ความจริงประการหนึ่งใคร่ขอเรียนว่า ถ้าปรารถนาจะรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ ก็ควรสงวนท่าทีตอบโต้ หรือตอบโต้ที่นิ่นนวลกว่าน่าจะดี อาทิ บ่อยครั้งที่ผลงานรัฐบาลถูกนำไปวิเคราะห์เชิงวิชาการ ก็มักถูกตอบโต้กลับหาว่า นักวิชาการไม่รู้จริง หรือสุ่มตัวอย่างความเห็นประชาชนต่อความนิยมรัฐบาล เมื่อผลออกมาไม่ดี อำนาจรัฐก็ตึงตังไปตรวจสอบ พร้อมวิจารณ์ว่า ทำงานวิจัยไม่ได้มาตรฐาน ทั้งที่ทำองค์กรดังกล่าวทำวิจัยมาเป็นเวลายาวนานแล้ว เป็นต้น ภาพที่ออกมาจึงดูเหมือนว่า รัฐบาลนี้ "ใครแตะต้องไม่ได้" ?
ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เราเห็นว่า
หนึ่ง ปปง.ควรเดินหน้าปฏิบัติการตามหน้าที่ต่อไป โดยไม่คำนึงว่าผู้ตรวจสอบประกอบอาชีพอะไร ถ้าบุคคลมีพฤติกรรมเข้าข่ายของกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ คอลัมนิสต์ องค์กรเอ็นจีโอ ถ้าหากละเว้นกลางครันเพราะมีความอื้อฉาว เราถือว่าประชาชนสูญเสียโอกาสที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสาร รับรู้ความจริง ต้องให้ความจริงปรากฎ
สอง หากปปง.ใช้อำนาจตามกฎหมายผิดไปจากเจตนารมย์ของกฎหมาย ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเสียใหม่ เพื่อป้องกันการคุกคามสิทธิเสรีภาพของพลเมือง
สาม หากอำนาจรัฐสั่งการเอง หรือข้อเท็จจริงมีว่า ปัญหาอยู่ที่บุคคลผู้ถือกฎหมาย นายกรัฐมนตรีต้องวางนโยบายเสียใหม่
สี่ หนังสือพิมพ์ สื่อมวลชนต้องยืนหยัดต่อสู้ต่อไป จะเพิกเฉยต่อการถูกละเมินสิทธิและเสรีภาพภาพไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดแก่สื่อมวลชนเอง หรือประชาชนโดยทั่วไป ในประวัติศาสตร์หนังสือพิมพ์ไทย ไม่เคยไร้คนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพ ขณะเดียวกันเราจะต้องปกป้องสถาบันหลักให้ดำรงสืบไป
ห้า นักหนังสือพิมพ์ ต้องยึดมั่นในจริยธรรม ตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และยึดมั่นในฉันทามติว่า "จะไม่แก้แค้น" เมื่อถูกฟ้อง ไม่ว่าจะได้รับการยกฟ้องหรือไม่ก็ตาม อันเป็นการตอกย้ำการเสนอข้อมูลข่าวสารหรือวิพากษ์วิจารณ์โดยปราศจากอคติ
เราเห็นว่า การต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน จะสิ้นสุดลงได้ก็ต่อเมื่อ อำนาจรัฐสามารถเข้าควบคุมการคุกคามได้แล้วเท่านั้น หาได้มาจากการเจรจาหรือลอมชอมไม่ เพราะนั่นอาจทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ได้ นั่นหมายถึงว่า ณ บัดนี้ ต่างฝ่ายต่างต้องกลับไปทบทวนตนเอง ซึ่งเราเชื่อว่า นั่นเป็นหนทางที่จะทำให้บรรยกาศบ้านเมืองของเราดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้
|