-
ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายการเงิน ผ่านการทำธุรกรรมต่างๆ
ในตลาด การเงินเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งธนาคารมีเป้าหมายในการควบคุม
ปริมาณเงินผ่านฐาน เงิน และ/หรืออัตราดอกเบี้ยระยะสั้น
ให้อยู่ในระดับที่เหมาะ สม
-
เครื่องมือทางการเงินที่ธปท.ใช้ในปัจจุบัน คือ1)การซื้อ/ขายพันธบัตรในตลาดซื้อคืนพันธบัตร
2)การปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน
เพื่อส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงสถานะของนโยบาย การเงิน3)การซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
(Foreign Exchange Swap)
-
การเปลี่ยนแปลงจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ เป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว
เมื่อกลางปี 2540 ทำให้ธปท.สามารถดำเนินนโยบายการเงินภายในประเทศ
อย่างมีอิสระ มากขึ้น โดยธปท.ไม่จำเป็นต้อง รักษา ระดับอัตราแลกเปลี่ยนไว้
ณ อัตราที่กำหนด ดังนั้น การเข้าแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนของธปท.จึงลดลง
-
ในการประเมินผลกระทบของธุรกรรมทางการเงินต่างๆ เพื่อที่จะตัดสินใจว่าควรมีการชดเชย
(sterilize) ผลกระทบทางการเงินนั้นหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับการประเมินการเปลี่ยนแปลง
ของ สภาพคล่องโดยรวม ซึ่งปัจจัย ที่ควรคำนึงถึง ได้แก่ การเบิกจ่ายเงินคงคลังของภาครัฐ
ฐานะ การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของระบบ ธนาคารพาณิชย์ และภาระผูกพันที่ครบกำหนด
กับธปท.
-
นอกเหนือจากการประกาศสถานะนโยบายการเงินอย่างชัดเจน ในปัจจุบันธนาคารแห่ง
ประเทศไทยได้เพิ่มบทบาท ของอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร
ในการส่งสัญญาณ ทิศทางนโยบายการเงิน
-
ในฐานะที่ ธปท. เป็นตัวแทน ทางการเงินของรัฐบาล ธปท.จึงมีหน้าที่ในการออก
จำหน่าย และเก็บรักษาพันธบัตรรัฐบาล โดยขณะนี้ ธปท. อยู่ในระหว่างการจัดตั้งระบบ
primary dealership ระบบดังกล่าวเป็นการคัดเลือกสถาบัน การเงินที่มี
ความพร้อมเพื่อเป็นคู่ค้าหลัก ของธปท. ซึ่งจะมีส่วนร่วมในการประมูลและจัดจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล
-
นอกจากนี้ คู่ค้าหลักของ ธปท. ยังมีหน้าที่จัดการสภาพคล่องในตลาดรองตราสารหนี้
โดยการตั้งราคาเสนอ ซื้อ/เสนอขายของหลักทรัพย์ รัฐบาล ซึ่งช่องทางดังกล่าวจะเป็นอีก
ช่องทางหนึ่งใน การควบคุมดูแลสภาพคล่อง ของระบบการเงิน รวมทั้งช่วยให้ตลาด
การ เงินมีความลึกและกว้างเพิ่มขึ้น
-
การดำเนินนโยบายการเงินแบบมีเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งใช้อัตราเงินเฟ้อเป็น
เครื่องมือ ในการบริหารนโยบาย เป็นกรอบการดำเนินงานในอนาคตของธปท.
โดยเจ้าหน้าที่ของ ธปท.ได้พัฒนาแบบจำลองที่จะใช้ประกอบการ
ตัดสินใจดำเนินนโยบาย และในปัจจุบัน ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายการเงินขึ้น
ซึ่งจะได้มีการพัฒนา รูปแบบในระยะต่อไป ขณะนี้ ธปท. ยังไม่มีการกำหนด
เป้าหมายอัตราเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการ
-
อย่างไรก็ตาม ธปท. อยู่ในระหว่างการพิจารณากำหนดอัตราเงินเฟ้อไว้สูงสุดที่ระดับร้อยละ
3.5 ซึ่งมีความเป็น ไปได้ว่า อัตราเงินเฟ้อที่จะใช้ในการพิจารณาดำเนินนโยบาย(core
inflation) นี้จะไม่รวมถึงราคาของสินค้า หมวดพลังงาน(energy)
และอาหาร(raw food) แทนอัตรา เงินเฟ้อที่ได้จาก CPI
-
ขั้นตอนการดำเนินนโยบายการเงินดังที่กล่าวมาแล้ว ได้กำหนดไว้ในร่างกฎหมาย
ธนาคาร แห่งประเทศไทย ฉบับใหม่ซึ่งได้ระบุอย่างชัดเจนว่า เสถียรภาพด้านราคา
จะเป็นเป้าหมาย หลักของนโยบายการเงิน นอกจากนี้ จะมีการแต่งตั้ง
คณะกรรมการนโยบายการเงิน อย่าง เป็นทางการ พร้อมทั้งกำหนดกระบวนการ
ทำงานและ ขอบเขตความรับผิดชอบ
-
กรอบการดำเนินงานดังกล่าว จะช่วยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดคาดการณ์
ภาวะเงินเฟ้อ ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งจะลดอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ
เพื่อชดเชย ความเสี่ยง อันเกิดจากเงินเฟ้อ ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐและภาคเอกชนลดลง
-
อนึ่ง จากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่
23 พฤษภาคม 2543 คณะกรรมการ ฯได้มีมติให้ใช้อัตรา ดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ
14 วัน (REPO 14) เป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(Key Policy Rate)
ที่จะใช้ส่งสัญญาณทาง การเงินโดย ในช่วงแรกกำหนดเป้าหมายให้อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ
14 วันปิด ณ สิ้นวัน ไม่เกิน บวกลบ 1/16 ส่วนอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนในระยะเวลาอื่น
ๆ อาทิ 1 วัน 7 วัน 1 เดือน - 6 เดือน นั้น จะปล่อยให้เคลื่อนไหวตามภาวะตลาด
และจะไม่มีนัยต่อการส่งสัญญาณเปลี่ยน ทิศทางของนโยบาย การเงิน
ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการ ฯ มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ย
ตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันเท่าเดิมคือ ในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี