากการหยุดความคิดแล้ว ก็จะมีความพร้อมในการมีสติทำกิจต่าง ๆ ต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องไปด้วย.
การจะคิดแต่กุศลได้นั้น ต้องมีความสามารถในการหยุดการคิดอกุศลได้เป็นอย่างดีด้วย.
ขณะที่คิดแต่กุศลอยู่นั้น ภาวะของจิตใจจะเป็นกุศล หรือมีอารมณ์กุศล ซึ่งมีความหมายเดียวกันกับภาวะจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส หรือจิตใจมีอารมณ์บริสุทธิ์ผ่องใส.
การพยายามฝึกมีสติหยุดความคิดเป็นช่วง ๆ ในชีวิตประจำวัน ย่อมทำให้ความสามารถในการมีสติหยุดความคิดเพิ่มมากขึ้น และถ้าฝึกเป็นประจำ ไม่นานนัก ความสามารถในการหยุดความคิดก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนกลายเป็นนิสัยที่ดีต่อไป.
วิธีฝึกหยุดความคิดมีหลายวิธี วิธีที่คนไทยส่วนมากนิยมใช้ คือ การฝึกมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจ แต่ท่านจะสามารถใช้วิธีใดก็ได้ เช่น อยู่กับการบริกรรมหรือท่องในใจว่า พุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ พระนามของพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า ชื่อแม่พระ ชื่อนักบุญ ชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ เป็นต้น. ขอแต่เพียงให้ท่านเข้าใจในหลักของการฝึกหยุดความคิดเท่านั้นเอง.
หลักการสำคัญ คือ ให้มีสติหรือมีจิตจดจ่ออยู่กับกิจเล็ก ๆ เบา ๆ ง่ายที่สุด เพื่อให้สมองทำงานน้อยที่สุด และร่างกายก็ได้พักมากที่สุด ในขณะที่ไม่ได้นอนหลับ.
การมีสติอยู่กับกิจที่เล็ก ๆ เบา ๆ และง่าย ๆ คือ การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตนั่นเอง แต่เป็นการพยายามมีสติจดจ่ออยู่ที่ฐานหลักของจิตเพียงกิจเดียว และพยายามไม่รับรู้เรื่องอื่นใด ไม่คิดเรื่องอื่นใด หรืออาจใช้คำว่า ให้ปล่อยวางจากการรับรู้และการคิดเรื่องอื่นใดทั้งหมด เพื่อให้สมองได้พัก.
ในวินาทีที่ไม่คิดเรื่องอื่นใดหรือไม่คิดเรื่องอะไร จิตใจย่อมมีความบริสุทธิ์ผ่องใสในวินาทีนั้น.
ขณะที่กำลังคิดอกุศลและกำลังมีความทุกกข์อยู่นั้น ถ้าสามารถหยุดความคิดในขณะนั้นได้ ความทุกข์ก็จะหมดไปในวินาทีนั้น.
ขอให้กำลังใจว่า วิธีหยุดความคิดเพื่อทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสชั่วคราวนั้น เป็นเรื่องง่าย ใกล้ตัว และมีเพียง ๓ ข้อย่อย ๆ เท่านั้น. ท่านจะสามารถฝึกหยุดความคิดชั่วคราวได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ขอเพียงให้ลงมือฝึกเท่านั้นเอง.
วิธีฝึกหยุดความคิดในชีวิตประจำวัน
ให้ฝึกในท่านั่งหรือนอนก็ได้ ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล.
ให้ตั้งเจตนาว่า จะมีความตั้งใจ(มีสติ) และมีความเพียร ในการฝึกหยุดความคิดดังนี้ :-
ข้อที่ ๑. มีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเพียงกิจเดียว โดยไม่รับรู้และไม่คิดเรื่องอื่นใด.
ข้อที่ ๒. ระงับการเคลื่อนไหว.
ข้อที่ ๓. เมื่อเผลอสติหรือมีสติรู้ว่าฟุ้งซ่าน ก็ให้รีบกลับมามีสติอย่างเดิม.
วิธีหยุดความคิดในชีวิตประจำวันมีเนื้อหาที่สำคัญเพียงแค่นี้เอง !
ท่านที่เคยฝึกวิธีอื่นมาก่อนก็ถือว่า เป็นเรื่องที่ดี และจะใช้วิธีที่ท่านถนัดก็ได้ ขอเพียงให้ท่านสามารถหยุดความคิดของตนเองให้ได้ก็แล้วกัน.
ต่อจากนี้ไป ให้ท่านอ่านวิธีฝึกและคำอธิบายเพิ่มเติม พร้อมทั้งทำความเข้าใจทีละขั้นตอนแต่อย่าข้ามขั้นตอน. ครั้นเข้าใจดีแล้ว จึงค่อยลงมือฝึกปฏิบัติทีละขั้นตอน.
วิธีฝึกขั้นตอนแรก : ให้ฝึกในท่านั่งหรือนอนก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสถานที่ปลอดภัย.
ท่านอนจะทำให้ใจสงบเร็วและหยุดความคิดได้เร็ว แต่มักจะหลับได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ผู้พิการ ผู้ที่เหนื่อยงาน หรือผู้ที่เครียดมาแล้วทั้งวัน. การฝึกในท่านอนแล้วหลับไปเลย ก็ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะดีกว่าไม่ฝึกเลย.
ท่านั่งเป็นท่าที่ดีที่สุด เพราะฝึกได้นานโดยไม่หลับใน.
การฝึกในท่านั่งนั้น ควรนั่งเก้าอี้ชนิดมีที่รองแขน เพื่อป้องกันการตกเก้าอี้ในขณะนั่งหลับ.
ควรฝึกนั่งตัวตรง ตัวไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่ง ศรีษะตั้งตรง เก็บคาง กล้ามเนื้อทั้งตัวผ่อนคลาย ไม่เกร็ง เพื่อป้องกันการเมื่อยล้า ปวดเมื่อย และเพื่อการพักผ่อนชั่วคราว.
หลับตาเบา ๆ และตั้งใจว่า จะไม่คิดอะไรเลยเป็นเวลาประมาณ ๕ - ๑๐ วินาที เพื่อทำจิตใจให้สงบ.
เมื่อจิตใจสงบลงบ้างแล้ว ให้ตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไปเราจะฝึกหยุดความคิด โดยพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิต(ได้กล่าวถึงแล้วในบทที่ ๑๓ เรื่องของการมีสติควบคุมความคิด)อย่างต่อเนื่องเพียงกิจเดียวเท่านั้น โดยไม่สนใจเรื่องอื่นใด และไม่คิดเรื่องอะไรเลยเป็นเวลาประมาณ ๑ - ๒ นาที.
เมื่อฝึกครบตามกำหนดเวลา(ประมาณ ๑ - ๒ นาที)แล้ว ให้ออกจากการหยุดความคิด.
การตั้งเจตนาว่า จะตั้งใจฝึกหยุดความคิด ก็คือการคิดสั่งการให้สมองทำหน้าที่ตามที่ตั้งเจตนาไว้ แต่ธรรมชาติของสมองมักจะไม่ทำตามที่มีเจตนาตลอดไป. ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความตั้งใจ(มีสติ) และมีความเพียร ที่จะฝึกตนเองให้ทำตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้จนเป็นนิสัย.
ขณะฝึกปฏิบัติ ควรให้สมองทำงานน้อยที่สุด เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักเป็นการชั่วคราว.
ขณะฝึกหยุดความคิด ให้ระงับการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพราะขณะเคลื่อนไหวร่างกาย สมองต้องใช้ความคิด ขณะเดียวกันร่างกายต้องออกแรงเคลื่อนไหว จึงทำให้สมองและร่างกายไม่ได้พัก แต่ถ้าต้องการจะให้มีการเคลื่อนไหวร่วมด้วย ก็ควรเป็นการเคลื่อนไหวที่ออกแรงน้อยที่สุด เพราะต้องการให้สมองและร่างกายได้พักมากที่สุด.
ในขณะฝึกหยุดความคิดอยู่นั้น เมื่อมีความคิดแวบขึ้นมาหรือแทรกขึ้นมาก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นเรื่องปรกติ แต่ต้องพยายามไม่ปล่อยให้มีการคิดปรุงแต่งเพิ่มเติม เพราะการคิดปรุงแต่งโดยไม่มีเจตนาจะคิด คือ การคิดฟุ้งซ่าน.
ครั้นมีสติรู้ว่า มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ก็ควรเร่งความตั้งใจหรือเร่งสติให้มาอยู่ที่ฐานหลักของจิตมากขึ้น เพื่อระงับความคิดฟุ้งซ่านให้หมดไป.
ความคิดฟุ้งซ่านเป็นความคิดที่เป็นอกุศล เพราะเป็นการเสียเวลาไปกับการคิดฟุ้งซ่าน. ขณะที่คิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น จะไม่สามารถควบคุมความคิดได้ จึงอาจเกิดการคิดอกุศลได้โดยง่าย.
โปรดอย่าลืมว่า ถึงจะมีความรู้เรื่องความฉลาดทางอารมณ์มากมายสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าไม่ลงมือฝึกมีสติบริหารความคิดของตนเอง ความสามารถในการบริหารความคิดให้มีความฉลาดทางอารมณ์ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น.
โปรดลงมือฝึกในขั้นตอนนี้ได้เลย.
วิธีฝึกขั้นตอนที่สอง: ให้ฝึกแบบเดิมอีก โดยพยายามมีสติหรือมีจิตใจจดจ่ออยู่ที่ฐานหลักของจิตอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ไปคิดเรื่องอื่นใดเลยและไม่คิดฟุ้งซ่านด้วย เพื่อปล่อยวางจากการคิดทุกเรื่องในโลกนี้.
เมื่อฝึกหยุดความคิดตามเวลาที่กำหนดไว้แล้ว(ประมาณ ๓ - ๕ นาที) ก็ให้ออกจากการฝึกหยุดความคิด.
ขอทบทวนว่า หลักการสำคัญของการฝึกหยุดความคิด คือ ให้ฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิต ซึ่งเป็นกิจเล็ก ๆ เบา ๆ และง่าย ๆ เพียงกิจเดียว โดยไม่ใช้สมองไปปคิดปรุงแต่งและรับรู้เรื่องอื่นใด จึงเป็นผลให้เกิดการปล่อยวางจากการรับรู้และการคิดเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการฝึกหยุดความคิด.
ในการฝึกขั้นตอนนี้ ถ้าท่านสามารถหยุดความคิดได้บ้างแล้ว ก็ถือว่าใช้ได้แล้วสำหรับการเริ่มต้นที่ดี.
โปรดลงมือฝึกในขั้นตอนนี้ได้เลย.
ฝึกขั้นตอนที่สาม: ให้หลับตาเช่นเดิม พร้อมกับตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไปเป็นเวลาประมาณ ๕ - ๖ นาที เราจะพยายามฝึกหยุดความคิดโดยมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเพียงกิจเดียว ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดเรื่องอื่นใด และไม่รับรู้เรื่องต่าง ๆ ยกเว้นเรื่องที่สำคัญมากหรือเป็นอันตราย.
อย่าเพ่งสติหรือตั้งใจจนมากเกินไป เพราะจะทำให้เครียด และอย่าน้อยเกินไปเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านหรือหลับในได้โดยง่าย ควรตั้งใจแต่เพียงพอดี ๆ (ทางสายกลาง). เมื่อฝึกครบตามกำหนดเวลาแล้ว ก็ให้ออกจากการหยุดความคิด.
ในขณะที่ฝึกมีสติหยุดความคิดอยู่นั้น ท่านจะสังเกตการทำงานของสมองว่า มีความคิดแวบขึ้นมา หรือแทรกเข้ามา หรือคิดนำขึ้นมาเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นเรื่องปรกติ เพราะธรรมชาติของสมองมนุษย์เป็นเช่นนั้นเอง.
คนที่ไม่มีความคิดแวบขึ้นมาเลย คือ คนที่กำลังหลับสนิท หมดสติ หรือสมองผิดปรกติ.
การมีความคิดแวบขึ้นมาถี่มากจนเกินไปในขณะที่ฝึกอยู่นั้น ก็จัดว่า เป็นการคิดฟุ้งซ่าน รวมทั้งการมีความคิดแวบขึ้นมาแล้วคิดปรุงแต่งในเรื่องนั้นโดยไม่มีเจตนาคิด ก็ถือว่า เป็นการคิดฟุ้งซ่านเช่นกัน.
ให้ท่านสบายใจได้ว่า ความคิดที่แวบเข้ามาเป็นครั้งคราวนั้น เป็นเรื่องปรกติ เป็นเรื่องดี เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต และทำให้ปลอดภัยด้วย.
ความคิดที่แวบขึ้นมาอาจจะเป็นเรื่องวิชาการ กุศล อกุศล หรือเรื่องใดก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องปรกติ เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง ขอเพียงอย่าคิดปรุงแต่งต่อไปเท่านั้นเอง. การคิดปรุงแต่งต่อไปในขณะฝึกหยุดความคิด ก็คือการคิดฟุ้งซ่าน.
เมื่อมีสติรู้ตัวว่า มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตอย่างรวดเร็ว. การฝึกหยุดความคิดจึงเป็นการฝึกหยุดคิดทุกเรื่อง รวมทั้งหยุดการคิดฟุ้งซ่านด้วย.
ควรสังเกตว่า ขณะที่กำลังมีสติที่ฐานหลักของจิตเพียงกิจเดียวอยู่นั้น ความคิดจะหยุด แต่มักหยุดได้ไม่นานนัก แล้วก็จะคิดฟุ้งซ่านอีก. ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสมองของคนที่ไม่ได้ฝึกหยุดความคิดมาก่อน มักจะมีความชำนาญหรือคุ้นเคยอยู่กับการคิดฟุ้งซ่าน.
บางคนเข้าใจผิดว่า เมื่อได้ฝึกหยุดความคิดมาหลายครั้งแล้ว ก็น่าจะสามารถหยุดความคิดตามที่ต้องการได้.
การจะหยุดความคิดได้ดีนั้น ต้องมีความเพียรฝึกฝนกันเป็นประจำ และต้องฝึกฝนกันชั่วชีวิต.
ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องยากมากที่จะหยุดความคิดได้สนิทเป็นเวลานาน เพราะธรรมชาติของสมองมักจะคิดปรุงแต่งเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ.
คนที่เคยฟุ้งซ่านมากจนกลายเป็นนิสัย จำเป็นต้องใช้เวลาในการฝึกมากขึ้น และทุกคนก็ต้องฝึกบริหารความคิดไปตลอดชีวิตเช่นกัน.
สำหรับคนที่มีความเครียดในขณะฝึกหยุดความคิดนั้น มักเกิดจากการเร่งสติมากเกินไป วิธีแก้ไขคือ อย่าตั้งใจ(เร่งสติ)ให้มากเกินไป แต่ให้มีความตั้งใจที่พอเหมาะพอควร คือ ไม่มากไปและไม่น้อยไป.
การมีสติน้อยเกินไป ก็มักจะคิดฟุ้งซ่านและหลับในได้โดย ง่าย.
การมีสติหยุดความคิดได้อย่างถูกต้องนั้น จะรู้สึกเบาสบาย และมีความสุขสงบทันทีทันใดที่ความคิดหยุด.
โปรดลงมือฝึกในขั้นตอนนี้ได้เลย.
ฝึกขั้นตอนที่สี่: ให้ฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตา โดยตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไป เราจะฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตามองต่ำลงจากระดับปรกติประมาณ ๔๐ - ๕๐ องศา หรือมองเฉียงลงตามสมควรเป็นเวลาประมาณ ๑ - ๒ นาที. เมื่อครบตามกำหนดเวลาแล้ว ก็ให้ออกจากการหยุดความคิด.
การฝึกในขั้นตอนนี้จะสังเกตได้ว่า ถึงแม้ไม่ได้อุดหูและไม่ได้ปิดตา ท่านก็สามารถฝึกหยุดความคิดช่วงสั้น ๆ ได้.
การฝึกหยุดความคิดต้องฝึกในสถานที่ปลอดภัย เพราะขณะความคิดกำลังหยุดอยู่นั้น จะเกิดการปล่อยวาง คือ ไม่สนใจเรื่องต่าง ๆ เป็นการชั่วคราว.
ในช่วงเวลาที่มีการปล่อยวางอยู่นั้น สมองจะตอบสนองเรื่องต่าง ๆ ช้าลง จึงอาจเกิดอันตรายได้โดยง่าย ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม.
ในขณะเดินทางหรืออยู่ในที่ไม่ปลอดภัย จึงไม่ควรฝึกหยุดความคิด ถึงแม้จะเป็นการฝึกในขณะลืมตา แต่ให้ฝึกมีสติควบคุมความคิดในขณะทำกิจต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน.
การฝึกหยุดความคิดด้วยพลังสติปัญญาของตนเอง จะเป็นผลให้สมองและร่างกายได้พักผ่อนโดยไม่ต้องลงทุนหรือลงแรงอะไร เป็นการพึ่งตนเอง โดยไม่รบกวนคนข้างเคียงเลย.
ในห้องทำงานหรือในสถานที่ปลอดภัย ท่านควรฝึกหยุดความคิดโดยใช้ระยะเวลาประมาณ ๓๐ - ๖๐ วินาที สลับกับการฝึกควบคุมความคิดประมาณ ๑ ชั่วโมง เพื่อให้สมองรวมทั้งร่างกายได้พักผ่อนชั่วคราว และเป็นการเรียกสติกลับคืนมา.
การฝึกหยุดความคิดในขณะทำงานหรือที่หน้าโทรทัศน์โดยไม่ต้องหลับตานั้น ควรนั่งและวางมือในท่าปรกติหรือสบาย ๆ. ทั้งนี้ ก็เพื่อไม่ให้มีใครรู้ว่า ท่านกำลังฝึกหยุดความคิดอยู่.
การฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตาจึงเหมาะสำหรับฝึกหยุดความคิดในบริเวณที่มีคนอื่นอยู่ด้วย เพราะการฝึกหยุดความคิดในขณะหลับตาอาจเป็นที่สะดุดตาของผู้พบเห็น. ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องบอกใครว่า ท่านกำลังจะฝึกหยุดความคิด ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม.
ในบ้านและสถานที่ฝึกจิต ท่านควรฝึกหยุดความคิดเป็นระยะเวลานานขึ้น เช่น ประมาณ ๑๕ - ๓๐ นาทีหรือมากกว่านั้น ตามความเหมาะสม แต่อย่านานมากเกินไปจนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น และอย่าน้อยเกินไปจนทำให้ไม่ก้าวหน้า.
การฝึกหยุดความคิดในสถานที่ฝึกจิตนั้น เปรียบเหมือนการศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษา แต่การฝึกหยุดความคิดในชีวิต ประจำวันนั้น เป็นการฝึกปฏิบัติในชีวิตจริง.
บางท่านมีความสามารถในการฝึกหยุดความคิดในสถานที่ฝึกจิตเป็นอย่างดี แต่ไม่ได้ฝึกหยุดความคิดในชีวิตประจำวัน ครั้นมาพบปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่รุนแรง ก็มักจะหยุดความคิดไม่ได้.
โปรดลงมือฝึกในขั้นตอนนี้ได้เลย.
ฝึกขั้นตอนที่ห้า: ให้ท่านเปิดวิทยุทิ้งไว้ เพื่อให้มีเสียงรบกวนเกิดขึ้น แล้วหลับตาเช่นเดิม พร้อมกับตั้งเจตนาว่า ต่อจากนี้ไปเป็นเวลาประมาณ ๒ - ๓ นาที เราจะฝึกหยุดความคิด<โดยการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเพียงกิจเดียว รวมทั้งไม่คิดเรื่องอื่นใด และไม่คิดฟุ้งซ่าน ถึงแม้ว่าจะมีเสียงรบกวนจากวิทยุ.
ให้ฝึกหยุดความคิดในขณะลืมตาท่ามกลางเสียงรบกวนเป็นเวลา ๒ - ๓ นาที เสร็จแล้วจึงออกจากการหยุดความคิด.
ท่านควรฝึกหยุดความคิดช่วงสั้น ๆ ที่หน้าโทรทัศน์ ขณะทำงาน ขณะประชุม และขณะอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ แต่ต้องเป็นสถานที่ปลอดภัยด้วย เพื่อให้เกิดความชำนาญในรูปแบบต่าง ๆ.
การฝึกในขั้นตอนนี้จะสังเกตได้ว่า ถึงแม้จะมีเสียงรบกวน แต่ก็ยังสามารถหยุดความคิดได้ แต่ถ้าไม่ฝึกอย่างนี้ พอมีเสียงหรือภาพมารบกวนเข้า ก็จะไม่อยากฝึก หรืออาจขัดเคืองใจได้โดยง่าย เพราะไม่เข้าใจในหลักการ.
โปรดลงมือฝึกในขั้นตอนนี้ได้เลย.
ฝึกขั้นตอนสุดท้าย: เป็นการฝึกหยุดความคิดอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ โดยการดิ่งสติไปอยู่ที่ฐานหลักของจิตในวินาทีที่ต้องการ.
ให้ตั้งเจตนาว่า ทันทีที่ลงมือฝึกหยุดความคิด จะต้องฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตทันที และไม่คิดเรื่องใด ๆ เลยในเสี้ยววินาทีนั้น.
ให้ฝึกในขณะลืมตา ขณะมีเสียงรบกวน แต่ควรฝึกในสถานที่ต่าง ๆ ที่ปลอดภัย รวมทั้งฝึกหน้าโทรทัศน์ และฝึกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนมีความมั่นใจว่าทำได้แน่นอน.
การฝึกในขั้นตอนนี้ ก็เพื่อให้มีความสามารถในการหยุดความคิดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบใดก็ตาม.
ท่านควรฝึกหยุดความคิดโดยใช้เวลาสั้น ๆ ในขณะทำกิจต่าง ๆ และควรฝึกหยุดความคิดโดยใช้เวลานานขึ้นในยามที่ว่าง หรือตอนเช้ามืด และก่อนนอนเป็นประจำ เพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการมีสติหยุดความคิดตามกำหนดเวลาที่ต้องการ รวมทั้งเป็นการฝึกพักสมองและร่างกายอย่างรวดเร็ว.
ขณะฝึกหยุดความคิด ท่านควรพยายามฝึกให้มีสติตั้งมั่นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เพื่อที่จะสามารถหยุดความคิดได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง.
เมื่อออกจากการหยุดความคิดแล้ว ให้พยายามมีสติควบคุมความคิดสลับกันไป เพื่อให้คิดแต่กุศล หรือให้คิดดีทำดี หรือใช้ความรู้คู่คุณธรรม รวมทั้งไม่ให้คิดฟุ้งซ่านจนเป็นนิสัย. ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รูปแบบของการฝึกบริหารจิตในชีวิตประจำวันนั่นเอง.
ท่านจะพบด้วยตนเองว่า วิธีการหยุดความคิดนั้นไม่ยาก ที่ยากหรือยากมาก คือ ต้องมีความเพียรในการฝึกฝนตนเองในชีวิตประจำวัน และต้องฝึกฝนกันตลอดชีวิตเลยทีเดียว.
โปรดลงมือฝึกในขั้นตอนนี้ได้เลย.
ปัญหาต่างๆ ในขณะฝึกหยุดความคิด
หลักการสำคัญของการหยุดความคิด คือ การมีสติอยู่กับกิจเล็ก ๆ เบา ๆ และง่าย ๆ เพียงกิจเดียว เพื่อฝึกมีสติในการหยุดการคิดทุกเรื่อง รวมทั้งไม่คิดฟุ้งซ่านด้วย. ครั้นมีสติตั้งมั่นอยู่กับกิจเล็ก ๆ เพียงกิจเดียวแล้ว ความคิดก็จะหยุดทันทีหรือไม่คิดเรื่องอื่นใด เป็นผลให้เกิดการปล่อยวางในขณะหยุดความคิด.
การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเพียงกิจเดียว หรือการมีสติอยู่กับการบริกรรมเพียงกิจเดียว จนไม่คิดเรื่องอื่นใด จึงเป็นผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส. ภาวะของจิตใจหรืออารมณ์ที่บริสุทธิ์ผ่องใสเป็นเป้าหมายสูงสุดของการฝึกหยุดความคิด.
ดังนั้น ขณะฝึกหยุดความคิด แต่กลับไปคิดปรุงแต่งเพิ่มเติมเรื่องต่าง ๆ ไปด้วย ก็ถือว่า เป็นการคิดฟุ้งซ่าน เช่น สมองคิดปรุงแต่งเพิ่มเติมขึ้นมาเป็นแสงสว่าง มโนภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ ทางจิตใจ ความสุขที่แสนจะเป็นสุข เป็นต้น.
ขณะตั้งใจฝึกหยุดความคิดแล้วเกิดการระลึกอดีตชาติขึ้นมานั้น ไม่ใช่เรื่องของการหยุดความคิด แต่เป็นเรื่องของการคิดปรุงแต่งขึ้นมาหรือคิดฟุ้งซ่าน เพราะโดยหลักการแล้ว ขณะความคิดกำลังหยุดอยู่นั้น จะต้องไม่ไปคิดปรุงแต่งเรื่องอื่นใด คงมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเพียงกิจเดียวเท่านั้น.
ดังนั้น เมื่อมีสติรู้ว่า มีการคิดปรุงแต่งเกิดขึ้นในขณะฝึกหยุดความคิด ก็ให้ตั้งใจ(มีสติ)หยุดคิดปรุงแต่งทันที และรีบกลับมามีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตในวินาทีนั้นเลย.
ถ้าคิดว่าท่านสามารถระลึกอดีตชาติหรือรู้เรื่องอนาคตได้(มีฤทธิ์ทางใจ) จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาคิดปรุงแต่งขึ้นมาก็ตาม ให้ท่านทดลองอ่านหนังสือโดยไม่ต้องเปิดหน้านั้น ๆ ถ้าทำได้ก็อาจจะระลึกอดีตชาติหรือรู้อนาคตได้ แต่ถ้าหากเรื่องปัจจุบันซึ่งเป็นรูปธรรมที่ง่าย ๆ หรือเรื่องใกล้ตัวยังทำไม่ได้ เรื่องไกลตัว เรื่องอดีต อนาคต หรือเรื่องข้ามภพข้ามชาติก็คงทำไม่ได้เช่นกัน เพราะเป็นเรื่องที่ยากกว่ามากมาย.
ขณะฝึกหยุดความคิดแล้วมีภาวะของการไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่เลยนั้น อาจเกิดจากการที่สมองมีความล้า หรืออาจเกิดจากการหลับในก็ได้.
ขณะฝึกหยุดความคิดแล้วรู้สึกว่า ตัวเบา ตัวลอย หรือตัวใหญ่โตนั้น เกิดจากสมองคิดปรุงแต่งขึ้นมาเอง หรือเป็นความคิดฟุ้งซ่านที่โยงใยไปคิดปรุงแต่งความรู้สึกดังกล่าว.
บางคนขณะฝึกหยุดความคิดอยู่นั้น กลับมีอาการตัวโยก ตัวคลอน ตัวสั่น ขนลุก ขนชัน น้ำตาไหลนั้น ไม่ใช่เรื่องของการหยุดความคิด แต่เป็นการคิดปรุงแต่งจนทำให้เกิดอาการหรือความรู้สึกต่าง ๆ ขึ้นมาได้. การคิดปรุงแต่งเช่นนี้ อาจเกิดจากการคิดฟุ้งซ่านหรือตั้งใจคิดปรุงแต่งขึ้นมาก็ได้.
เมื่อเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านหรือมีมโนภาพแทรกขึ้นมาก็ให้หยุดเสีย โดยเร่งสติให้อยู่ที่ฐานหลักของจิตมากขึ้นเป็นช่วงสั้น ๆ ก็ได้ หรือลืมตาชั่วคราวแล้วฝึกหยุดความคิดต่อไป หรือตั้งสติสอนตนเองว่า เราจะไม่คิดปรุงแต่งต่อไป หรือไม่สนใจที่จะดูมโนภาพ มโนภาพก็จะจางหายไปเอง.
ถ้ามีมโนภาพเกิดขึ้นหรือแวบขึ้นมา แล้วไปสนใจที่มโนภาพหรือคิดเรื่องมโนภาพ จะเป็นผลให้การมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเพียงกิจเดียวหมดไป กลายเป็นการคิดฟุ้งซ่าน.
ในทำนองเดียวกัน การมีความคิดแวบขึ้นมาแล้วคิดปรุงแต่งต่อไป ก็จัดว่าเป็นการคิดฟุ้งซ่าน.
คนที่เจตนาคิดปรุงแต่งเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ แล้วเพียรฝึกคิดปรุงแต่งเป็นประจำ ก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการคิดปรุงแต่ง.
ในที่สุดก็จะหลงติดอยู่กับการคิดปรุงแต่ง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตนที่สวนทางกับการฝึกหยุดความคิด.
ขอให้ท่านสบายใจได้เลยว่า การฝึกหยุดความคิดที่ถูกต้องนั้น จะไม่ทำให้เกิดปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องของการฝึกหยุดการคิดปรุงแต่งทุกรูปแบบ.
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การปล่อยให้มีการคิดปรุงแต่งขึ้น มา จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม แล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหนทางที่ถูกต้อง.
บางท่านเบียดเบียนตนเองด้วยการฝึกหยุดความคิดติดต่อ กันหลายวันโดยไม่ยอมพักผ่อนและนอนหลับ จึงทำให้สมองล้ามาก สติก็อ่อนกำลังลงมากเช่นกัน ถึงขั้นควบคุมความคิดไม่ได้ เป็นผลให้เกิดการคิดปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานาแบบคนเสียสติ. คนที่เสียสติเช่นนี้ เมื่อได้พักผ่อนก็มักจะหาย แต่ถ้ามีอาการรุนแรงมาก แพทย์อาจใช้ยาควบคุมความคิดเป็นการชั่วคราวก็ได้.
ควรฝึกหยุดความคิดกันชั่วชีวิต
การฝึกหยุดความคิดนั้น ต้องมีความเพียรในการฝึกกันชั่วชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนมีความสามารถมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม.
คนที่ประมาท ถือว่าตัวเก่งแล้ว ไม่มีความเพียรในการฝึกฝนตนเอง ก็จะเสื่อมจากความสามารถในการหยุดความคิดได้อย่างรวดเร็ว.
คนที่ประมาท พอฝึกปฏิบัติได้หน่อยหนึ่งก็เลิกลา โดยอ้างว่าเป็นเรื่องยาก ในที่สุด ก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคิดอกุศลเช่นเดิม รวมทั้งมีความทุกข์เป็นประจำได้โดยง่าย.
คนที่ประมาท ไม่สนใจที่จะฝึกหยุดความคิด ครั้นเกิดปัญหาที่รุนแรงขึ้นมาแล้ว และต้องการจะหยุดความคิด เพื่อคลายความกังวล คลายเครียด และหายทุกข์ ก็จะทำไม่ได้ เพราะไม่มีประสบการณ์มาก่อน.
ดังนั้น ทุกคนพึงไม่ประมาท ควรฝึกบริหารความคิดด้วยการฝึกหยุดความคิดสลับกับการฝึกควบคุมความคิดในชีวิตประจำวันเป็นประจำ เพื่อให้มีความพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ได้ในทุกเวลา.
**********
บทที่ ๑๕
ขั้นตอนที่
๕. วิธีบริหารความคิด(ต่อ)ภาคปฏิบัติ:
ตอน ๓ : วิธีฝึกบริหารความคิด
ในชีวิตประจำวัน
ในชีวิตประจำวัน ควรให้เวลาเพื่อการศึกษาและทบทวนในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการละชั่ว ทำดี และการทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส เช่น หลักธรรมในศาสนาที่ตนเคารพ พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความฉลาดทางอารมณ์ คุณธรรม จริยธรรม และเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นต้น รวมทั้งฝึกแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยใช้ความรู้คู่คุณธรรม เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลด้านความรู้และความฉลาดทางอารมณ์ในความจำให้มากขึ้น.
ขณะเดียวกัน ให้เพียรมีสติควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศลสลับกับการหยุดความคิดเป็นช่วง ๆ ตามความเหมาะสม โดยการใช้ข้อมูลความฉลาดทางอารมณ์ที่มีอยู่แล้วในความจำ มาเป็นข้อมูลพื้นฐานของการบริหารความคิด รวมทั้งพยายามค้นหาวิธีบริหารความคิดของตนเอง ให้คิดแต่กุศลได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง.
เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ถ้ายังมีเวลาเหลือ ๒ - ๑๕ นาที ก็ควรฝึกหยุดความคิดในท่านั่งหรือนอนตามความเหมาะสม.
ก่อนลุกจากที่นอนไปทำกิจต่าง ๆ ก็ควรสอนหรือเตือนตนเองว่า ต่อจากนี้ไปจนตลอดชีวิต เราจะบริหารความคิดของเราให้คิดแต่กุศลเท่านั้น.
ขณะทำกิจต่าง ๆ อยู่นั้น ให้พยายามมีสติอยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่อย่างต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่เผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน. ทั้งนี้ ก็เพื่อทำกิจนั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งพยายามมีสติควบคุมความคิดให้คิดแต่กุศล เพื่อให้เกิดผลงานที่เป็นประโยชน์ มีคุณค่า บริสุทธิ์ และยุติธรรม ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสจนเป็นนิสัย.
ถ้าเป็นไปได้ ควรพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตไว้เสมอและแบ่งสติไปทำกิจต่าง ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อการสำรวมความคิดไม่ให้คิดอกุศลแม้แต่วินาทีเดียว.
ถึงแม้จะคิดฟุ้งซ่านบ้าง และมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตได้ไม่ต่อเนื่องก็ไม่เป็นไร ให้พยายามฝึกฝนตนเองไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ความสามารถในการมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิต และความ สามารถในการสำรวมความคิดก็จะลดลงไปด้วย.
ขณะเข้าห้องน้ำ ขณะรับประทานอาหาร ขณะแต่งตัว ขณะเดินทาง ท่านก็สามารถฝึกมีสติอยู่ที่ฐานหลักขอองจิตและคอยควบคุมความคิดให้มีสติอยยู่กับกิจที่ทำอยู่ รวมทั้งให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง.
ขณะที่ทำงาน เมื่อสมองหรือร่างกายมีความเหนื่อยล้า ท่านก็สามารถพักด้วยการมีสติหยุดความคิดเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ โดยไม่ต้องหลับตา ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ ๑ ๒ นาที โดยไม่ต้องบอกผู้ข้างเคียง.
ถ้าทำงานเบา ๆ สบาย ๆ ก็ควรพักด้วยการหยุดความคิดทุก ๒ ชั่วโมงหรือนาน ๆ ครั้งก็ได้.
ถ้าเป็นงานที่เครียด เสี่ยงต่อความผิดพลาด และต้องการให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ควรพักสมองและร่างกาย โดยการหยุดความคิดทุก ๑/๒ - ๑ ชั่วโมงก็ได้.
หลังจากหยุดความคิดแล้วก็ควรเปลี่ยนอิริยาบถและทำกิจอื่นที่เบา ๆ ง่าย ๆ เพื่อให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานเดิมได้พักการทำงานเป็นการชั่วคราว จึงเป็นผลให้ร่างกายและจิตใจได้พักและผ่อนคลาย.
เมื่อได้พักตามสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ควรกลับมาทำงานตามปรกติต่อไป. ผลที่ได้รับ คือ จะทำให้สมองและร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
การคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยไม่พักและไม่เปลี่ยนเรื่องคิดเลย จะทำให้สมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คิดต้องทำงานหนักอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้พักเลย. สมองจึงเกิดความล้าและความเครียด เช่น คิดแต่เรื่องงานทั้งวัน ไม่ยอมเปลี่ยนเรื่องที่คิด ไม่ยอมพักผ่อน ไม่เปลี่ยนอิริยาบถ สมองก็จะล้า สติในการควบคุมความคิดก็จะอ่อนกำลังลง จึงไม่สามารถหยุดความคิดและควบคุมความคิดได้เหมือนคนปรกติ ในที่สุดก็อาจมีอาการทางจิตเกิดขึ้น, บางคนผิดหวังจากความรัก คิดมาก คิดไม่หยุด นอนก็ไม่หลับ เครียด สมองย่อมล้ามากจนไม่สามารถมีสติควบคุมความคิดของตนเองให้คิดอย่างรอบคอบและถูกต้อง จึงคิดทำร้ายตนเองและหรือผู้อื่นได้โดยง่าย เป็นต้น.
ขณะนอนก็ควรมีสติเบา ๆ อยู่ที่ฐานหลักของจิต พร้อมกับสอนตนเองว่า เวลานอนเป็นเวลาของการพักผ่อน เราจะไม่คิดเรื่องอื่นใดอีกต่อไป หรือเตือนตนเองว่า เราจะไม่เบียดเบียนตนเอง เราจะมีเมตตาและกรุณาต่อตนเอง โดยให้สมองและร่างกายได้พักอย่างเพียงพอ.
เมื่อตื่นมากลางดึก ให้พยายามไม่คิดเรื่องอื่นใดเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้มีความคิดแวบขึ้นมาหรือฟุ้งซ่านเรื่องอะไรก็ตาม โดยเตือนตนเองว่า เป็นเวลาพักผ่อนนอนหลับ ไม่ใช่เวลาของการคิด แล้วพยายามมีสติอยู่ที่ฐานหลักของจิตเบา ๆ เพื่อทำให้จิตใจสงบอย่างรวดเร็วและหลับได้โดยง่าย.
ถ้าต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ ก็คอยมีสติควบคุมความคิดไม่ให้คิดเรื่องอื่นใดเลย นอกจากเรื่องการเข้าห้องน้ำ และควรมีสติเบา ๆ อยู่ที่ฐานหลักของจิตไปด้วย เพื่อป้องกันการคิดฟุ้งซ่าน.
จะเริ่มคิดก็ต่อเมื่อได้เวลาตื่นนอนแล้ว. ถ้าฝึกได้เช่นนี้เป็นประจำ ไม่นานนักท่านก็จะเป็นคนนอนหลับง่ายขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านก็ควรฝึกเช่นนี้ไปตลอดชีวิต.
ในแต่ละวัน ท่านสามารถหยุดความคิดช่วงสั้น ๆ ได้หลายครั้ง. ก่อนเข้านอน ท่านควรฝึกหยุดความคิดช่วงยาวตามความเหมาะสม.
ถ้าสามารถหยุดความคิดได้นาน ท่านก็จะเป็นผู้ที่มีความสามารถถในการบริหารความคิดได้มากขึ้น แต่ก็ไม่ควรฝึกหยุดความคิดนานเกินไป จนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.
เมื่อใดที่เผลอสติไปคิดอกุศล ก็ควรเตือนตนเองว่า เราจะไม่คิดเช่นนั้นอีก.
การเตือนตนเองจะทำให้สมองจดจำไว้เป็นข้อมูลในการควบคุมความคิด เพื่อให้เกิดการคิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง.
เมื่อรู้ตัวว่า กำลังคิดอกุศล ต้องตั้งใจอย่างเด็ดขาดว่า เราจะหยุดคิด ณ วินาทีที่รู้ แล้วตั้งใจทำเช่นนั้นจริง ๆ อย่าปล่อยให้คิดอกุศลต่อแม้แต่วินาทีเดียว เพราะจะทำให้ข้อมูลอกุศลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดอาจพ่ายแพ้ด้วยการคิดอกุศลจนเป็นนิสัย.
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลกหรือเรื่องทางคุณธรรม เวลาที่ดีที่สุดหรือเลวที่สุด คือ เวลา ณ ปัจจุบันขณะ เพราะเป็นเวลาที่เราสามารถคิดแต่กุศล หรือคิดอกุศลก็ได้.
ถ้า ณ ปัจจุบันขณะ เราสามารถบริหารความคิดให้คิดแต่กุศลได้ ก็จะเป็นเวลาที่ดีและมีคุณค่าที่สุด.
ในทางตรงกันข้าม เวลา ณ ปัจจุบันขณะจะเป็นเวลาที่เลวร้ายที่สุด ถ้าคิดอกุศล.
เรื่องที่เป็นอดีตไปแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือเลว สุขหรือทุกข์ รวมทั้งความคิดต่าง ๆ ที่ได้ผ่านไปแล้วนั้น เราไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้อีกเลย เพราะเป็นเรื่องที่ได้ผ่านไปแล้ว. เรื่องต่าง ๆ ในอดีตจึงเป็นบทเรียนเพื่อทำปัจจุบันขณะให้ดีที่สุด หรือเพื่อการคิดแต่กุศล ณ ปัจจุบันขณะ.
เรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น เราไม่สามารถไปบริหารความคิดในอนาคตได้ เราทำได้เพียงการบริหารความคิด ณ ปัจจุบันขณะ เพื่อเตรียมการไว้สำหรับเรื่องในอนาคต.
ดังนั้น เวลาที่ดีและมีคุณค่าที่สุดของชีวิตสำหรับปัจจุบันและอนาคต คือ ปัจจุบันขณะนี่เอง เพราะเป็นเวลาที่เราสามารถบริหารความคิดให้คิดแต่กุศลอย่างรอบคอบและถูกต้อง เพื่อความเจริญ ผาสุก และความมั่นคงของตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.
ถึงแม้อดีตจะเคยคิดชั่วทำชั่วมามากมายเพียงใดก็ตาม ขอเพียง ณ ปัจจุบันขณะ เราจะคิดแต่กุศลเท่านั้น ก็ถือว่า เป็นเวลาที่ดีและมีคุณค่าที่สุดแล้ว. การดำเนินชีวิตที่ประเสริฐนั้นเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะที่กำลังคิดแต่กุศลนี่เอง.
เรื่องของการบริหารความคิดจึงเป็นเรื่องของการให้โอกาสกับทุก ๆ คนที่จะคิดแต่กุศล ณ ปัจจุบันขณะ ตราบใดที่สมองของคนนั้นยังเป็นปรกติอยู่.
ความยากของการควบคุมความคิด คือ ต้องเอาชนะข้อมูลเดิมที่สะสมไว้ในความจำมาตลอดชีวิต ซึ่งบางท่านก็มีข้อมูลการคิดอกุศลในความจำเป็นจำนวนมาก รุนแรง และมีความเชี่ยวชาญด้วย.
ดังนั้น ท่านที่เชี่ยวชาญในการคิดอกุศลหรือไม่มีความฉลาดทางอารมณ์เลย ต้องอาศัยความศรัทธา ความตั้งใจ เวลา และความเพียรที่มากกว่าคนทั่วไป เพื่อเอาชนะการคิดอกุศล.
ถึงแม้จะฝึกบริหารความคิดได้ดีแล้วหรือยังไม่ดีเท่าที่ควร ทุกคนก็ควรเพียรฝึกคิดแต่กุศลกันชั่วชีวิตเหมือนกันหมด.
**********
บทที่
๑๖
ขั้นตอนที่ ๖. การประเมินผล
การบริหารความคิดเพื่อให้เกิดความฉลาดทางอารมณ์ตามแนวภูมิปัญญาไทยนั้น จะเป็นผลให้มีคุณธรรมในการศึกษาเล่าเรียน ปฏิบัติงาน และดำเนินชีวิต จึงทำให้จิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส มีอารมณ์ดี(อารมณ์กุศล) มีความสงบ และเป็นบุคคลที่ประเสริฐ.
ข้อความที่สื่อความหมายได้อย่างตรงประเด็นและชัดเจน คือ จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส
จิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใสจึงเป็นตัวชี้วัดความรู้และความสามารถในการมีความฉลาดทางอารมณ์ของแต่ละบุคคล.
การจะประเมินความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิตใจนั้น ต้องประเมินที่ความคิด เพราะถ้าคิดแต่กุศล จิตใจย่อมบริสุทธิ์ผ่องใส และเมื่อใดที่คิดอกุศล จิตใจย่อมไม่บริสุทธิ์ผ่องใส เพราะธรรมชาติของจิตใจเป็นเช่นนั้นเอง.
การประเมินผลความฉลาดทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งนั้น ต้องประเมินด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครสามารถรู้เห็นความคิดของเราได้นอกจากรู้ได้ด้วยตนเอง.
ดังนั้น การที่จะรู้ว่า จิตใจของตนเองมีความบริสุทธิ์ผ่องใสหรือไม่นั้น ต้องมีสติรู้เห็นความคิดของตนเองว่า กำลังคิดอย่างไร ? ถ้ากำลังคิดอกุศลอยู่ จิตใจในขณะนั้นย่อมไม่บริสุทธิ์ผ่องใส ถ้ากำลังคิดแต่กุศลอยู่ จิตใจในขณะนั้นย่อมบริสุทธิ์ผ่องใส.
จิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสมี ๒ แบบ คือ จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสชั่วคราว และจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.
การประเมินความต่อเนื่องของจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสนั้น ทำได้โดยง่าย ด้วยการประเมินที่จิตใจของตนเอง เช่น วันใดมีการคิดอกุศลสลับกับการคิดกุศล ก็แสดงว่า ในวันนั้นจิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสชั่วคราว.
วันใดที่คิดแต่กุศล และไม่มีการคิดอกุศลเลย จิตใจในวันนั้นย่อมบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องทั้งวัน.
ท่านที่เริ่มต้นฝึกบริหารความคิดก็ควรประเมินตนเองว่า ในชั่วโมงนี้ หรือในวันนี้ สามารถบริหารความคิดของตนเองจนทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่ได้นานหรือไม่ ? ถ้าจิตมีความบริสุทธิ์ผ่องใสเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก็แสดงว่า ยังมีความสามารถในการบริหารความคิดน้อย หรือยังมีความฉลาดทางอารมณ์น้อย.
ครั้นพบว่า สามารถบริหารความคิดจนทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสได้เป็นเวลานานขึ้น ก็แสดงว่า มีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น.
ถ้าพบว่า ถึงแม้จะมีปัญหาทางจิตใจที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง แต่ก็สามารถบริหารความคิดให้คิดแต่กุศลได้เป็นอย่างดี ก็แสดงว่ามีความฉลาดทางอารมณ์มาก.
ในชีวิตประจำวันถ้ามีการคิดอกุศลน้อยลง หรือมีการคิดกุศลมากขึ้น หรือจิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็แสดงว่า มีความก้าวหน้าเกิดขึ้นแล้ว และถ้าคิดแต่กุศลได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดอกุศลเลยเป็นเวลาหลายวัน ก็ถือว่า มีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น.
การประเมินผลความฉลาดทางอารมณ์เป็นเรื่องที่ควรทำเป็นประจำ ตอนฝึกใหม่ ๆ ควรทำวันละหลายครั้ง เพื่อฝึกฝนตนเองอย่างเข้มข้น ครั้นเป็นนิสัยที่ดีพอสมควรแล้ว ควรประเมินผลอย่างน้อยที่สุดวันละ ๑ ครั้ง อาจทำในช่วงเวลาก่อนนอนก็ได้ เพื่อสรุปว่า ชั่วโมงที่แล้ว หรือ ๑ วันที่ผ่านไปแล้ว จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสนานมากขึ้นหรือน้อยลงเพียงใด หรือมีการคิดอกุศลบ้างหรือเปล่า. ถ้าพบว่า ทั้งวันที่ผ่านมา มีการคิดดีทำดีหรือคิดแต่กุศลมาทั้งวัน ก็ควรยินดีกับความฉลาดทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น และบอกตนเองว่า ควรพยายามทำเช่นนี้ต่อไปตลอดชีวิต.
ถ้าพบว่า มีการคิดไม่ดีทำไม่ดีหรือคิดอกุศลเกิดขึ้น ก็ให้เตือนตนเองว่า ต่อจากนี้ไปเราจะไม่คิดอกุศลแม้แต่วินาทีเดียว เราจะคิดแต่กุศลตลอดชีวิต.
ควรประเมินผลทั้งภาคการศึกษาและฝึกปฏิบัติด้วย. ถ้าประเมินผลแล้วพบว่า ท่านยังมีความเพียรในการศึกษา ทบทวน และฝึกคิดดีทำดีในชีวิตประจำวันน้อยเกินไป ก็ควรเร่งความเพียรให้มากขึ้นอีก.
ความฉลาดทางอารมณ์จะก้าวหน้ามากหรือน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นกับความเพียรในการฝึกฝนตนเองเพื่อให้เกิดความรู้และความสามารถในเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีในความจำของสมอง.
การมีข้อมูลความฉลาดทางอารมณ์ทั้งด้านความรู้และความสามารถอยู่ในความจำมากเท่าใด ความฉลาดทางอารมณ์ก็จะมากขึ้นตามสัดส่วนด้วย. ขณะเดียวกัน ความสามารถในการประเมินผลก็จะละเอียดและลึกซึ้งมากขึ้นด้วย.
ถ้าพบว่า ท่านสามารถบริหารความคิดได้ดีจนถึงขั้นคิดดีทำดีได้ในชีวิตประจำวันโดยไม่คิดอกุศลเลย ก็ควรพยายามรักษาหรืออนุรักษ์ความฉลาดทางอารมณ์ที่มีอยู่แล้วให้คงอยู่ต่อไป.
โปรดอย่าลืมว่า ต้องใช้สติปัญญาทางโลกควบคู่กันไปกับสติปัญญาทางคุณธรรม หรือใช้ความรู้คู่คุณธรรม จึงจะได้ชื่อว่า มีความฉลาดทางอารมณ์ตามหลักการที่ได้กล่าวไว้แล้ว.
เมื่อใดที่พบกับปัญหาที่ยุ่งยาก ซับซ้อน หรือรุนแรง และประเมินว่า ตนไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะแก้ปัญหาให้หมดไปได้ ก็ควรปรึกษาผู้ที่มีความรู้และความสามารถสูงกว่า เพื่อช่วยกันคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ลดลงหรือหมดไป.&nbssp; ไม่ควรปรึกษาคนที่มีสติ ปัญญาน้อยกว่า เพราะอาจได้รับคำแนะนำที่ผิดและก่อให้เกิดปัญหามากขึ้นก็ได้.
**********
บทที่
๑๗
สรุป
พระราชดำรัสเรื่องคิดดีทำดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย ความรู้คู่คุณธรรม ทำดีไม่ต้องเดี๋ยว ซึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาจิตใจให้มีคุณธรรมและจริยธรรม ด้วยการฝึกฝนตนเองให้คิดดีทำดี หรือคิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง อันจะเป็นผลให้เกิดการพูดดีและทำดี หรือพูดและทำแต่กุศล.
ผู้นำประเทศ ผู้บริหารทั้งภาครัฐบาล เอกชน ศาสนา ครูอาจารย์ ผู้มีความรู้ในเรื่องคิดดีทำดีและเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ควรร่วมมือกันคิดเนื้อหาเรื่องของการพัฒนาจิตใจทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ อย่างรอบคอบ ถูกต้อง ตรงประเด็น ง่าย กระชับสั้น ในมุมมองต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน.
การมีคุณธรรมในการศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงาน และการดำเนินชีวิตประจำวัน หรือการใช้ความรู้คู่คุณธรรมในชีวิตประจำวัน ย่อมทำให้การทำกิจต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม เต็มกำลังความรู้และความสามารถ ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส.
เมื่อมีการศึกษาหาความรู้และใช้ความรู้คู่คุณธรรมเพื่อบริหารความคิดเป็นประจำ ข้อมูลด้านความรู้และคุณธรรมก็จะเพิ่มพูนในความจำ จึงกลายเป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย.
ความฉลาดทางอารมณ์เป็นเรื่องที่คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และนำไปใช้ฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันได้โดยง่าย เมื่อสรุปแล้วมี ๖ องค์ประกอบหลัก ดังนี้ :-
๑. องค์ประกอบของจิต. ประกอบด้วยความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ. การมีความรู้ในแต่ละเรื่ององค์ประกอบดังกล่าว จะทำให้สามารถบริหารความคิดได้อย่างตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพ.
๒. ปัญหา. ได้แก่การพูดไม่ดี การกระทำต่่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นและเกิดความทุกข์
๓. สาเหตุ. เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล เพราะขาดความรู้และความสามารถทางคุณธรรมในการบริหารความคิด.
๔. ประโยชน์. เป็นการส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพจิต อันเป็นผลให้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการคิดอกุศลและความทุกข์ลดลงหรือหมดไป จึงทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส เจริญ สุขสงบ มั่นคง และสามารถทำกิจต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
๕. วิธีบริหารความคิด. โดยการพยายามมีสติหยุดความคิดสลับกับฝึกควบคุมความคิดในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง.
๖. การประเมินผล. โดยการประเมินภาวะของจิตใจว่า ในแต่ละวันนั้น จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสนานขึ้นหรือไม่ ? ถ้าสามารถทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใสได้นานขึ้น ก็ถือว่า มีความก้าวหน้าเกิดขึ้นแล้ว. ในชีวิตประจำวัน ถ้าสามารถทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน ก็ถือว่า เป็นความสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว.
ความฉลาดทางอารมณ์จะเพิ่มมากขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยความเพียรในการศึกษาและฝึกบริหารความคิดอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และตลอดชีวิต.
ประชาชนคนไทยโชคดีที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของนักบริหารความคิดให้คิดดีทำดีมาโดยตลอด. พระองค์ทรงเป็นสุดยอดของพระมหากษัตริย์ที่มีพระสติปัญญาทั้งทางโลกและทางคุณธรรม หรือทรงใช้ความรู้คู่คุณธรรม จึงทรงบำเพ็ญประโยชน์(ทำกุศล)มหาศาลให้กับชาติบ้านเมืองอย่างหาที่เปรียบไม่ได้. คิดดีทำดีจึงเป็นคุณธรรมของชาติไทยอันล้ำค่าที่สุด ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้กับทุกคน. ส่วนเรื่องความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยนั้น เป็นมรดกทางคุณธรรมและวัฒนธรรมของบรรพบุรุษไทยที่ถ่ายทอดและสืบต่อกันมาคู่กับแผ่นดินไทย.
ฉะนั้น ทุกคนในชาติบ้านเมืองพึงศึกษาและนำไปสู่ภาคปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดความเจริญ ความผาสุก ความมั่นคงของตนเอง สังคม และประเทศชาติสืบต่อไป.
************
บันทึกท้ายเล่ม
ผู้เขียนขอขอบพระคุณอาจารย์ ดร. กรรณิการ์ ชินะโชติ และคุณนิภา จุละจาริตต์ ที่ได้กรุณาตรวจเนื้อหาและภาษาของหนังสือเล่มนี้.
ผู้เขียนขออภัยที่หนังสือเล่มนี้มีราคาแพงขึ้น เมื่อเทียบกับหนังสือเล่มอื่นของผู้เขียน. ทั้งนี้ ก็เพราะผู้เขียนจำเป็นจะต้องสั่งพิมพ์ครั้งละจำนวนไม่มากนักเนื่องจากไม่มีที่เก็บ และขณะเดียวกัน ได้เพิ่มค่าใช้จ่ายให้กับผู้จัดจำหน่ายมากขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้จัดจำหน่ายที่ต้องจัดจำหน่ายหนังสือให้ผู้เขียนในราคาถูกเกินไป.
ท่านที่สนใจติดตามงานเขียนของผู้เขียนซึ่งเป็นแนวพุทธนั้น สามารถหาซื้อหนังสือของผู้เขียนได้ตามร้านขายหนังสือทั่วไป หรือสั่งซื้อจากผู้จัดจำหน่าย.
ท่านที่นับถือศาสนาอื่นก็สามารถอ่านหนังสือของผู้เขียนได้โดยไม่ต้องตะขิดตะขวงใจ เพราะเป็นเรื่องของวิชาการด้านจิตวิทยาและสุขภาพจิตที่ง่าย ๆ ตรงไปตรงมา ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยง่าย.
สำหรับท่านที่ต้องการจะซื้อหนังสือของผู้เขียนในราคาทุนหรือค่าพิมพ์ เพื่อใช้ในโอกาสต่าง ๆ กรุณาติดต่อผู้เขียนโดยตรง ทางโทรศัพท์หมายเลข ๐๒ ๒๔๑ ๐๘๓๗ หรือทางจดหมายที่นายเอกชัย จุละจาริตต์ บ้านเลขที่ ๑๑๑ ซอยวัดอัมพวัน ถนนพระราม ๕ เขตดุสิต กทม. ๑๐๓๐๐ หรือสั่งพิมพ์จากโรงพิมพ์โดยตรง.
หนังสือ เทป และ CD-MP3 ที่บันทึกการบรรยายเรื่องอริยสัจ ๔ ของผู้เขียนมีจำหน่ายที่สำนักงานขายหนังสือของมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ๒๔๑ ถนนพระสุเมรุ เยื้องวัดบวรนิเวศวิหาร บางลำพู กทม. ๑๐๒๐๐ เปิดจำหน่ายทุกวัน โทร. ๐๒ ๒๘๑ ๑๐๘๕, ๐๒ ๖๒๙ ๔๐๑๖.
ผู้เขียนจะพยายามผลิต CD-MP3 เรื่อง คิดดีทำดีและความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย เพื่อช่วยให้ท่านผู้ฟังสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น พร้อมทั้งนำฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวัน และฝึกประเมินผลไปด้วย. การนำเสนอจะเป็นตอนสั้น ๆ เพื่อไม่ต้องใช้เวลาในการฟังนานเกินไป และยังใช้สำหรับเปิดในโรงเรียน ในชั้นเรียน เสียงตามสาย หอกระจายข่าว รายการวิทยุ โรงงาน โรงพยาบาลและหอพักผู้ป่วยใน. คาดว่า จะวางจำหน่ายที่สำนักงานขายหนังสือของมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยในต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๙.
ส่วนท่านที่ประสงค์จะฟังการบรรยายหรือสอบถามปัญหาจากผู้เขียน กรุณาโทรศัพท์มาสอบถามที่ผู้เขียนได้โดยตรง.
*********
ประวัติผู้เขียน: นายเอกชัย จุละจาริตต์
เกิด พ.ศ. ๒๔๘๑
จบชั้นเตรียมอุดมที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล กทม.
จบอุดมศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์
เคยรับราชการในสังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรระยะยาวด้านศัลยกรรม
เคยทำงานด้านศัลยกรรม เวชกรรมฟื้นฟู และบริหาร
สนใจศึกษาและฝึกปฏิบัติธรรมมา ๒๐ กว่าปี
ปัจจุบันเป็นข้าราชการบำนาญ ทำหน้าที่ศึกษา ฝึกปฏิบัติ และเผยแพร่ธรรมะจากประสบการณ์อย่างง่าย ๆ.
***********