ประวัติแห่งอนุพุทธ ๘๐ พระองค์
คณะตรีมิตร และ คณาจาริโย
ท่านพระอุรุเวลกัสสปะ เกิดในสกุลพราหมณ์กัสสปโคตร มีน้องชายสองคน ชือ กัสสปตามโคตรทั้งนั้น แต่ผสมนามสถานที่พำนักอาศัยอยู่ของท่านเข้าด้วยว่า นทีกัสสปะ คยากัสสปะฯ เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้ว ได้เรียนจบไตรเพทฯ ท่านมีมาณพเป็นบริวารห้าร้อย ครั้นต่อมา พิจารณาเห็นลัทธิที่ตนนับถือไม่เป็นแก่นสาร จึงได้พาน้องชายสองคนพร้อมด้วยบริวารออกบวชเป็นชฎิล บำเพ็ญพรตด้วยการบูชาเพลิง คือ นักบวชจำพวกที่เกล้าผม เรียกตามโวหารสมัยนั้นว่า ฤาษี ตั้งอาศรมเรียงอยู่เป็นลำดับกัน ท่านตั้งอาศรมอยู่ที่ตำบลอุรุเวลา แคว้นมคธ จึงได้มีนามตามที่อยู่ของท่านว่า อุรุเวลกัสสปะ ครั้นเมื่อพระบรมศาสดา ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาในทิศานุทิศนั้น ๆ แล้ว พระองค์ทรงพิจารณาเห็นความบริบูรณ์แห่งอุปนิสัยของชาวมคธเป็นอันมาก มีพระพุทธประสงค์จะทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้น ณ แคว้นนั้น และทรงพระพุทธดำริจะพาท่านอุรุเวลกัสสปะผู้มีอายุมากเป็นที่นับถือของมหาชนมานานตามเสด็จไปด้วย จึงเสด็จพระพุทธดำเนินไปโดยลำพังพระองค์เดียว มุ่งตรงไปยังตำบลอุรุเวลา ในระหว่างทางที่เสด็จไปได้เทศนาโปรด ภัททวัคคีย์กุมาร ๓๐ คน และประทานอุปสมบทให้แล้วส่งไปประกาศพระศาสนา พระองค์เสด็จพระพุทธดำเนินโปรดประชาชนไปโดยลำดับ เมื่อถึงตำบลอุรุเวลานิคมแล้ว ตรัสขอที่พักกับท่านอุรุเวลกัสสปะ ท่านอุรุเวลกัสสปะมิได้เต็มใจรับ ผลที่สุดเมื่อขัดไม่ได้ก็ให้ที่พัก พระองค์ได้ทรงทรมานพระอุรุเวลกัสสปะด้วยอภินิหารมีประการต่าง ๆ จนให้เห็นว่าลัทธิของตนที่ถืออยู่นั้นหาแก่นสารมิได้ จึงเกิดความสลดใจ แล้วละลัทธิเดิมเสีย พากันลอยบริขารแห่งชฎิลในแม่น้ำ ทูลขออุปสมบท พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พร้อมด้วยบริวารห้าร้อยฯ ครั้นกาลต่อมา เมื่อน้องชายท้งสองพร้อมบริวารของตน ๆ ได้เข้ามาอุปสมบทในพระธรรมวินัยเหมือนกับท่านแล้ว สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้พาภิกษุ ๑,๐๐๓ รูป ออกจากอุรุเวลา เสด็จไปยังตำบลคยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยา แล้วเสด็จประทับอยู่ ณ ที่นั้น ครั้นทรงเห็นภิกษุเหล่านั้นมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว จึงตรัสเทศนา อาทิตตปริยายสูตร โปรด เมื่อพระบรมศาสดาตรัสเทศนาอยู่ จิตของภิกษุเหล่านั้นก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน กล่าวคือ ภิกษุเหล่านั้นได้บรรลุพระอรหัตต์เป็นพระขีณาสพฯ
บำเพ็ญประโยชน์
พระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ ตำบลคยาสีสะ พอสมควรแก่พระพุทธอัธยาศัยแล้ว พระองค์พร้อมด้วยภิกษุ ๑,๐๐๓ รูป เสด็จจาริกไปโดยลำดับถึงกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ที่สวนตาล หนุ่มอันชื่อว่า ลัฏฐิวันฯ พระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินมคธทรงทราบข่าว จึงพร้อมด้วยข้าราชบริพารเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นข้าราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสารมีอาการต่าง ๆ กัน ยังไม่อ่อนน้อม ซึ่งยังไม่สมควรจะรับพระธรรมเทศนาได้ จึงตรัสสั่งให้พระอุรุเวลกัสสปะ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชนเหล่านั้น ประกาศให้ทราบลัทธิเก่านั้นอันหาแก่นสารมิได้ ท่านกระทำตามรับสั่ง ทำให้ชนเหล่านั้นสิ้นความเคลือบแคลงสงสัย แล้วตั้งใจฟังพระธรรมเทศนา พระองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจสี่ ในเวลาจบเทศนา พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพารสิบเอ็ดส่วน ได้ดวงตาเห็นธรรม อีกส่วนหนึ่งตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ ครั้งนี้จัดว่าท่านได้ช่วยเป็นกำลังพระศาสนา ในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธฯ
เอตทัคคะ
นอกจากนี้ท่านได้ช่วยทำกิจพระศาสนาตามสมควรแก่กำลังความสามารถ และรู้จักเอาใจบริษัท ปรากฏว่ามีบริวารถึงห้าร้อยฯ ด้วยเหตุนี้ จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีบริวารมาก (ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลแห่งความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง ด้วยธรรมบ้าง ตามที่เขาต้องการ ภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติอย่างนี้ ย่อมเป็นผู้อันบริษัทรักใคร่นับถือ สามารถควบคุมบริษัทไว้อยู่ เป็นผู้อันบริษัทพึงปรารถนาในสาวกมณฑล) ท่านดำรงชนมายุสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลก็ดับขันธปรินิพพานฯ...