โดย : โอฬาร สุขเกษม 10/3/2001
แก่นศาสนาพุทธ

โอวาท หมายถึง คำแนะนำ คำตักเตือน คำกล่าวสอน โอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรุปได้ 3 ประการ คือ หนึ่ง ให้ทำความดี เช่น มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น พูดจากไพเราะอ่อนหวาน สอง ละเว้นความชั่ว การไม่ทำความชั่ว เช่น ไม่ลักขโมย ไม่ทะเลาะวิวาท และ สาม ทำจิตให้ผ่องใส คือ กำจัดสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองออกไป เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลงใหล ผู้มีจิตใจผ่องใสย่อมพบกับความสุขความเจริญ

พุทธ แปลว่า ผู้รู้(แล้ว) ผู้ตื่น(ไม่หลงงมงาย) ผู้เบิกบาน(แล้ว) เจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ทรงรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเรียกว่า ตรัสรู้ และสิ่งที่พระองค์รู้อย่างถ่องแท้ ทำให้หลุดพ้น นั่นก็คือ รู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ 4 ประการ หรือ ที่เรียกว่า อริยสัจ 4 ซึ่งได้แก่ 1.ทุกข์ (สภาพที่ทนได้ยาก)2.สมุทัย(เหตุเกิดทุกข์) 3.นิโรธ (ความดับทุกข์) 4.มรรค (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์)

พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ต้นเหตุแห่งทุกข ์คือ ตัณหา หรือ ความดิ้นรนทะยานอยาก อยากเพราะความเพลิน อยากเพราะความยินดี รวมทั้งอยากไม่เป็นนั่นเป็นนี่ ถ้าประสงค์จะไม่มีทุกข์ จงดับตัณหาเสีย

พระองค์ชี้ทางหรือ แนะกรรมวิธีที่จะนำสู่การดับข์ได้อย่างเด็ดขาด คือ ให้ยึดถือหนทางมรรค 8 ซึ่งได้แก่ หนึ่ง สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) คือ ความรู้ในอริยสัจ 4 สอง สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) คือ 1.ดำริในการที่จะออกจากกาม 2.ดำริในอันที่จะไม่พยาบาท 3.ดำริในอันที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น สัตว์อื่น) สาม สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ) คือ ประกอบด้วยวจีสุจริต 4 ประการ ได้แก่ เว้นจากการพูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียดยุยงให้ผู้อื่นแตกกัน และพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ) ี่ สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) คือ ประกอบด้วยกายสุจริต 3 ประการ ได้แก่ 1.ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต 2.ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ 3.ไม่ประพฤติผิดทางกามารมณ์) ห้า สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ) ไม่ประพฤติมิจฉาชีพ หก สัมมาวายามะ (เพียรพยายามชอบ) คือ 1. พยายามป้องกันไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้น 2. พยายามละความชั่วที่มีอยู่ 3.พยายามก่อให้เกิดความดี 4. พยายามรักษาความดี เจ็ด สัมมาสติ (ความระลึกชอบ) คือ คิดชอบคิดให้ถูก แปด สัมมาสมาธิ (ความตั้งจิตมั่นชอบ)หรือตั้งมั่นในหนทางที่ถูกต้อง

พระพุทธเจ้าแนะให้รู้จักคิด รู้จักใช้เหตุผล ให้พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วจึงตัดสินว่า จะเชื่อหรือไม่เชื่อ หลักนี้เรียกว่า กาลามสูตร หรือ สูตร 10 ประการ ได้แก่ 1. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพียงเพราะได้ฟังตามๆกันมา 2.อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อเพราะปฏิบัติกันมา 3.อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อเพราะเป็นเสียงเล่าลือ 4.อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อเพราะเขาอ้างตำรา คำภีร์ 5.อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อเพราะฟังว่ามีเหตุมีผลทางตรรกะ 6.อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อเพราะเห็นว่าน่าจะเป็นไปได้ 7.อย่างเพิ่งปลงใจเชื่อเพราะตริตอรองเอาตามอาการที่ปรากฎ 8.อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อเพราะพ้องกับความเห็นของตน 9. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อเพราะมีลักษณะน่าจะเป็นไปได้ 10.อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่าสมณะผู้นั้นเป็นครูของเรา

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สังขารทั้งปวงเป็นสิ่งไม่เที่ยง(อนิจจัง) สังขารทั้งปวง(หมายถึงทั้งสังขารและวิญญาน)เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ และสิ่งทั้งปวง ล้วนเป็น อนัตตา คือ มิใช่ตัวตนที่เที่ยงแท้แน่นอน คำสอนชี้ให้เห็นว่า การเวียนว่ายตายเกิดย่อมอยู่ในวงล้อ แห่งทุกข์ การสู่นิพพาน คือ การหลุดพ้นอย่างแท้จริง นัยแห่งนิพพานก็คือ ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่สาบสูญ คือ ความเป็นนิรันดร

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ส่งเสริมให้มนุษย์ทุกคนรู้จักคิด รู้จักพิจารณา สิ่งใดดี สิ่งใดชอบ(หมายถึงสิ่งที่ถูกต้อง) และการเรียนรู้ตามทางพระพุทธศาสนานั้น มีแนวมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วคือ หลัก ไตรสิกขา หรือ ข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษา 3 ประการ ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา

ศีล คือ ข้อปฏิบัติทางกายและวาจา ถ้าไม่ทรงศีลก็มิอาจเข้าถึงการหยั่งรู้ได้ ศีลจึงนับเป็นพื้นฐาน ก่อนเข้าสู่สมาธิ และปัญญา สมาธิ คือ การทำจิตใจให้เข้มแข็งแน่วแน่ ควบคุมตนได้ดี ในทางคุณธรรม หากผ่านมาสู่สมาธิแล้ว ลำดับต่อไปจะก่อให้เกิดปัญญา ปัญญา คือ หนทางสู่ความรู้แจ้ง ทำให้เข้าใจในสิ่งทั้งหลาย สามารถคิดพิจารณาแก้ปัญหาต่างๆได้ สรุปแล้ว ศีลเป็นพื้นฐานทำให้เกิดสมาธิ สมาธิเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา และเมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะช่วยให้จิตใจสงบมั่นคงบริสุทธิ์

พุทธศาสนา(ลัทธิหินยาน) ชี้ทางให้หลุดพ้นได้ด้วยตนเอง ตามแนวทางหลักๆ ดังกล่าวข้างต้น ลำพังเป็นผู้ทรงศีล ก็ช่วยให้ตนเกิดความสงบสุข แล้ว และช่วยให้สังคมสงบสุขด้วย เพราะเหตุนี้ชาวพุทธผู้ใฝ่ตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมักจะปฏิบัติตามหลัก ไตรสิกขา และหากมุ่งเพียงสมาธิ หรือกรรมฐาน โดยปราศจากศีลและปัญญาแล้ว ก็ไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาพุทธได้

เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพลเมืองโลกในยุคอินเดียโบราณเมื่อ 2,544 ปีมาแล้ว (พุทธศักราชนับจากวันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับขันท์ปรินิพพาน) พระองค์ทรง "ตรัสรู้" ได้ด้วยตัวเอง บนพื้นฐาน ศีล สมาธิ และปัญญา คำสอนของพระพุทธองค์เกิดจากไตรสิกขาดังกล่าว หาได้รับโองการ หรือ คำสั่งมาจากผู้ใดไม่ และทรงเบิกทางสู่นิพพานด้วยพระองค์เอง คำสอนของพระองค์จึงเป็นปรัชญา มิได้เป็นโองการจากที่ใด และผู้ใดจะรับหรือไม่รับ สุดแท้แต่ปัญญาของผู้นั้น

นิพพาน(ภาษาบาลี) หรือ นิรวานะ(nirvana)(ภาษาสันสกฤต) ต้องพิจารณาไปด้วยกัน กล่าวคือ "วานะ(วาณะ)" แปลว่า เครื่องเสียบแทง อันหมายถึงลูกศร คำว่า "นิรวานะ" แปลว่า ออกจากเครื่องเสียบแทง หรือถอนลูกศร ดังนั้น คำว่า สู่นิพพาน เปรียบเสมือนกับถอดศรออกจากใจไปได้ และพ้นทุกข์นั่นเอง อย่างไรก็ดีความหมายในทางตรงของคำว่า นิพพาน คือ การเปลี่ยนจากสภาพอนิจจัง อนัตตา สู่ความเป็นนิรันดร ในที่ที่ซึ่ง ไม่ใช่ภพโลก และมิอาจรู้ได้ว่าอยู่ที่ใด เป็นอย่างไร เว้นแต่ผู้ที่บรรลุแล้วเท่านั้น

(HOME)

 

 

 
1