ภารกิจ และ ผลงานของ นายปรีดี พนมยงค์ | English | Home Home
ภารกิจด้านนิติบัญญัติ และ การวางรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
 
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กล่าวได้ว่า นายปรีดีฯ เป็นผู้นำคณะราษฎร ผุ้มีบทบาทมากที่สุดในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เนื่องจากเป็นคนไทยคนแรก ผู้สำเร็จดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย ซึ่งเป็นปริญญาของรัฐ จากมหาวิทยาลัยปารีส นายปรีดีฯ จึงให้ความ สำคัญกับงานด้านนิติบํญญัตกับการปกครองเป็นพิเศษ นอกจากจะเป็นผู้ร่างประกาศคณะราษฎรแล้ว เขายังเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกแห่งสยามประเทศ โดยเป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติ ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว 27 มิถุนายน 2475 พร้อมกันนั้น เขายังเป็นอนุกรรมการผุ้มีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 อันเป็นรัฐธรรมนุญถาวรฉบับแรกของสยาม ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครอง โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขซึ่งอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ในที่นี้สมควรบันทึกไว้ด้วยว่านายปรีดีฯ ได้รับแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็น เลขาธิการคนแรกของสภาผู้แทนราษฎรสยาม และด้วยตำแหน่งดังกล่าวทำให้เขามีบทบาทด้านนิติบัญญัติในการวางหลักสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคให้แก่ราษฎร

นายปรีดีฯ เป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฉบับแรก พ.ศ. 2475 เขาเห็นว่า "การเลือกตั้งถือว่าเป็นสารสำคัญในทางการเมือง ในบางประเทศ การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งแห่งรัฐธรรมนูญและเราก็เคยมีบทบัญญํติว่าด้วยการเลือกตั้งไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว (รัฐธรรมนูญ ฉบับแรก) ดังนี้จึงเห็นว่ากฎหมายการเลือกตั้งไม่ใช่กฎหมายธรรมดา" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้ริเริ่มให้สตรีมีสิทธิ์ในการออกเสียงเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรได้เช่นเดียวกับเพศ ชาย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งเพศหญิงและเพศชายได้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎรโดยทั่วกันในทันที (Universal Suffrage) โดยผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมี อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์ ในขณะที่ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งก็ได้กำหนดอายุไว้เพียง 23 ปี

น่าสังเกตว่าแม้ประเทศฝรั่งเศสจะมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยก่อนไทยเป็น เวลาหลายสิบปี ก็เพิ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้หญิงมีสิทธิ์รับเลือกตั้ง และมีสิทธิออกเสียงเลือกผู้แทนราษฎรได้ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนในอังกฤษซึ่งเป็นประชาธิปไตยมานาน ก็เพิ่งเปิดโอกาสให้สตรีมีสิทธิมีเสียงในทางการเมืองในราวปี ค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) นี่เอง คือก่อนหน้าประเทศไทยเพียง 4 ปีเท่านั้น

การที่นายปรีดีฯ ได้ไปศึกษากฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส จึงมีความรู้เรื่ององค์การจัดทำร่างกฎหมายของฝรั่งเศสเป็นอย่างดี องค์การนี้นอกจากทำหน้าที่ร่างกฎหมายแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน และที่สำคัญยังทำหน้าที่เป้น "ศาลปกครอง" พิจารณาข้อพิพาท ระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองกับประชาชนอีกด้วย ดังนี้เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วนาย ปรีดีฯ จึงเป็นตัวตั้งตัวตีให้รัฐบาลยกฐานะกรมร่างกฎหมายและสถาปนาขึ้นเป้น "คณะกรรมการ กฤษฎีกา" ทำหน้าที่ยกร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษาของแผ่นดิน ทั้งยังพยายามผลักดันให้ "คณะกรรมการกฤษฎีกา" ทำหน้าที่ "ศาลปกครอง" อีกด้วย แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เป็นประเด็นที่ถกเถียงค้าง คามาจนกระทั่งทุกวันนี้

เคยมีผู้วิพากษ์ว่า นายปรีดีฯ เป็นผู้นิยมรัฐเผด็จการของข้าราชการ (Bureaucracy) โดย พิจารณาจากเค้าโครงการเศรษฐกิจฯ ของเขาเพียงด้านเดียว แนวความคิดในเรื่อง "ศาลปกครอง" ของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการให้ราษฎรสามารถตรวจสอบฝ่ายปกครองได้ และมีสิทธิในทาง การเมืองเท่าเทียมกับข้าราชการอย่างแท้จริง นายปรีดีฯ สนับสนุนแนวคิดศาลปกครองมาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อพ.ศ.2475 และเขาเป็นผู้นำเอาวิชา "กฎหมายปกครอง" (Droit administratif) มาสอนเป็นคนแรก ณ โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม โดยได้แสดงความ เห็นไว้ใน "คำอธิบายกฎหมายการปกครอง" ทำนองสนับสนุนให้มีศาลปกครองขึ้นในประเทศไทย ว่า

"ในบางประเทศ เช่น ในประเทศคอนติเนนท์ยุโปร มีอาทิ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฯลฯ และใน ประเทศญี่ปุ่น ได้มีศาลปกครองตั้งขึ้นแยกจากศาลยุติธรรมเพื่อวินิจฉัยคดีการปกครอง แต่ใน ประเทศสยามมิได้มีศาลปกครองเช่นว่านั้น เหตุฉะนั้น ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการ กระทำของฝ่ายปกครอง จึงมีทางที่จะฟ้องหรือร้องทุกข์ได้เพียงจำกัด"

แต่เนื่องจากวัฒนธรรมในทางอำนาจนิยมของรัฐไทยยังมีอยู่หนาแน่น ความพยายามในการตั้งศาลปกครองของนายปรีดีฯ จึงประสบอปสรรคมาโดยตลอด สำหรับนายปรีดีฯ แล้ว หากยังไม่สถาปนาศาลปกครองขึ้นในระบบตุลาการแล้ว ตราบนั้นสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของราษฎรในระบอบประชาธิปไตย ก็ยังไม่ปรากฎจิรงในทางปฏิบัติ

ปัจจุบันเป็นที่น่ายินดีว่า ประเด็นเรื่อง "ศาลปกครอง" ได้รับการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาถกเถียงกันอีกครั้งในรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (พ.ศ.2540) และเชื่อวว่าเจตนารมณ์ในการ จัดตั้งศาลปกครองของนายปรีดีฯ พนมยงค์ จะได้รับการตอบสนองในที่สุด

การกระจายอำนาจการปกครอง | English | Home
 
เพื่อให้รูปแบบและระเบียบการบริหารราชการของประเทศดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น เช่นเดียวกับประเทศในระบอบประชาธิปไตยทั้งหลาย นายปรีดีฯ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในกรรมาธิการร่างพระราชบัญญํติระเบียบราชการบริหาร แห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 นายปรีดีฯ ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า

"ก็เพื่อต้องการจัดรูปงานให้เข้าลักษณะการปกครองอย่างรัฐธรรมนูญ และเพื่อจะให้การ บริหารราชการแผ่นดินรวบรัดและเร็วยิ่งขึ้น

...การต่อไปเราจะจัดรูปราชการให้เข้าลักษณะการปกครอง ดังที่เขานิยมใช้กันในประเทศ ต่าง ๆ คือ เราจัดเป็นส่วนกลางเป็นภูมิภาคและเป็นท้องถิ่น"

นายปรีดีฯ ยังชี้แจงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการบริหารส่วนท้องถิ่นของ ยุคใหม่กับยุคเก่าว่า

"ในครั้งแต่ก่อน เมื่อยังไม่มีพระราชบัญญัติธรรมนูญราชการฝ่ายพลเรีอนหรือพระราชบํญญัติใหม่ฉบับนี้ ราชการบริหารก็ได้มีการแบ่งแยกไปไว้ในท้องถิ่นแล้วเหมือนกัน แต่การแบ่งนั้น ได้กระทำไปโดยที่ครั้งกระนั้นเราประสงค์ที่จะควบคุมอำนาจในท้องถิ่นและในส่วนภูมิภาคให้ยิ่งไปกว่าในเวลานี้ แต่ในเวลานี้เราได้มีการปกครองแบบรัฐธรรมนูญแล้ว การแบ่งราชการบริหารไปไว้ ในส่วนภูมิภาคหรือแยกราชการบริหารให้ท้องถิ่นจัดทำเอง ย่อมจะนำมาซึ่งผลดีแก่ราชการ"

นายปรีดีฯ ได้อธิบายร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองเทศบาลว่า "เราจะได้ยกตำบลทุก ๆตำบลให้มีสภาพเป็นเทศบาลขึ้น มีการปกครองท้องถิ่น คือ อาจมีสภาเทศบาล ซึ่งจำลองสภาผู้แทนราษฎรอย่างหนึ่งและอาจจะมีคณะเทศมนรี ซึ่งจำลองมาจากคณะรัฐมนตรี อีกอย่างหนึ่ง เพื่อทำราชการอันเป็นส่วนท้องถิ่น ...และทางเทศบาลต่าง ๆ ในจังหวัดอาจรวมกัน ตั้งเป็นสหการ เพื่อประกอบกิจการท้องถิ่นอันร่วมกัน โดยวิธีนี้ราษฎรในท้องถิ่นจะได้ทำประโยชน์ แต่บ้านเมืองของตนได้เต็มกำลัง และนอกจากนั้นการปกครองแบบรัฐธรรมนูญ ซึ่งท่านทั้งหลายประสงค์ช่วยกันปลูกปักให้มั่นคงก็จะได้แผ่ไปทั่วราชอาณาจักร ราษฎรจะได้รู้สึกเห็นการปกครองชนิดนี้ ทางสภาเทศบาลและทางคณะเทศมนตรีในท้องถิ่นนันเอง"

ในฐานะนักกฎหมาย นายปรีดีฯ เข้าใจดีว่างานด้านนิติบัญญัติเป็นการวางโครงการสร้างส่วนบนของรัฐาธิปัตย์ แต่ในฐานะนักปกครอง นักบริหาร เขาตระหนักดีว่าจะต้องลงมือปฏิบัติการเพื่อ ให้บรรลุตามเจตนารมณ์ประชาธิปไตยของตัวบทกฎหมายนั้น ดังนั้นนายปรีดีฯ จึงเข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ เพื่อดำเนินการกิจการแต่ละด้านให้บรรลุวัตถุประสงค์ขั้นพื้น ฐานดังกล่าว ภารกิจด้านการปกครอง

ในสมัยนั้นกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงใหญ่ที่สุดที่มีขอบข่ายอำนาจหน้าทั้งในด้าน การปกครอง การศึกษา และการสาธารณสุขทั่วประเทศ นายปรีดีฯ ได้เข้าดำรงตำแหน่งเป็นรัฐ มนตรีว่าการกระทรวงนี้เป็นแห่งแรก (ระหว่าง 29 มีนาคม 2476- ช สิงหาคม 2480)

ทันทีที่เข้าดำรงตำแหน่ง นายปรีดีฯ ได้ทำการจัดตั้งเทศบาลทั่วราชอาณาจักรสยาม ตาม พ.ร.บ. เทศบาลซึ่งเขาเป็นผู้ร่างให้รัฐบาลเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้การปกครองทัองถิ่นเป็น รากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยของประเทศ นายปรีดีฯ ได้แสดงความมุ่งมั่นในการขยาย เทศบาลว่า

"เราต้องการขยายเทศบาลนั้นไปทั่วพระราชอาณาจักร ไม่ใช่จะหยิบยกแต่จังหวัดสำคัญๆ เหมือนดังพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลหัวเมืองแต่ก่อนไม่ ทั้งนี้โดยดำเนินคล้าย ๆ กับในหลาย ประเทศที่เขาปฏิบัติเช่นนี้เช่น ฝรั่งเศสก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี ก็ได้ยกสภาพของตำบลนั้นให้เป็นเทศบาล"

ที่สำคัญคือการปกครองแบบเทศบาลตาม พ.ร.บ.เทศบาลที่นายปรีดีฯ ร่างขึ้นนั้น ได้ยกเทศ บาลตำบลให้มีฐานะเป็นทบวงการเมือง ซึ่งมีสภาพเป็นนิติบุคคล เทศบาลตำบลจัดระเบียบการปก ครองเป็น 2 ส่วนคือ

  1. สภาเทศบาลตำบลเป็นองค์การนิติบัญญัติมีอำนาจหน้าที่ตราเทศบัญญัติ
  2. คณะมนตรีตำบลเป็นองค์การบริหาร มีอำนาจหน้าที่บริหารการให้เป็นไปตามนโยบาย ซึ่งสภาตำบลรับรองแล้ว

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การปกครองระบบเทศบาล คือการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น อย่างมั่นคง และเป็นการจำลองการปกครองในระดับประเทศมาสู่ระดับท้องถิ่นทุกตำบล ด้วยจิตวิญญาณประชาธิปไตยที่นายปรีดีฯ ให้หว่านโปรยไว้ในสังคมไทยนี้เอง ทำให้อำนาจเผด็จการและ ระบบอำนาจนิยมไม่สามารถกลับเข้ามาครอบงำประเทศนี้ได้ง่ายดายเหมือนแต่ก่อน แม้นายปรีดีฯ จะพ้นจากเวทีการเมืองไทยหลังจากที่มีบทบาทอยู่เพียง 15 ปี ก็ตาม

ภารกิจด้านการศึกษา | English | Home
 
เพื่อให้ดำเนินตามปณิธานข้อสุดท้ายของหลัก 6 ประการที่วา รัฐบาลจะให้การศึกษาอย่าง เต็มที่แก่ราษฎร และเพื่อเป็นการเผยแพร่ปลูกฝังระบอบประชาธิปไตยในหมู่ประชาชน นายปรีดีฯ ได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้น ด้วยเห็นว่าในขณะนั้น สถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่มีอยู่ มิได้เปิดกว้างเพื่อชนส่วนใหญ่ และมิได้เตรียมสร้างคน เพื่อรองรับระบอบการเมืองใหม่

ดังนั้นมหาวิทยาลัยใหม่ตามแนวความคิดของเขา จึงเป็นมหาวิทยาลัยของราษฎรที่เปิดกว้างเป็นตลาดวิชา ให้ความรู้ทางด้านวิชากฎหมาย วิชาเศรษฐกิจ และวิชาอื่น ๆ อันเกี่ยวกับธรรมศาสตร์และการเมือง เมื่อมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ การเมือง พ.ศ.2476 ที่นายปรีดีฯ เป็นผู้ร่างแล้ว กิจการของมหาวิทยาลัยได้ดำเนินไปตามเป้า หมายและวัตถุประสงค์ภายใต้การอำนวยการของนายปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การคนแรก

ที่สำคัญก็คือนายปรีดีฯ ได้ดำเนินการให้มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ฯ เป็นสภาบันที่มี เสรีภาพทางวิชาการและเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐอย่างแท้จริง กล่าวคือนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งและดำเนินกิจการ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มิได้ใช้งบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด หากอาศัยเงินที่มาจาก ค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาทั่วราชอาณาจักรและดอกผลที่ได้มาจากธนาคารแห่งเอเซีย เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม (Bank of Asia) ซึ่งนายปรีดีฯ เป็นผู้ก่อตั้ง โดยมหาวิทยาลัยถือหุ้นอยู่ถึง 80%

ในช่วงที่นายปรีดีฯ เป็นผู้ประศาสตร์การอยู่นั้น มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และผลผลิตของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ได้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของสยาม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านสงครามและต่อสู้เพื่อสันติภาพ โดยที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ขององค์การกู้ชาติเสรีไทย ทั้งอาจารย์และนักศึกษาต่างก็ เป็นพลพรรคของขบวนการนี้

ภายหลังจากที่นายปรีดีฯ พ้นจากตำแหน่งผู้ประศาสน์การและออกจากวงการเมืองไทยแล้ว รัฐบาลได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยเสียใหม่ ตัดคำว่า "การเมือง" ออกเพื่อมิให้นักศึกษายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้งยังทำการขายหุ้นทั้งหมดของมหาวิทยาลัย จนไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงตัวเองได้ กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่ต้องอาศัยงบประมาณจากรัฐบาล และตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล แต่กระนั้นจิตวิญญาณประชาธิปไตยของ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ยังไม่สูญสิ้น สาธารณชนย่อมเป็นประจักษ์พยานได้ดีกว่า นักศึกษา คณาจารย์ และเหล่าบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังคงมีบทบาทโดดเด่นในการต่อสู้กับเผด็จการทุกยุคทุกสมัย และเป็นแนวหน้าในการรณรงค์ให้ระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงสถาปนาขึ้นมาในประเทศนี้

ภารกิจด้านการต่างประเทศ | English | Home
 
ความมุ่งมั่นสำคัญที่สุดประการหนึ่งของนายปรีดีฯ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็คือ หลักการข้อแรกในหลัก 6 ประการซึ่งได้แก่หลักเอกราช กล่าวคือจะต้องจัดการเรียกร้องเอาอำนาจอธิปไตยกลับคืนมาให้ได้เต็มี่ ทั้งในการเมือง การศาล และเศรษฐกิจ โดยจะปลดเปลื้องข้อมูลพัน อันเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของชาติ ดังนั้นเมื่อภารกิจด้านการปกครองในกระทรวง มหาดไทยเข้ารูปเข้ารอยแล้ว นายปรีดีฯ ได้ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ระหว่าง 9 สิงหาคม 2480 - 15 ธันวาคม 2481) เพื่อปฏิบัติภารกิจอันมีความ สำคัญต่อประเทศสยามอย่างยิ่งยวด นั้นคือเป็นผู้นำในการแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคที่รัฐบาล สยามสนัยสมบูรณาญาสิทธิราชได้ทำไว้กับประเทศต่าง ๆ ในนามของสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์ และการเดินเรือเป็นจำนวน 12 ประเทศ ตามลำดับดังต่อไปนี้
  1. สหรัฐอเมริกา : พ.ศ. 2463
  2. ญี่ปุ่น : พ.ศ. 2466
  3. ฝรั่งเศส : พ.ศ. 2467
  4. เนเธอร์แลนด์ : พ.ศ. 2468
  5. อังกฤษ : พ.ศ. 2468
  6. สเปญ : พ.ศ. 2468
  7. โปรตุเกส : พ.ศ. 2468
  8. เดนมาร์ก : พ.ศ. 2468
  9. สวีเดน : พ.ศ. 2468
  10. อิตาลี : พ.ศ. 2464
  11. เบลเยี่ยม : พ.ศ. 2468
  12. นอร์เวย์ : พ.ศ. 2468

หลักการใหญ่ ๆ ที่ต้องแก้ไขในสนธิสัญญาไม่เสมอภาคมี 2 ประเด็น คือ

  1. ลัทธิสภาพนอกอาณาเขต (Extraterritorialiry) คือคนในบังคับของต่างประเทศไม่ต้อง ขึ้นต่อศาลสยาม ทำให้สยามสูญเสียเอกราชในทางศาล

  2. ภาษีร้อยฃัก 3 รัฐบาลสยามสามารถเรียกเก็บภาษีขาเข้าได้เพียงไม่เกินร้อยละ 3 เท่า นั้น ทำให้สยามขาดรายได้เข้าประเทศที่ควรจะได้ นับเป็นการสูญเสียเอกสารในทางเศรษฐกิจ

นายปรีดีฯ ได้ใช้ยุทธวิธีบอกเลิกสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับประเทศคู่สัญญาเหล่านั้น และ ได้ยื่นร่างสนธิสัญญาฉบับใหม่ที่สยามได้เอกราชและอธิปไตยสมบูรณ์นั้นให้ประเทศเหล่านั้น พิจารณา นายปรีดีฯ ได้ใช้ความอุตสาหะพยายามเจรจาโดยอาศัยหลัก "ดุลยภาคแห่งอำนาจ" จน ประเทศนั้น ๆ ยอมทำสนธิสัญญาใหม่ที่สยามได้เอกราชอธิปไตยสมบูรณ์ทั้งในทางการเมือง ใน ทางศาล และในทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ นายปรีดีฯ ยังเจรจากับรัฐบาลอังกฤษให้โอนดินแดนของสยามส่วนหนึ่งที่ อังกฤษได้ไปจากสยามตามสนธิสัญญาฉบับปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอังกฤษ ค.ศ. 1868 (สมัยรัชกาลที่ 4) ที่ปากน้ำจั่นระหว่างจังหวัดระนองกับวิคตอเรียพอยท์ของอังกฤษซึ่งมีดินงอก ทางฝั่งไทย และอีกแห่งหนึ่งที่มีดินแดนริมฝั่งไทยด้านริมแม่น้ำสายจังหวัดเชียงราย รัฐบาลอังกฤษ ได้ตกลงยินยอมให้ดินแดนที่งอกที่ฝั่งไทยนั้นเป็นดินแดนของไทย [Next Page]


Home Home | ภารกิจด้านการคลัง
 
1