ประวัติแห่งอนุพุทธ ๘๐ พระองค์

คณะตรีมิตร และ คณาจาริโย

Ab30

พระอุทยเถระ

 

ชาติภูมิ

       ท่านพระอุทยะ เกิดในสกุลพราหมณ์ในนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้ว ได้ไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้น พราหมณ์พาวรีออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ อุทยมาณพพร้อมด้วยมาณพอื่นผู้เป็นศิษย์ ออกบวชติดตามไปศึกษาศิลปวิทยาอยู่ด้วย อุทยมาณพเป็นหนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนมาณพ ๑๖ คน ที่พราหมณ์พาวรีได้ผูกปัญหาให้ไปกราบทูลถามพระบรมศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธฯ

 

ทูลถามปัญหา ๓ ข้อ

         อุทยมาณพได้ทูลถามปัญหาเป็นคนที่สิบสามว่า

 

         ปัญหาข้อที่ ๑

       ขอพระองค์จงแสดงธรรมเป็นเครื่องพ้น (จากกิเลส) ที่ควรรู้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเครื่องทำลายอวิชชา คือ ความเขลา ความไม่รู้แจ้งเสียฯ

 

         พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า เราเรียกธรรมเป็นเครื่องละความพอใจในกาม และ โทมนัสเสียทั้งสองอย่าง เป็นเครื่องบรรเทาความง่วง เป็นเครื่องห้ามความรำคาญ มีอุเบกขา กับ สติ เป็นธรรมบริสุทธิ์ มีความตรึกในธรรมเป็นเบื้องหน้า ว่า ธรรมเป็นเครื่องพ้น (จากกิเลส) ที่ควรรู้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเครื่องทำลายอวิชชาความเขลาไม่รู้แจ้งเสียฯ

 

       ปัญหาข้อที่ ๒

       โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวว่านิพพาน ๆ ดังนี้ เพราะละอะไรได้

 

       พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า โลกมีความเพลิดเพลินผู้พันไว้ ความตรึกเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่า นิพพาน ๆ ดังนี้ เพราะละตัณหาเสียได้ฯ

 

ปัญหาข้อที่ ๓

 

เมื่อบุคคลมีสติระลึกอย่างไรอยู่ วิญญาณจึงจะดับ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมาเฝ้าแล้ว เพื่อจะทูลถามพระองค์ พอให้ได้ฟังพระวาจาของพระองค์เถิด

 

พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า  เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินเวทนาทั้งภายในภายนอก มีสติระลึกอยู่อย่างนี้ วิญญาณจึงจะดับฯ

 

       ครั้นพระบรมศาสดา ทรงแก้ปัญหาที่อุทยมาณพทูลถามอย่างนี้แล้ว ในที่สุดแห่งเทศนาปัญหาพยากรณ์ อุทยมาณพได้บรรลุพระอรหัตผล (ก่อนอุปสมบท) เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์ อุทยมาณพพร้อมด้วยมาณพสิบห้าคนทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระอุทยะ ดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพานฯ

1