EQ แนวภูมิปัญญาไทย

หรือ

ความฉลาดทางอารมณ์

แนวภูมิปัญญาไทย

 

                                                                                                                                                                    นายแพทย์เอกชัย จุละจาริตต์

 

EQ แนวภูมิปัญญาไทย

เอกชัย จุละจาริตต์

ISBN 974-93539-5-1

เอกชัย จุละจาริตต์

EQ แนวภูมิปัญญาไทย – กรุงเทพฯ: 2548

240 หน้า

1. ปัญญา  2. อารมณ์

I  ชื่อเรื่อง

EQ แนวภูมิปัญญาไทย

ISBN 974-93539-5-1

ไม่สงวนลิขสิทธิ์ทุกรูปแบบ

พิมพ์ครั้งที่ ๑ จำนวนพิมพ์  ...................

จัดพิมพ์โดย นายเอกชัย จุละจาริตต์

มีจำหน่ายทั่วไป และสั่งซื้อโดยตรงได้ที่ผู้จัดจำหน่ายโดยไม่เสียค่าส่ง

จัดจำหน่ายโดย  บริษัท เคล็ดไทย จำกัด

          ๑๑๗ - ๑๑๙ ถนนเฟื่องนคร ตรงข้ามวัดราชบพิธ กทม. ๑๐๒๐๐

           โทร. ๐-๒๒๒๕-๙๕๓๖-๙ 

           http://www.kledthai.com และทางอีเมล์ที่ kledthai@kledthai.com

สั่งซื้อได้ที่: บริษัท เคล็ดไทย จำกัด  โทร. ๐-๒๒๒๕-๙๕๓๖ - ๙

พิมพ์ที่: บ. เฟื่องฟ้า พริ้นติ้ง จำกัด โทร. ๐-๒๘๙๕-๑๕๐๐, ๐-๒๘๙๕- ๒๓๐๐

อ่านหนังสือเรื่องนี้และเรื่องอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ฟรีที่

http://www.geocities.com/satipanya

และเรื่อง “คิดดีทำดี” ที่ http://www.geocities.com/rightthought5

 

คำนำ

 

            หนังสือเรื่อง “ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย” เล่มนี้ เป็นหนังสือวิชาการพื้นบ้านที่ง่าย   อาจมีส่วนในการช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ของชาติบ้านเมืองซึ่งเกิดขึ้นจากการขาดคุณธรรมจริยธรรมหรือคิดไม่ดีทำไม่ดี ปัญหาเหล่านี้กำลังขยายวงกว้างออกไปและทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ.

            ในยุคปัจจุบันนี้ มีความเจริญทางวัตถุเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมากมาย ขณะเดียวกันความเจริญทางด้านจิตใจกลับลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จึงทำให้จำนวนคนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เป็นผลให้คนจำนวนมากเกิดความเห็นแก่ตัว ขาดความเมตตา ไม่เอื้ออารีต่อกันเหมือนแต่ก่อน ตลอดจนมีการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นมากขึ้นตามไปด้วย.  วัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมาช้านานก็พลอยเสื่อมมลายหายไป แต่ปัญหาต่าง ๆ ในสังคมกลับเพิ่มมากขึ้นทั้งจำนวนครั้งและความรุนแรง.

            คนในยุคปัจจุบันที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ก็มักจะสร้างปัญหาต่าง ๆ ตามมา และก่อให้เกิดดความขัดแย้งขึ้นในหน่วยงาน ครอบครัว สถานศึกษา สังคม และชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ ๆ. 

            ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น มีพื้นฐานมาจากการขาดความรู้และความสามารถในการบริหารความคิดของตนเอง ให้คิดดีทำดีตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือไม่มีคุณ ธรรมและจริยธรรมประจำใจ หรือไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.

            ในชาติบ้านเมืองของเรานั้น มีคนจำนวนไม่น้อย นับตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงมากจนถึงระดับรากหญ้ารวมตลอดทั้งเด็ก ๆ ด้วย  ต่างก็ไม่มีความรู้และความสามารถในการบริหารความคิดของตนเองให้คิดดีทำดี จึงเป็นผลให้เกิดการคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีต่อกัน เกิดการแตกความสามัคคี เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.

            บางคนถึงแม้จะมีความรู้สูงมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าใช้ความรู้ร่วมกับการคิดไม่ดี ก็จะเป็นผลให้เกิดการพูดและการกระทำที่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นได้ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง โดยไม่มีความละอายแก่ใจตนเองเลย รวมทั้งทำให้เกิดการแตกความสามัคคีกันอย่างกว้างขวางและรุนแรงด้วย. 

                ที่น่าห่วงมาก ๆ คือ คนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเป็นอนาคตของชาติบ้านเมืองนั้น มีจำนวนไม่น้อยเลย ที่กำลังถูกครอบงำด้วยข้อมูลไม่ดีจากบุคคลไม่ดีในวงการต่าง ๆ  เช่น การเมือง ข้าราชการ ศาสนา ศึกษา ครอบครัว บันเทิง สื่อมวลชน การค้า และธุรกิจ เป็นต้น.  การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบุคคลไม่ดีในวงการต่าง ๆ นั้น ไม่มีความรู้และไม่มีความสามารถในการบริหารความคิดของตนเองให้คิดดี พูดดี ทำดี จึงแสดงออกมาทางคำพูดและการกระทำที่ขาดคุณธรรม.

            หนังสือเรื่อง “ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย” เล่มนี้ เขียนขึ้นสืบต่อจากหนังสือของผู้เขียนเรื่อง “คิดดีทำดีเพื่อสนองพระราชดำรัส” ตีพิมพ์เมื่อ .. ๒๕๔๗.  หนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้มีเนื้อหาหลักเหมือนกันทุกประการ.  เหตุที่ต้องเขียนอีกก็เพราะหนังสือเรื่อง “คิดดีทำดีฯ” นั้น มีวางจำหน่ายตามร้านขายหนังสือทั่วไปเพียงช่วงสั้น ๆ แล้วก็หายไปจากตลาด เพราะวงการตลาดหนังสือเป็นเช่นนั้นเอง จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ถ้าพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องคิดดีทำดีถูกลืมเลือนไปด้วย.  จากเหตุนี้เอง จึงกระตุ้นและผลักดันให้ผู้เขียนตีพิมพ์เรื่องนี้ขึ้น เพื่อเสริมพระราชดำรัสเรื่องคิดดีทำดีอีกครั้งหนึ่ง.

            นอกจากที่วงการศึกษาปัจจุบันนี้เริ่มให้ความสนใจในเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ตามสมควร และ ...ทักษิณ ชินวัตร ท่านนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน  ได้มีนโยบายเรื่อง “ความรู้คู่คุณธรรม” และ “ทำดีไม่ต้องเดี๋ยว” ในวันวิสาขบูชา พ.. ๒๕๔๘  ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องคิดดีทำดีฯ และเรื่องความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย คุณธรรมและจริยธรรม จึงเกิดเป็นแรงผลักดันอีกทางหนึ่งให้ผู้เขียนเร่งจัดทำหนังสือเล่มนี้ เพื่อจะได้เป็นทางเลือกสำหรับพัฒนาจิตใจให้กับบุคคลในวงการต่าง ๆ ต่อไป.

            หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยภาคทฤษฎี ปฏิบัติ และการประเมินผลสลับแทรกกันไปตั้งแต่เริ่มต้น.  ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ฝึกปฏิบัติ และประเมินผลไปพพร้อม ๆ กัน เพื่อจะได้ตรวจสอบและพิสูจน์ว่า เป็นเรื่องที่มีประโยชน์และมีคุณค่า โดยไม่ต้องรอให้อ่านจบเล่มเสียก่อนแล้วจึงค่อยลงมือฝึกปฏิบัติ.

            เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือวิชาการ ดังนั้น จึงขอความกรุณาให้ท่านผู้อ่านได้โปรดอ่านช้า ๆ ทำความเข้าใจทุกวรรคและทุกขั้นตอน พร้อมทั้งฝึกบริหารความคิดและฝึกประเมินไปด้วย อย่าได้ข้ามขั้นตอน เพื่อจะได้รับประโยชน์สูงสุด.

            ผู้เขียนหวังว่า หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นมุมมองเล็ก ๆ ที่ง่ายเหมาะสำหรับให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษาด้วยตนเอง แล้วนำไปทดลองฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวัน เพื่อเสริมความรู้เรื่องคิดดีทำดีและเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ของผู้เขียนท่านอื่น ตามความเหมาะสมต่อไป.

            เมื่อท่านผู้อ่านได้ตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเองแล้วว่า ทำให้ท่านมีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส ดีงาม มีความสงบ ไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์และมีคุณค่าจริง ก็ขอได้โปรดช่วยกันเผยแพร่ความรู้เรื่องนี้ออกไป เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว หน่วยงาน สังคม และประเทศชาติสืบต่อไป ตามกำลังความรู้ ความสามารถ และเหตุปัจจัยของแต่ละท่าน ทั้งนี้ ก็เพื่อเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ก็จะเป็นพระคุณยิ่ง.

                                                            เอกชัย จุละจาริตต์.

                                                                                    ๙ กันยายน ๔๘.

 

 

สารบัญ

 

 

คำนำ                                                                                                                                         

บทที่ ๑ บทนำ: ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย                                                                    

                ภาคปฏิบัติ: วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๑                                                                                   ๑๗

บทที่ ๒ ความหมายของความฉลาดทางอารมณ์ฯ                                                                           ๑๘

บทที่ ๓ การตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริง                                                                                   ๒๖                   

บทที่ ๔ องค์ประกอบของจิตใจ                                                                                                    ๓๓

            ภาคปฏิบัติ: วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๒                                                                                  ๓๘   

บทที่ ๕ ขั้นตอนที่ ๑. องค์ประกอบของจิตใจ                                 

            ตอน ๑: ความรู้สึก                                                                                                         ๓๙

บทที่ ๖ ขั้นตอนที่ ๑. องค์ประกอบของจิตใจ(ต่อ)

            ตอน ๒: ความนึกคิด                                                                                                      ๔๙

บทที่ ๗ ขั้นตอนที่ ๑. องค์ประกอบของจิตใจ(ต่อ)

            ตอน ๓: ความจำ                                                                                                           ๖๑

            ภาคปฏิบัติ: วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๓                                                                                 ๗๓

บทที่ ๘ ขั้นตอนที่ ๑. องค์ประกอบของจิตใจ(ต่อ)

            ตอน ๔: การรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ                                                                  ๗๕

บทที่ ๙ ขั้นตอนที่ ๑. องค์ประกอบของจิตใจ(ต่อ)

            ตอน ๕: ความคิดเป็นหัวหน้าใหญ่ของชีวิต                                                                       ๘๓

บทที่ ๑๐  ขั้นตอนที่ ๒. ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการไม่มี

               ความฉลาดทางอารมณ์                                                                                              ๙๕

                ภาคปฏิบัติ: วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๔                                                                              ๑๓๖ 

บทที่ ๑๑  ขั้นตอนที่ ๓. สาเหตุของปัญหาต่าง ๆ                                                                         ๑๓๗

                ภาคปฏิบัติ: วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๕                                                                              ๑๕๖  

บทที่ ๑๒  ขั้นตอนที่ ๔. ประโยชน์ของการมีความฉลาดทางอารมณ์                                               ๑๕๗                                                              

บทที่ ๑๓  ขั้นตอนที่ ๕. วิธีบริหารความคิดให้มีความฉลาด

               ทางอารมณ์

               ตอน ๑: วิธีฝึกมีสติควบคุมความคิด                                                                           ๑๖๙

บทที่ ๑๔  ขั้นตอนที่ ๕. วิธีบริหารความคิดให้มีความฉลาด

               ทางอารมณ์(ต่อ)

               ตอน ๒: วิธีฝึกมีสติหยุดความคิด                                                                                ๒๐๐

บทที่ ๑๕  ขั้นตอนที่ ๕. วิธีบริหารความคิดให้มีความฉลาด

               ทางอารมณ์(ต่อ)                                               

               ตอน ๓: วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวัน                                                             ๒๒๑

บทที่ ๑๖  ขั้นตอนที่ ๖. การประเมินผล                                                                                      ๒๒๙

บทที่ ๑๗  สรุป                                                                                                                        ๒๓๔

               บันทึกท้ายเล่ม                                                                                                         ๒๓๘

 

**********

 

ความฉลาดทางอารมณ์

แนวภูมิปัญญาไทย

 

บทที่ ๑

บทนำ

 

ขอให้กำลังใจแก่ท่านผู้อ่านว่า เรื่องของความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยนั้น เป็นเรื่องสั้นที่เปิดเผย แจ้งชัด ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ  ง่ายที่จะเข้าใจ จดจำ นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นผลให้เกิดความฉลาดทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากภาวะของจิตใจที่มีความบริสุทธิ์ผ่องใส.

 ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยจึงเป็นวิชาการด้านคุณธรรมที่ง่าย กระชับสั้น แต่ลึกซึ้ง งดงาม ประเสริฐ และเคียงคู่มากับชนชาติไทย มีคุณค่าอย่างมหาศาลต่อมวลมนุษยชาติ ทุกเพศ ทุกวัย และทุกศาสนา.

บรรพบุรุษของคนไทยส่วนใหญ่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย จึงสามารถดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย มีพื้นฐานทางจิตใจที่ประกอบด้วยความเมตตา กรุณา รักความสงบ รักสันติ ภาพ รักความยุติธรรม จึงไม่ชอบการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นมาโดยตลอด จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเพณี วัฒนธรรม และพฤติกรรมอันดีงามของคนไทยที่สืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน.

ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยเป็นนศาสตร์ของการบริหาร(ดูแล)จิตใจของตนเองให้เลิกละความชั่วทั้งปวง มุ่งทำแต่ความดี และทำจิตใจของตนเองให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส จึงเป็นเหตุให้คนไทยมีอารมณ์ดีจากก้นบึ้งของจิตใจอยู่เสมอ.

ความฉลาดทางอารมณ์ที่ปลูกฝังมาในจิตใจของคนไทยนี้เอง ทำให้คนไทยมีความรัก ความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี ทั้งในยามปรกติและเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น.

ถึงแม้ว่าคนไทยจะมีหลายเผ่าพันธุ์และนับถือศาสนาแตกต่างกันก็ตาม แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็สามารถอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสามัคคี และมีความสันติสุข.

การที่มีคนส่วนน้อยจำนวนหนึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับตนเอง ผู้อื่น สังคม และประเทศชาตินั้น เป็นเรื่องที่ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีคุณธรรมหรือไม่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยนั่นเอง. 

สันติสุขภายในชาติบ้านเมืองจะมากหรือน้อย และคงอยู่กับชาติไทยได้นานเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่าง.  เหตุปัจจัยที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือ การมีคุณธรรมหรือการมีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยนี่เอง.  ดังนั้น เราจึงควรช่วยกันปลูกฝังเรื่องนี้ให้ติดแน่นไว้กับจิตใจของคนทุกเพศ ทุกวัย และทุกศาสนา เพื่อให้อยู่ร่วมกันด้วยความรัก สามัคคี และเอื้ออาทรต่อกัน.

เพื่อให้บทความในบางประโยคมีความกระชับสั้น จึงขอย่อข้อความที่ว่า “ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย” มาเป็น ”ความฉลาดทางอารมณ์” ตามความเหมาะสม.

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นตัวอย่างของความฉลาดทางอารมณ์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นต้นแบบของความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย กล่าวคือ พระองค์มีพระปฐมบรมราชโองการในวันที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชสมบัติในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งแสดงว่าพระองค์ทรงมีพระคุณธรรมอันสูงส่งและลึกซึ้งมากตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ หลังจากนั้นพระองค์ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม โดยใช้หลักธรรมหรือคุณธรรมที่มีอยู่ในพระทัยเป็นเครื่องนำพาการพัฒนาวิชาการด้านต่าง ๆ ของพระองค์ ตลอดจนทรงแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างมากมายของชาติบ้านเมืองได้สำเร็จอย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอด จึงทำให้ชาติบ้าน เมืองมีความเจริญ ผาสุก และมั่นคง จนถึงปัจจุบันนี้.

ทุกวันนี้ สื่อมวลชนและบุคคลต่าง ๆ  ช่วยกันเผยแพร่พระราชดำรัสและพระราชกรณียกิจในเรื่องต่าง ๆ อย่างมากมายและพบว่า ในแต่ละเรื่องนั้น จะมีองค์ประกอบหลัก ๒ เรื่องเสมอ คือ เรื่องของวิชาการ(ความรู้)และคุณธรรมควบคู่กันไป หรือกล่าวสั้น ๆ ว่า “ความรู้คู่คุณธรรม”.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้พระสติปัญญาทางด้านคุณธรรมในการบริหารพระทัยควบคู่ไปกับการใช้พระสติปัญญาทางด้านวิชาการ(ความรู้) คือ ทรงใช้พระสติปัญญาด้านความรู้คู่คุณธรรมนั่นเอง ซึ่งเป็นตัวอย่างของการทรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ งดงาม บริสุทธิ์ ยุติธรรม และมีคุณค่าอย่างสูงส่งต่อคนทั้งชาติ.

 

ความฉลาดทางอารมณ์ของคนไทยกำลังลดลง

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในประเทศที่พัฒนาแล้วว่า การพัฒนาความรู้หรือเชาว์ปัญญา(Intelligence Quotient = IQ)เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถทำให้คนเป็นคนดีได้ จึงจำเป็นต้องพัฒนาจิตใจให้มีคุณธรรมหรือมีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย(Emotional Quotient = EQ)ควบคู่กันไปด้วย จึงจะทำให้เป็นคนดี เป็นคนเก่ง มีความสุข ทำประโยชน์ให้กับสังคม สิ่งแวดล้อม และชาติบ้านเมืองด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส.

การพัฒนาความรู้หรือเชาว์ปัญญา(IQ)  และคุณธรรมหรือความฉลาดทางอารมณ์ควบคู่กันไป(EQ)  ก็คือการพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม(IQ+EQ)นั่นเอง.

ในปัจจุบันนี้มีแนวโน้มว่า ความฉลาดทางอารมณ์ของคนไทยกำลังลดลงไปเรื่อย ๆ  จึงเป็นผลให้เกิดความเห็นแก่ตัว การเบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น ครอบครัว องค์กร สังคม สิ่งแวดล้อม และชาติบ้านเมืองมากขึ้นตามลำดับ.

ทั้งนี้ ก็เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ทั้งภายในและภายนอกประเทศ.  รัฐบาลเองในฐานะผู้นำก็ยังไม่ได้เน้นเรื่องการพัฒนาจิตใจของประชาชนอย่างจริงจัง จึงขาดการเอาใส่ใจจากผู้บริหารระดับต่าง ๆ ในเรื่องการพัฒนาจิตใจของตนเองและประชาชนให้มีความฉลาดทางอารมณ์มาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่สายที่จะรีบกลับมาพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยให้เกิดขึ้นในจิตใจของคนไทยต่อไปอย่างรีบด่วน.

 

เรื่องที่น่าห่วงมาก

การปล่อยให้ประชาชนเป็นจำนวนมากถูกครอบงำไว้ด้วยความไม่ฉลาดทางอารมณ์เป็นเวลานาน อาจทำให้การพัฒนาจิตใจเพื่อให้มีความฉลาดทางอารมณ์กลับกลายเป็นเรื่องยากมาก เพราะต้องใช้เวลา ความจริงจัง ความจริงใจ และความเพียรในการเติมข้อมูลที่ดีเข้าไปแทนที่ข้อมูลไม่ดีที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจ เพื่อปรับเปลี่ยน นิสัยไม่ดีที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจมาเป็นเวลานาน ให้กลับมาเป็นคนที่มีนิสัยดี.

การจะพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ให้กับคนในชาติบ้านเมืองนั้น ควรพัฒนาให้กับทุกคน ทุกอายุ ทุกเผ่าพันธุ์ และทุกศาสนา.

ควรปลูกฝังความฉลาดทางอารมณ์ตั้งแต่วัยเด็กเล็กจนถึงวัยสูงอายุ  ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากก็ตาม แต่ก็ควรพยายามทำให้ดีที่สุด.

เรื่องที่น่าห่วงมาก คือ บุคคลสำคัญและผู้นำในระดับต่าง ๆ ที่ยังไม่มีความฉลาดทางอารมณ์อย่างเพียงพอ ที่จะเห็นความสำคัญในการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของตนเอง บุคคลรอบข้าง และประชาชน เช่น รัฐมนตรี ผู้บริหารกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กร หน่วยงานต่าง ๆ  สถานศึกษา สังคม ชุมชน และครอบครัว เป็นต้น.  บุคคลเหล่านี้จึงไม่เห็นคุณค่าของความฉลาดทางอารมณ์  รวมทั้งไม่สามารถให้ความรู้และฝึกบริหารอารมณ์ให้กับบุคคลต่าง ๆ ได้  จึงไม่มีศรัทธาที่จะเผยแพร่ความรู้ด้านนี้ออกไปในวงกว้าง.

ถ้าบุคคลสำคัญและผู้นำในระดับต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว เป็นบุคคลที่มีความฉลาดทางอารมณ์ ก็จะสนับสนุนงานพัฒนาจิตใจให้มีความฉลาดทางอารมณ์เป็นไปอย่างกว้างขวาง.

ความฉลาดทางอารมณ์ของคนไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วต้องอาศัยผู้บริหาร

คุณภาพของชีวิตที่ดีนั้น ต้องมีความสุขทั้ง ๒ ด้าน คือ ด้านรูปธรรม(วัตถุ) และนามธรรม(จิตใจ)ควบคู่กันไป จึงจะเป็นความสุข ที่แท้จริงของชีวิต.  ในแง่ของสุขภาพนั้น ก็คือการมีสุขภาพดีทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ.   

ผู้บริหารชาติบ้านเมืองในปัจจุบันนี้ ให้ความสนใจในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรีบด่วน เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความเจริญทางรูปธรรม(ทางวัตถุ) จัดว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก และจะดีงามมากยิ่งขึ้น ถ้าผู้บริหารให้ความสนใจในการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์(ทางจิตใจ)ของคนในชาติบ้านเมืองอย่างต่อเนื่องและจริงจังไปพร้อม ๆ กัน.

ผู้บริหารในกระทรวงต่าง ๆ ที่รับผิดชอบด้านการศึกษา สุขภาพ ทรัพยากรมนุษย์ ความสงบ ความมั่นคง ศาสนา สังคม วัฒนธรรม และสื่อมวลชน ควรผนึกกำลังกับภาคเอกชน รวมทั้งใช้ทรัพยากรที่มีอยู่มากมาย ในการพัฒนาจิตใจของคนในชาติอย่างจริงจังและรีบด่วนต่อไป.

การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และทรัพยากร รวมทั้งการพัฒนาจิตใจของคนในชาติบ้านเมืองไปพร้อม ๆ กัน ย่อมทำให้เกิดความเจริญ ความผาสุก ความมั่นคงของแต่ละบุคคล องค์กร สังคม และประเทศชาติ ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.

 

เพื่อความไม่ประมาท เราควรพึ่งตนเองไปก่อน

เพื่อความไม่ประมาท ทุกคนควรพึ่งพาตนเองไปก่อน ไม่ควรรอคอยนโยบายและคำสั่งของผู้บริหารชาติบ้านเมือง.

เราควรเริ่มต้นโดยการตั้งเจตนาว่า เราจะมีความเพียรในการศึกษาเรื่องนี้ แล้วนำไปฝึกปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความรู้และความสามารถในการควบคุมอารมณ์ให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส และจิตใจมีความสงบอย่างต่อเนื่อง อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น.

 

 

วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๑

            เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รับประโยชน์สูงสุดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รวมทั้งการประเมินผลด้วย จึงขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดฝึกบริหารความคิดขั้นที่ ๑ เพื่อทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสเสียก่อนแล้วจึงค่อยอ่านเรื่องต่อไป.

            การฝึกบริหารความคิดมี ๓ ตอน คือ ตอน ๑. ฝึกมีสติควบคุมความคิด  ตอน  ๒. ฝึกมีสติหยุดความคิด และตอน  ๓. ฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวัน.

            วิธีฝึกมีสติควบคุมความคิดในครั้งแรกนี้ง่าย เริ่มต้นโดยการให้ท่านตั้งเจตนาว่า “ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติศึกษาเรื่องต่อไปหรือทำกิจต่าง ๆ อย่างจริงจังโดยไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดอกุศลหรือไม่คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น  เราจะคิดแต่กุศลหรือคิดเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น เพื่อที่จะได้พูดและทำแต่กุศลอยู่เสมอ”.

            เมื่อมีการเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านหรือไปคิดอกุศล ครั้นมีสติรู้เห็นความคิดที่เกิดขึ้น ก็ให้รีบมีสติหยุดความคิดดังกล่าวทันที พร้อมทั้งกลับมามีสติอยู่กับการศึกษาหรือทำกิจต่าง ๆ ที่กำลังทำอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อททำจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

          ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดเริ่มต้นฝึกมีสติควบคุมความคิดอย่างจริงจัง โดยไม่ต้องกังวลและเคร่งเครียด.

 

บทที่ ๒

ความหมายของ

ความฉลาดทางอารมณ์

แนวภูมิปัญญาไทย

 

ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยเป็นเรื่องหนึ่งของภูมิปัญญาไทยที่มีเนื้อหาสั้น ๆ ง่าย ๆ  เพื่อใช้ละการทำความชั่วทั้งปวง มุ่งทำแต่ความดี และทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส หรือทำให้อารมณ์ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสุดยอดของภูมิปัญญาไทยที่ทำให้คนไทยมีคุณธรรม มีอารมณ์ที่ดีงาม และมีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสเคียงคู่กับประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย.

ความฉลาดทางอารมณ์ประกอบด้วยคำว่า ฉลาาด + อารมณ์.

ความหมายของคำว่าฉลาดตามพจนานุกรมฉบับราชบัณ ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ในความหมายของคนทั่วไป คือ เฉียบแหลม ไหวพริบดี ปัญญาดี.

ความหมายของคำว่าอารมณ์ในพจนานุกรมฉบับเดียวกัน คือ ความรู้สึกทางใจที่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเร้า เช่น อารมณ์รัก อารมณ์โกรธ อารมณ์ดี อารมณ์ร้าย; อัธยาศัย, ปรกตินิสัย เช่น อารมณ์ขัน อารมณ์เยือกเย็น อารมณ์ร้อน; ความรู้สึก เช่น อารมณ์ค้าง ใส่อารมณ์; ความรู้สึกซึ่งมักใช้ไปในทางกามารมณ์ เช่น อารมณ์เปลี่ยว เกิดอารมณ์. 

ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยเป็นเรื่องใหม่ ที่ยังไม่มีในพจนานุกรมไทย ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอให้คำนิยามของคำว่า “อารมณ์” ในเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยไว้เป็นการชั่วคราว โดยพิจารณาจากเหตุและผลตามข้อเท็จจริงของชีวิตที่ว่า :-

ขณะที่คิดไม่ดี ย่อมพูดไม่ดี ทำไม่ดี จิตใจไม่บริสุทธิ์ผ่องใส รู้สึกเป็นทุกข์ และอารมณ์ก็พลอยไม่ดีไปด้วย เพราะการทำงานของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

เมื่อค้นหาเหตุและผลจะพบว่า ด้วยเหตุที่คิดไม่ดีนี่เอง จึงเป็นผลให้พูดไม่ดี ทำไม่ดี จิตใจไม่บริสุทธิ์ผ่องใส รู้สึกเป็นทุกข์ และอารมณ์ก็พลอยไม่ดีไปด้วย.

เมื่อค้นหาเหตุและผลจะพบว่า ด้วยเหตุที่คิดดีนี่เอง จึงเป็นผลให้พูดดี ทำดี จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส รู้สึกเป็นสุขสงบ และอารมณ์ก็พลอยดีไปด้วย.

ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย คืออ ความรู้และความสามารถในการทำให้มีอารมณ์ดี โดยการพยายามมีสติดูแลความคิดของตนเองให้คิดดี เพื่อทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลให้เกิดการกระทำทางกาย วาจา ใจที่ดีงามอย่างต่อเนื่อง.

เมื่อย่อข้อความให้กระชับ ความฉลาดทางงอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย คือ การมีความรู้และความสามารถในการดูแลจิตใจให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส.

คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยน้อย จิตใจจะมีความบริสุทธิ์ผ่องใสเป็นช่วง ๆ.

คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยมาก จิตใจจะมีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

บุคคลที่มีอารมณ์ดีอันสืบเนื่องมาจากจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส ย่อมได้ชื่อว่า เป็นบุคคลที่มีคุณธรรม จึงมีอารมณ์ประเสริฐ และเป็นบุคคลประเสริฐด้วย.

 

จุดเด่นของความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย

จุดเด่นของความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย คือ การทำให้จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ทุกข์ มีความเจริญ ผาสุก และมั่นคงที่สืบเนื่องมาจากการมีคุณธรรม จึงเป็นวิชาจิตวิทยาและจิตเวชของคนไทยที่บริสุทธิ์ งดงาม มีเนื้อหาไม่มาก เป็นเรื่องเปิดเผย ชัดเจน ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ  ง่ายต่อการศึกษา คนทั่วไปสามารถทำความเข้าใจและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยง่าย ให้ผลทันทีที่ลงมือปฏิบัติ อีกทั้งยังเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่คนไทยคุ้นเคยมาชั่วชีวิตหรือเป็นต้นทุนทางคุณธรรมที่คนไทยมีอยู่แล้ว.

ปัจจัยของความสำเร็จในเรื่องนี้ คือ ต้องมีความเพียรในการฝึกฝนตนเองชั่วชีวิต เพราะในเรื่องของจิตใจนั้น จิตใจมีความอ่อนไหวต่อการกระตุ้นให้เกิดการคิดไม่ดีและอาารมณ์ไม่ดีได้โดยง่าย และถ้าพลาดพลั้งจนถึงขั้นพูดไม่ดีและหรือทำไม่ดีอย่างรุนแรง ก็อาจก่อให้ เกิดปัญหาต่าง ๆ หรือทำความเสียหายอย่างรุนแรงขึ้นมาได้อีกด้วย.

 

ความหมายของอกุศลและกุศล

            หลักการสำคัญในเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยที่ปลูกฝังอยู่ในจิตใจของคนไทยมาโดยตลอด คือ “ให้ละการทำความชั่ว(ละอกุศล) มุ่งทำแต่ความดี(ทำแต่กุศล) และทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส” ซึ่งเป็นข้อความสั้น ๆ  เพียง ๑ ประโยค หรือ ๓ วรรคเท่านั้นเอง.

ข้อความดังกล่าวได้ปลูกฝังอยู่ในจิตใจของคนไทยมาโดยตลอด และใช้เป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน จึงเป็นผลให้คนไทยส่วนใหญ่เป็นคนมีคุณธรรมหรือมีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย คือ เป็นคนดี(เมตตา) มีความเอื้ออาทร(กรุณา) และมีอารมณ์ดี(จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส).

            ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความละเอียดอ่อนและไพเราะมาก.  คนไทยชอบใช้ภาษาที่ไพเราะกับเรื่องที่ดีงาม เช่น เรื่องที่ “ดี” มักใช้คำว่า “กุศล”  และเรื่องที่ “ไม่ดี” มักใช้คำว่า “อกุศล”  ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางภาษา.  ผู้เขียนจึงเอาคำ “กุศล” และ “อกุศล” มาใช้แทนคำว่า “ดี” และ “ชั่ว” ตามลำดับ.  ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า ดีและชั่ว เพราะคนส่วนใหญ่ไม่อยากให้ใครมาบอกตนว่า เป็นคนคิดชั่ว.  คำว่า ดีและชั่ว จึงใช้สำหรับเน้นให้เห็นปัญหาเท่านั้น.

ดังนั้น จึงควรทำความรู้จักกับคำว่า <“กุศลและอกุศล” เพราะเป็นคำที่จะถูกนำมาใช้อยู่เสมอ ๆ.

            กุศล คือ การไม่คิด หรือการไม่กระทำทางกาย วาจา ใจ ที่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น คงมุ่งแต่คิดดีเพื่อให้เกิดการกระทำทางกาย วาจา ใจที่ดี เป็นประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่นด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส จึงเป็นผลให้มีความสุขสงบ และไม่ทุกข์.

          อกุศล คือ การคิดไม่ดี หรือการกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น จิตใจจึงไม่บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่สงบ และเป็นทุกข์.

หลักปฏิบัติในด้านคุณธรรมตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา และในการพระราชทานพรวันขึ้นใหม่เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖  คือ ทรงให้ “คิดดี ทำดี”  ซึ่งน่าจะหมายความว่า ทรงให้ใช้ความรู้คู่คุณธรรมอย่างรอบคอบและถูกต้อง ซึ่งเป็นการคิดและการกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่เป็นกุศลนั่นเอง จึงทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส.

นายแพทย์เทอดศักดิ์ เดชคง เขียนหนังสือเรื่องความฉลาดทางอารมณ์จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติว่า ความฉลาดทางอารมณ์เป็นคำศัพท์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ ๒๕๓๓.  ผู้เขียนได้ศึกษาเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาจากสหรัฐอเมริกาพบว่า เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความรู้และความสามารถในการบริหารจิตใจให้มีอารมณ์ดี โดยไม่ได้เน้นเรื่องของคุณธรรมโดยตรง.

สำหรับเรื่องความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยนั้น เป็นเรื่องของการบริหารจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส โดยการมีคุณธรรมเป็นพื้นฐานทางจิตใจอย่างเต็มรูปแบบ จึงเป็นผลให้มีอารมณ์บริสุทธิ์ผ่องใสและงดงาม.

ดังนั้น เรื่องคิดดีทำดีตามพระราชดำรัสของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(พ.ศ. ๒๕๔๖) เรื่องการพัฒนานักเรียนให้มีความรู้คู่คุณธรรมของรัฐบาลไทย(พ.ศ. ๒๕๔๘)  และเรื่องความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด คือ เป็นวิชาการเรื่องการบริหารความคิดเพื่อให้เป็นบุคคลที่มีคุณธรรม.

 

อารมณ์ในแนวภูมิปัญญาไทยมี ๒ แบบ

อารมณ์ในแนวภูมิปัญญาไทยมีอารมณ์ ๒ แบบบ คือ อารมณ์ดี(กุศล) และอารมณ์ไม่ดี(อกุศล). 

อารมณ์ดีเป็นอารมณ์ที่ต้องรักษาไว้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และอารมณ์ไม่ดีเป็นอารมณ์ที่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น และถ้าเกิดขึ้นเมื่อใด ก็ต้องรีบกำจัดให้หมดไปในวินาทีนั้น.

แบบที่ ๑.  อารมณ์ดีหรืออารมณ์กุศล คือ อารมณ์ที่เกิด ขึ้นจากความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส และมีความสุขสงบทางจิตใจ.

ความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่นนั้น เป็นความคิดที่เป็นกุศล จึงควรพยายามอนุรักษ์และเพิ่มพูนความคิดดังกล่าวให้เกิดขึ้นในจิตใจอยู่เสมอ ๆ.

ผู้มีอารมณ์ที่เป็นกุศลย่อมมีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส ถ้าทำเป็นประจำจะเป็นคนที่มีนิสัยดี และถ้าทำได้อย่างต่อเนื่อง จิตใจย่อมบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย.

แบบที่ ๒.  อารมณ์ไม่ดีหรืออารมณ์อกุศล คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความคิดที่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นผลให้จิตใจไม่บริสุทธิ์ผ่องใส(จิตสกปรกและขุ่นมัว) และเป็นทุกข์.

ผู้ใดคิดอกุศลเป็นประจำ จะกลายเป็นคนที่มีนิสัยไม่ดี ไม่มีคุณธรรม อารมณ์ไม่ดี มักสร้างปัญหาต่าง ๆ ให้กับตนเองและหรือผู้อื่น รวมทั้งประเทศชาติได้โดยง่าย.

ความคิดที่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นนั้น เป็นความคิดที่เป็นอกุศล จึงควรป้องกันไม่ให้มีการคิดอกุศลอย่างจริงจัง และกำจัดความคิดดังกล่าวให้หมดไปในทันทีที่มีสติรู้ตัวว่า กำลังคิดอกุศลอยู่ โดยไม่เปิดโอกาสให้คิดอกุศลต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว.

 

***********

 

 

ก่อนอ่านบทนี้ กรุณาฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๑ เสียก่อน

 

บทที่ ๓

การตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริง

 

ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยเป็นเรื่องของจิตใจ(เป็นนามธรรม).  ดังนั้น การจะรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจได้นั้น ต้องรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น.

การจะศึกษาเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้องและตรงตามความเป็นจริงนั้น ต้องศึกษาเรื่องจิตใจของตนเองและฝึกบริหารจิตใจของตนเอง จึงจะประสบความสำเร็จ.

การศึกษาเรื่องของจิตใจโดยการหลงเชื่อผู้อื่นที่ไม่มีความรู้และความสามารถอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงนั้น อาจทำให้เข้าใจผิดพลาดไปจากข้อเท็จจริง หรือหลงทางได้โดยง่าย.

การหลงทางจะทำให้เสียทั้งเวลา ทรัพย์สิน โอกาส และอาจหลงทางชั่วชีวิต.  บางครั้งอาจเกิดความผิดพลาดในการดำเนินชีวิตอย่างรุนแรงก็ได้.

ดังนั้น จึงควรศึกษาด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน แล้วจึงพิสูจน์ข้อเท็จจริงโดยการทดลองฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง.

ครั้นพบว่า เป็นประโยชน์จริงและมีคุณค่าต่อชีวิต จึงค่อยมีศรัทธาในการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อที่จะทำให้เกิดความรู้และความสามารถในการบริหารจิตใจ จนมีความฉลาดทางอารมณ์อย่างต่อเนื่อง.

 

เรื่องของจิตใจต้องรู้ได้ด้วยตนเอง

อารมณ์และความคิดเป็นเรื่องของจิตใจซึ่งเป็นนามธรรม จึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยใจของตนเองเท่านั้น ผู้อื่นจะมารู้เรื่องจิตใจ(อารมณ์และความคิด)ที่แท้จริงของเราไม่ได้ และเราจะไปรู้เรื่องจิตใจของผู้อื่นก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะธรรมชาติเป็นเช่นนั้นเอง เช่น ขณะที่เรากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ก็ตาม จะไม่มีใครรู้ว่า เรากำลังคิดอะไรอยู่, ขณะที่คนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่ เราก็ไม่สามารถไปรู้ในรายละเอียดว่า คนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน เป็นต้น.

ธรรมชาติของจิตใจหรือการทำงานของสมองนั้น เมื่อใดที่จิตใจคิดไม่ดี เป็นผลให้อารมณ์ไม่ดีไปด้วย จนถึงขั้นแสดงออกมาทางคำพูดและการกระทำต่าง ๆ.  เมื่อนั้นแหละ จึงอาจจะรู้คร่าว ๆ ว่า ผู้นั้นกำลังมีอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ไม่สามารถรู้ในรายละเอียดว่า ผู้นั้นกำลังคิดเรื่องอะไร และคิดอย่างไร.

มีข้อยกเว้นในบางเรื่อง กล่าวคือ บางคนอาจแกล้งทำเป็นอารมณ์ไม่ดีทั้ง ๆ ที่ภายในจิตใจกำลังมีความเมตตาอยู่ เช่น การสอนคนที่ดื้อรั้นมาก จึงต้องแสดงความจริงจังในการสอน,  การพูดเสียงดังคล้ายดุ เพื่อเพิ่มน้ำหนักของคำพูดด้วยความหวังดี เป็นต้น แต่ก็ไม่ควรทำเป็นประจำ เพราะจะกลายเป็นคนมีนิสัยไม่ดี.

คนไม่ดี มักคิดไม่ดีและทำไม่ดีโดยไม่มีใครรู้ เช่น นักต้มตุ๋นมักจะแสดงออกมาภายนอกด้วยคำพูดและการกระทำต่าง ๆ ว่า เป็นคนดีมีคุณธรรม แต่ภายในจิตใจกำลังมีอารมณ์ชั่วร้าย เพราะกำลังคิดหลอกลวงด้วยการแกล้งพูดและแสดงออกทางกายว่า เป็นคนดี.

ดังนั้น การจะรู้เรื่องของจิตใจได้โดยง่ายและถูกต้องตามความเป็นจริงนั้น จำเป็นจะต้องศึกษาเรื่องต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในจิตใจของตนเอง.

เมื่อมีความรู้เรื่องของจิตใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ก็จะสามารถบริหารจิตใจของตนเองให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสและมีความสงบหรือมีความฉลาดทางอารมณ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

 

ผลเสียจากการหลงเชื่อผู้อื่น

การหลงเชื่อผู้อื่นโดยไม่ใช้สติปัญญาตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเองอย่างรอบคอบและถูกต้องตามหลักวิชาการ(ความรู้)และหลักคุณธรรม ก็อาจจะถูกชี้แนะ หลอกลวง หรือถูกชักชวนให้คิดและทำสิ่งที่ไม่ดีได้โดยง่าย รวมทั้งสร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและหรือผู้อื่นได้อีกด้วย  เช่น การยกพวกตีกันของนักเรียนอาชีวะบางกลุ่มเพราะเชื่อรุ่นพี่ที่คิดไม่ดีต่อกัน  การเที่ยวกลางคืน  มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยและเวลาอันควร  การค้าประเวณี  เล่นการพนัน  เสพสารเสพติด  ทำผิดกฎหมาย เป็นต้น.

การหลงเชื่อผู้อื่นอย่างงมงายในเรื่องของลัทธิ ชาตินิยม และศาสนาอย่างไม่ถูกต้อง ก็อาจก่อให้เกิดการคิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นได้อย่างกว้างขวาง เช่น การฆ่าตัวตายหมู่ การทำร้ายผู้อื่น การทำร้ายคนต่างศาสนา การก่อการร้าย การทำสงครามในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น.

ท่านผู้อ่านจึงไม่ควรหลงเชื่อผู้เขียนเป็นอันขาด เพราะการหลงเชื่อย่อมไม่ทำให้เกิดสติปัญญาด้วยตนเอง ซึ่งไม่ใช่หลักการที่ถูกต้อง.

ถ้าผู้เขียนนำเสนอเรื่องที่ไม่ถูกต้องและผู้อ่านหลงเชื่อ ก็จะทำให้การฝึกบริหารจิตใจไม่ถูกต้อง จึงไม่เกิดประโยชน์ และอาจเป็นผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงก็ได้.

 

โปรดตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเอง

ขณะอ่านหนังสือเล่มนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเทียบเคียงกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นประสบการณ์ตรงของชีวิต และ ณ ปัจจุบันขณะ.

ท่านสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ณ ปัจจุบันขณะ โดยทดลองฝึกปฏิบัติตนตามคำแนะนำในหนังสือเล่มนี้ พร้อมทั้งพิสูจน์ด้วยตนเองว่า ขณะกำลังทดลองฝึกปฏิบัติตนอยู่นั้น อารมณ์ของท่านดีขึ้นจริงหรือไม่ ?  ถ้าการฝึกช่วยทำให้ท่านเป็นคนมีอารมณ์ดี มีคุณธรรม และมีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสมากขึ้น ก็น่าจะเป็นความจริงที่ควรเชื่อถือ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป.

เพื่อความไม่ประมาท เราจึงควรศึกษาเรื่องของจิตใจของตนเองโดยไม่ใช้ความหลงเชื่อแม้แต่นิดเดียว.  ครั้นศึกษาจิตใจของตนเองจนพบความจริงแล้ว ท่านก็คงจะพบด้วยตนเองว่า เรื่องจิตใจของคนอื่นก็เหมือนกับของตนเอง เพราะธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ทั่วไปเป็นเช่นนั้นเอง.

เพื่อให้ท่านผู้อ่านเกิดสติปัญญาในเรื่องความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยด้วยตนเอง จึงขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดใช้สติปัญญาของท่านตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเองโดยไม่มีข้อยกเว้น.

 

วิธีตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเอง

 วิธีตรวจสอบ คือ ขณะที่อ่านหนังสือเล่มนี้ กรุณาตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเทียบเคียงกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของท่านเอง เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงของเหตุและผล เช่น ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตว่า เพราะเหตุที่ท่านกำลังคิดดี จึงเป็นผลให้อารมณ์ของท่านในขณะนั้นดีไปด้วย,  เพราะเหตุที่ท่านกำลังคิดไม่ดี จึงเป็นผลให้อารมณ์ของท่านในขณะนั้นไม่ดีไปด้วย,  เพราะเหตุที่ท่านกำลังคิดด้วยความโกรธ จึงเป็นผลให้มีอารมณ์โกรธในขณะนั้นไปด้วย เป็นต้น.

ท่านจึงควรทำความเข้าใจในเนื้อหาเสียก่อน แล้วเทียบเคียงกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ท่านเคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้วว่า เหมือนกันหรือไม่ ?  ถ้าเหมือนกัน ก็น่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่พึงนำไปทดลองฝึกปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันต่อไป และถ้าไม่เหมือนกันก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงของชีวิต.

การบรรยายของผู้เขียนทุกครั้ง ผู้เขียนก็มักจะตั้งคำถามให้ผู้ฟังทุกคนตอบพร้อม ๆ กัน เพื่อให้ผู้ฟังทุกคนตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยตนเอง และถ้าผู้ฟังตอบเหมือนกันหมด ก็เป็นเครื่องแสดงว่า คำตอบนั้นถูกต้องตามความเป็นจริงของชีวิต.  

มีหลายครั้งที่ผู้ฟังการบรรยายตอบไม่เหมือนกัน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ผู้บรรยายตั้งคำถามที่ไม่ชัดเจนหรือไม่รัดกุมพอ.

วิธีพิสูจน์ คือ การนำเอาความรู้ที่เกิดขึ้นไปทดลองฝึกปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน.  ถ้าพบว่า ทำให้ท่านมีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น หรือรู้เท่าทันอารมณ์และควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น หรือมีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสมากขึ้น ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เป็นความจริงที่ท่านควรจะศึกษาและนำไปฝึกปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่ความรู้นี้ให้กับผู้อื่นต่อไป.

การพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น ท่านสามารถตรวจสอบได้ตลอดชีวิต และยังสามารถค้นหาวิธีการที่ง่ายและตรงประเด็นจากประสบการณ์ตรงของท่านเอง พร้อมทั้งช่วยกันพัฒนาเรื่องนี้ให้สั้น เปิดเผย ชัดเจน ไม่มีเงื่อนงำใด ๆ  ง่ายที่จะเข้าใจ และมีความมั่นใจที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งช่วยกันเผยแพร่เรื่องนี้ต่อไป.

การตรวจสอบและพิสูจน์ดังกล่าวแล้ว จะช่วยทำให้ท่านเกิดสติปัญญาทางคุณธรรมในการดูแลจิตใจของตนเองให้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จดจำได้นาน เกิดความศรัทธาด้วยสติปัญญา มีความมั่นใจที่จะศึกษาและฝึกปฏิบัติตนอย่างจริงจัง รวมทั้งทำให้เกิดความคุ้นเคยกับการใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเรื่องของการพึ่งสติปัญญาของตนเอง.

ผู้เขียนไม่ขอรับรองแม้แต่นิดเดียวว่า เรื่องที่ผู้เขียนนำเสนอในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง.  ท่านผู้อ่านจะต้องตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงเสียก่อน จึงจะตอบได้ด้วยตนเองว่า ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง.

          ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดพยายามมีสติอ่านทีละหัวข้อ และตอบคำถามหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งฝึกบริหารความคิดเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ด้วยตนเองโดยไม่ข้ามขั้นตอน และไม่ต้องหลงเชื่อผู้เขียนเลย.

 

 

**********

 

 

 

 

ก่อนอ่านบทนี้ กรุณาฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๑ เสียก่อน

 

บทที่ ๔

องค์ประกอบของจิตใจ

 

            ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจิตใจของมนุษย์โดยตรง.

การจะดูแลจิตใจของตนเองให้มีความฉลาดทางอารมณ์ได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของจิตใจรวมทั้งวิธีฝึกบริหารจิตใจอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามความเป็นจริง พร้อมทั้งพยายามฝึกมีสติในการบริหารจิตใจของตนเอง จนสามารถทำจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน.

ถ้ามีความรู้และความสามารถในการบริหารจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสได้อย่างต่อเนื่อง ก็แสดงว่ามีความฉลาดทางอารมณ์มาก.

หัวข้อที่จำเป็นจะต้องศึกษาและฝึกบริหารจิตใจมี ๖ ขั้นตอนหลัก ดังนี้:-

๑.  องค์ประกอบของจิตใจ.

๒.  ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.

๓.  สาเหตุของปัญหาต่าง ๆ.

๔.  ประโยชน์ของการมีความฉลาดทางอารมณ์.

๕.  วิธีฝึกบริหารความคิดเพื่อให้มีความฉลาดทางอารมณ์.

๖.  การประเมินผล.      

องค์ประกอบต่าง ๆ ของจิตใจเป็นเรื่องแรกที่ควรศึกษาหาความรู้ โดยการศึกษาที่จิตใจของตนเอง รวมทั้งศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบและเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งฝึกบริหารจิตในชีวิตประจำวันไปด้วย.

            คำว่า จิต ใจ หรือจิตใจนั้น เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน  ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอใช้คำต่าง ๆ ดังกล่าวแทนกันและกันตามความเหมาะสมของแต่ละประโยค.

       เรื่ององค์ประกอบต่าง ๆ ของจิตใจนั้น เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจและจดจำไว้ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการศึกษาและฝึกบริหารจิตด้วยตนเองได้โดยง่าย.

ในการศึกษาเรื่องของจิตใจนั้น ท่านผู้อ่านควรค้นหาข้อเท็จจริงที่จิตใจของตนเอง เพื่อให้เกิดปัญญาแจ้งชัดตามความเป็นจริง.

ชีวิตของเราประกอบด้วยร่างกายกับจิตใจ.

เรื่องของอารมณ์เป็นเรื่องของจิตใจ.

ความหมายของคำว่า “จิต” ตามพจนานุกรมฉบับราช บัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒  คือ ใจ, สิ่งที่มีหน้าที่รู้ คิด และนึก.

คนไทยรู้จักองค์ประกอบของจิตเป็นอย่างดีว่า จิตหรือจิตใจประกอบด้วย: ความรู้สึก นึกคิด และจำ.

ผู้เขียนขอเพิ่มองค์ประกอบของจิตอีก ๑ องค์ประกอบ เพื่อให้ครอบคลุมองค์ประกอบของจิตใจ คือ การรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ(บางท่านอาจใช้คำว่า ตัวรู้).

 

 

 

 

 


            แต่ละองค์ประกอบของจิตใจมีรายละเอียดและมีความสัมพันธ์กันอย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่ท่านควรรู้และเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง พร้อมทั้งจับประเด็นให้ได้ว่า องค์ประกอบไหนเป็นหัวหน้าใหญ่ของจิตใจ เพื่อที่จะสามารถบริหารจิตใจของท่านเองให้มีความฉลาดทางอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการบริหารที่หัวหน้าใหญ่โดยตรง.

จิตใจประกอบด้วยความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ.

 

จิตและอารมณ์เกิดจากการทำงานของสมอง

องค์ประกอบต่าง ๆ ของจิตใจเกิดขึ้นจากการทำงานของสมอง หรือเป็นเรื่องสรีรวิทยาของสมองนั่นเอง.

ขณะนอนหลับสนิทแบบไม่มีการฝันเลย การทำงานของสมองตามองค์ประกอบต่าง ๆ ก็จะหยุดพักเป็นการชั่วคราว เพื่อการพักและการซ่อมบำรุงสมอง.

            ทันทีที่ตื่นนอน การทำงานของสมองในเรื่องความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดภายในจิตใจก็จะเกิดขึ้นทันที.

ในขณะที่สมองชอกช้ำ เจ็บป่วย พิการ เสียหน้าที่ การทำงานของสมองก็จะเสียไปตามสัดส่วนด้วย เช่น ผู้ป่วยที่เส้นเลือดในสมองตีบตันจนสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ความรู้สึกเสียไป การรับรู้ความรู้สึกก็จะเสียไปตามสัดส่วนด้วย,  ถ้าสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับความจำเสียไป ความจำก็จะเสียไปตามสัดส่วนด้วย เป็นต้น.

ท่านสามารถตรวจสอบการทำงานของสมองจากประสบการณ์ตรงของท่านเองว่า :-

จิตใจเป็นหัวหน้าใหญ่ของคำพูดและการกระทำต่าง ๆ.

เมื่อจิตใจคิดอย่างไร คำพูดและการกระทำต่าง ๆ ก็จะเป็นไปตามที่คิดในขณะนั้น ๆ.

อารมณ์เป็นภาวะของจิตใจในขณะนึกคิดเรื่องต่าง ๆ.

ขณะที่จิตใจนึกคิดในเรื่องที่ดี จิตใจย่อมดีและอารมณ์ก็ย่อมดีไปด้วย.

ขณะที่จิตใจนึกคิดเรื่องที่ไม่ดี จิตใจย่อมไม่ดี และอารมณ์ก็ย่อมไม่ดีไปด้วย.

ธรรมชาติของจิตใจนั้น ถ้าเราสามารถควบคุม(บริหาร)การนึกคิดได้ ก็จะสามารถควบคุมจิตใจและอารมณ์ได้.

การจะบริหารจิตใจของตนเองให้นึกคิดในเรื่องที่ดี เว้นจากการนึกคิดในเรื่องที่ชั่ว เพื่อทำให้มีอารมณ์ดีได้นั้น ต้องพึ่งความรู้และความสามารถในการบริหารจิตใจของตนเอง เพราะเป็นเรื่องของจิตใจที่รู้ได้และควบคุมได้ด้วยตนเองเท่านั้น ผู้อื่นจะมาทำแทนไม่ได้เลย.

ขอให้กำลังใจอีกครั้งว่า ความรู้เรื่ององค์ประกอบต่าง ๆ ของจิตใจนั้น เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่คนส่วนใหญ่รู้อยู่แก่ใจของตนเองอยู่แล้ว ขอเพียงให้ท่านผู้อ่านได้โปรดตั้งใจช่วยกันคิด ไตร่ตรองอย่างละเอียดและรอบคอบ.

 

**********

 

 

วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๒

            วิธีฝึกหยุดความคิดในครั้งแรกนี้ เป็นวิธีการที่คนทั่วไปสามารถเริ่มต้นฝึกได้โดยง่าย.  ท่านควรฝึกในท่านั่งบนเก้าอี้หรือนอนก็ได้ตามความเหมาะสม.

            เริ่มต้นด้วยการตั้งเจตนาว่า “ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติควบคุมจิตใจของเราให้อยู่กับความว่างหรือไม่คิดเรื่องอื่นใดเลย โดยการกำหนดความว่างไว้ที่เบื้องหน้าก็ได้”.  การตั้งเจตนาเช่นนี้ จะทำให้สมองคอยควบคุมความคิดไม่ให้คิดปรุงแต่ง เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

            ขณะฝึกอยู่นั้น จะมีความคิดแวบขึ้นมาเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้างก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นการทำงานของสมองที่ปรกติ.  เมื่อมีความคิดแวบขึ้นมาและเป็นเรื่องที่ไม่รีบด่วน ก็พยายามอย่าคิดเสริมต่อ เพราะถ้าเผลอสติไปคิดเสริมต่อก็จะเป็นการคิดฟุ้งซ่าน.

            ให้พยายามมีสติหยุดความคิดประมาณ ๑ – ๒ นาที แล้วประเมินตนเองว่า ท่านสามารถหยุดความคิดได้บ้างหรือไม่.  ถ้าหยุดได้บ้าง ก็แสดงว่า ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่สามารถหยุดความคิดของตนเองได้.  ท่านจะสังเกตได้ว่า ทุกวินาทีที่ความคิดหยุด จิตใจของท่านก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส อารมณ์ดี สงบ ไม่กังวล ไม่เครียด และไม่ทุกข์จากความคิดเลย.

          ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดเริ่มต้นฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจัง เพื่อจะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเอง.

 

 

บทที่ ๕

ขั้นตอนที่ ๑. องค์ประกอบของจิตใจ

ตอน ๑ : ความรู้สึก

 

จิตใจประกอบด้วยความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ.

องค์ประกอบแรกของจิตใจ คือ ความรู้สึก.

เนื่องจากเป็นเรื่องของจิตใจ ดังนั้น ความรู้สึกที่จะกล่าวถึง คือ ความรู้สึกทางจิตใจเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องความรู้สึกทางกาย.

การจะรู้อารมณ์ของตนเองว่าดีหรือไม่ดีได้นั้น เราสามารถรู้ได้จากหลายช่องทางด้วยกัน เช่น รู้ได้จากความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ ขณะที่อารมณ์ดีจะมีความรู้สึกสงบ ขณะที่อารมณ์ไม่ดีจะมีความรู้สึกเป็นทุกข์ เป็นต้น.

เพื่อที่จะควบคุมอารมณ์ได้ดี จึงจำเป็นต้องพยายามมีสติรู้ตัวเองอยู่เสมอว่า กำลังมีความรู้สึกอย่างไร ?  ความรู้สึกแบบไหนที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น ?  ความรู้สึกแบบไหนที่ควรกำจัดให้หมดไป ?  ความรู้สึกแบบไหนไม่ต้องกำจัด ?  และความรู้สึกแบบไหนที่ควรอนุรักษ์ไว้ ?.

ความรู้สึกเป็นสุขหรือทุกข์ทางจิตใจที่จะกล่าวถึงนั้น เป็นเรื่องของความรู้สึกทางจิตใจเท่านั้น เพื่อให้บทความกระชับ จึงตัดคำว่า ทางจิตใจออก เช่น “ความรู้สึกเป็นสุขทางจิตใจ” จะใช้ข้อความว่า “ความรู้สึกเป็นสุขหรือความสุข” และ “ความรู้สึกเป็นทุกข์ในจิตใจ” จะใช้ข้อความว่า “ความรู้สึกเป็นทุกข์หรือความทุกข์”แทน.

 

ความรู้สึกทางจิตใจ

ความหมายของคำว่า รู้สึก ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒  คือ รู้ตัว, รู้ด้วยการสัมผัส, รู้สำนึก, รู้ว่าเป็นสุขหรือทุกข์ เป็นต้น.  เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของความรู้สึกทางจิตใจ ดังนั้น ความรู้สึกที่จะกล่าวถึงจึงเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นสุขและทุกข์.

            ความรู้สึกทางจิตใจในเรื่องความฉลาดทางอารมณ์นั้น มีเพียง ๓ แบบง่าย ๆ  คือ

      แบบที่ ๑.  ความทุกข์

                  ๑.๑ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นตามปรกติ

                  ๑.๒ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล

      แบบที่ ๒.  ความสุข

                  ๒.๑ ความสุขที่เกิดขึ้นตามปรกติ

                  ๒.๒ ความสุขที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล

      แบบที่ ๓.  ความสงบ

                  ๓.๑ ความสงบที่เกิดขึ้นตามปรกติ

                  ๓.๒ ความสงบที่เกิดขึ้นจากการคิดแต่กุศล

      การที่ต้องแบ่งความรู้สึกเป็นข้อย่อย ๆ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักความรู้สึกอย่างครบถ้วน และสามารถรู้ชัดได้ด้วยตนเองว่า ความรู้สึกแบบไหนเป็นแบบที่ควรป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แบบไหนควรกำจัดให้หมดในทันทีที่เกิดขึ้น แบบไหนควรอนุรักษ์ไว้ และความรู้สึกแบบไหนที่ควรฝึกฝนตนเองให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ.

 

แบบที่ ๑.  ความทุกข์

            ความทุกข์ทางจิตใจ คือความไม่สบายใจ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ แบบย่อย ๆ ดังนี้ :-

          ๑.๑ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นตามปรกติ

เมื่อใดที่มีความทุกข์ทางร่างกายเกิดขึ้น ความทุกข์ทางจิตใจย่อมเกิดขึ้นด้วย เพราะธรรมชาติของจิตใจเป็นเช่นนั้นเอง เช่น ขณะที่เป็นไข้ ปวดศรีษะ ปวดท้อง ท้องเสีย วิงเวียน เป็นต้น จิตใจก็จะเป็นทุกข์ไปด้วย.  ความทุกข์ทางจิตใจเช่นนี้ ย่อมบีบคั้นจิตใจให้หาทางกำจัดสาเหตุของความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับร่างกายให้หมดไป ซึ่งเกิดจากการทำงานของสมอง เพราะสมองเป็นศูนย์กลางของการคิดและการสั่งการ เพื่อการอยู่รอดปลอดภัยของชีวิต.

การเป็นห่วงทรัพย์สมบัติย่อมทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ จึงบีบคั้นให้ต้องคอยดูแลทรัพย์สมบัติไม่ให้สูญหายหรือถูกทำลาย เพื่อรักษาทรัพย์สมบัติไว้ใช้ในอนาคต.

            การมีปัญหาในเรื่องใดก็ตาม ความบีบคั้นหรือความทุกข์ย่อมเกิดขึ้น และความทุกข์ที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวเร่งรัดหรือบีบคั้นให้เกิดการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตโดยตรง.

ความทุกข์ทางจิตใจที่ไม่รุนแรงจนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นนั้น เป็นเรื่องปรกติของคนทั่วไปที่พึงมีพึงเป็นด้วยกันทั้งนั้น และเป็นเรื่องที่ดี.  ทั้งนี้ ก็เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน.

คนที่มีความทุกข์ทางกายแล้วไม่ทุกข์ใจเลยนั้น เป็นคนที่ผิดปรกติ เช่น คนที่กำลังเจ็บป่วยทางสมอง โรคจิต กำลังสลบอยู่ สมองตาย เป็นต้น.

ความอยากเกิดขึ้นจากความคิด คนที่คิดอยากจึงเกิดความอยากขึ้น.

เมื่อมีความอยากเกิดขึ้น ความไม่อยากก็ย่อมเกิดขึ้นด้วย เพราะธรรมชาติของความคิดเป็นเช่นนั้นเอง เช่น อยากเรียนดี ก็ไม่อยากสอบตก  อยากให้ลูกเป็นคนดี ก็ไม่อยากให้ลูกเป็นคนแล้งน้ำใจ  อยากให้ทีมงานขยัน ก็ไม่อยากให้ทีมงานขี้เกียจ อยากให้งานเสร็จ ก็ไม่อยากให้งานค้างคา เป็นต้น.

คนที่คิดอยากหรือไม่อยากในเรื่องอะไรก็ตาม ความบีบคั้นทางจิตใจที่จะให้ได้มาหรือเป็นไปตามความคิดดังกล่าวย่อมเกิดขึ้น หรือความทุกข์ทางจิตใจย่อมเกิดขึ้นในทันทีที่คิด.

ความอยากที่พอเหมาะพอควร คือ ไม่ถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี คนปรกติทุกคนควรเป็นเช่นนั้น.

เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส หรือได้สัมผัสอะไรก็ตาม แล้วเกิดคิดชอบหรือไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจ ถูกใจหรือไม่ถูกใจขึ้นมา แล้วไม่ก่อให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ก็ถือว่าเป็นเรื่องปรกติที่คนทั่วไปพึงมีพึงเป็น.

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นตามปรกตินั้น มีสาเหตุจากความอยากหรือไม่อยาก ชอบหรือไม่ชอบที่พอเหมาะพอควร หรือไม่ถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น จัดว่าเป็นเรื่องที่ดี คนทั่วไปพึงมีและพึงเป็น เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน จึงเป็นเรื่องที่ควรอนุรักษ์เอาไว้.

 

     ๑.๒ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล

            คนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์มักจะควบคุมความคิดของตนเองไม่ได้ จึงคิดด้วยความอยากมาก หรือไม่อยากมาก ชอบมากหรือไม่ชอบมาก จนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น  ความคิดเช่นนี้เป็นความคิดที่เป็นอกุศล.

            ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศลนั้น มีสาเหตุมาจากการคิดอยากมากหรือไม่อยากมาก ชอบมากหรือไม่ชอบมากจนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.  ครั้นไม่ได้มาหรือไม่เป็นไปตามความคิดดังกล่าว ก็เกิดความขัดเคืองใจ โกรธ คับแค้นใจ พยาบาท และความทุกข์จากการคิดอกุศลก็จะมากขึ้นอีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่ควรป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น และถ้าเกิดขึ้นเมื่อใดก็ให้กำจัดทันที อย่ารอแม้แต่วินาทีเดียว. 

 

แบบที่ ๒. ความสุข

          ความสุขทางจิตใจ คือ ความสบายใจ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ แบบย่อย ๆ ดังนี้ :-

     ๒.๑ ความสุขที่เป็นเรื่องปรกติ

ความสุขที่เกิดขึ้นจากการได้มาหรือเป็นไปตามที่ตนคิดนั้น เป็นความสุขที่เกิดขึ้นชั่วคราว เช่น คนที่หิวอาหารมากย่อมรู้สึกเป็นทุกข์ ครั้นได้รับประทานอาหารอิ่ม จึงทำให้รู้สึกเป็นสุข เพราะความทุกข์ได้ลดลงหรือหมดไปนั่นเอง,  เมื่อคิดอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความบีบคั้นทางจิตใจที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นทันที ครั้นได้มาตามความอยากแล้ว ความบีบคั้นทางจิตใจก็จะหมดไปหรือความทุกข์ก็จะหมดไปด้วย จึงทำให้รู้สึกเป็นสุข,  เมื่ออยู่ในสถานที่มีควันบุหรี่เหม็นมาก จึงเกิดความบีบคั้นทางจิตใจที่จะหลบหลีกจากควันบุหรี่ ครั้นออกมาจากสถานที่นั้นและได้หายใจอากาศที่บริสุทธิ์ จึงรู้สึกเป็นสุข เป็นต้น.

ความอยากหรือไม่อยาก ชอบหรือไม่ชอบ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ที่พอเหมาะพอควร คือ ไม่ถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ก็ถือว่า เป็นเรื่องปรกติที่คนทั่วไปพึงมีพึงเป็นด้วยกันทั้งนั้น.  ความสุขที่เกิดขึ้นจากการได้มาหรือเป็นไปตามความคิดดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดี  และควรอนุรักษ์ไว้ด้วย.

     ๒.๒ ความสุขที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล

การคิดอยากหรือไม่อยากมาก ชอบมากหรือไม่ชอบมาก ถูกใจมากหรือไม่ถูกใจมาก จนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นเป็นการคิดอกุศล จึงเป็นผลให้มีความทุกข์มากขึ้นตามสัดส่วนด้วย.  ครั้นได้มาหรือเป็นไปตามที่ตนคิด ก็จะมีความสุขจากการคิดอกุศล เช่น เด็กนักเรียนบางคนคิดฟุ้งซ่านมากทั้ง ๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ จึงบีบคั้นตนเองให้คุยกับเพื่อน เพื่อระบายความคิดของตนเองให้เพื่อนฟัง ครั้นได้คุยตามเรื่องที่ตนฟุ้งซ่าน จึงมีความสุข ทั้ง ๆ ที่การคิดฟุ้งซ่านและการคุยในห้องเรียนเป็นการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น,  วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งคิดอยากเที่ยวกลางคืนมาก จนมีความบีบคั้นทางจิตใจว่า ต้องหาเงินไปเที่ยวให้ได้ ครั้นปล้นมาได้ ก็มีความสุขที่ได้เงินไปเที่ยว,  โจรและคนที่คอร์รัปชั่นชาติบ้านเมือง เมื่อได้เงินมาตามที่ตนต้องการ ก็จะมีความสุข เป็นต้น.

      ความสุขที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการได้มาหรือเป็นไปตามความคิดที่เป็นอกุศล.  หาใช่ความสุขที่แท้จริงไม่ แต่เป็นความสุขชั่วคราวในขณะที่ความทุกข์กำลังลดลงหรือหมดไป.

ผู้ที่ยังมีความสุขเช่นนี้ ได้ชื่อว่า ยังไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ เพราะเป็นความสุขที่เกิดจากความทุกข์ที่ตนคิดปรุงแต่งขึ้นมาเอง หรือหาเรื่องทุกข์มาใส่ตนเอง แล้วก็ต้องคอยดับความทุกข์ที่ตนสร้างขึ้นมา. 

คนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ก็จะสร้างความทุกข์และสร้างปัญหาให้กับตนเองและหรือผู้อื่นอย่างไม่หยุดหย่อน เช่น อยากมากที่จะให้ลูกสอบได้คะแนนดีจึงมีความทุกข์มาก ครั้นลูกสอบได้คะแนนดี จึงมีความสุขมาก,  คิดอยากมีรถยนต์ป้ายแดง(รถใหม่)ซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเกิดความทุกข์มากขึ้นเรื่อย ๆ  ครั้นได้มาสมความปรารถนา ความทุกข์ก็ลดลง จึงมีความสุขมาก เป็นต้น.

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความคิดของตนเองปรุงแต่งขึ้นมา และความสุขที่เกิดขึ้นก็เพราะได้มาหรือเป็นไปตามที่ตนคิดปรุงแต่ง จึงทำให้ความทุกข์ลดลงหรือหมดไป.

คนส่วนใหญ่มักแสวงหาความสุขด้วยการสร้างความทุกข์ให้กับตนเองก่อน แล้วก็เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพื่อดับความทุกข์ที่ตนสร้างขึ้นมาเอง.  บางคนถึงกับเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นอย่างรุนแรง ก็เพื่อดับความทุกข์ที่ตนคิดปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้นเอง.

ความสุขที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศลนั้น ควรป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น และถ้าเกิดขึ้นแล้ว ควรรีบกำจัดให้หมดไปภายในวินาทีนั้น.

 

แบบที่ ๓. ความสงบ

            ความสงบ คือ ภาวะของจิตใจในขณะที่มีความเบาสบาย หรือไม่มีความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล(ตามแบบที่ ๑.๒) หรือไม่มีความสุขที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล(ตามแบบที่ ๒.๒).

ความสงบหรือเฉย ๆ มี ๒ แบบย่อย ดังนี้ :-

๓.๑  ความสงบที่เกิดขึ้นตามปรกติ เป็นความสงบทางจิตใจที่เกิดขึ้นจากการไม่คิดอกุศลเป็นการชั่วคราว โดยไม่ต้องใช้ความรู้และความสามารถทางคุณธรรม หรือไม่ต้องใช้ความฉลาดทางอารมณ์ เช่น ขณะที่จิตใจว่างจากการคิด ขณะที่จิตใจรู้สึกเฉย ๆ  ขณะหยุดคิด ขณะจิตไม่คิดอกุศล ขณะที่ทำงานหรือพักผ่อนโดยจิตไม่ได้คิดอกุศล เป็นต้น. 

ความสงบเช่นนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน มักเกิดขึ้นชั่วคราวหรือเป็นระยะเวลาสั้น ๆ และจะหมดไปในทันทีที่คิดอกุศล ที่เป็นเช่นนี้เพราะขาดความรู้และความสามารถในการบริหารจิตใจให้มีความสงบอย่างต่อเนื่อง.

เพื่อความไม่ประมาท ทุกคนควรพัฒนาจิตใจของตนเองให้มีคุณธรรม เพื่อที่จะสามารถเข้าถึงความสงบจากการมีคุณธรรมได้อย่างต่อเนื่อง.

๓.๒  ความสงบที่เกิดขึ้นจากการคิดแต่กุศล เป็นความสงบทางจิตใจที่เกิดจากการใช้ความรู้และความสามารถทางคุณธรรมในการบริหารจิตใจของตนเองให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส จึงเป็นผลให้เกิดความเบาสบาย และมีความรู้สึกสงบเกิดขึ้นในจิตใจ นั่นก็คือการมีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย.

ยิ่งมีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยมากเพียงใด จิตใจย่อมมีความบริสุทธิ์ผ่องใส และมีความสงบอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น.

ในขณะทำกิจใด ๆ อยู่ก็ตาม ควรใช้ความรรู้ในการทำกิจนั้น ๆ คู่กับคุณธรรม หรือใช้ความฉลาดทางอารมณ์ในการบริหารความคิดไปด้วย เพื่อให้สามารถทำงานด้วยความมีสติสัมปชัญญะ อย่างรอบคอบ ถูกต้อง และชอบธรรม เพื่อรักษาจิตใจของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นผลให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม และมีความสงบจากการคิดแต่กุศล ตรงกับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องคิดดีทำดี อย่างรอบคอบ และถูกต้องนั่นเอง.

การมีความเพียรในการฝึกฝนตนเองให้มีสติใช้ความรู้และความสามารถทางคุณธรรมตามแนวภูมิปัญญาไทยเพื่อดูแลจิตใจของตนเองให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส หรือมีความสงบจากการไม่คิดอกุศล จึงเป็นวัตถุประสงค์หลักของการจัดทำหนังสือเล่มนี้.

 

 

 

ก่อนอ่านบทนี้ กรุณาฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๒ เสียก่อน

 

บทที่ ๖

ขั้นตอนที่ ๑. องค์ประกอบของจิตใจ(ต่อ)

ตอน ๒ : ความนึกคิด

 

จิตใจประกอบด้วยความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ.

องค์ประกอบที่ ๒ ของจิตใจ คือ ความนึกคิด.

            ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สมองจะทำหน้าที่นึกหรือค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ในความจำ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการคิด.

เนื่องจากการคิดและการนึกเป็นของคู่กัน ดังนั้น เพื่อให้บทความกระชับ จึงใช้คำว่า “คิด” แทนคำว่า “นึกคิด”.

ความคิด อารมณ์ และสาเหตุของอารมณ์ไม่ดีนั้น มีความสัมพันธ์กันโดยตรง.  ดังนั้น การจะทำให้อารมณ์ดีได้นั้น ต้องกำจัดสาเหตุของอารมณ์ไม่ดีให้หมดไป และถ้าสามารถค้นพบว่า อะไรเป็นสาเหตุของอารมณ์ไม่ดีได้อย่างตรงประเด็น การกำจัดสาเหตุก็จะตรงประเด็นและง่ายขึ้นอีกด้วย.

การจะกำจัดสาเหตุของอารมณ์ไม่ดี และมุ่งพัฒนาอารมณ์ให้ดีขึ้นอย่างตรงประเด็นนั้น จำเป็นจะต้องศึกษาเรื่องของความคิด ซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ของจิตใจและชีวิต เพื่อที่จะได้มีความรู้และความสามารถในการบริหารจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

 

อารมณ์ดีหรือไม่ดีก็เพราะความคิด

การจะดูแลจิตใจของตนเองเพื่อให้มีความฉลาดทางอารมณ์ตามแนวภูมิปัญญาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องมีความรู้ว่า จะต้องดูแล(บริหาร)ที่ตรงไหน(องค์ประกอบไหน)ของจิตใจ ด้วยการตั้งใจ(มีสติ)คิดหาคำตอบอย่างรอบคอบจากข้อเท็จจริงที่เคยเกิดขึ้นกับตนเอง.  ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดสติปัญญาอย่างแจ้งชัดตามความเป็นจริงด้วยตนเอง.

ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดค้นหาสาเหตุของอารมณ์ไม่ดีด้วยสติปัญญาของตนเอง โดยการคิดหาคำตอบอย่างรอบคอบ ตามคำถามในหัวข้อต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ :-

ชีวิตของเราประกอบด้วยร่างกายกับจิตใจ ใช่หรือไม่ ?

(กรุณาตอบคำถามก่อนแล้วจึงค่อยอ่านหัวข้อต่อไป)

ชีวิตของเรามีใจ(จิตใจ)เป็นนาย(หัวหน้า) และมีกายเป็นบ่าว(ลูกน้อง) ใช่หรือไม่ ?

เมื่อจิตใจต้องการจะทำอะไรก็ตาม ร่างกายก็จะทำตามที่จิตใจต้องการเสมอ ใช่หรือไม่ ?

ขณะที่จิตใจของท่านคิดดี การกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ก็จะดีไปด้วย ขณะเดียวกัน จิตใจก็จะไม่เป็นทุกข์ มีความสงบ เบาสบาย บริสุทธิ์ผ่องใส และอารมณ์ก็ดีไปด้วย ใช่หรือไม่ ?

ขณะที่คิดดีอยู่นั้น จิตใจย่อมบริสุทธิ์ผ่องใส จึงทำให้มีอารมณ์บริสุทธิ์ผ่องใส ใช่หรือไม่ ?

ขณะที่จิตใจของท่านคิดไม่ดี การกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ก็จะไม่ดีไปด้วย ขณะเดียวกัน จิตใจก็จะเป็นทุกข์ ไม่มีความสงบ ไม่เบาสบาย ไม่บริสุทธิ์ ไม่ผ่องใส และอารมณ์ก็ไม่ดีไปด้วย ใช่หรือไม่ ?

ขณะที่คิดไม่ดีอยู่นั้น จิตใจย่อมไม่บริสุทธิ์ผ่องใส จึงทำให้มีอารมณ์ไม่บริสุทธิ์ผ่องใส ใช่หรือไม่ ?

คนเราจะดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ บริสุทธิ์ผ่องใสหรือไม่บริสุทธิ์ผ่องใส รวมทั้งอารมณ์จะดีหรือไม่ดีก็เพราะความคิดนี่เอง ใช่หรือไม่ ?

ความคิดเป็นองค์ประกอบหนึ่งของจิตใจ และเป็นหัวหน้าใหญ่ของจิตใจ รวมทั้งเป็นหัวหน้าใหญ่ของชีวิตมนุษย์ด้วย ใช่หรือไม่ ?

การจะดูแลจิตใจของตนเองให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส หรือมีอารมณ์บริสุทธิ์ผ่องใส หรือมีอารมณ์ดีแนวภูมิปัญญาไทยนั้น ต้องดูแลที่ความคิดของตนเอง ใช่หรือไม่ ?

(คำตอบของทุกข้อซึ่งเป็นความจริงของชีวิตคนทั่วไป คือ ใช่.)

ความคิดจึงมีอิทธิพลโดยตรงต่อการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ  เพราะการทำงานของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

การคิดดี ย่อมทำให้เกิดการพูดดี ทำดี จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส และมีอารมณ์ดี.

การคิดชั่ว ย่อมทำให้เกิดการพูดชั่ว ทำชั่ว จิตใจมีความสกปรก ขุ่นมัว และมีอารมณ์ไม่ดีด้วย.

 

ความคิดที่แวบขึ้นมาเป็นเรื่องปรกติ

ในยามว่างและขณะที่ทำกิจอะไรอยู่ก็ตาม จะมีความคิดแวบขึ้นมาเป็นช่วง ๆ  บางครั้งก็เป็นเรื่องดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่ทุกคนพึงมีด้วยกันทั้งสิ้น.

คนที่มีความคิดแวบขึ้นมาบ่อยครั้งมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะจะทำให้จิตใจตื่นตัวมากเกินไป อ่อนไหว วิตกกังวลในเรื่องต่าง ๆ ได้โดยง่าย และไม่สงบ  ความคิดที่แวบขึ้นมาเป็นครั้งคราว ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไปนั้น เป็นเรื่องดีที่คนทั่วไปพึงมี เพราะจะเกิดผลดีต่อการศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงาน และการดำเนินชีวิต.

การมีความคิดที่แวบขึ้นมาบ่อยครั้งหรืือมากเกินไป จนจิตใจไม่สงบเลยก็ไม่ดี แต่ถ้าน้อยเกินไปก็ไม่ดี เพราะจะทำให้เชื่องช้า ซึมเซา เบื่อหน่าย และท้อแท้ได้โดยง่าย. 

ในช่วงที่อาจจะมีอันตรายเกิดขึ้น ความคิดที่แวบขึ้นมาอย่างถี่ ๆ เพื่อความปลอดภัยนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้เกิดการระมัดระวังมากขึ้น.  ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีความคิดแวบขึ้นมาน้อยเกินไป การระมัดระวังอันตรายก็จะลดลงด้วย เช่น ขณะเดินข้ามถนนที่มีการจราจรหนาแน่นหรือทำงานที่อันตราย เรามักจะมีความคิดแวบขึ้นมาว่า ให้ระวังอย่างนั้น ให้ระวังอย่างนี้ เป็นต้น.

ในช่วงที่อยู่ในที่สงบหรือขณะที่จิตใจกำลังสงบ ความคิดที่แวบขึ้นมาก็มักจะลดลงไปตามสัดส่วนด้วย.

ความคิดที่แวบขึ้นมานั้น เกิดจากการทีี่สมองสุ่มเรื่องต่าง ๆ ที่เคยจดจำเอาไว้มาคิด ซึ่งอาจเป็นเรื่องตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก เรื่องที่ค้างคาใจ เรื่องที่กำลังกังวล และเรื่องที่เป็นทุกข์ เป็นต้น แล้วนำมาจุดประกายเป็นความคิดที่แทรกขึ้นมา หรือมีการคิดนำขึ้นมา เพื่อยกประเด็นขึ้นมาให้คิดต่อ.

ความคิดที่แวบขึ้นมาแล้วเอามาคิดต่อ จะทำให้เรื่องนั้นถูกจดจำต่อไป แต่ถ้าไม่เอามาคิดต่อ การจดจำในเรื่องนั้นก็จะลดลง.  การจะลดข้อมูลความจำในเรื่องที่ไม่ต้องการจะจดจำ ก็คือการไม่เอาเรื่องนั้น ๆ กลับมาคิดอีก. 

ถ้าความคิดที่แวบขึ้นมาเป็นเรื่องสำคัญ ก็ควรพิจารณาคิดต่อ แต่ถ้าไม่สำคัญหรือไม่เกี่ยวข้องกับกิจที่กำลังทำอยู่ ก็ไม่ควรคิดต่อ เพื่อจะได้ทำกิจต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ.

 

ความคิดฟุ้งซ่าน

เมื่อมีความคิดแวบขึ้นมา แล้วคิดปรุงแต่งต่อเติมโดยไม่ได้เจตนาคิด นั่นก็คือการคิดฟุ้งซ่าน.

ขณะเรียนหนังสือ แล้วชอบเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่านอยู่เสมอ แถมยังชวนเพื่อนคุยในชั้นเรียน ก็จะทำให้ตนเองและเพื่อนที่คุยด้วยนั้น เรียนหนังสือได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะจิตใจไม่จดจ่ออยู่กับบทเรียน จึงเป็นผู้ที่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นด้วย เพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับตนเอง เพื่อน ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ด้วย.

ข้าราชการที่ชอบคิดฟุ้งซ่านเป็นประจำในขณะทำงาน ย่อมเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ขาดสติบริหารความคิด ขาดการใช้ความรู้คู่คุณธรรมอย่างจริงจัง จึงเป็นผู้ที่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.  ถึงแม้จะไม่สามารถจับผิดได้ แต่ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่คอร์รัปชั่นเวลาของทางราชการ และยังเป็นบุคคลที่คิดอกุศลอยู่. 

การปล่อยให้คิดฟุ้งซ่าน และการตั้งใจ(มีสติ)คิดไม่ดีในเรื่องอะไรก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการคิดไม่ดี และทำให้ข้อมูลการคิดไม่ดีเพิ่มมากขึ้นในความจำ.  ถ้าปล่อยให้เกิดการคิดไม่ดีบ่อยครั้งเข้า ก็จะกลายเป็นคนที่มีนิสัยคิดไม่ดีติดตัวไป และเมื่อเป็นนิสัยแล้ว จะแก้ไขได้โดยยาก.

 

ความฝันเป็นการคิดปรุงแต่งของสมอง

            ขณะหลับสนิท จะไม่มีการฝันเรื่องใด ๆ  เพราะขณะนั้นสมองกำลังพักเต็มที่. 

            ความฝันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ใกล้จะหลับหรือใกล้จะตื่น เพราะในช่วงเวลานี้สมองทำงานไม่เต็มที่ เป็นผลให้ความสามารถของสติในการควบคุมความคิดลดลงไปมาก สมองจึงคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา ตามเหตุปัจจัยในขณะนั้น.

การคิดฟุ้งซ่านในช่วงเวลาที่ใกล้จะหลับหรือใกล้จะตื่นดังกล่าว สมองก็มักจะสร้างภาพทางใจ(นิมิต)หรือความฝัน(สุบินนิมิต)ขึ้นมา แต่บางคนก็สามารถสร้างภาพทางใจในขณะมีสติได้.

สมองของคนบางคนสามารถสร้างภาพทางใจในขณะลืมตาก็ได้ด้วย.  ผู้ป่วยทางจิตบางคนมีอาการประสาทหลอนทั้งด้านการเห็นภาพและได้ยินเสียงต่าง ๆ.

การฝันดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นกับข้อมูลในสมองและเหตุปัจจัยที่มีอยู่ในขณะนั้น เช่น ขณะไข้ขึ้นก็มักจะฝันไม่ดี  ขณะที่ปวดปัสสาวะก็มักจะฝันเรื่องถ่ายปัสสาวะ  ขณะเป็นห่วงหรือกังวลเรื่องใด ก็มักจะฝันเรื่องนั้น เป็นต้น.

 

ปัจจุบันขณะเป็นเวลาของการดูแลความคิด

            อดีตที่ผ่านมาแล้ว จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เช่น ความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ เหตุการณ์ต่าง ๆ  เป็นต้น เราไม่สามารถย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตได้เลยแม้แต่นิดเดียว.

อนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เราก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะอนาคตยังมาไม่ถึง.

บางคนเอาเรื่องของความทุกข์ในอดีตมาคิด ณ ปัจจุบันขณะ จึงเกิดความทุกข์และเกิดอารมณ์ไม่ดี ณ ปัจจุบันขณะ.

บางคนเอาเรื่องอนาคตมาคิดกังวล ณ ปัจจุบันขณะ จึงเกิดความทุกข์และเกิดอารมณ์ไม่ดี ณ ปัจจุบันขณะ.

ความทุกข์ทางจิตใจ ความทุกข์ทางร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากความทุกข์ทางจิตใจ ปัญหาต่าง ๆ  และอารมณ์ไม่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้น เกิดขึ้นเพราะการคิดอกุศล ณ ปัจจุบันขณะนี่เอง.

 

โดยหลักการแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น เป็นบทเรียนที่จดจำไว้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ ณ ปัจจุบันขณะ และไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาคิดอกุศลให้เป็นทุกข์ และก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ อีกต่อไป.

เรื่องราวต่าง ๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต คือ เรื่องราวต่าง ๆ ที่จะต้องเตรียมตัว โดยการบริหาร(ดูแล)ความคิด ณ ปัจจุบันขณะให้คิดอย่างรอบคอบและถูกต้อง เพื่อการเตรียมพร้อมนั่นเอง.

ดังนั้น จิตใจจะดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ บริสุทธิ์ผ่องใสหรือไม่บริสุทธิ์ผ่องใส อารมณ์จะดีหรือไม่ดีก็เพราะการดูแลความคิด ณ ปัจจุบันขณะนี่เอง.

ถึงแม้อดีตจะเคยทำไม่ดีไว้มากมายเพียงใดก็ตาม ข้อสำคัญคือ ให้สติดูแลจิตใจของตนเอง ให้คิดดี เพื่อจะได้พูดดีและทำดี  ณ ปัจจุบันขณะนี่เอง.

เรื่องอดีตทุกเรื่องจึงเป็นบทเรียนจากประสบการณ์ตรง ที่นำมาใช้สำหรับเป็นข้อมูลในการคิด ณ ปัจจุบันขณะ.

 

เวลา ณ ปัจจุบันขณะเป็นเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต

การเพียรพยายามมีสติดูแลความคิด ณ ปัจจุบันขณะเพื่อให้คิดดีนั้น จะเป็นผลให้เกิดการพูดดี ทำดี ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น.  ปัจจุบันขณะจึงเป็นเวลาที่มีคุณค่าที่สุดของชีวิต.

ในทางตรงกันข้าม ปัจจุบันขณะอาจเป็นเวลาที่เลวร้ายที่สุดของชีวิต และอาจนำความหายนะมาให้กับตนเองและหรือผู้อื่นได้ ถ้าผู้นั้นคิดไม่ดี เพราะจะทำให้เกิดการพูดไม่ดี และทำไม่ดี.

สิ่งที่ทุกคนควรทำก็คือ การดูแลความคิด ณ ปัจจุบันขณะ ให้คิดดี เพื่อทำจิตใจของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งเป็นผลให้เกิดการพูดดี ทำดี และอารมณ์ดี.

บุคคลที่สามารถดูแลความคิดให้มีอารมณ์ดีอย่างต่อเนื่อง ก็ได้ชื่อว่า เป็นบุคคลที่มีความฉลาดทางอารมณ์ และมีจิตใจที่ประเสริฐอย่างต่อเนื่อง.

ปัจจุบันขณะจึงเป็นเวลาสำคัญและดีที่สุดของคนคิดดี พูดดี ทำดี และเป็นเวลาที่เลวร้ายสำหรับคนคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี.

 

ความคิดปรุงแต่งเป็นต้นกำเนิดของอารมณ์โดยตรง

ความหมายของคำว่าอารมณ์ตามพจนานุกรมราาชบัณฑิตย สถาน ๒๕๒๕ หมายถึงเครื่องยึดหน่วง (เช่น เรื่องนี้อย่าถือมาเป็นอารมณ์เลย);  ความคิด ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ (เช่น เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้าย);  นิสัยใจคอ (เช่น เป็นคนมีอารมณ์ เย็น อารมณ์ร้อน เป็นต้น).

            ตัวอย่างของอารมณ์ต่าง ๆ ในแนวคิดของผู้เขียน กล่าวคือ เมื่อจิตใจคิดอย่างไร อารมณ์ก็จะเป็นอย่างนั้น ๆ  เช่น

เมื่อคิดปรุงแต่งด้วยความสุข จิตใจก็จะมีความรู้สึกเป็นสุขหรือมีอารมณ์สุข

เมื่อคิดปรุงแต่งด้วยความสนุก จิตใจก็จะมีความรู้สึกสนุกหรือมีอารมณ์สนุก

เมื่อคิดปรุงแต่งด้วยความเบิกบาน จิตใจก็จะมีความรู้สึกเบิกบานหรือมีอารมณ์เบิกบาน

เมื่อคิดปรุงแต่งด้วยความทุกข์ จิตใจก็จะมีความรู้สึกเป็นทุกข์หรือมีอารมณ์ทุกข์

เมื่อคิดปรุงแต่งด้วยความกังวล จิตใจก็จะรู้สึกกังวลหรือมีอารมณ์กังวล

เมื่อคิดปรุงแต่งด้วยความโกรธ จิตใจก็จะรู้สึกโกรธหรือมีอารมณ์โกรธ

เมื่อคิดปรุงแต่งด้วยความเมตตา จิตใจก็จะรู้สึกเมตตาหรือมีอารมณ์เมตตา เป็นต้น. 

ความคิด           ความรู้สึก           อารมณ์

ธรรมชาติของสมองนั้น ขณะคิดอย่างไร ความรู้สึกหรืออารมณ์ก็เป็นอย่างนั้น  และการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ก็จะเป็นไปตามความคิดในขณะนั้นด้วย.

อารมณ์จึงเป็นภาวะของจิตใจหรือความรู้สึกต่าง ๆ ทางจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไปตามความคิดปรุงแต่งนั่นเอง.

ดังนั้น ความคิดปรุงแต่งจึงเป็นต้นตอของความรู้สึกและอารมณ์ต่าง ๆ โดยตรง.

          ความคิดเป็นหัวหน้าของจิตใจ จิตใจเป็นหัวหน้าของร่างกาย ชีวิตประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ  ดังนั้น ความคิดจึงเป็นหัวหน้าใหญ่ของชีวิต.

          ความฉลาดทางอารมณ์จึงเป็นเรื่องของการเพียรมีสติบริหารความคิด เพื่อการละชั่ว ทำดี และทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน.  

 

**********

 

 

ก่อนอ่านบทนี้ กรุณาฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๒ เสียก่อน

 

บทที่ ๗

ขั้นตอนที่ ๑. องค์ประกอบของจิตใจ(ต่อ)

ตอน ๓ : ความจำ

จิตใจประกอบด้วยความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ.

องค์ประกอบที่ ๓ ของจิตใจ คือ ความจำ.

ความจำของมนุษย์ คือ ข้อมูลด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหน่วยความจำของสมอง ซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิดและต่อเติมขึ้นมาภายหลังอย่างมากมาย.

ความจำในเด็กเกิดใหม่จะเป็นข้อมูลทางด้านสัญชาตญาณเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยภายหลังการเกิด.  ครั้นเกิดมาแล้ว ข้อมูลในความจำก็จะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วควบคู่กันไปกับการเจริญเติบโตของสมอง และจะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ เมื่อสมองเจ็บป่วยหรือเสื่อมลง.

การได้ยิน การฟัง การอ่าน การคิด การศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงาน และการดำเนินชีวิตนั้น ล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดการเพิ่มข้อมูลด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในความจำ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการทำกิจการต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน.  การตั้งใจ(มีสติ)คิดและทำกิจต่าง ๆ ดังกล่าว จะทำให้เกิดการจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

ขณะที่ตั้งใจ(มีสติ)คิดหรือทำเรื่องใด ๆ ก็ตาม ข้อมูลที่จดจำไว้จะถูกค้นหา(นึก) และถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลในการคิดอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน.

 

ข้อมูลในความจำมีอิทธิพลต่อชีวิต

ข้อมูลในความจำมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เพราะความรู้และความสามารถของมนุษย์นั้น มาจากข้อมูลที่มีอยู่ในความจำของแต่ละบุคคล และคนเราจะดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ สงบหรือไม่สงบ ฉลาดหรือไม่ฉลาด ก็เพราะข้อมูลที่มีอยู่ในความจำนี้เอง.

การมีความรู้เรื่องของความจำและวิธีบริหารความคิด จะทำให้สามารถบริหารความจำและความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นผลให้สามารถจดจำข้อมูลที่ควรจดจำ เพิ่มเติมข้อมูลที่ต้องการจะจดจำ คงข้อมูลที่ต้องการจดจำไว้นาน ๆ   ไม่จดจำข้อมูลที่ไม่ควรจดจำ และกำจัดข้อมูลที่ไม่ควรจดจำให้หมดไปจากหน่วยความจำของสมอง.

ความสามารถในการบริหารความคิดจึงเป็นเรื่องที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ตั้งแต่วัยเป็นเด็กเล็กจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต.

ข้อมูลความรู้และความสามารถในการบริหารความคิดที่มีอยู่ในหน่วยความจำของสมองนี่เอง ที่ใช้สำหรับการบริหารความคิดเพื่อให้มีความฉลาดทางอารมณ์.

 

ความจำแบบต่าง ๆ และอิทธิพลของความจำ

            ความจำในสมองเป็นแหล่งเก็บข้อมูลอย่างมากมาย ที่สมองนำไปใช้ในการคิดเรื่องต่าง ๆ.

            เนื่องจากความคิดเป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ.  ดังนั้น ข้อมูลในความจำของแต่ละคนจะมีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมของคน ๆ นั้นโดยตรง.

            คนที่มีข้อมูลในความจำเป็นอย่างไร ก็มักจะคิด พูด และทำไปตามข้อมูลที่มีอยู่ หรือมีนิสัยเป็นอย่างนั้น.

            เพื่อให้การนำเสนอง่ายขึ้น จึงขอแบ่งความจำตามลักษณะของข้อมูลเป็น ๓ แบบ ดังนี้ :-

          แบบที่ ๑.  ความจำด้านกุศล คือ ความจำที่เป็นข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น หรือเป็นข้อมูลที่ใช้ในการคิดดี(คิดแต่กุศล) ซึ่งจะเป็นผลให้เกิดการละชั่ว(ละอกุศล) มุ่งทำแต่ความดี(ทำแต่กุศล)ทางกาย วาจา ใจ เพื่อทำจิตใจของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส เช่น ข้อมูลด้านคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนาที่ทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส เป็นต้น.

            คนที่มีข้อมูลด้านกุศลมาก ความคิดและพฤติกรรมก็มักจะเป็นกุศลมาก แต่คนที่มีข้อมูลกุศลน้อย ความคิดและพฤติกรรมก็มักจะเป็นกุศลน้อยลงไปตามสัดส่วนด้วย.

            คนที่มีข้อมูลด้านกุศลอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก จะมีความเสี่ยงในการคิด พูด และทำชั่ว(อกุศล)ได้น้อย  แต่คนที่มีข้อมูลด้านกุศลน้อย จะมีความเสี่ยงในการคิด พูด และทำชั่ว(อกุศล)ได้มาก.

            แบบที่ ๒.  ความจำด้านอกุศล คือ ความจำที่เป็นข้อมูลในด้านการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น หรือเป็นข้อมูลที่ใช้ในการคิดชั่ว(คิดอกุศล) ซึ่งจะเป็นผลให้เกิดการทำชั่ว(ทำอกุศล)ทางกาย วาจา ใจ ขณะเดียวกันจิตใจก็จะสกปรกและขุ่นมัว เช่น ข้อมูลด้านการเห็นแก่ตัวได้แก่ อิจฉา นินทา ว่าร้าย ใส่ความ จาบจ้วง โกหก ขี้เกียจ บกพร่องต่อหน้าที่ เห็นแก่กิน ประจบสอพลอ ทุจริต เสพติด ก้าวร้าว ลักขโมย ปล้น ฆ่า ก่อการร้าย คอร์รัปชั่น เป็นต้น.

            ผู้ที่มีข้อมูลด้านอกุศลอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก ความคิดและพฤติกรรมก็มักจะเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นได้มาก และผู้ที่มีข้อมูลอกุศลน้อย พฤติกรรมก็มักจะเป็นอกุศลน้อยลงไปตามสัดส่วนด้วย.

            แบบที่ ๓.  ความจำด้านวิชาการและเรื่องอื่นๆ  คือ ความจำที่เป็นข้อมูลด้านวิชาการและเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ข้อมูลด้านกุศลหรืออกุศล เช่น ข้อมูลในด้านการศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงาน การดำเนินชีวิต ความปลอดภัย กิจวัตรประจำวัน เป็นต้น.

ผู้ที่มีข้อมูลด้านใดด้านหนึ่งในความจำเป็นจำนวนมาก พฤติกรรมก็มักจะเป็นไปตามข้อมูลนั้น ๆ เช่น คนที่ช่างคุยก็จะมีข้อมูลการคุยอยู่ในความจำมาก คนที่ขยันก็จะมีข้อมูลความขยันอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก คนที่ขี้เกียจก็จะมีข้อมูลความขี้เกียจอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก เป็นต้น.

ข้อมูลด้านวิชาการและเรื่องอื่น ๆ เมื่อใช้ร่วมกับข้อมูลที่เป็นกุศลในความจำ จะเป็นผลให้ความคิด และการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ เป็นกุศลทันที คือ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น.

ในทางตรงกันข้าม เมื่อนำเอาข้อมูลวิชาและเรื่องอื่น ๆ ไปใช้ร่วมกับข้อมูลอกุศลที่อยู่ในความจำ จะเป็นผลให้ความคิด และการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ เป็นอกุศลทันที คือ ก่อให้เกิดการเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ซึ่งกำลังเป็นปัญหาอย่างรุนแรงของชาติบ้านเมืองในยุคปัจจุบันนี้ เช่น การก่อการร้าย การผลิตและการติดสิ่งเสพติด การคอร์รัปชั่นในรูปแบบต่าง ๆ  การเสื่อมโทรมทางคุณธรรม เป็นต้น.

การทำกิจการต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันนั้น ควรมีความเพียรในการมีสติฝึกฝนตนเองให้ใช้ข้อมูลด้านกุศลเป็นตัวนำเสมอ เพื่อทำจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ทุกข์ มีความสุขสงบ อันเป็นผลให้เกิดการคิดดี พูดดี ทำดี จากก้นบึ้งของจิตใจ ซึ่งเป็นความฉลาดทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง

 

ความเพียรมีอิทธิพลต่อความจำ

ผู้ที่มีข้อมูลเป็นอย่างไร ความคิด และการกระทำทางกาย วาจา ใจ  และอารมณ์ ก็มีความโน้มเอียงที่จะเป็นเช่นนั้น.

ดังนั้น การจะแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองต้องแก้ข้อมูลในความจำ.  การจะแก้หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลความจำของสมองในเรื่องการคิดอกุศลมาเป็นการคิดแต่กุศลนั้น จำเป็นต้องมีความเพียรในการฝึกฝนตนเอง โดยการมีสติควบคุมความคิด ไม่ให้คิดอกุศล และให้คิดแต่กุศลตลอดไป.

การมีความเพียรฝึกฝนตนเองให้มีสติคิดแต่กุศลอยู่เสมอ ๆ  ไม่นานนัก ข้อมูลด้านการคิดแต่กุศลในความจำก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ.

เมื่อข้อมูลด้านการคิดแต่กุศลในความจำมีจำนวนมากขึ้น ก็จะกลายเป็นคนอารมณ์ดี หรือมีจิตใจเป็นกุศล.

ผู้ที่จิตใจเป็นกุศลย่อมไม่ใช้ความรู้้และความสามารถของตนเพื่อเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น แต่จะใช้ความรู้และความสามารถของตนในการคิด พูด และทำประโยชน์ให้กับตนเองและหรือผู้อื่น ตามกำลังความรู้ ความสามารถ ตำแหน่ง หน้าที่ และตามเหตุปัจจัยที่มีอยู่ในขณะนั้น.

การมีความเพียรฝึกฝนตนเองให้มีสติคิดแต่กุศลอยู่เสมอ ๆ   ก็จะเกิดการคิดแต่กุศลจนเป็นอัตโนมัติหรือจนเป็นนิสัย จึงเป็นผลให้การกระทำทางกาย วาจา ใจ และอารมณ์เป็นกุศลอย่างต่อเนื่องไปด้วย เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

ความรู้และความสามารถในการคิดแต่กุศลเช่นนี้ ก็คือการมีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย ซึ่งง่ายที่จะเข้าใจและนำไปฝึกในชีวิตประจำวันได้โดยง่าย.

 

การเพิ่มข้อมูลด้านกุศลในความจำต้องใช้เวลาและความเพียร

บางคนมีข้อมูลด้านอกุศลอยู่ในความจำเป็นจำนวนมากและเคยชินกับการคิดอกุศลอยู่เสมอจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ครั้นจะคิดแต่กุศลก็ทำได้ยากมาก ทำได้ไม่นาน หรือทำได้ไม่ต่อเนื่อง.

ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการคิดอกุศลรวมทั้งคิดฟุ้งซ่าน จำเป็นต้องอาศัยความศรัทธาและความเพียรในการศึกษาและฝึกฝนตนเองในเรื่องนี้ เพื่อที่จะเลิกการคิดอกุศล จึงจะสามารถเอาชนะความเคยชินดังกล่าวได้.  การจะใช้เวลามากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความจริงจัง จริงใจ และความเพียรในการฝึกฝนตนเองเป็นประจำ.

การจะเพิ่มข้อมูลด้านกุศลในความจำนั้น ต้องมีความเพียรในการศึกษาเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์และฝึกมีสติดูแลจิตใจให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง.  เมื่อทำเช่นนี้เป็นประจำ ข้อมูลด้านกุศลในความจำก็จะเพิ่มมากขึ้น.

ขณะเดียวกัน ต้องมีความเพียรในการฝึกฝนตนเองไม่ให้คิดอกุศลแม้แต่วินาทีเดียว เพื่อทำให้ข้อมูลด้านอกุศลในความจำลดลงไปเรื่อย ๆ.

 

เรื่องอกุศลจำได้ง่าย เรื่องกุศลจำได้ยาก

ธรรมชาติของสมองในคนส่วนใหญ่มักจะจดจำข้อมูลที่เป็นอกุศลและต่อเติมข้อมูลอกุศลในความจำให้มากขึ้นอย่างรวดเร็วได้โดยง่าย ขณะเดียวกันการจะกำจัดข้อมูลด้านอกุศลในความจำให้หมดไปนั้น กลับเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลามาก.

ส่วนข้อมูลด้านกุศลนั้น กลับจดจำได้ยาก แต่จางหายจากความจำไปได้โดยง่าย.

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องสอนหรือเตือนตนเองไว้เสมอว่า ให้คิดแต่กุศลเท่านั้น เพื่อทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง เมื่อใดที่มีสติรู้ตัวว่า กำลังคิดอกุศล ให้เพียรหยุดความคิดนั้น ๆ ในวินาทีนั้นเลย จนเป็นนิสัย.

การจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอารมณ์นั้น ต้องใช้เวลาพอสมควร.  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีข้อมูลในความจำด้านอกุศลที่มากและรุนแรงมาเป็นเวลานาน ย่อมต้องใช้ความเพียรและเวลาในการปรับเปลี่ยนข้อมูลมากขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย.

 

ความฉลาดทางอารมณ์ขึ้นอยู่กับความจำและความคิด

            คนที่ชอบนินทาก็เพราะมีข้อมูลด้านนินทา(อกุศล)อยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก จึงคิดและนินทาเป็นประจำ.

            ยิ่งนินทาบ่อยครั้ง ข้อมูลด้านนินทาในความจำก็จะมากขึ้นตามลำดับ.

            เมื่อมีข้อมูลด้านนินทามากขึ้น การคิดนินทาก็จะมากขึ้น จิตใจก็จะมีความสกปรกและขุ่นมัวมากขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย.

            คนที่ชอบคิดนินทาหรือใส่ร้ายผู้อื่นเป็นประจำ ย่อมเป็นผลให้จิตใจเป็นอกุศล คือ จิตใจสกปรก ขุ่นมัว มีความทุกข์เป็นประจำ และเป็นคนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.

            คนที่มีข้อมูลความรู้และความสามารถด้านคุณธรรมอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก ก็จะเป็นคนคิดดี พูดดี ทำดี และเป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์.

          ดังนั้น การที่จะไม่คิดอกุศลได้นั้น จำเป็นต้องมีข้อมูลด้านความฉลาดทางอารมณ์อยู่ในความจำ เพื่อเอามาใช้เป็นข้อมูลในการคิด.

 

ข้อมูลความฉลาดทางอารมณ์ในความจำ

เกิดจากความคิด

            การจะทำให้มีข้อมูลความฉลาดทางอารมณ์ในความจำเกิดขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ และฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดข้อมูลความรู้และความสามารถในความจำสำหรับนำมาใช้ในการบริหารความคิดในชีวิตประจำวัน.

เมื่อมีข้อมูลความรู้และความสามารถในเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์มาก ความสามารถในการไม่คิดอกุศลและคิดแต่กุศลก็จะมากขึ้นด้วย จิตใจก็จะมีความบริสุทธิ์ผ่องใสและมีความสงบมากขึ้น.

  จำ


 

                             คิด                การพูดและการกระทำต่าง ๆ

 

            ความจำจึงเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการคิด ขณะที่คิดสมองก็จะจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ในความจำ. คำพูดและการกระทำก็จะเป็นไปตามความคิดในขณะนั้น ๆ  ขณะเดียวกันคำพูดและการกระทำก็จะกระตุ้นให้มีการคิดต่อไปอีก.  ทั้งคำพูดและการกระทำที่เกิดขึ้นก็จะถูกจดจำไว้เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการคิดต่อไป.

            ถึงแม้จะมีข้อมูลด้านความฉลาดทางอารมณ์อยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าเผลอสติหรือไปตั้งใจคิดอกุศลเพียงไม่กี่ครั้ง ข้อมูลด้านอกุศลในความจำก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้อมูลด้านกุศลก็จะลดลงไปด้วย เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

            ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท จึงจำเป็นต้องพยายามมีสติควบคุมจิตใจไม่ให้คิดอกุศลแม้แต่วินาทีเดียว พร้อมทั้งศึกษาเรื่องความฉลาดทางอารมณ์และการฝึกบริหารความคิดให้เกิดความฉลาดทางอารมณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำตลอดชีวิต.

            ธรรมชาติของจิตใจนั้น ไม่มีผู้ใดรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดของเราได้ เราจึงต้องพยายามมีสติรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดด้วยสติปัญญาของเราเองหรือต้องพึ่งตนเอง.

          ดังนั้น เมื่อมีสติรู้ว่า กำลังมีการคิดอกุศลเกิดขึ้น ก็ให้พยายามตั้งสติหยุดการคิดอกุศลนั้น ๆ ทันที พร้อมกับเตือนตนเองว่า เราจะไม่คิดเช่นนี้อีกต่อไป.   การทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้มีการต่อเติมข้อมูลอกุศลในความจำอีกต่อไป.

            การคิดและทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นประจำ ก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น หรือมีนิสัยเป็นอย่างนั้น.

ผลงานของนักวิชาการที่คิดดีทำดีย่อมเป็นประโยชน์ มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม ขณะเดียวกันจิตใจก็จะมีความบริสุทธิ์ผ่องใสและเป็นกุศลด้วย.

การใช้ข้อมูลด้านวิชาการและคุณ>ธรรม(ข้อมูลความรู้คู่คุณธรรม)เป็นประจำ จะเพิ่มพูนข้อมูลวิชาการและคุณธรรมในความจำให้มากขึ้น และความเชี่ยวชาญด้านการคิดดีทำดีก็จะมีมากขึ้นด้วย.

ในทางตรงกันข้าม ถ้านักวิชาการที่คิดไม่ดี ผลงานที่เกิดขึ้นย่อมไม่เป็นประโยชน์ ไม่มีคุณค่า ไม่บริสุทธิ์ ไม่เกื้อกูล ไม่ยุติธรรม ขณะเดียวกันจิตใจย่อมสกปรกและเป็นอกุศลด้วย.  การคิดไม่ดีของนักวิชาการหรือคนที่มีความรู้แต่ขาดคุณธรรม อาจทำความไม่ดีได้อย่างรุนแรง กว้างขวาง และจับผิดได้ยาก.

คนที่คิดไม่ดีและทำไม่ดีเป็นประจำ ข้อมูลด้านคิดไม่ดีทำไม่ดีก็จะเพิ่มพูนในความจำมากขึ้น และความเชี่ยวชาญด้านคิดไม่ดีทำไม่ดีก็จะมากขึ้นตามสัดส่วนด้วย.  บางคนคิดดีทำดีและคิดไม่ดีทำไม่ดีสลับบกันไป ก็เพราะขาดความสามารถในการดูแลจิตใจให้คิดดีทำดีอย่างต่อเนื่อง.

การคิดดีทำดีอย่างต่อเนื่อง หรือการทำจิตใจให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส หรือการทำตนให้เป็นคนดีอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นเป้าหมายสูงสุดของการดำเนินชีวิตอย่างประเสริฐ.

ขอให้กำลังใจว่า ทุกคนมีความสำเร็จรออยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่ต้องอาศัยความศรัททธา จริงใจ จริงจัง และความเพียรอย่างต่อเนื่อง.

 

**********

 

 

วิธีฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๓

            การฝึกหยุดความคิดในขั้นตอนนี้เป็นการเริ่มต้นฝึกตามแบบมาตรฐาน โดยการฝึกมีสติอยู่กับกิจเล็ก ๆ และง่าย ๆ เพียงกิจเดียว  เพื่อให้เกิดการปล่อยวางจากการคิดเรื่องราวต่าง ๆ หรือเพื่อการหยุดความคิดเป็นการชั่วคราว เป็นเวลาประมาณ ๑ – ๕ นาที หรือตามความเหมาะสม.

            เริ่มต้นการฝึกด้วยการตั้งเจตนาว่า “ต่อจากนี้ไปเราจะฝึกหยุดความคิดเพื่อพักสมองเป็นการชั่วคราว โดยการพยายามมีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียวเท่านั้น เป็นการรับรู้ความรู้สึกอย่างเบาสบาย ด้วยความผ่อนคลาย โดยไม่ไปคิดเรื่องอื่นใด”. 

            ถ้าท่านไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกบริเวณรูจมูกได้ดี ก็ให้หายใจแรงขึ้น เพื่อที่จะรับรู้ความรู้สึกได้ดีขึ้น.  ครั้นรับรู้ได้ดีตามสมควรแล้ว ก็ให้ผ่อนความแรงของการหายใจมาเป็นการหายใจตามปรกติ.  ต่อมา ถ้าการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกไม่ดีพอ ให้ทำเช่นเดิมอีก และเมื่อฝึกเช่นนี้ไม่กี่ครั้ง ท่านก็จะสามารถรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกที่บริเวณรูจมูกได้เป็นอย่างดี.

            เมื่อรู้ตัวว่า กำลังเผลอสติไปคิดฟุ้งซ่าน ก็ให้รีบกลับมามีสติอยู่กับการรับรู้ความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกตรงบริเวณรูจมูกเพียงกิจเดียวต่อไป เพื่อที่จะได้กำจัดความคิดฟุ้งซ่านทันที.

          เมื่อเข้าใจหลักการดีแล้ว ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดลงมือฝึกหยุดความคิดด้วยความจริงใจและจริงจัง ณ บัดนี้.

            ครั้นออกจากการหยุดความคิดแล้ว ให้ท่านฝึกควบคุมความคิดทันที ซึ่งเป็นการฝึกหยุดความคิดและควบคุมความคิดสลักกันไปในชีวิตประจำวัน.

            เริ่มต้นโดยการตั้งเจตนาว่า “ต่อจากนี้ไป เราจะพยายามมีสติอยู่กับกิจต่าง ๆ ที่กำลังทำอยู่ พร้อมทั้งรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดของเรา ไม่ให้คิดอกุศล ให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจของเราให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง”.

            ขณะฝึกหยุดความคิดและควบคุมความคิดอยู่นั้น ก็มักจะมีความคิดแวบขึ้นมาเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ให้ท่านพยายามมีสติควบคุมความคิดไม่ให้ไปคิดปรุงแต่งหรือต่อเติมแม้แต่วินาทีเดียว ยกเว้นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อกิจที่กำลังทำอยู่ และเรื่องที่รีบด่วน.

            ในการฝึกทุกขั้น ควรประเมินผลของการฝึกบริหารความคิดว่า ในระยะเวลาที่ผ่านมา มีการคิดอกุศลบ้างหรือไม่ หรือมีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง แล้วให้พิจารณาแก้ไขเสีย โดยการตั้งใจเตือนตนเองว่า จะพยายามไม่ให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นอีก เมื่อเตือนตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีก สมองก็จะจดจำและทำตามที่ท่านได้เตือนตนเองเอาไว้.

            ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดฝึกเจริญสติและเจริญสมาธิสลับกันไปในชีวิตประจำวันเท่าที่จะทำได้.

 

บทที่ ๘

ขั้นตอนที่ ๑. องค์ประกอบของจิตใจ(ต่อ)

ตอน ๔ : การรู้เรื่องต่างๆ

ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ

 

จิตใจประกอบด้วยความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ.

องค์ประกอบที่ ๔ ของจิตใจ คือ การรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ.

ความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้น เกิดจากการทำงานของสมอง.

ท่านคงจะสังเกตได้ว่า สมองหรือใจของท่านนั้น ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไร จำเรื่องอะไร และมีความรู้สึกอย่างไรก็ตาม ถ้าท่านตั้งใจ(มีสติ)ที่จะรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดในจิตใจ ท่านก็จะสามารถรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจได้หมด เพราะสมองก็จะทำหน้าที่ในการรู้เรื่องต่าง ๆ ตามที่ต้องการ เช่น มีเจตนาว่าจะตั้งใจคิดเลขในใจ ก็จะรู้รายละเอียดของการคิดเลขในใจ,  ตั้งใจว่าจะรู้ข้อมูลที่ได้จดจำไว้ในเรื่องใด ก็จะรู้รายละเอียดที่ได้จดจำไว้ในเรื่องนั้น,  ตั้งใจจะรู้ว่ามีความรู้สึกอย่างไร ก็จะรู้ในรายละเอียดว่ามีความรู้สึกอย่างไร มากน้อยเพียงใด เป็นต้น.

การรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้น จะเริ่มต้นด้วยการคิดเป็นอันดับแรก ตามด้วยความรู้สึกและหรือความจำ.  ฉะนั้น จึงช่วยให้สามารถรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ ทั้งในปัจจุบันขณะ ในอดีต ตามที่ผู้คิดต้องการ เช่น กำลังคิดอะไร มีข้อมูลอะไรในความจำที่จะสามารถเอามาใช้ประกอบการคิด คิดไปถึงไหนแล้วก็รู้ เป็นต้น.

เพื่อให้เป็นภาษาที่น่าอ่าน จึงขอใช้คำว่า “รู้เห็น” แทนคำว่า “รู้” หรือ “เห็น” เป็นครั้งคราว ตามความเหมาะสมของแต่ละประโยค.

           

การรู้เรื่องของความคิด

ขณะตั้งใจคิดเรื่องอะไรก็ตาม สติก็จะเกิดขึ้น และเมื่อสติเกิดขึ้น ก็จะมีการรู้รายละเอียดในเรื่องที่กำลังคิดขึ้นหรือเกิดสัมปชัญญะ.  โดยทั่วไป เราจึงนิยมใช้คำย่อ ๆ คือ ใช้คำว่า “สติ” โดยไม่ต้องใช้คำว่า “สัมปชัญญะ”. 

ขณะที่กำลังตั้งใจ(มีสติ)คิดอะไรอยู่นั้น ก็จะรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และจะรู้ในรายละเอียดในเรื่องที่กำลังคิดไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องของการรู้เห็นความคิดของตนเอง เช่น ขณะที่คิดเลข สมองก็จะทำหน้าที่รู้รายละเอียดในเรื่องคิดเลข,  ขณะที่คิดเรื่องงาน สมองก็จะรู้รายละเอียดในเรื่องงานที่คิด เป็นต้น.

การรู้เรื่องต่าง ๆ ของจิตใจเป็นหน้าที่ของสมองที่ปรกติ.   การรู้เรื่องต่าง ๆ จะหมดไปในขณะนอนหลับสนิท หรือขณะที่สมองหยุดทำหน้าที่ชั่วคราว หรือขณะที่สมองสูญเสียหน้าที่ เช่น ขณะได้รับยาสลบ สมองชอกช้ำ สมองติดเชื้อ สมองพิการ สมองตาย เป็นต้น .

การรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้น เกิดขึ้นตามความต้องการหรือตามที่ได้ตั้งเจตนาไว้ เพราะการทำงานของสมองเป็นเช่นนั้นเอง เช่น มีเจตนาจะรู้ว่า ขณะนี้จิตใจมีความรู้สึกอย่างไร สมองก็จะทำหน้าที่รู้ว่า ความรู้สึกในขณะนั้นเป็นอย่างไร, มีเจตนาจะตั้งใจคิดเรื่องใด ก็จะรู้รายละเอียดของความคิดนั้น, มีเจตนาว่า เมื่อกี้นี้คิดเรื่องอะไร ก็จะรู้รายละเอียดของเรื่องนั้นที่จำได้ เป็นต้น

การตั้งเจตนาว่า จะมีสติรู้เห็นความคิดและควบคุมความคิดไม่ให้คิดอกุศล สมองก็จะทำหน้าที่ตามที่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้.

ครั้นเผลอสติไปคิดอกุศล สมองก็จะรู้เห็นความคิดของตนเองว่า กำลังมีการคิดอกุศล จึงทำให้สามารถหยุดการคิดอกุศลได้อย่างรวดเร็ว ตามความรู้และความสามารถที่มีอยู่ในขณะนั้น.

  ครั้นหยุดการคิดอกุศลได้แล้ว ก็จะรู้เห็นความคิดของตนเองว่า การคิดอกุศลได้หยุดลงแล้ว.

 

การรู้เรื่องความฟุ้งซ่านและความฝัน

ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นจากการที่สมองคิดปรุงแต่งขึ้นมาเอง โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะคิด.

ในขณะที่เผลอสติหรือสติอ่อนกำลังลง ความคิดฟุ้งซ่านก็จะเกิดขึ้น จึงคิดปรุงแต่งเรื่องต่าง ๆ ไปตามปัจจัยในขณะนั้น เช่น ขณะที่กังวลก็จะฟุ้งซ่านเรื่องที่เป็นกังวล,  ขณะที่มีความทุกข์ก็จะฟุ้งซ่านเรื่องที่เป็นทุกข์ เป็นต้น.

ความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดในขณะทำกิจต่าง ๆ นั้น สมองมักจะคิดปรุงแต่งเรื่องที่ค้างคาอยู่ในจิตใจ(ในความจำ).  การคิดฟุ้งซ่านมักจะเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องและสมองมักจดจำได้ตามสมควร.  ถึงแม้จะเป็นการคิดฟุ้งซ่าน  ถ้าสมองกำลังทำงานอยู่ ก็จะรู้เรื่องที่กำลังคิด แต่ไม่ละเอียดเหมือนการคิดอย่างมีสติ.

ความฝันเป็นการคิดปรุงแต่งของสมองเช่นเดียวกับการคิดฟุ้งซ่าน ซึ่งเป็นการคิดปรุงแต่งในขณะสติอ่อนกำลังลง.  ความฝันมักเกิดขึ้นตอนใกล้เวลาจะนอนหลับ และตอนใกล้เวลาที่จะตื่นนอน.

การคิดปรุงแต่งในช่วงเวลาที่ใกล้จะหลับและใกล้จะตื่นนั้น เป็นช่วงเวลาที่สมองสร้างภาพทางใจ(มโนภาพ)ตามที่คิดปรุงแต่งไป เพราะการทำงานของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.

ความฝันจึงมักจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีเหตุผล ไม่มีสาระ ไม่มีความต่อเนื่อง ฝันครั้งเดียวอาจจะมีหลายเรื่องก็ได้ เพราะขณะฝันอยู่นั้น จะไม่มีสติควบคุมความคิดเลย จึงคิดปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีขอบเขต.  ความฝันจะสิ้นสุดลงเมื่อตื่นหรือหลับสนิท.

ความฝันจะถูกรู้เห็นและจดจำไว้ชั่วคราว  ซึ่งมักจะเป็นความฝันในช่วงเวลาที่ใกล้จะตื่นนอน เพราะสมองยังจดจำเรื่องราวที่ฝันไว้ได้.

ขณะที่ฝัน ถ้าสมองส่วนของความจำยังทำงานอยู่ สมองก็จะจดจำเรื่องราวของความฝันได้ และเมื่อตื่นขึ้นมา ก็จะรู้เห็นเรื่องของความฝันว่า ฝันเรื่องอะไร มีเนื้อหาของความฝันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ถ้าสมองส่วนของความจำอยู่ในภาวะพักการทำงาน ถึงแม้จะมีการคิดปรุงแต่งหรือฝันอะไรก็ตาม สมองก็ไม่อาจจดจำความฝันนั้น ๆ ไว้ได้.

 

การรู้เรื่องของความรู้สึกทางใจ

            ในขณะที่คิดเรื่องอะไรก็ตาม ความรู้สึกทางใจแบบใดแบบหนึ่งย่อมเกิดขึ้น เช่น รู้สึกเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือสงบ.

            เมื่อตั้งใจรู้เรื่องความรู้สึกทางใจในปัจจุบันขณะ สมองก็จะทำหน้าที่ตามที่ตั้งใจไว้ จึงทำให้รู้ว่า มีความรู้สึกทางใจอย่างไรในปัจจุบันขณะ.

            เมื่อตั้งใจรู้เรื่องความรู้สึกทางใจในอดีต สมองก็จะทำหน้าที่ตามที่ตั้งใจไว้ คือ ไปค้นหาข้อมูลที่สมองจดจำไว้ในช่วงเวลานั้น จึงทำให้รู้ได้ว่า มีความรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น.

            ความรู้สึกในอนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะความรู้สึกในอนาคตยังไม่เกิดขึ้น.

            ส่วนความรู้สึกทางร่างกายนั้น จะไม่กล่าวถึงในรายละเอียด แต่จะกล่าวเป็นสังเขปว่า ความรู้สึกต่าง ๆ ที่ร่างกายได้รับรู้มา ก็ถูกส่งเป็นข้อมูลผ่านทางระบบประสาทไปยังสมอง และสมองก็จะทำหน้าที่ในการคิด จึงทำให้เกิดความรู้สึกทางใจในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว(ดูบทที่ ๕). 

           

การรู้เรื่องของความจำ

เรื่องต่าง ๆ ที่สมองได้จดจำไว้ได้นั้น เป็นเรื่องของอดีต.  เราสามารถรู้เรื่องอดีตได้เพราะสมองทำหน้าที่รู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอดีต.

ขณะที่ตั้งใจ(มีสติ)ระลึกว่า เรื่องที่ได้คิดไปแล้วนั้น เป็นเรื่องอะไรและมีเนื้อหาอย่างไร ก็สามารถรู้ได้.  เพราะสมองจะทำหน้าที่ค้นหาข้อมูลในอดีตที่อยู่ในความจำของสมอง.

เมื่อตั้งใจ(มีสติ)ระลึกว่า ขณะคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วมีความรู้สึกอย่างไรในขณะคิดเรื่องนั้น ก็จะสามารถรู้ได้ว่า มีความรู้สึกอย่างไรในช่วงที่คิดเรื่องนั้น ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกที่สมองได้จดจำเอาไว้ได้.

การจะรู้เรื่องที่อยู่ในความจำได้นั้น ต้องมีข้อมูลเรื่องนั้น ๆ ในความจำ ถ้าไม่มีเรื่องนั้น ๆ อยู่ในความจำ ก็จะไม่สามารถรู้เรื่องนั้น ๆ ได้เลย.

เพื่อพิสูจน์ว่า การตั้งใจคิดและทำกิจใดก็ตาม สมองจะทำหน้าที่ตามความตั้งใจในขณะนั้น.

ขอให้ท่านผู้อ่านทดลองดู โดยการตั้งใจนับเลข ๑ ถึง ๕ เรียงตามลำดับ(โปรดลงมือนับ).

เมื่อท่านนับจบแล้ว ก็จะพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า การนับเลขจนจบนั้น เพราะท่านตั้งใจนับ.

ขณะที่ตั้งใจนับเลขอยู่นั้น ก็จะรู้ว่า กำลังนับเลขอะไรอยู่ รู้ว่าจะต้องนับเลขอะไรต่อไป และรู้ว่าจะต้องหยุดนับเมื่อนับถึง ๕  ที่รู้ได้เช่นนี้ก็โดยการอาศัยข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำของสมองที่ได้ตั้งใจไว้ว่า จะนับถึงเลขอะไร.

เมื่อนับจบแล้ว ก็ย่อมรู้ว่า นับจบแล้ว เพราะรู้ได้จากการใช้ข้อมูลที่สมองได้จดจำเอาไว้ได้ มาประกอบการนับเลข.

ท่านยังสามารถรู้ความรู้สึกที่ถูกจดจำได้ว่า ในขณะที่นับเลขอยู่นั้น มีความรู้สึกอย่างไร เช่น สุข ทุกข์ หรือสงบ เป็นต้น.

การรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นอดีตได้เช่นนี้ จึงเป็นการรู้จากข้อมูลในความจำที่สมองจดจำไว้ได้ในขณะนับเลขนั่นเอง.

การเชื่อมโยงความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจนั้น มาจากการทำงานของสมองของคนทั่วไปหรือคนที่สมองทำงานตามปรกติ และไม่ใช่อำนาจจากภายนอกเลย.

 

**********

 

ก่อนอ่านบทนี้ กรุณาฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๓ เสียก่อน

 

บทที่ ๙

ขั้นตอนที่ ๑. องค์ประกอบของจิตใจ(ต่อ)

ตอน ๕ : ความคิดเป็นหัวหน้าใหญ่ของชีวิต

 

ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยจะเกิดขึ้นกับผู้ใดก็ตาม ผู้นั้นจำเป็นจะต้องมีความรู้และความสามารถในการบริหารจิตใจของตนเองให้มีความฉลาดทางอารมณ์ตามแนวภูมิปัญญาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

การจะบริหารจิตได้ดีนั้น จำเป็นจะต้องจับประเด็นให้ได้อย่างชัดเจนว่า ใน ๔ องค์ประกอบหลัก ของจิตใจ ซึ่งประกอบด้วยความรู้สึก นึกคิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้น มีองค์ประกอบไหนเป็นหัวหน้า.

เมื่อรู้แจ้งชัดตามความเป็นจริงว่า องค์ประกอบใดของจิตเป็นหัวหน้าใหญ่ เราก็จะสามารถบริหารหัวหน้าใหญ่ของจิตใจได้โดยตรง. 

ทั้งนี้ ก็เพื่อจะได้บริหารจิตใจและชีวิตของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นผลให้มีสุขภาพจิตดี มีความพร้อมและมีความสามารถที่จะฝ่าฟันอุปสรรค หรือเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส.

 

ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

            ให้ท่านระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาแล้วว่า ไม่ว่าท่านจะพูดหรือทำกิจอะไรอยู่ก็ตาม จะมีใจหรือจิตใจเป็นผู้นำหรือเป็นหัวหน้า ถึงแม้ในชีวิตประจำวันหรือในปัจจุบันขณะ ใจก็ยังเป็นหัวหน้าอยู่เสมอ ใช่หรือไม่ ?.

จึงเป็นที่ยอมรับในความจริงที่กล่าวกันไว้ว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว การกระทำต่าง ๆ สำเร็จได้ด้วยใจ.

การรู้เห็นข้อเท็จจริงด้วยตนเองว่า ใจ หรือจิต หรือจิตใจเป็นนาย  ส่วนกายหรือร่างกายเป็นบ่าวเพียงแค่นี้นั้น ยังไม่เพียงพอสำหรับการบริหารจิตใจอย่างมีประสิทธิภาพ.  จำเป็นจะต้องรู้อย่างแจ้งชัดตามความเป็นจริงว่า องค์ประกอบไหนของจิตใจเป็นหัวหน้าใหญ่ เพื่อจะได้สามารถบริหารองค์ประกอบนั้น ๆ โดยตรง.

 ถ้าเราสามารถบริหารองค์ประกอบของจิตใจที่เป็นหัวหน้าใหญ่ได้อย่างตรงประเด็นและมีประสิทธิภาพ  ก็จะสามารถบริหารองค์ประกอบอื่น ๆ ได้หมด และจะสามารถควบคุมทั้งจิตใจและร่างกายให้ละชั่ว ทำดี มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสได้อย่างต่อเนื่อง อันจะเป็นผลให้เกิดความฉลาดทางอารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

 

หัวหน้าใหญ่ของชีวิต คือ ความคิด

            เพื่อให้รู้เห็นแจ้งชัดตามความเป็นจริงว่า องค์ประกอบใดเป็นหัวหน้าใหญ่ หรือองค์ประกอบใดมีอิิทธิพลต่อทุกองค์ประกอบโดยตรง จึงจำเป็นต้องวิเคราะห์บทบาทและความเกี่ยวโยงของแต่ละองค์ประกอบอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่คนทั่วไปก็คิดได้.

            ขอทบทวนว่า องค์ประกอบของจิตใจมี ๔ องค์ประกอบ ดังนี้ :-

                  องค์ประกอบที่ ๑.  ความรู้สึก

                  องค์ประกอบที่ ๒.  ความนึกคิดหรือความคิด   

                  องค์ประกอบที่ ๓.  ความจำ

                  องค์ประกอบที่ ๔.  การรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ

            ทุกท่านย่อมรู้แจ้งชัดด้วยตนเองว่า ในขณะนอนหลับสนิทโดยไม่มีการฝันเลย ความนึกคิดหรือความคิด(องค์ประกอบที่ ๒)ในเรื่องต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น.

            เมื่อไม่มีการคิดเกิดขึ้น ความจำ(องค์ประกอบที่ ๓)ในเรื่องที่คิดย่อมไม่เกิดขึ้น.

            เมื่อไม่มีการคิดเกิดขึ้น ความรู้สึก(องค์ประกอบที่ ๑)ในเรื่องที่คิดย่อมไม่เกิดขึ้น.

            เมื่อไม่มีการคิดเกิดขึ้น การรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ(องค์ประกอบที่ ๔)ในเรื่องที่คิด ที่จำและที่รู้สึกย่อมไม่เกิดขึ้นเช่นกัน.

            ครั้นตื่นขึ้นมา เมื่อมีการคิดเรื่องใดก็ตาม ความรู้สึก ความจำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ ก็จะทำหน้าที่ หรือทุก ๆ องค์ประกอบก็พร้อมจะทำงานทันที.

            ครั้นหยุดคิด องค์ประกอบต่าง ๆ ของจิตใจก็จะหยุดเช่นกัน.  ดังนั้น ทุกองค์ประกอบของจิตใจจึงมีความคิดเป็นหัวหน้าใหญ่.

            ความคิดจึงเป็นหัวหน้าใหญ่ของจิตใจ.

          เนื่องจากจิตใจเป็นหัวหน้าของร่างกาย  ดังนั้น ความคิดจึงเป็นหัวหน้าใหญ่ของร่างกายและจิตใจด้วย หรือเป็นหัวหน้าใหญ่ของชีวิตโดยตรง.

 

ความสัมพันธ์ระหว่างเจตนา สติ ความคิด และความจำ 

            การคิดหรือการตั้งเจตนาว่า จะทำอะไรก็ตาม สมองก็จะตอบสนองความคิดหรือเจตนานั้น ๆ เสมอ.       

            การตั้งเจตนาว่า จะมีความเพียร มีสติคิดแต่กุศล สมองก็จะจำและทำตามเจตนาที่ได้ตั้งเอาไว้.

การมีเจตนา มีความเพียร มีสติบริหารความคิดให้คิดแต่กุศล จะทำให้สามารถควบคุมการคิดโดยใช้ข้อมูลด้านกุศลในความจำมาเป็นพื้นฐานของการคิด.

 

   

เมื่อมีสติคิดแต่ด้านกุศล การกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ ก็จะเป็นกุศล จิตก็จะมีความบริสุทธิ์ผ่องใส สุขสงบ และไม่มีความทุกข์จากการคิดอกุศล.

ในทำนองเดียวกัน การมีความเพียร มีสติใช้ข้อมูลด้านวิชาการร่วมกับข้อมูลด้านกุศล หรือใช้ความรู้คู่คุณธรรมในการคิดและการทำกิจต่าง ๆ  ก็จะเป็นผลให้การทำกิจนั้น ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลงานที่มีคุณค่า บริสุทธิ์ ยุติธรรม และเป็นประโยชน์ต่อตนเองและหรือผู้อื่น.

เมื่อมีสติใช้ความรู้คู่คุณธรรมเป็นประจำ ไม่นานนัก ข้อมูลด้านความรู้และคุณธรรมก็จะเพิ่มมากขึ้นในความจำ จึงเป็นเหตุให้เกิดการพัฒนาข้อมูลในความจำ การคิด และการกระทำมากขึ้นด้วย.

การตั้งใจใช้ข้อมูลวิชาการ(ความรู้)ร่วมกับข้อมูลอกุศล หรือใช้ความรู้คู่อธรรม ก็จะได้รับผลในทางตรงกันข้ามกับการใช้ข้อมูลความรู้คู่กับข้อมูลคุณธรรม.

การใช้ความรู้คู่อธรรมจะเป็นผลให้คำพูดและการกระทำไม่ดี จิตใจมีความสกปรก ขุ่นมัว เป็นทุกข์ ผลงานไม่มีประสิทธิภาพ ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีคุณค่า ไม่ยุติธรรม เป็นโทษต่อตนเองและหรือผู้อื่น. 

ถ้าคิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดีเป็นประจำ สมองก็จะสะสมข้อมูลอกุศลไว้ในความจำมากขึ้นเรื่อย ๆ  จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีได้โดยง่ายและอาจรุนแรงได้อีกด้วย.

 

ความคิดมีอำนาจมาก

ธรรมชาติของมนุษย์นั้น ขณะที่สมองกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ก็ตาม สมองก็จะตอบสนองความคิดนั้น ๆ  โดยสั่งการไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่สมองควบคุมได้ ให้ทำตามความคิดในขณะนั้นโดยไม่มีข้อแม้ เช่น คิดฆ่าคน ร่างกายก็จะทำตามสั่ง, สั่งให้ฆ่าตัวตาย ร่างกายก็จะทำตามสั่ง เป็นต้น.

ไม่ว่าจะคิดดีหรือไม่ดี สมองก็จะตอบสนองความคิดนั้น ๆ และสั่งการตามความคิดนั้น ๆ โดยไม่บิดพลิ้ว.

ขณะที่ตั้งใจ(มีสติ)คิดทำดีต่อผู้ใดผู้หนึ่ง คำพูดและการกระทำต่าง  ๆ ทางกาย วาจา ใจต่อผู้นั้น ก็จะเป็นไปตามความคิดในขณะนั้น  เช่น คิดตั้งใจเรียนหนังสือ ก็จะตั้งใจเรียนหนังสือตามความคิดในขณะนั้น ๆ,  คิดประหยัดไฟฟ้า ก็จะใช้ไฟฟ้าด้วยความประหยัด,  คิดใช้บริการรถประจำทาง เพื่อช่วยชาติยามน้ำมันแพง ก็จะหลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์ส่วนตัว หันมาใช้รถประจำทางมากขึ้น เป็นต้น.

ขณะที่ตั้งใจคิดทำไม่ดีในเรื่องใดก็ตาม คำพูดและการกระทำทางกาย วาจา ใจ ต่อผู้นั้น ก็จะเป็นไปตามความคิดในขณะนั้น เช่น คิดทำร้าย ก็จะเกิดการพูดร้ายและทำร้ายคนนั้นไปตามความคิดในขณะนั้น,  คนที่คิดทุจริต ก็จะทำทุจริตตามเนื้อหาของความคิดในขณะนั้น,  คนที่คิดต้อนรับน้องใหม่ด้วยจิตใจที่เป็นอกุศล ย่อมบีบคั้นให้น้องใหม่ต้องจำใจทำตามความคิดของรุ่นพี่ที่คิดอกุศล เป็นต้น.

 

คนเราจะลงมือทำดีหรือไม่ดีก็เพราะความคิด

บางคนคิดหลอกลวงผู้อื่น โดยการแกล้งทำเป็นพูดดีและทำดี จึงเป็นการคิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดี เช่น คนหลอกลวงจะแกล้งทำเป็นพูดดี ทำดี เพื่อให้เหยื่อตายใจ,  คนที่คิดโกงการเลือกตั้งเป็นคนไม่ดีมาก แต่แกล้งทำเป็นคนพูดดีมากและทำดีมาก เพื่อหวังจะได้รับการเลือกตั้ง เป็นต้น.  คนที่ได้รับสินบนหรือคนขายคะแนนเสียงของตน ก็เป็นคนที่ไม่ดีมากเช่นกัน เพราะร่วมมือกันโกงชาติบ้านเมือง.

คนที่ก่อการร้ายด้วยการทำลายชีวิต ทรัพย์สินของผู้อื่น และของชาติบ้านเมืองอย่างรุนแรง ก็เพราะหลงเชื่อคนที่คิดไม่ดี จึงถ่ายทอดข้อมูลไม่ดีมาไว้ในความจำของตน แล้วนำเอาข้อมูลไม่ดีมาใช้ในการคิดก่อการร้ายและลงมือทำตามความคิดในขณะนั้น.

นักศึกษาอาชีวะที่ชอบทำร้ายซึ่งกันและกัน ก็เพราะการถ่ายทอดความพยาบาทหรือจองเวรจากรุ่นพี่มาเก็บไว้ในความจำของตน จึงทำให้นักศึกษาอาชีวะบางคนที่หลงเชื่อรุ่นพี่ พลอยมีจิตที่เป็นอกุศลเช่นเดียวกับรุ่นพี่ไปด้วย.

ที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องเองก็ไม่มีหรือมีข้อมูลกุศลในความจำ หรือถ้ามี ก็มีน้อยมาก ไม่เพียงพอที่จะกลั่นกรองคำพูดและการกระทำของตน.

เมื่อเป็นเช่นนี้ รุ่นน้องจึงจำเรื่องอกุศลอย่างรุนแรงไว้ในความจำ ขณะเดียวกัน รุ่นน้องก็ไม่มีความสามารถในการควบคุมความคิดของตนเอง จึงใช้ข้อมูลอกุศลในความจำนำมาเป็นพื้นฐานในการคิดร้ายและลงมือทำร้ายนักศึกษาอาชีวะต่างสถานศึกษาบ่อยครั้ง และมักจะมีความรุนแรงด้วย.

การมีพิธีรับน้องใหม่ในอดีตเป็นเรื่องที่ดีงาม เพราะรุ่นพี่ในอดีตมีพื้นฐานทางจิตใจที่เป็นกุศลหรือมีความฉลาดทางอารมณ์ แต่ในยุคปัจจุบัน รุ่นพี่บางคนมีจิตที่เป็นอกุศลมาก จึงคิดแกล้ง คิดเบียดเบียนน้องใหม่ในรูปแบบต่าง ๆ  โดยการเอาวิธีการที่ไม่ถูกต้องมาใช้เพื่อความสนุกสนาน สะใจ รุนแรง ก้าวร้าว ลามก เพื่อให้สมกับความคิดที่เป็นอกุศล จึงเกิดการเบียดเบียนน้องใหม่อย่างรุนแรงและกว้างขวางมากขึ้นทุกปี ดังที่ทราบกันอยู่.

การปรับเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ โดยการต้อนรับน้องใหม่หรือรับขวัญน้องใหม่ด้วยจิตใจที่เป็นกุศล ก็จะเป็นเรื่องที่ดีงาม และทางราชการก็ควรสนับสนุนให้นิสิตและนักศึกษามีกิจกรรมอย่างกว้างขวาง เพื่อจะเป็นขวัญ กำลังใจ ความอบอุ่น ความปรารถนาดี ที่ก่อให้เกิดความรัก ความผูกพัน และความสามัคคีในหมู่คณะด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือด้วยความฉลาดทางอารมณ์.

 

ความจำ เป็นปัจจัยพื้นฐานของการคิดอกุศล

คนที่ชอบคิดและทำอกุศลนั้น มีเหตุปัจจัยพื้นฐาน คือ การมีข้อมูลอกุศลอยู่ในความจำอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีอิทธิพลต่อความคิดโดยตรง คือ ทำให้เกิดการคิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดีต่อกัน และเมื่อมีการคิดปรุงแต่งอกุศลเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ก็จะเกิดการคิดอกุศลอย่างรุนแรงจนกลายเป็นความยึดมั่นที่จะต้องทำให้เป็นไปตามความคิดที่เป็นอกุศลนั้น ๆ.

ทุกครั้งที่มีการคิดและทำอกุศลเกิดขึ้น สมองก็จะจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ถ้ายิ่งคิดและมีการทำอกุศลที่รุนแรงมากขึ้น ข้อมูลในความจำก็จะมีจำนวนมากและรุนแรงขึ้นตามสัดส่วนด้วย.

ข้อมูลอกุศลที่มีอยู่ในความจำนั้น เป็นแหล่งข้อมูลที่จะถูกนำมาใช้ในการคิดครั้งต่อไป.

การคิดอกุศลในเรื่องใดก็ตาม ข้อมูลอกุศลในเรื่องนั้น ก็จะถูกนำมาเป็นพื้นฐานในการคิดปรุงแต่งอกุศลเพิ่มเติม.

ครั้นคิดปรุงแต่งเสร็จ สมองก็จะจดจำเอาไว้อีก จึงเป็นผลให้ข้อมูลอกุศลในความจำมีจำนวนมากขึ้น และความรุนแรงก็มักจะมากขึ้นเรื่อย ๆ  เช่น บางคนคิดโกรธคนที่ตนเกลียดบ่อยครั้ง ครั้นเห็นหน้าคนที่ตนเกลียดก็โกรธทันที เพราะเป็นการเอาข้อมูลเดิมในความจำมาคิดต่อเติมนั่นเอง เป็นต้น.

คนที่มีนิสัยคิดร้ายและทำร้ายคนอื่นอย่างรุนแรงอยู่เสมอ จึงทำให้มีข้อมูลคิดร้ายและทำร้ายคนอื่นอย่างรุนแรงอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก.  ครั้นมีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้น ถึงแม้จะไม่รุนแรงนัก แต่ก็อาจคิดร้ายและทำร้ายผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงด้วย.

คนที่คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น คือ คนคิดไม่ดี เพราะพื้นฐานทางจิตใจไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.

ความคิดมีอำนาจมากเพราะเป็นหัวหน้าของการกระทำต่าง ๆ ทางกาย วาจา ใจ.

          เมื่อบริหารความคิดได้ ก็จะสามารถบริหารความรู้สึก นึก คิด จำ และการรู้เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจได้โดยง่าย.

          การบริหารความคิดจึงเป็นการบริหารจิตใจและชีวิตของตนเองอย่างตรงประเด็นที่สุด.

            ถึงแม้ว่าจะมีข้อมูลอกุศลอยู่ในความจำเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ถ้าตั้งเจตนาว่า จะมีความเพียร มีสติคิดแต่กุศล แล้วฝึกฝนตนเองด้วยความจริงใจและจริงจัง เพื่อให้เป็นไปตามเจตนาที่ได้ตั้งเอาไว้ ก็จะสามารถเอาชนะอิทธิพลของข้อมูลอกุศลในความจำได้ แต่ต้องเพียรฝึกฝนตนเองตลอดชีวิต.

 

ขอให้กำลังใจว่า วิธีบริหารความคิดเป็นเรื่องไม่ยากเลย

            ขอให้กำลังใจกับท่านผู้อ่านว่า วันนี้ท่านอาจจะบริหารความคิดไม่เก่งหรือเก่งแล้วก็ตาม ท่านก็ยังคงต้องมีความเพียรในการฝึกบริหารความคิดของตนเองไปตลอดชีวิต.

            บางคนเชี่ยวชาญในการคิดอกุศล จนมีข้อมูลอกุศลอยู่ในความจำเป็นจำนวนมาก ข้อมูลเหล่านี้มีพลังเพราะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่หยั่งรากฝังลึกอยู่ในความจำมาเป็นเวลาช้านานจนกลายเป็นนิสัย.  ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกฝนตนเองนานพอควร จนกระทั่งสามารถเพิ่มข้อมูลด้านกุศลได้มากพอที่จะเอาชนะข้อมูลอกุศลที่มีอยู่แต่เดิม.

            การบริหารความคิดจะเป็นเรื่องง่าย ๆ  ถ้าท่านมีความเพียรในการศึกษาเรื่องของจิตใจและฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันของตนเองอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และต่อเนื่อง.

            จิตใจของคนเรานั้น จะดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ สงบหรือไม่สงบ สบายหรือไม่สบาย บริสุทธิ์ผ่องใสหรือขุ่นมัวก็เพราะความคิดนี่เอง.

            เมื่อบริหารความคิดจนสามารถคิดแต่กุศลได้ตามสมควรแล้ว ก็จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่ชนะใจตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก.

 

**********

 

ก่อนอ่านบทนี้ กรุณาฝึกบริหารความคิดในชีวิตประจำวันขั้นที่ ๓ เสียก่อน

 

บทที่ ๑๐

ขั้นตอนที่ ๒.  ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น

จากการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์

 

เชาว์ปัญญาเป็นเรื่องของการมีความรู้และความสามารถในการศึกษาเล่าเรียน ปฏิบัติงาน และการดำเนินชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัย ๔ และอื่น ๆ สำหรับใช้ในการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน โดยมุ่งไปในเรื่องของร่างกาย วัตถุ สิ่งของ ทรัพย์สมบัติ การงาน ตำแหน่ง ชื่อเสียง เกียรติยศ คู่ครอง ครอบครัว ซึ่งเป็นรูปธรรมที่คนทั่วไปสามารถรู้เห็นได้ จึงจัดว่า เป็นความรู้และความสามารถทางรูปธรรมหรือสติปัญญาทางโลก.

เพื่อให้ข้อความกระชับและช่วยให้ท่านผผู้อ่านเข้าใจและจดจำได้โดยง่าย จึงขอใช้คำว่า “สติปํญญาทางโลก” หรือ “ความรู้” แทนคำว่า “เชาว์ปัญญา” ในบางประโยค ตามความเหมาะสม.

ส่วนเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยนั้น เป็นเรื่องของจิตใจหรือนามธรรม ซึ่งเป็นความฉลาดทางอารมณ์ด้วยการมีคุณธรรม จึงขอใช้คำว่า “สติปัญญาทางคุณธรรม” หรือ “คุณธรรม” แทนคำว่า “ความฉลาดทางอารมณ์” ในบางประโยคเช่นกัน.

การใช้สติปัญญาทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป ก็คือการใช้ “ความรู้คู่คุณธรรม” เพื่อดูแลชีวิต ทรัพย์สิน ให้อยู่รอดและปลอดภัย.

 

ปัญหาต่าง ๆ ของคนในยุคปัจจุบัน

            คนที่มีความรู้แต่ไม่มีคุณธรรมอาจสร้างความทุกข์และปัญหาต่าง ๆ ให้กับตนเองและหรือผู้อื่นได้โดยง่ายจากการคิด การพูด และการกระทำที่เป็นอกุศลของตนเอง เช่น กังวล เครียด นอนไม่หลับ พูดจาจาบจ้วง เสียดสี ก้าวร้าว เชือดเฉือน ให้ร้าย ป้ายสี ปล่อยข่าวลือ นินทา ป้อยอ ฉ้อโกง โกงกิน เรียกเปอร์เซ็นต์ หลอกลวง กลั่นแกล้ง ขัดเคือง โกรธ แค้นเคือง พยาบาท เป็นต้น.

            บางคนอารมณ์ไม่ดีมากจนถึงขั้นสร้างปัญหาที่รุนแรง โดยการเบียดเบียนตนเองในรูปแบบต่าง ๆ ถึงขั้นฆ่าตัวตายก็มี.  บางคนอาจสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นด้วยการเบียดเบียนหรือทำร้ายผู้อื่นอย่างรุนแรง โดยการเรียกค่าคุ้มครอง ข่มขู่ ปล้น ทำร้ายทั้งร่างกาย และทรัพย์สิน ฆ่า ตลอดจนก่อการร้ายในรูปแบบต่าง ๆ.

            บางคนมีความทุกข์ทางจิตใจมาก จึงเป็นผลให้เกิดการเจ็บป่วยทางกายขึ้นมาอีก.

            ในทุกเพศและทุกวัย จะมีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย จากการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.

คนมีความรู้สูงแต่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ ครั้นมีอำนาจหน้าที่หรือมีตำแหน่งสูงก็อาจคิดอกุศลและทำอกุศลได้อย่างรุนแรงโดยไม่รู้ตัว.  คนกลุ่มนี้จึงเป็นบุคคลอันตรายมาก เพราะตั้งใจโกงกินองค์กรของตนเอง และโกงกินชาติบ้านเมืองในรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยเป็นที่เกิดและที่อยู่อาศัยของตนเองและบรรพบุรุษ.

การคิดอกุศลและทำอกุศลของบุคคลเหล่านี้เป็นสาเหตุของปัญหาที่รุนแรง ยุ่งยากและซับซ้อน.  เราควรที่จะช่วยกันกำจัดให้หมดไปอย่างจริงจังและรวดเร็ว เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นานวัน ก็อาจจะขยายเผ่าพันธุ์ของการคิดอกุศลและทำอกุศลออกไปอย่างกวว้างขวาง เช่นเดียวกันกับปัญหาของผู้มีอิทธิพลซึ่งมีอยู่มากมาย.

บุคคลเหล่านี้จึงเป็นผู้ที่เลวร้ายยิ่งกว่ามหาโจรเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ จึงทำให้สามารถทำความชั่วได้อย่างแนบเนียนถึงขั้นวิกฤต.

 

ความฉลาดทางอารมณ์เป็นเรื่องของจิตวิทยาและสุขภาพจิต

อารมณ์ต่าง ๆ นั้น เกิดจากความคิด เช่น ขณะคิดอกุศล(คิดไม่ดี) อารมณ์ในขณะนั้นก็จะเป็นอารมณ์อกุศล(ไม่ดี) และในขณะที่คิดกุศล(คิดดี) อารมณ์ในขณะนั้นก็จะเป็นอารมณ์กุศล(ดี).

ขณะที่มีอารมณ์อกุศลเกิดขึ้นจากการคิดอกุศล ผู้ที่มีสติปัญญาทางคุณธรรมหรือมีความฉลาดทางอารมณ์ก็จะรู้ได้ด้วยตนเองว่า อารมณ์อกุศลกำลังเกิดขึ้น.  ครั้นมีสติหยุดคิดอกุศลได้ ก็จะรู้ได้ด้วยตนเองว่า อารมณ์อกุศลหมดไปแล้ว.

เรื่องของอารมณ์และความคิดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในจิตใจซึ่งเป็นนามธรรม จึงไม่มีใครรู้เห็นได้เลยนอกจากตนเอง. 

ดังนั้น เจ้าตัวจำเป็นจะต้องรู้เห็นและกำจัดความคิดที่เป็นอกุศลหรืออารมณ์อกุศลให้หมดไปด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครสามารถกำจัดให้ได้ ต้องพึ่งสติปัญญาทางคุณธรรมหรือความฉลาดทางอารมณ์ของตนเอง.

การไม่มีความรู้ในเรื่องอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากการคิดอกุศล ย่อมทำให้ไม่รู้ตัวเองว่า กำลังมีอารมณ์อกุศลขึ้นแล้ว จึงไม่สามารถกำจัดอารมณ์อกุศลให้หมดไป เป็นผลให้ต้องจมอยู่กับอารมณ์อกุศลหรือมีอารมณ์อกุศลมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว.

ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยจึงเป็นเรื่องของวิชาจิตวิทยาและสุขภาพจิตแนวภูมิปัญญาไทย เพราะเป็นเรื่องของจิตใจและสุขภาพจิตโดยตรง ซึ่งประกอบด้วยเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพจิตให้มีสุขภาพจิตดีหรือมีอารมณ์เป็นกุศล ป้องกันอารมณ์อกุศลไม่ให้เกิดขึ้น กำจัดหรือรักษาอารมณ์อกุศลที่กำลังมีอยู่ให้หมดไป และฟื้นฟูจิตใจภายหลังการมีอารมณ์อกุศลให้กลับมามีสุขภาพจิตดีได้อย่างรวดเร็ว.

เพื่อให้การนำเสนอครอบคลุมเนื้อหาในเรื่องปัญหาต่าง ๆ จากการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยหรือจากการคิดอกุศล จึงแบ่งปัญหาออกเป็น ๓ หัวข้อหลัก ดังนี้ :-

๑.  ความทุกข์ที่จิตใจและร่างกาย

๒. ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงอายุต่าง ๆ

            ๓. ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง.

          โปรดอย่าลืมว่า ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยนั้น เป็นความฉลาดทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้สติปัญญาทางคุณธรรมบริหารความคิดของตนเอง ไม่ให้คิดอกุศล ให้คิดแต่กุศล เพื่อที่จะพูดแต่กุศล ทำแต่กุศล และทำจิตใจของตนให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่อง.

 

ตอน ๑.  ความทุกข์ที่จิตใจและร่างกาย

            คนที่ไม่สามารถบริหารความคิดของตนเองให้มีจิตใจบริสุทธิ์ผ่องใสได้ คือ คนที่ไม่สามารถหยุดความคิด และควบคุมการคิดของตนเองไม่ให้คิดอกุศลได้ จึงมีโอกาสที่จะคิดอกุศล.  ครั้นคิดอกุศลก็จะเป็นผลให้เกิดการพูดอกุศล ทำอกุศล เป็นทุกข์ และสร้างปัญหาต่าง ๆ ให้กับตนเองและหรือผู้อื่นได้โดยง่าย.

 

ความทุกข์ต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการคิดอกุศล

            เพื่อให้เข้าใจเรื่องของความทุกข์อย่างชัดเจน จึงควรสังเกตเรื่องของความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน กล่าวคือ เมื่อนั่งท่าเดียวเป็นเวลานาน จะมีอาการปวดเมื่อยเกิดขึ้นที่ร่างกาย ความปวดเมื่อยที่ร่างกายย่อมส่งผลให้จิตใจเป็นทุกข์ไปด้วย สมองจึงคิดเปลี่ยนท่าของการนั่ง เพื่อดับความทุกข์ที่ร่างกาย ครั้นได้เปลี่ยนท่านั่งแล้ว ความทุกข์ทางร่างกายและจิตใจจากการนั่งในท่าเดิมก็หมดไป.

            คนที่บาดเจ็บอย่างรุนแรงย่อมทำให้มีความทุกข์อย่างรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะธรรมชาติของชีวิตเป็นเช่นนั้นเอง.

          ดังนั้น คนทั่วไปที่มีร่างกายและจิตใจเป็นปรกติ เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องมีความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่เหตุปัจจัยในขณะนั้น ๆ.

            คนที่อยากมีความก้าวหน้าของชีวิตย่อมมีความบีบคั้นทางจิตใจหรือมีความทุกข์ทางจิตใจ จึงทำให้มีความเพียร มีสติในการศึกษาเล่าเรียน หรือปฏิบัติงานอย่างดีที่สุด เพื่อลดหรือดับความทุกข์ของตนเอง.  ความทุกข์ทางจิตใจดังกล่าวแล้ว ถ้าเป็นความทุกข์ที่พอเหมาะพอควร คือ ไม่ถึงขั้นที่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีงาม และเป็นกุศลด้วย.

            ความทุกข์ทางจิตใจที่ไม่ได้เกิดจากการคิดอกุศลเป็นความทุกข์ตามปรกติที่ทุกคนพึงมีได้ เช่น ความทุกข์ใจจากการหิวอาหาร ปวดปัสสาวะ เจ็บป่วย อากาศร้อนจัด กลิ่นเหม็น ของหาย โดนรังแก เป็นต้น.

            คนที่ไม่มีความทุกข์ทางจิตใจเลยจึงเป็นคนที่ไม่ปรกติ เช่น สมองชอกช้ำมากจนหมดสติ คนที่สมองพิการ สมองตาย เป็นต้น  ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นที่สมอง.

            คนที่กำลังนอนหลับสนิท กำลังสลบจากการได้รับยาสลบ จะไม่มีความทุกข์ เพราะสมองหยุดการคิด และหยุดการรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ เป็นการชั่วคราว.

            ความทุกข์ต่าง ๆ เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย โดยไม่คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นถือว่า เป็นเรื่องปรกติและเป็นธรรมชาติที่คนทั่วไปพึงมี เพราะเป็นตัวช่วยให้เกิดการตื่นตัวที่จะกำจัดความทุกข์ต่าง ๆ ให้หมดไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีงาม.

 

ความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคิดอกุศล

คนที่คิดอกุศล คือ คนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.  ขณะที่คิดอกุศล อารมณ์ในขณะนั้นก็จะเป็นอกุศล และความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นทันที เพราะการทำงานตามธรรมชาติของสมองมนุษย์เป็นเช่นนั้นเอง.

ความทุกข์เป็นเรื่องปรกติที่คนทั่วไปพึงมีด้วยกันทั้งนั้น แต่คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์จะไม่มีความทุกข์ที่เกิดจากการคิดอกุศลหรือจากการคิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.

ถ้าคิดอกุศลอย่างรุนแรง ความบีบคั้นทางจิตใจหรือความทุกข์ทางจิตใจก็จะรุนแรงไปตามสัดส่วนด้วย.

เมื่อมีความทุกข์ทางจิตใจอย่างรุนแรง อวัยวะต่าง ๆ ก็จะทำงานผิดปรกติไปด้วย อาจเป็นผลให้เกิดการเจ็บป่วยทางร่างกายซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก เพราะธรรมชาติของร่างกาย สมอง และจิตใจนั้น เป็นเรื่องที่แยกออกจากกันไม่ได้.

ท่านคงจะระลึกได้ว่า ไม่ว่ากำลังทำกิจอะไร ก็มักจะมีความคิดแวบขึ้นมาเป็นครั้งคราว.

ความคิดที่แทรกหรือแวบขึ้นมาเป็นครั้งคราวโดยไม่ได้ตั้งใจคิดนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปรกติ เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง และเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องมีความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ.

ขณะมีปัญหาที่รุนแรงเกิดขึ้น  ความคิดที่แวบขึ้นมาจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพื่อเป็นตัวตั้งต้นของความคิด.

ความคิดที่แวบขึ้นมาเป็นครั้งคราวนั้น อาจเป็นเรื่องกุศล หรืออกุศลก็ได้ และในวินาทีที่แวบเรื่องอกุศลขึ้นมา ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นมาแวบหนึ่ง เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง ให้ถือว่าเป็นเรื่องปรกติที่คนทั่วไปพึงมีพึงเป็นด้วยกันทั้งนั้น.

ความทุกข์ที่เกิดจากการคิดปรุงแต่งอย่างเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา จะด้วยความตั้งใจคิด หรือคิดแบบฟุ้งซ่านก็ตาม ถ้าเป็นการคิดอกุศล ก็ถือว่าเป็นความทุกข์จากการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นความทุกข์ที่ต้องรีบกำจัดให้หมดไปในวินาทีนั้น.

ภาวะของความทุกข์แบบต่าง ๆ ที่เกิดจากการคิดอกุศล คือ ถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นนั้น โดยย่ออาจแบ่งเป็น ๓ แบบ.  เพื่อให้เข้าใจและจดจำได้โดยง่าย จึงขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดตรวจสอบกับข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ตรงของท่านเองในทุกแบบด้วย ดังนี้ :-

            แบบที่ ๑.  ความทุกข์ภายในจิตใจ.  ความทุกข์ภายในจิตใจเป็นภาวะของจิตใจในลักษณะต่าง  เช่น กังวล เครียด หวั่นไหว กลัว พรั่นพรึง กลุ้มใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง ซึมเศร้า สับสน ห่อเหี่ยว ท้อแท้ เบื่อหน่าย น้อยใจ เสียใจ อิจฉา ริษยา ขัดเคือง โกรธ แค้นเคือง พยาบาท รวมทั้งความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ ไม่พอใจในเรื่องต่าง ๆ ที่มากกว่าปรกติ เป็นต้น.

            ความทุกข์จากการคิดอกุศลนั้น เริ่มต้นจากการคิดอกุศลหรือคิดเรื่องที่เป็นทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงเป็นผลให้เกิดการต่อยอดของความคิดจนกลายเป็นความกังวล และถ้ายังควบคุมความคิดไม่ได้หรือปล่อยให้คิดกังวลต่อไปอีก ความกังวลก็จะต่อยอดมากขึ้นจนกลายเป็นความกังวลมาก.

ยิ่งมีความกังวลมาก อารมณ์กังวลก็จะมากขึ้น.  ยิ่งเครียดมาก อารมณ์เครียดก็จะมากขึ้น.  ยิ่งหวั่นไหวมาก อารมณ์หวั่นไหวก็จะมากขึ้น.  ยิ่งกลัวมาก อารมณ์กลัวก็จะมากขึ้น และความบีบคั้นทางจิตใจหรือความทุกข์ก็จะมากขึ้นด้วย.

ดังนั้น ความทุกข์แบบต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการคิดอกุศล หรือมีอารมณ์อกุศล หรือมีจิตอกุศล.

            การไม่มีความฉลาดทางอารมณ์จึงทำให้เกิดความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว เพราะไม่มีความรู้และความสามารถในการบริหารความคิดนั่นเอง.

            แบบที่ ๒.  ความทุกข์ทางจิตใจที่แสดงอาการออกมาภายนอก.  การคิดอกุศลอย่างรุนแรง จะบีบคั้นจิตใจหรือทำให้มีความทุกข์ทางจิตใจเป็นอย่างมาก จึงต้องระบายความทุกข์ออกมาภายนอก โดยการแสดงออกมาทางคำพูดและการกระทำต่าง ๆ  เช่น มีอาการกระสับกระส่าย ร้องไห้ คร่ำครวญ รำพึงรำพัน สับสน ดุดัน หน้านิ่วคิ้วขมวด กลัว เศร้าสร้อย ก้าวร้าว ทำลายสิ่งของ ทำร้ายตนเอง ฉ้อโกง โกงกิน กินตามน้ำ ทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น แย่งชิงตำแหน่ง แย่งชิงทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกายและจิตใจของผู้อื่น เยินยอ ประจบประแจง สอพลอ ให้สินบน ช่างพูด โกหก พูดหยาบ นินทา ว่าร้าย พูดเท็จ ส่อเสียด เหน็บแนม เพ้อเจ้อ เหลวไหล พูดหลอกลวง พูดเพื่อทำลายความเชื่อถือของผู้อื่น ทำความอกุศลต่าง ๆ นานา เป็นต้น.

            แบบที่ ๓.  ความทุกข์ทางร่างกายและโรคต่าง ๆ ที่สืบเนื่องมาจากการมีความทุกข์ทางจิตใจ.  ความทุกข์ทางจิตใจที่รุนแรงหรือเรื้อรัง จะทำให้เกิดความทุกข์ทางร่างกายและโรคต่าง ๆ ได้โดยตรง เช่น เกิดอาการมึนงง ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง กระเพาะอาหารอักเสบ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ท้องอืด ท้องผูก ลำไส้ใหญ่อักเสบ ถ่ายบ่อย เป็นเบาหวานรุนแรงขึ้น ร่างกายผ่ายผอม นอนไม่หลับ หมดแรง ปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ ข้ออักเสบ ภูมิต้านทานลดลง ติดเชื้อง่าย ภูมิแพ้ ร่างกายอ่อนแอ หายป่วยช้า ผมร่วง ใจสั่น หายใจไม่เต็มอิ่ม วิงเวียน หน้ามืด เป็นลม เจ็บที่หัวใจ หลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองตีบตันหรือแตก อัมพาต โรคหัวใจ มะเร็ง ปวดประจำเดือน ประจำเดือนผิดปรกติ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น.

เนื่องจากร่างกายและจิตใจถูกควบคุมด้วยการทำงานของสมอง.  ดังนั้น ขณะที่สมองคิดอกุศล หรือคิดในเรื่องที่เป็นทุกข์ จิตใจก็จะเป็นทุกข์ และร่างกายก็จะทำงานผิดปรกติไปด้วย จึงเป็นผลให้เกิดความทุกข์ทางร่างกายหรือเกิดการเจ็บป่วยทางร่างกายได้ เพราะธรรมชาติของชีวิตมนุษย์เป็นเช่นนั้นเอง.

คนที่มีความทุกข์ทางจิตใจจากการคิดอกุศลในขณะที่มีโรคทางร่างกายและจิตใจอยู่แล้ว จะทำให้หายได้ยาก และอาจซ้ำเติมโรคที่เป็นอยู่แล้วให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งทำให้เกิดโรคใหม่มาแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย.

ความทุกข์ทางร่างกายที่แสดงออกมานั้น เกิดในขณะที่กำลังมีความทุกข์ทางจิตใจ เมื่อความทุกข์ทางจิตใจหมดไป ความทุกข์ทางร่างกายก็จะหมดไปด้วย หรือค่อย ๆ หายไป.

สำหรับการเจ็บป่วยทางร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เช่น เป็นแผลในกระเพาะ ข้ออักเสบ ภูมิแพ้ ก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการรักษาทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ(ทางคุณธรรม)ควบคู่กันไป.

 

          ความหมายของความทุกข์ทั่วไป คือ ความไม่สบายใจและความไม่สบายกาย.

ความทุกข์จากการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์มี ๓ แบบ ซึ่งเกิดขึ้นจากการคิดอกุศล.  ยิ่งคิดอกุศลมากเท่าไร การทำอกุศลก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และความทุกข์ในแบบต่าง ๆ ก็จะมากขึ้นด้วย.

คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมพ้นจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการคิดอกุศลตามกำลังสติปัญญาทางคุณธรรมของตนเอง.

 

ตอน ๒.  ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงอายุต่าง ๆ.

            ในทุกช่วงอายุของชีวิตมนุษย์ ทุกคนควรมีและใช้ความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยดูแลจิตใจของตนเองให้ห่างไกลจากอกุศลทั้งปวง เพื่อให้เกิดความเจริญ ความผาสุก และความมั่นคงของชีวิต รวมทั้งไม่ทุกข์จากการคิดอกุศล.

เพื่อให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ในทุกช่วงของชีวิต จึงขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงของปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตต่าง ๆ  ดังต่อไปนี้ :-

ช่วงที่ ๑.  ช่วงเป็นเด็กเล็ก

ช่วงที่ ๒.  ช่วงเป็นนักเรียนและนักศึกษา

ช่วงที่ ๓.  ช่วงทำงาน

ช่วงที่ ๔.  ช่วงเลือกเพื่อนสนิทและคู่ครอง

ช่วงที่ ๕. ช่วงมีครอบครัว

ช่วงที่ ๖. ช่วงมีลูกหลาน

ช่วงที่ ๗. ช่วงสูงอายุ

ช่วงที่ ๘. ช่วงสูญเสีย พลัดพราก เจ็บป่วย พิการ ตาย.

 

ช่วงที่ ๑.  ช่วงเป็นเด็กเล็ก

            เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ในช่วงที่เป็นเด็กเล็ก คือ ตั้งแต่เกิดจนเข้าเรียนในชั้นอนุบาลนั้น เด็ก ๆ จะมีการพัฒนาการของร่างกายเป็นอย่างมาก และสมองก็เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีพัฒนาการมากเช่นกัน.  สมองในช่วงที่เป็นเด็กเล็กนี้ สามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้ในความจำได้เป็นจำนวนมากอีกด้วย.

            ข้อมูลที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้สัมผัสในรูปแบบต่าง ๆ จะถูกจดจำไว้ในความจำของช่วงชีวิตที่เป็นเด็กเล็กนี้ ซึ่งจะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินชีวิตต่อไป.

            ดังนั้น ช่วงเวลาตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอนุบาลจึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับการเริ่มต้นชีวิตที่มีความฉลาดทางอารมณ์ โดยไม่ปล่อยให้คนเลี้ยงเด็กดูแลไปตามยถากรรม.

          เด็กเล็กที่ขาดการเอาใจใส่ในการสั่งสอน ขาดการฝึกอบรมในเรื่องคุณธรรมที่ดีงามในรูปแบบต่าง ๆ  ย่อมทำให้ไม่ได้รับข้อมูลที่ดี หรือไม่มีข้อมูลที่ดีอยู่ในความจำ จึงเป็นผลให้ไม่มีข้อมูลที่ดีสำหรับใช้ในการคิด จึงเกิดการคิดไม่ดี เป็นผลให้มีจิตใจไม่ดี หรือมีอารมณ์ไม่ดีไปด้วย.

            เด็กที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่ได้สิ่งที่เป็นไปตามความคิด ก็มักจะแสดงอารมณ์ไม่ดีออกมา โดยแสดงออกทางคำพูดและการกระทำในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผิดไปจากเด็กปรกติ เช่น แสดงอาการหงุดหงิด อ่อนไหว อิจฉา กลัว โกรธ ส่งเสียงกรีดร้อง ดิ้นรน กระทืบเท้า ร้องไห้ ก้าวร้าว ทำลายสิ่งของ ทำร้ายตนเอง ทำร้ายผู้อื่น เป็นต้น.

            ครั้นเด็กคิดไม่ดีและมีอารมณ์ไม่ดีบ่อยครั้ง ก็จะเกิดการต่อยอดข้อมูลที่ไม่ดีในความจำและฝังแน่นอยู่ในความจำมากขึ้น.

            ยิ่งมีข้อมูลที่ไม่ดีอยู่ในความจำเป็นจำนวนมากขึ้น เด็กก็จะมีโอกาสคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี และเป็นทุกข์ตามแบบต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว.

            เมื่อคิดไม่ดีเป็นประจำก็จะกลายเป็นคนที่มีนิสัยไม่ดี ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีข้อมูลไม่ดีเป็นจำนวนมากฝังแน่นอยู่ในหน่วยความจำของสมอง จึงกลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมไม่ดี ซึ่งยากต่อการกำจัดข้อมูลที่ไม่ดีให้หมดไป เพราะธรรมชาติของสมองเป็นเช่นนั้นเอง.  เด็กเล็กจึงควรได้รับการสอนและการฝึกอบรมให้รู้จักการดำเนินชีวิตด้วยการคิดดี พูดดี และทำดี ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อให้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความฉลาดทางอารมณ์.

           

ช่วงที่ ๒.  ช่วงเป็นนักเรียนและนักศึกษา

            นักเรียนและนักศึกษาเป็นช่วงอายุของวัยรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อวัยวะต่าง ๆ  สารเคมีในร่างกาย ฮอร์โมน สัญชาตญาณ อิทธิพลของพันธุกรรมที่มีต่อพฤติกรรม ประกอบกับมีการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสิ่งแวดล้อมมาก จึงทำให้จิตใจหรืออารมณ์ของวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก.

            ความคิดของวัยรุ่นบางคนมักจะรวดเร็ว ไม่รอบคอบ ไม่ถูกต้อง ไม่ค่อยมีเหตุผล เป็นไปเพื่อการดูทางตา ฟังทางหู ดมกลิ่นทางจมูก ลิ้มรสทางลิ้น สัมผัสบุคคลและสิ่งต่าง ๆ ทางกาย. 

            ความคิดของคนวัยรุ่นจึงแตกต่างไปจากความคิดของเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีการถ่ายทอดข้อมูลที่ไม่ดีจากเพื่อน ผู้ข้างเคียง สังคม และสื่อต่าง ๆ  จึงเป็นผลให้ข้อมูลอกุศลในความจำของวัยรุ่นมีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีความรุนแรงด้วย.

        การมีข้อมูลอกุศลในความจำเป็นจำนวนมากและมีข้อมูลกุศลในความจำเป็นจำนวนน้อย ก็จะทำให้การคิดอกุศลเกิดขึ้นได้โดยง่าย จึงเป็นผลให้เกิดการพูดและการกระทำต่าง ๆ ที่เป็นอกุศล ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาต่อตนเองและหรือผู้อื่นได้โดยง่ายเช่นกัน.

            นักเรียนและนักศึกษาที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ก็มักจะเป็นคนฟุ้งซ่าน หนีเรียน ไม่ตั้งใจเรียน หลับในห้องเรียน ชอบพูดคุยในขณะเรียน เอากิจอื่นมาทำในชั้นเรียน ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่และการงานตามที่ได้รับมอบหมาย ไม่มีมารยาท ไม่มีความเพียร ไม่มีสติ(ไม่ตั้งใจ)ในการศึกษาเล่าเรียน ขี้เกียจ ไม่ช่วยงานทางบ้าน ดื้อรั้น ก้าวร้าว ทำร้ายผู้อื่นหรือยกพวกตีกัน ชอบเที่ยว ชอบคุย ชอบใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัดพลังงาน ใช้จ่ายเกินฐานะ แต่งตัวไม่เหมาะสม รัดรูป สั้นเต่อ โป๊ ไม่มีวัฒนธรรม มีความเห็นแก่ตัว ชอบความสนุกที่เป็นอกุศล มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยและเวลาอันควร ฝ่าฝืนกฎข้อบังคับ ชอบซิ่งรถหรือแข่งรถกันบนถนนหลวง ติดการเล่นเกม พนันฟุตบอล สิ่งเสพติด เพราะไม่สามารถหยุดและควบคุมการคิดที่ไม่ถูกต้อง(อกุศล)ได้ จึงปล่อยให้คิดอกุศล พูดและทำอกุศลเป็นประจำ เป็นผลให้การศึกษาเล่าเรียนไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ผู้ที่เกี่ยวข้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย และอาจทำลายอนาคตของตนเองและหรือผู้อื่นได้โดยง่าย.

            มักจะมีข่าวอยู่เสมอว่า วัยรุ่นฆ่าตัวตาย ฆ่าคนรัก ฆ่าคนที่แย่งชิงคนรักไป ก่อการร้าย ฉกชิงวิ่งราว ปล้นทรัพย์ โทรมหญิง แสดงบทรักกันบนรถประจำทาง ขายตัว ตั้งครรภ์และมีบุตรในขณะยังไม่พร้อม เป็นโรคต่าง ๆ จากเพศสัมพันธ์ ก็เพราะไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ จึงคิดอกุศล ทำอกุศล สร้างความทุกข์และปัญหาในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วให้กับตนเองและหรือผู้อื่นได้อีกด้วย.

          ธรรมชาติเด็กวัยรุ่นจะมีอารมณ์ที่แกว่งไกวไปจากทางสายกลางมาก เช่น เวลาได้มาหรือเป็นไปตามความคิดก็มักจะดีใจมาก เวลาไม่ได้มาหรือไม่เป็นไปตามความคิดก็มักจะเสียใจหรือโกรธมาก เวลารักก็มักจะรักแบบลุ่มหลง เวลาเชื่อก็อาจหลงเชื่ออย่างงมงาย เวลาเกลียดก็มักจะเกลียดอย่างรุนแรง เวลาท้อแท้ก็มักจะท้อแท้อย่างสุด ๆ  เป็นต้น.

          การที่วัยรุ่นมีอารมณ์อ่อนไหวหรือแกว่งไกวมากก็เพราะขาดการเรียนรู้และขาดการฝึกบริหารความคิดให้มีความฉลาดทางอารมณ์ จึงคิดอกุศลและทำอกุศลอย่างรุนแรงโดยไม่มีสติปัญญาทางคุณธรรมในการยับยั้งความคิดของตนเองไม่ให้คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น.

            วัยรุ่นเป็นจำนวนไม่น้อยเลยที่มีความเห็นแก่ตัว ใจดำ เอาเปรียบแม้แต่บิดามารดาของตนเองในรูปแบบต่าง ๆ  เช่น ชอบตื่นสาย ขี้เกียจ ไม่ช่วยงานบ้าน ใช้เงินเกินฐานะ มุ่งเสพกาม เฝ้าแต่หน้าจอโทรทัศน์ เล่นเกม คุยโทรศัพท์ครั้งละนาน ๆ  ไม่รู้จักการประหยัด ไม่เอื้ออารีต่อคนในบ้าน ชอบเที่ยว กลับบ้านดึก มีคำพูดและการแสดงออกที่แล้งน้ำใจ เป็นต้น.

            การปล่อยให้มีการคิดอกุศลและทำอกุศลเป็นประจำ จะทำให้ข้อมูลอกุศลฝังแน่นอยู่ในความจำเป็นจำนวนมากและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  จนยากที่จะเปลี่ยนแปลง.

            การมีความเพียร มีสติคิดด้วยความพอเหมาะพอควรหรืออยู่ในทางสายกลาง คือ ไม่คิดเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น จัดว่า เป็นความคิดที่เป็นกุศล และเป็นความคิดของบุคคลที่ประเสริฐ.

            เด็กวัยรุ่นที่มีความรู้และความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตนเองได้ ย่อมมีอารมณ์ดีกว่าผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.

            ความฉลาดทางอารมณ์จึงไม่เกี่ยวกับ เพศ วัย ชาติ ศาสนา ยศ ตำแหน่ง ความรู้และความสามารถทางโลก แต่เป็นเรื่องของการเรียนรู้และการฝึกฝนตนเองให้มีความฉลาดทางอารมณ์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยังเยาว์วัยจนวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งต้องอาศัยการดูแลและการเอาใจใส่จากผู้ปกครอง ครูอาจารย์ สื่อมวลชน ผู้รู้ รวมทั้งองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐบาลและเอกชน .

                       

ช่วงที่ ๓.  ช่วงทำงาน

            ผู้ที่ทำงานด้วยความคิดที่เป็นอกุศล ย่อมสร้างปัญหาให้กับตนเอง ผู้ร่วมงาน และองค์กรนั้น ๆ ด้วย. 

            บางหน่วยงานแตกความสามัคคีเพราะคนในหน่วยงานคิดอกุศลต่อกัน.

            ถ้ามีคนคิดอกุศลในหน่วยงานเป็นจำนวนมาก หน่วยงานนั้นอาจแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่ร่วมกันคิด ไม่ร่วมกันทำ ไม่สามัคคี ทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ช่วยกันทำงานให้กับองค์กร ไม่ช่วยกันให้บริการกับผู้มาขอรับบริการ เบียดเบียนองค์กรของตนเองในรูปแบบต่าง ๆ  ไม่มีวินัย โกงเวลา โกงทรัพย์สินขององค์กร โกหก เก็บส่วย เล่นการพนัน อิจฉา ประจบ สอพลอ ให้สินบน นินทาว่าร้าย ยุยงให้แตกความสามัคคี ไม่มีกิริยามารยาท ไม่ปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม ไม่มีความเพียร มักขี้เกียจ มักใหญ่ใฝ่สูง ก้าวร้าว รีดไถ หลอกลวง ฉ้อโกง กรรโชกทรัพย์ คอร์รัปชั่น ทำร้ายตนเอง ผู้อื่น ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และในที่สุดหน่วยงานนั้นอาจล่มสลายได้  ซึ่งเป็นการสร้างความทุกข์และปัญหาในรูปแบบต่าง ๆ ให้แก่ตนเองและหรือผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ในการรู้เท่าทันความคิดของตนเองที่เป็นอกุศล จึงเกิดการคิดอกุศลจนเป็นนิสัย.

            คนที่ทำงานโดยไม่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยหรือไม่ใช้ความรู้คู่คุณธรรม ก็จะสร้างปัญหาให้กับตนเองและหรือผู้อื่นได้โดยง่าย.

          คนที่ทำความชั่วมักเป็นตัวอย่างให้คนข้างเคียงหรือคนในองค์กรเลียนแบบ เช่น เมื่อมีคนโกงกิน มาสาย หนีงาน นินทา เอางานส่วนตัวมาทำ ขี้เกียจ เป็นต้น  จึงเกิดการเอาอย่างกัน หรือเกิดการระบาดของความชั่วร้าย(อกุศล)ไปยังความคิดและความจำของบุคลากรในองค์กรนั้น ๆ.

           

การคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องใหญ่ที่ประชาชน องค์กรต่าง ๆ และสื่อมวลชนฝ่ายสร้างสรรค์มีความห่วงใยมาก เพราะมีการระบาดอย่างรุนแรงและกว้างขวาง ทั้งในวงการราชการและภาคเอกชน(บริษัท ห้างร้าน สำนักงาน ฯ).

            ปัจจุบันจะมีองค์กรเอกชนไม่น้อยที่ผู้บริหารและกรรมการคอร์รัปชั่นในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ญาติ และทีมงาน จึงเป็นผลให้รายได้ขององค์กรและผู้ร่วมลงทุนได้รับผลประโยชน์น้อยลง.  เรื่องเช่นนี้น่าจะมีการตรวจสอบต่อไปเพื่อความถูกต้องและชอบธรรม.

            การได้รับรู้ตัวอย่างที่เป็นอกุศลเป็นประจำ ก็จะเกิดการต่อยอดของข้อมูลอกุศลในความจำ จึงเกิดความเคยชินหรือชินชากับเรื่องที่เป็นอกุศล.

          คนทั่วไปมักจำเรื่องที่เป็นอกุศลได้โดยง่ายและชอบคิดปรุงแต่งเรื่องที่เป็นอกุศลเป็นประจำ จึงเป็นเหตุให้ข้อมูลด้านอกุศลในความจำเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วและจดจำไว้ได้นานด้วย.  การมีข้อมูลอกุศลในความจำเป็นจำนวนมาก และขาดความเพียรในการมีสติควบคุมความคิดของตนเองให้คิดแต่กุศลอย่างต่อเนื่อง  จึงทำให้เกิดการคิด พูด และทำอกุศลได้โดยง่าย หรือทำเป็นนิสัย.

            ในอดีตที่ผ่านมา บางองค์กรเป็นโรคระบาดทางความคิดที่เป็นอกุศล และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเพื่อการต่อรองรัฐบาลบ่อยครั้ง จนดูเหมือนว่า เป็นเรื่องปรกติ ซึ่งเป็นการแสดงว่า บุคคลในองค์กรนั้น ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์อย่างชัดแจ้ง หรือไม่มีคุณธรรมอย่างรุนแรง.

            ปัจจุบันนี้ โรคระบาดจากการคิดอกุศลในองค์กรต่าง ๆ เริ่มเบาบางลงไปบ้างแล้ว เนื่องจากความสามารถในการบริหารงานของรัฐบาล แต่อาจจะกลับมารุนแรงได้อีก ถ้ารัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องยังไม่มีความฉลาดทางอารมณ์จริง.

          บางคนมีเกียรติและมีตำแหน่งสูงในชาติบ้านเมือง แต่ไม่มีคุณธรรมหรือไม่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทย ก็มักจะแสดงบทบาทของการคิดไม่ดีทำไม่ดีต่อกันและกันผ่านทางสื่อมวลชนไปทั่วประเทศ จึงทำให้เกิดการแตกความสามัคคีที่จะทำประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง.

            ยิ่งแตกความสามัคคีกันมากเท่าไร ชาติบ้านเมืองก็จะเสียหายมากขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย.

            ยิ่งไปกว่านั้นคือ เป็นการปลุกระดมทางความคิด และแพร่โรคร้ายทางความคิดให้คนทั่วประเทศที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน.

            ผู้ที่ติดเชื้อโรคทางความคิดก็มักจะมีการแตกความสามัคคีในครอบครัว เพื่อน และญาติพี่น้อง.

            บางคนแสดงความภาคภูมิใจในความสามารถด้านอกุศลที่ได้แสดงออกทางคำพูดและการกระทำ เพราะขาดสติปัญญาทางคุณธรรม จึงไม่รู้ดีหรือชั่ว และเป็นตัวอย่างที่เป็นอกุศลให้แก่คนในชาติอีกด้วย.

            การแตกความสามัคคีในระดับชาติเป็นโรคทางจิตใจของนักการเมืองที่ติดเชื้อการคิดอกุศล เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งติดเชื้ออกุศล ก็มักจะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น กว่าจะกำจัดเชื้อโรคดังกล่าวให้หมดไป ก็เสียค่าใช้จ่ายและเวลาอันมีค่าของชาติบ้านเมือง.

            นักการเมืองเป็นอาชีพที่ประชาชนจับตาเป็นพิเศษ เพราะเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ และหลายคนก็เบื่อหน่ายกับพฤติกรรมที่เป็นอกุศลของนักการเมืองบางคน.

            ประชาชนส่วนใหญ่คงจะดีใจมาก ถ้านักการเมืองทุกคนสนองพระราชดำรัสโดยไม่ดื้อรั้นอีกต่อไป ด้วยการเพียรมีสติคิดดีทำดีต่อกันและกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถทำงานด้วยความรัก สามัคคี จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันจะเป็นผลให้เกิดความเจริญ ความผาสุก ความมั่นคงของตนเอง พรรค และชาติบ้านเมืองได้เป็นอย่างดี.

            คนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมจะไม่สามารถประเมินผู้ที่ทำงานหรือผู้ที่ทำธุรกิจร่วมกันได้ว่า เป็นคนดีมีคุณธรรมหรือมีความฉลาดทางอารมณ์หรือไม่.  เมื่อประเมินตนเองและผู้อื่นไม่เป็น แล้วเชื่อใจผู้อื่นทั้ง ๆ ที่ผู้นั้นไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้โดยง่าย.

            คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์มากย่อมมีความสามารถในการสังเกต ตรวจสอบ พิสูจน์ และประเมินความฉลาดทางอารมณ์ของผู้อื่นได้ตามสมควร จึงเป็นผลให้ความผิดพลาดในการทำงานและการดำเนินชีวิตลดลงไปด้วย.

            การคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้าเลือกผิดพลาด คือ เลือกเอาคนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์เข้ามา ก็อาจจะสร้างความยุ่งยาก และก่อปัญหาต่าง ๆ ให้กับองค์กรทั้งระยะสั้นและระยะยาว.

            ครั้นรับบุคคลที่มีจิตใจไม่ดีเข้าในองค์กรแล้ว ก็ยากที่จะให้ออกจากองค์กร.

            ผู้คัดเลือกควรสร้างระเบียบการคัดเลือกบุคคลโดยไม่ลำเอียง จึงควรให้เวลานานพอสมควรเพื่อการตรวจสอบและพิสูจน์ความสามารถทั้งทางโลกและทางคุณธรรม จนกว่าจะมั่นใจว่า บุคคลที่ถูกคัดเลือกนั้น มีความรู้และมีความฉลาดทางอารมณ์ หรือมีความรู้คู่คุณธรรมตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้.

            สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ผู้ที่เป็นกรรมการคัดเลือกควรเป็นบุคคลที่มีความฉลาดทางโลกและทางอารมณ์ด้วย จึงจะประสบความสำเร็จตามสมควร.  ถึงแม้ปัจจุบัน จะหาบุคคลที่สมบูรณ์แบบได้ยาก แต่ก็ดีกว่าไม่คัดเลือกเลย.

 

ช่วงที่ ๔.  ช่วงเลือกเพื่อนและคู่ครอง

            การมีเพื่อนเป็นเรื่องที่ดีงามของชีวิตมนุษย์ แต่การจะคบเพื่อนนั้น ควรรู้จักการเลือกคบเพื่อนที่คิดดีทำดี จึงจะได้เพื่อนดี ที่เกื้อกูล และถ่ายทอดข้อมูลดี ๆ มาให้กันและกัน.

            การคบเพื่อนที่คิดไม่ดีทำไม่ดี ก็จะได้เพื่อนไม่ดีที่ไม่เกื้อกูลกันและกัน หรืออาจทำร้ายกันและกันก็ได้ และเพื่อนไม่ดีอาจถ่ายทอดข้อมูลไม่ดีมาให้อีกด้วย จึงกลายเป็นคนคิดไม่ดีทำไม่ดีไปด้วย.

            การคบเพื่อนที่ชอบการพนัน เพื่อนก็จะชวนกันไปเล่นการพนัน จึงสร้างนิสัยชอบการพนันขึ้นมา.

            การคบเพื่อนที่ชอบเรียนหนังสือ เพื่อนก็จะชวนกันเรียนหนังสือ จึงสร้างนิสัยชอบเรียนหนังสือขึ้นมา.

            การคบเพื่อนที่ขยันทำงานอย่างสร้างสรรค์ เพื่อนก็จะชวนขยันทำงานอย่างสร้างสรรค์ จึงสร้างนิสัยขยันทำงานอย่างสร้าง สรรค์ขึ้นมา เป็นต้น.

            คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมรู้ได้ด้วยตนเองว่า ควรคบเพื่อนคนไหนจึงจะเป็นประโยชน์และไม่เป็นพิษภัย. ขณะคบกัน ก็ยังสามารถตรวจสอบได้ว่า เพื่อนที่คบกันนั้น เป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์หรือไม่.  ถ้าไม่มี ก็จะสามารถลดระดับความสนิทสนมหรือเลิกคบกันก็ได้ ตามความเหมาะสม.

            การมีเพื่อนสนิท การลดระดับความสนิท และเลิกคบกับเพื่อนสนิทเป็นเรื่องง่าย แต่การแต่งงานแล้วจะเลิกกันนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ยิ่งมีบุตรและมีทรัพย์สมบัติร่วมกัน ยิ่งเป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อนมาก.

            การมีชีวิตคู่ด้วยความโกรธเคืองกันเป็นประจำ เป็นเรื่องของความทุกข์ที่ยาวนาน บางคู่อาจนานชั่วชีวิต.  ดังนั้น การเลือกคู่ครองจึงเป็นเรื่องที่ควรมีความละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง เพราะถ้าเลือกผิดพลาด หรือเลือกอย่างรีบร้อน ไม่ศึกษาให้ละเอียดพอ ก็อาจสร้างปัญหาให้กับตนเอง คู่ครอง และครอบครัวได้ชั่วชีวิต.

            ธรรมชาติของมนุษย์นั้น เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ คนทั่วไปย่อมมองหาคู่ครองเพื่อการสืบต่อเผ่าพันธุ์. 

            การจะเลือกคู่ครองที่ดีได้นั้น ควรใช้สติปัญญาทางโลกและสติปัญญาทางคุณธรรมควบคู่กันไป.  ควรใช้สติปัญญาทางโลกในการเลือกบุคคลที่มีพื้นฐานด้านสติปัญญาทางโลกในระดับใกล้ เคียงกัน เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาทางโลกได้อย่างคล่องตัว และใช้สติปัญญาทางคุณธรรมเลือกบุคคลทีี่มีพื้นฐานด้านสติปัญญาทางคุณธรรม(ความฉลาดทางอารมณ์)ในระดับใกล้เคียงกัน เพื่อจะได้ช่วยกันดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์ผ่องใสและด้วยความสงบ.

            คนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมไม่ตระหนักถึงปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเน้นการเลือกคู่ครองจากความถูกใจในเรื่องรูปร่าง ลักษณะ ความสวยงาม การศึกษา ครอบครัว หรือทรัพย์สิน โดยไม่สนใจความฉลาดทางอารมณ์ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากอย่างยิ่งของชีวิตคู่  ฉะนั้น จึงอาจได้คู่ครองที่สร้างปัญหาและสร้างความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว.

            ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกคู่ครองควรมีความฉลาดทางอารมณ์เสียก่อน ยิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะจะสามารถคัดกรองคู่ครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

 

ช่วงที่ ๕.  ช่วงมีครอบครัว

            การมีความรักและแต่งงานกับบุคคลที่เคยรู้จักกันมาก่อนเป็นเวลานานพอสมควร จะช่วยให้รู้พื้นฐานทางจิตใจว่า เป็นคนที่มีความรู้คู่คุณธรรมเพียงพอหรือไม่ ที่จะอยู่ร่วมกันชั่วชีวิต.

            การแต่งงานอย่างรีบด่วนหรือแต่งงานโดยไม่ตรวจสอบและพิสูจน์จิตใจของคนที่จะต้องแต่งงานด้วยว่า เป็นคนที่มีความรู้คู่คุณธรรมเพียงพอที่จะมีชีวิตคู่ด้วยกันหรือไม่ จึงเท่ากับมีความเสี่ยงสูงมากที่จะพบกับปัญหาชีวิตสมรสได้โดยง่าย

          ชีวิตคู่ของคนที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์อาจมีความสุขในช่วงแรกของชีวิต เพราะยังปิดบังไม่ให้คู่ครองรู้ว่า ตนมีความคิดและอารมณ์ที่ไม่ดี.

          ครั้นมีชีวิตร่วมกันอยู่ระยะหนึ่ง บางคู่ก็อาจมีปัญหาระหว่างกันในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตนเอง คบชู้ เอาเปรียบ ดูถูก เหยียดหยาม บีบคั้น ข่มเหง ก้าวร้าว ใช้จ่ายเกินตัว สร้างหนี้สินและภาระต่าง ๆ  เป็นต้น.

            บางคู่อาจมีปัญหากันเป็นครั้งคราวบ้าง เรื้อรังบ้าง บางคู่อาจต้องแยกกันอยู่ หรืออย่าร้างกัน บางคู่อาจมีปัญหาอย่างรุนแรงถึงขั้นทำร้ายกันและกันในรูปแบบต่าง ๆ  และอาจลงเอยด้วยการขึ้นโรงขึ้นศาลก็เป็นได้.

            บางคนมีความฉลาดทางอารมณ์อยู่ตามสมควร จึงสามารถ ดำเนินชีวิตคู่ได้ดีมาโดยตลอด.  ครั้นไม่พยายามมีสติบริหารจิตใจของตนเองให้คิดและทำกุศลอยู่เสมอ ๆ  ปล่อยจิตปล่อยใจให้คิดอกุศลบ่อยครั้ง จึงทำให้ข้อมูลด้านอกุศลในความจำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ความฉลาดทางอารมณ์ลดลงหรือหมดไปได้ และอาจลงท้ายด้วยการสร้างปัญหาให้กับตนเองและครอบครัวก็เป็นได้.

            นอกจากสร้างปัญหาให้กับตนเองแล้ว บางคู่ยังต้องหวานอมขมกลืนและต้องทนอยู่กับความทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิต รวมทั้งอาจสร้างปัญหาอย่างมากมายให้แก่เพื่อนและญาติของทั้ง ๒ ฝ่ายได้อีกด้วย.

            บางคนมีความปรารถนาดีต่อคู่ครองจนมากเกินไปหรือจนกระทั่งมีความยึดมั่นถือมั่นว่า จะต้องเป็นไปตามที่ตนคิดให้ได้.  ครั้นไม่เป็นไปตามที่ตนคิดก็เกิดความโกรธ และถ้ายังควบคุมความคิดของตนเองไม่ได้ ก็อาจโกรธอย่างรุนแรงจนถึงขั้นทำร้ายกัน และทำร้ายคนในครอบครัวได้อีกด้วย.

 

ช่วงที่ ๖.  ช่วงมีลูกหลาน

       การมีชีวิตคู่และการมีลูกหลานนั้น เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะมนุษย์ถูกกำหนดให้สืบต่อเผ่าพันธุ์ผ่านมาทางพันธุกรรม.

       ครอบครัวที่สมบูรณ์ที่สุด จำเป็นต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ซึ่งเป็นพื้นฐานของการคิดดี เพื่อที่จะได้พูดดีและทำดีต่อกันอยู่เสมอ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของความสงบในครอบครัว.

       ครอบครัวที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์อาจมีปัญหาทางอารมณ์ที่เกิดจากการคิดอกุศลได้บ่อยครั้ง จึงเป็นผลให้สมาชิกในครอบครัวมีความทุกข์เมื่อได้รับรู้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น.

       เมื่อมีปัญหาในครอบครัวจากการคิดอกุศลหรือมีการเจ็บป่วยทางจิตใจเกิดขึ้น ลูกหลานและบุคคลในครอบครัวก็มักจะได้รับทราบเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิด จึงทำให้เกิดบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยทางจิตใจไปด้วย เพราะทำให้ลูกหลานและบุคคลในครอบครัวพลอยมีความทุกข์ไปด้วย และอาจเป็นผลให้การศึกษาเล่าเรียนไม่ดีเท่าที่ควรและหาทางออกที่ผิดทางจนเสียอนาคตไปก็ได้.

       ครอบครัวที่ดำเนินชีวิตโดยไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมทำให้ลูกหลานขาดที่พึ่ง และกลายเป็นเด็กที่สร้างปัญหาให้กับตนเอง ครอบครัว และสังคมได้โดยง่าย.

          การคิดปรารถนาดีต่อลูกหลานอย่างรุนแรงหรือมากเกินไป จนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นนั้น ก็ได้ชื่อว่า ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์เช่นกัน.

          ความรัก ความปรารถนาดี การสั่งสอน การตักเตือน การให้ความช่วยเหลือลูกหลานตามความพอเหมาะพอควร คือ ไม่ถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่น ก็ถือว่าเป็นทางสายกลาง เป็นเรื่องที่ดีงาม.

          แต่ถ้าปรารถนาดีจนมากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยทางจิตใจของตนเองและหรือผู้อื่นได้.

            บางครั้งเรื่องเล็ก ๆ จากการคิดอกุศลที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็อาจต่อยอดจนกลายเป็นเรื่องใหญ่และรุนแรงขึ้นมาได้เช่นกัน.  เรื่องใหญ่ ๆ ทั้งหลายแหล่ ก็มักจะเริ่มต้นจากเรื่องเล็ก ๆ ก่อน.

       ครอบครัวที่มีปัญหากันบ่อยครั้งหรือมีปัญหาอย่างรุนแรง ย่อมทำให้ลูกหลานในครอบครัวนั้น ๆ ขาดความอบอุ่น ซึ่งเป็นผลร้ายต่อสุขภาพจิตของทุกคนในครอบครัว และบางครั้งปัญหาที่รุนแรงอาจรุกลามไปยังหมู่ญาติได้อีกด้วย.

      

ช่วงที่ ๗.  ช่วงสูงอายุ

            ครั้นเข้าสู่ช่วงชีวิตที่เรียกว่า วัยทองหรือเป็นผู้สูงอายุ ร่างกายย่อมเสื่อมลงไปมากแล้ว สมองซึ่งเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกายก็ต้องเสื่อมลงไปด้วย จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละบุคคล.

            เมื่อสมองเสื่อม ความสามารถในการบริหารความคิดไม่ให้คิดอกุศลและให้คิดแต่กุศล เพื่อทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสอย่างต่อเนื่องย่อมลดลงไปด้วย จึงเป็นผลให้ความฉลาดทางอารมณ์ลดลง.

            ผู้สูงอายุที่เคยมีความฉลาดทางอารมณ์มาก่อน และมีความเพียรในการฝึกฝนตนเองมาโดยตลอด ย่อมทำให้การเสื่อมของความฉลาดทางอารมณ์เป็นไปอย่างช้า ๆ.

            คนที่มีความเพียรในการฝึกบริหารจิตใจให้มีความฉลาดทางอารมณ์อยู่เสมอ อาจทำให้มีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้นก็ได้ แต่ถ้าอายุยืนมาก ๆ และสมองเสื่อมลงไปมากแล้ว โอกาสที่ความฉลาดทางอารมณ์จะลดลงไปย่อมเป็นเรื่องธรรมดา.      

ดังนั้น ในช่วงสูงอายุ ถ้าไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ หรือความฉลาดทางอารมณ์ลดลงไปมาก จึงอาจคิดอกุศลเป็นประจำ ในที่สุดข้อมูลด้านอกุศลก็จะต่อยอดมากขึ้นในความจำทั้งด้านความรุนแรงและจำนวนข้อมูลด้วย.

ยิ่งมีข้อมูลอกุศลในความจำมากขึ้นเท่าใด พฤติกรรมที่เป็นอกุศลย่อมมากขึ้นไปตามสัดส่วนด้วย และการสร้างปัญหาก็จะมากขึ้นเช่นกัน.

ในช่วงสูงอายุ จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและสารเคมีต่าง ๆ ในร่างกาย จึงเป็นผลให้ความสามารถในการควบคุมความคิดลดลง การคิดอกุศลก็จะเกิดขึ้นได้โดยง่าย ประกอบกับสุขภาพทางกายเริ่มมีปัญหามากขึ้น เช่น รับประทานอาหารได้น้อย กำลังวังชาลดลง นอนไม่หลับ ร่างกายอ่อนแอลง ความต้านทานลดลง มีการเจ็บป่วยถี่ขึ้นและมากขึ้น การเคลื่อนไหวลดลง พิการ เป็นต้น จึงกระตุ้นให้คิดปรุงแต่งไปในทางที่เป็นอกุศลมากขึ้น เป็นผลให้มีความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้นด้วย.

การที่ผู้สูงอายุคิดด้วยความปรารถนาดีต่อลูกหลานนั้น เป็นเรื่องที่ดีงาม แต่ถ้าความปรารถนาดีที่มีมากเกินไป ก็จะกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นที่จะให้เป็นไปตามที่ตนปรารถนา.  ความปรารถนาดีจนถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นก็เป็นอกุศลเช่นกัน.

ผู้สูงอายุบางคนชอบนินทา บ่นลูกหลาน ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมอยู่เสมอ ก็แสดงว่า ข้อมูลอกุศลในความจำมีมาก และถ้าทำเช่นนี้เป็นประจำ ข้อมูลอกุศลก็จะเพิ่มและฝังแน่นอยู่ในความจำ จนกลายเป็นนิสัยที่แก้ไขได้โดยยาก สร้างความลำบากใจให้แก่ลูกหลานและคนในครอบครัว.

ผู้สูงอายุที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ก็มักจะมีความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างเรื้อรัง ในที่สุดก็อาจเกิดอาการเจ็บป่วยทางจิตใจอย่างเรื้อรังเช่นกัน เช่น เกิดความกังวล เครียด ท้อแท้ เบื่อหน่าย ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ทำร้ายตนเอง เรียกร้องความสนใจ บ่น คร่ำครวญ ดุด่า ก้าวร้าว เจ็บป่วยทางกายในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นการทำร้ายตนเอง และสร้างภาระและความทุกข์ให้กับสมาชิกในครอบครัวเป็นระยะยาวนาน หรือจนกว่าจะตายจากกันไป.

 

ช่วงที่ ๘.  ช่วงสูญเสีย พลัดพราก เจ็บป่วย พิการ ตาย.

            ชีวิต ทรัพย์สิน และความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่นของแต่ละบุคคลนั้น เป็นของไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงและดับสลายไปเป็นธรรมดา เพราะธรรมชาติเป็นเช่นนั้นเอง เช่น การสูญเสียทรัพย์สิน เงินทอง การพลัดพรากจากคนหรือสิ่งของที่ตนรัก การเจ็บป่วย การพิการ ความตาย เป็นต้น.

            เรื่องของความไม่เที่ยงจึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์พึงมีและพึงเป็นด้วยกันทั้งนั้น.  ทุกคนควรรักชีวิต ดูแลชีวิต ทรัพย์สิน ความสัมพันธ์ต่าง ๆ เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย เพื่อความสงบ เพื่อความไม่ทุกข์ และเพื่อความบริสุทธิ์ผ่องใสแห่งจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีงามหรือเป็นกุศล ขอแต่เพียงว่า พึงมีสติไม่คิดแบบยึดมั่นถือมั่นหรือไม่คิดอกุศลเท่านั้นเอง.

          เมื่อผู้ใดก็ตาม คิดด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่า ชีวิต ทรัพย์สิน และความสัมพันธ์ที่ดีนั้น เป็นของเที่ยง คือ คงอยู่สภาพเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ดับสลายหรือสูญไป ก็จะเกิดการบีบคั้นจิตใจตนเองหรือเป็นทุกข์.

          ยิ่งคิดแบบยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นเท่าไร ความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นที่จิตใจและร่างกายตามสัดส่วนด้วย.

            ผู้ที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ย่อมควบคุมความคิดไม่ได้ จึงมักคิดด้วยความยึดมั่นถือมั่นไปหมด จนกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดี.  ยิ่งคิดแบบยึดมั่นมากเท่าใด ความบีบคั้นหรือความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ ก็จะมากและมีความต่อเนื่องมากขึ้นตามสัดส่วนด้วย.

            การฝึกฝนตนเองไม่ให้คิดด้วยความยึดมั่นถือมั่นอยู่เสมอก็จะได้ชื่อว่า ไม่ประมาท เพราะจะทำให้มีความสามารถในการบริหารความคิดไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นได้มากขึ้น.

            การคิดแบบยึดมั่นถือมั่นเป็นการคิดอกุศล.  ถ้าไม่คิดด้วยความยึดมั่นถือมั่น ก็ถือว่าเป็นการคิดกุศล จึงเป็นผลให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผ่องใส มีความสงบ และไม่มีความทุกข์จากการคิดอกุศล.

 

ตอน ๓.  ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง

            ในช่วงเวลาของการเสนอข่าวต่าง ๆ  จะพบได้ว่า มีการเสนอข่าวที่แสดงให้เห็นว่า ชาติบ้านเมืองเรามีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไขอย่างรีบด่วน.

            ปัญหาหลักได้แก่ปัญหาเรื่องของการบ้าน การเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นเรื่องของความเดือดร้อนทางวัตถุและความเดือดร้อนทางจิตใจ.

            สาเหตุของปัญหาในชาติบ้านเมืองนั้น มี ๒ สาเหตุหลัก ดังนี้ :-

๑.     ปัญหาที่เกิดจากการไม่มีสติปัญญาทางโลก.

๒.     ปัญหาที่เกิดจากไม่มีสติปัญญาทางคุณธรรม(ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์).

            การจะแก้ปัญหาต่าง ๆ จึงต้องแก้ปัญหาทั้ง ๒ ด้านไปพร้อม ๆ กัน จึงจะแก้ปัญหาได้อย่างครบถ้วน.

 

ปัญหาใหญ่ระดับชาติและระดับโลกเกิดจากการคิดอกุศล

            ปัญหาใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในระดับชาติ เช่น ปัญหาคอร์รัปชั่น ยาเสพติด โจร การก่อการร้าย อุบัติเหตุ ผู้มีอิทธิพล การแตกความสามัคคี การล่วงเกินทางเพศ ความยากจน หนี้สิน น้ำมันแพง การไม่ช่วยกันประหยัดน้ำมัน การเสียดุลการค้า การใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อการท่องเที่ยวนอกประเทศ การซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยจากต่างประเทศ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ และภัยพิบัติจากธรรมชาติ เป็นต้น.

การก่อการร้ายและสงครามในรูปแบบต่าง ๆ นั้น มีสาเหตุจากการคิดไม่ดีทำไม่ดี เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง คณะของตน ชาติของตน ลัทธิของตน และศาสนาของตน โดยการตั้งใจเบียดเบียนผู้อื่นอย่างรุนแรง จึงเป็นเหตุให้คนใในโลกนี้เป็นจำนวนมากได้รับความทุกข์ทรมานไปด้วย เช่น สงครามลัทธิ สงครามศาสนา สงครามแย่งชิงดินแดน สงครามเผ่าพันธุ์ สงครามเศรษฐกิจ และสงครามวัฒนธรรม เป็นต้น.

            ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการติดเชื้อโรคทางความคิดและระบาดไปทั่ว.  โรคทางความคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากการคิดอยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างรุนแรง ที่เรานิยมเรียกกันว่า มีความโลภ หรือตัณหา หรือยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นโรคร้ายที่ล้วนมีรากฐานเช่นเดียวกันหมด คือ เป็นโรคของการคิดอกุศลนั่นเอง.

            การจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคลระดับชาติ และระดับโลกให้หมดไปนั้น ต้องแก้ปัญหาโดยใช้สติปัญญาทางโลก(วัตถุ)และความฉลาดทางอารมณ์(จิตใจ)ควบคู่กันไป หรือใช้ความรู้คู่คุณธรรม จึงจะแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

 

ปัญหาคอร์รัปชั่น

            ปัญหาคอร์รัปชั่นในวงราชการ รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งองค์กรเอกชนต่าง ๆ มีมานานแล้ว.

       คนที่ไม่ตั้งใจทำงาน คนที่ปล่อยเวลาไปคิดเรื่องอื่น หรือไปคิดฟุ้งซ่าน ก็ได้ชื่อว่า เป็นคนโกงหรือคอร์รัปชั่นเวลาของทางราชการ ถึงแม้จะจับไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของความคิด แต่ก็ได้ชื่อว่า เป็นคนโกงชาติบ้านเมืองเช่นกัน.

       ข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างของทางราชการที่รับเงิน เดือนจากภาษีที่เก็บไปจากประชาชน แล้วใช้เวลาของทางราชการไปคิดเรื่องอื่นเป็นประจำ หรือไปทำกิจอื่นในเวลาราชการอยู่เสมอ ก็ได้ชื่อว่า เป็นบุคคลที่โกงคนทั้งชาติอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก.

       มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจำนวนหนึ่งที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์เอาเลย ถึงแม้จะรู้ตัวว่า ตนกำลังโกงคนทั้งชาติด้วยการใช้เวลาของทางราชการแบบสูญเปล่า ขี้เกียจ ไม่ตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง อาศัยเป็นที่เกาะกินเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตน หาช่องทางโกงคนทั้งชาติบ้านเมืองต่อไปเรื่อย ๆ  จึงจัดว่า เป็นคนที่หน้าด้าน ไม่มีความละอายแก่ใจ และมีจิตใจที่ตกต่ำมาก จนจิตใจเปรียบเหมือนเป็นเปรตและอสุรกายก็ว่าได้ .

            การโกงกินหรือคอร์รัปชั่นนั้น มีหลายแบบ เช่น โกงเวลา วัสดุ ครุภัณฑ์  การเปิดซองประกวดราคา การก่อสร้าง การจัดซื้อ การจัดจ้าง การทำบัญชีผี การรีดไถ การเรียกค่าปรับหรือการเอาผลประโยชน์ของรัฐเข้ากระเป๋าตนเอง การเอาทรัพย์สมบัติและคนของทางราชการมาใช้ส่วนตัว การดึงเรื่องให้ล่าช้าเพื่อต่อรองผลประโยชน์ การเรียกเงินปากหม้อ โกงเลือกตั้ง โกงภาษี เป็นต้น.  การโกงชาติบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็เป็นความชั่วช้าอย่างแสนสาหัสด้วยกันทั้งนั้น.

            ถึงแม้จะมีระเบียบและกฎหมายออกมามากมายเพียงใดก็ตาม แต่คอร์รัปชั่นก็ยังไม่หมดไป และยังมีอยู่อย่างกว้างขวางตามสมควร.  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า การแก้ปัญหาที่ผ่านมาแล้วนั้น ยังแก้ไม่ตรงประเด็น.

            ในยุคปัจจุบัน การกำจัดกลุ่มคนที่คอร์รัปชั่นนั้นทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีตำแหน่งสูง เพราะคนกลุ่มนี้มีความรู้ในเรื่องระเบียบและกฎหมายเป็นอย่างดี จึงหลบหลีกการจับกุมได้อย่างแนบเนียน.

          ในอนาคตก็เช่นกัน ถ้าคนส่วนใหญ่และผู้บริหารในชาติบ้านเมืองยังไม่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยหรือขาดสติปัญญาทางคุณธรรมอย่างที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นย่อมไม่มีวันหมดไป อาจทรงตัวอยู่อย่างเดิม หรืออาจจะเพิ่มมากขึ้นอีกก็ได้.

      

ปัญหาทั่วไปที่พบได้บ่อย

ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ประเมินได้จากตัวเลขของจำนวนคดีและจำนวนนักโทษในเรือนจำทั่วประเทศ.

จำนวนคดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละปีเป็นตัวเลขที่ใช้ในการประเมินผลงานของรัฐบาล องค์กรที่เกี่ยวข้องกับศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ว่ามีความสามารถในการพัฒนาจิตใจของคนในชาติและสังคมไทยมากน้อยเพียงใด เช่น ตัวเลขจำนวนคดียาเสพติด ติดยา ข่มขืน เปิดซ่อง แข่งมอเตอร์ไซค์กวนเมือง อุบัติเหตุยานยนต์ ละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นผู้มีอิทธิพล ค้าอาวุธ แก๊งรีดไถ บ่อนการพนัน พนันฟุตบอล หนี้สิน ล้มบนฟูก ติดสินบน เงินใต้โต๊ะ เก็บค่าหัวคิว เก็บส่วย ฮั้วงานก่อสร้าง ขายของหนีภาษี ขายของปลอม ขายหวยใต้ดิน หลอกลวง โกง ขโมย ปล้น ฆ่า ก่อการร้าย คอร์รัปชั่น เป็นต้น.

            การโกงกินในองค์กรต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการมีบุคคลที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์อยู่ในองค์กรนั้น ๆ.  ถึงแม้จะเป็นองค์กรเอกชนก็ตาม แต่ก็ยังมีการโกงกินกันเป็นการภายใน  เช่น โกงกินผลประโยชน์และทรัพย์สินขององค์กร การโกงกินองค์กรก็เท่ากับการโกงตนเองและหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นนั่นเอง.

การที่ผู้บริหารองค์กรตั้งเงินเดือนสูงให้กับตนเอง หมู่ญาติ โกงภาษี ใช้คน เวลา และทรัพย์สมบัติขององค์กรเพื่อประโยชน์ส่วนตน เป็นต้น ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารที่ชั่วมากเช่นกัน.

ถึงแม้ผู้บริหารบางคนจะศึกษาเล่าเรียนมาสูงส่งเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังทำชั่วต่อชาติบ้านเมืองได้ เพราะไม่มีความฉลาดทางอารมณ์.

            ผู้บริหารระดับชาติที่ไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ มักจะให้ความสนใจเรื่องของผลประโยชน์ตนเอง พรรคพวก และพรรคของตนเองในรูปแบบต่าง ๆ  จึงต้องจัดตั้งกลุ่มเพื่อต่อรองตำแหน่ง และลงเอยด้วยการคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี จนเกิดการแตกแยก แตกความสามัคคี โดยไม่คิดจะพัฒนาตนเองและคนในชาติให้มีความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นในชาติบ้านเมืองของเราในขณะนี้.

คนที่โกงชาติบ้านเมืองจึงเป็นคนที่มีความคิดหรือมีจิตใจที่เป็นอกุศลมาก เพราะไม่มีความฉลาดทางอารมณ์เลย.  ยิ่งมีตำแหน่งสูง มีเงินเดือนสูง แล้วยังโกงชาติบ้านเมืองอีก ก็จัดว่าเป็นคนที่ชั่วช้ามากหรือมีจิตใจเป็นเปรต.

การปกครองชาติบ้านเมืองโดยคนที่คิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดี ย่อมทำให้เกิดการเลียนแบบกันอย่างกว้างขวาง และเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับชาติบ้านเมืองโดยตรง.

ปัญหาของชาติบ้านเมืองและความทุกข์ดังกล่าวแล้ว เกิดจากการคิดไม่ดี จึงพูดไม่ดี และทำไม่ดี ซึ่งสืบเนื่องมาจากอิทธิพลของข้อมูลอกุศลที่มีอยู่ในความจำของแต่ละบุคคล.  ข้อมูลอกุศลที่ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ นั้น มาจากความผิดพลาดของการบริหารจัดการด้านการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ครอบครัว สังคม และจะเป็นเช่นนี้อีกนาน จนกว่าคนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลจะมีความฉลาดทางอารมณ์อย่างเพียงพอ.

ปัญหาต่าง ๆ ของชาติบ้านเมืองที่เกิดขึ้นนั้น จะลดลงเมื่อคนส่วนใหญ่ในชาติบ้านเมืองได้รับการปรับเปลี่ยนข้อมูล จากข้อมูลคิดไม่ดี พูดไม่ดี และทำไม่ดี มาเป็นข้อมูลคิดดี เพื่อจะได้พูดดี และทำดี ด้วยจิตใจที่บริสุทธิผ่องใส.

            ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างชาติ เช่น การเอาเปรียบทางเศรษฐกิจ การทำลายเศรษฐกิจ การก่อการร้าย การทำสงคราม และความไม่สงบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ก็มาจากการไม่มีความฉลาดทางอารมณ์ของคนหรือกลุ่มคนที่ก่อปัญหานี่เอง. 

คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยจะมีความละอายต่อการทำชั่วทั้งปวง และมุ่งทำแต่ความดีด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส จึงไม่เบียดเบียนตนเองและหรือผู้อื่นแม้แต่ในความคิด.

            ถ้าคนส่วนใหญ่มีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยก็คาดการได้ว่า คุณธรรม จริยธรรม ศาสนา สังคม ประเพณี วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ก็จะคงอยู่คู่กับชาติบ้านเมืองไปอีกนาน.   

            ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สนับสนุนให้คนในชาติบ้านเมืองมีความฉลาดทางอารมณ์แนวภูมิปัญญาไทยด้วยความจริงใจและอย่างจริงจัง ก็จะเป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่จะกำจัดปัญหาต่าง ๆ ของชาติบ้านเมืองที่เกิดจากการคิดอกุศลให้เบาบางลงหรือให้หมดไป.

 

**********

1