เพื่อให้รูปแบบและระเบียบการบริหารราชการของประเทศดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และมีการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น
เช่นเดียวกับประเทศในระบอบประชาธิปไตยทั้งหลาย
นายปรีดีฯ
เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในกรรมาธิการร่างพระราชบัญญํติระเบียบราชการบริหาร
แห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.
2476 นายปรีดีฯ
ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของ
พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า "ก็เพื่อต้องการจัดรูปงานให้เข้าลักษณะการปกครองอย่างรัฐธรรมนูญ
และเพื่อจะให้การ
บริหารราชการแผ่นดินรวบรัดและเร็วยิ่งขึ้น
...การต่อไปเราจะจัดรูปราชการให้เข้าลักษณะการปกครอง
ดังที่เขานิยมใช้กันในประเทศ
ต่าง ๆ คือ
เราจัดเป็นส่วนกลางเป็นภูมิภาคและเป็นท้องถิ่น"
นายปรีดีฯ
ยังชี้แจงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการบริหารส่วนท้องถิ่นของ
ยุคใหม่กับยุคเก่าว่า
"ในครั้งแต่ก่อน
เมื่อยังไม่มีพระราชบัญญัติธรรมนูญราชการฝ่ายพลเรีอนหรือพระราชบํญญัติใหม่ฉบับนี้
ราชการบริหารก็ได้มีการแบ่งแยกไปไว้ในท้องถิ่นแล้วเหมือนกัน
แต่การแบ่งนั้น
ได้กระทำไปโดยที่ครั้งกระนั้นเราประสงค์ที่จะควบคุมอำนาจในท้องถิ่นและในส่วนภูมิภาคให้ยิ่งไปกว่าในเวลานี้
แต่ในเวลานี้เราได้มีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญแล้ว
การแบ่งราชการบริหารไปไว้
ในส่วนภูมิภาคหรือแยกราชการบริหารให้ท้องถิ่นจัดทำเอง
ย่อมจะนำมาซึ่งผลดีแก่ราชการ"
นายปรีดีฯ
ได้อธิบายร่าง พ.ร.บ.
ฉบับนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองเทศบาลว่า
"เราจะได้ยกตำบลทุก
ๆตำบลให้มีสภาพเป็นเทศบาลขึ้น
มีการปกครองท้องถิ่น คือ
อาจมีสภาเทศบาล
ซึ่งจำลองสภาผู้แทนราษฎรอย่างหนึ่งและอาจจะมีคณะเทศมนรี
ซึ่งจำลองมาจากคณะรัฐมนตรี
อีกอย่างหนึ่ง
เพื่อทำราชการอันเป็นส่วนท้องถิ่น
...และทางเทศบาลต่าง ๆ
ในจังหวัดอาจรวมกัน
ตั้งเป็นสหการ
เพื่อประกอบกิจการท้องถิ่นอันร่วมกัน
โดยวิธีนี้ราษฎรในท้องถิ่นจะได้ทำประโยชน์
แต่บ้านเมืองของตนได้เต็มกำลัง
และนอกจากนั้นการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ
ซึ่งท่านทั้งหลายประสงค์ช่วยกันปลูกปักให้มั่นคงก็จะได้แผ่ไปทั่วราชอาณาจักร
ราษฎรจะได้รู้สึกเห็นการปกครองชนิดนี้
ทางสภาเทศบาลและทางคณะเทศมนตรีในท้องถิ่นนันเอง"
ในฐานะนักกฎหมาย
นายปรีดีฯ
เข้าใจดีว่างานด้านนิติบัญญัติเป็นการวางโครงการสร้างส่วนบนของรัฐาธิปัตย์
แต่ในฐานะนักปกครอง
นักบริหาร
เขาตระหนักดีว่าจะต้องลงมือปฏิบัติการเพื่อ
ให้บรรลุตามเจตนารมณ์ประชาธิปไตยของตัวบทกฎหมายนั้น
ดังนั้นนายปรีดีฯ
จึงเข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่าง
ๆ
เพื่อดำเนินการกิจการแต่ละด้านให้บรรลุวัตถุประสงค์ขั้นพื้น
ฐานดังกล่าว
ภารกิจด้านการปกครอง
ในสมัยนั้นกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงใหญ่ที่สุดที่มีขอบข่ายอำนาจหน้าทั้งในด้าน
การปกครอง การศึกษา
และการสาธารณสุขทั่วประเทศ
นายปรีดีฯ
ได้เข้าดำรงตำแหน่งเป็นรัฐ
มนตรีว่าการกระทรวงนี้เป็นแห่งแรก
(ระหว่าง 29 มีนาคม 2476- ช
สิงหาคม 2480)
ทันทีที่เข้าดำรงตำแหน่ง
นายปรีดีฯ
ได้ทำการจัดตั้งเทศบาลทั่วราชอาณาจักรสยาม
ตาม พ.ร.บ.
เทศบาลซึ่งเขาเป็นผู้ร่างให้รัฐบาลเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร
เพื่อให้การปกครองทัองถิ่นเป็น
รากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยของประเทศ
นายปรีดีฯ
ได้แสดงความมุ่งมั่นในการขยาย
เทศบาลว่า
"เราต้องการขยายเทศบาลนั้นไปทั่วพระราชอาณาจักร
ไม่ใช่จะหยิบยกแต่จังหวัดสำคัญๆ
เหมือนดังพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลหัวเมืองแต่ก่อนไม่
ทั้งนี้โดยดำเนินคล้าย ๆ
กับในหลาย
ประเทศที่เขาปฏิบัติเช่นนี้เช่น
ฝรั่งเศสก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี
ก็ได้ยกสภาพของตำบลนั้นให้เป็นเทศบาล"
ที่สำคัญคือการปกครองแบบเทศบาลตาม
พ.ร.บ.เทศบาลที่นายปรีดีฯ
ร่างขึ้นนั้น ได้ยกเทศ
บาลตำบลให้มีฐานะเป็นทบวงการเมือง
ซึ่งมีสภาพเป็นนิติบุคคล
เทศบาลตำบลจัดระเบียบการปก
ครองเป็น 2 ส่วนคือ
- สภาเทศบาลตำบลเป็นองค์การนิติบัญญัติมีอำนาจหน้าที่ตราเทศบัญญัติ
- คณะมนตรีตำบลเป็นองค์การบริหาร
มีอำนาจหน้าที่บริหารการให้เป็นไปตามนโยบาย
ซึ่งสภาตำบลรับรองแล้ว
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
การปกครองระบบเทศบาล
คือการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น
อย่างมั่นคง
และเป็นการจำลองการปกครองในระดับประเทศมาสู่ระดับท้องถิ่นทุกตำบล
ด้วยจิตวิญญาณประชาธิปไตยที่นายปรีดีฯ
ให้หว่านโปรยไว้ในสังคมไทยนี้เอง
ทำให้อำนาจเผด็จการและ
ระบบอำนาจนิยมไม่สามารถกลับเข้ามาครอบงำประเทศนี้ได้ง่ายดายเหมือนแต่ก่อน
แม้นายปรีดีฯ
จะพ้นจากเวทีการเมืองไทยหลังจากที่มีบทบาทอยู่เพียง
15 ปี ก็ตาม
|