สาระสำคัญของมาตรา 41 คือ การให้หลักประกันด้านเสรีภาพ
แก่คนทำงานข่าว ในการที่จะเสนอข่าว หรือ แสดงความคิดเห็น ซึ่งหากจะพิจารณาแล้ววัตถุประสงค์ก็เพื่อคุ้มครองเหมือนกันมาตรา
39(กรณีสื่อ) ที่ให้หลักประกัน เพียงแต่วางหลักให้ลึกลงไป เพื่อวางขอบเขตอำนาจ
และรับรองซึ่งเสรีภาพในการนำเสนอข่าว และแสดงความคิดเห็น ระหว่างเจ้าของกิจการสื่อ
กับพนักงาน หรือคนทำงานข่าว ทั้งนี้ให้หลักประกันแก่พนักงาน
ทั้งพนักงานในธุรกิจเอกชน พนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการด้วย
กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 41 มีเจตนารมย์ชัดเจน ที่จะให้สิทธิเสรีภาพแก่คนทำงานข่าว
หรือนักสื่อสารมวลชน ในการที่จะแสดงความคิดเห็น หรือเสนอข่าวสารอย่างเต็มที่
ตราบเท่าที่ไม่กระทบสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นอยู่ของบุคคลอื่น
ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือการถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เปิดทางไว้
อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัตินั้น การจะให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญ
หรือนำหลักการนี้ไปใช้ในสถาบันสื่อสารมวลชน คงไม่สามารถปฏิบัติได้เสมอไป
โดยแยกพิจารณาเป็น 2 ประการ คือ กิจการสื่อสารมวลชนภาครัฐ และกิจการสื่อสารมวลชนภาคเอกชน
กิจการสื่อสารมวลชนภาครัฐ หลักประกันสิทธิเสรีภาพตามมาตรานี้
สามารถใช้เป็นหลักยึดและปฏิบัติได้ และสามารถทำให้ผลงานของพนักงาน
หรือข้าราชการ พ้นจากการครอบงำทางการเมืองหรืออำนาจรัฐได้ แต่เฉพาะในยามที่อำนาจรัฐใช้อำนาจไม่ชอบธรรม
หรือ แสวงหาอำนาจที่ไม่ชอบธรรม แต่ภาวะปกติแล้วจะทำได้ยากในทางปฏิบัติ
เพราะยังถูกครอบงำตามสายบังคับบัญชานั่นเอง
กิจการสื่อสารมวลชนเอกชน หลักประกันสิทธิเสรีภาพตามมาตรานี้
ยากที่จะเกิดขึ้นจริงในภาคปฏิบัติ ไม่ว่าสถานการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นใด
เพราะพนักงานหรือลูกจ้างเอกชน ยากที่จะต่อรองกับสายบังคับบัญชา
หรือเจ้าของผู้ประกอบการ
ข้อเท็จจริงในปัจจุบัน (อนาคตก็ยังคงเป็นเช่นนี้) พบว่า บรรดากองบรรณาธิการข่าว
ไม่ว่าของสถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ หรือหนังสือพิมพ์ แม้จะมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร
หรือ แสดงความคิดเห็น แต่ ถ้าจำเป็นด้วยเหตุบางประการ ก็ไม่มีสิทธิที่จะฝ่าฝืนนโยบายของหน่วยงาน
หรือเจ้าของกิจการได้ หรือหากใช้เสรีภาพตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญให้หลักประกันไว้
ก็ใช่ว่าจะมีหลักประกันในหน้าที่การงาน เพราะอาจถูกให้พักงาน
หรือให้ออกจากงานได้ ทั้งนี้กรณีข้าราชการรัฐวิสาหกิจ หรือข้าราชการ
กลับจะมีสภาพที่ดีกว่าพนักงานในธุรกิจเอกชน เนื่องจากการสั่งพักงาน
การให้ออกจากงาน จะมีระเบียบปฏิบัติ มีขั้นมีตอน และให้ความยุติธรรมมากกว่า
ส่วนภาคธุรกิจเอกชนนั้น ชะตากรรมผู้ใต้บังคับบัญชา ขึ้นอยู่กับสายบังคับบัญชา
หรือเจ้าของผู้ประกอบการเป็นประการสำคัญ
(อนึ่ง คำสั่งบรรณาธิการถือเป็นสิทธิขาด นักข่าวต้องปฏิบัติก่อน
ค่อยมาแสดงความเห็นว่า ตนเองเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หากกองบรรณาธิการใด
ไม่สามารถปฏิบัติตามแนวทางนี้ได้ ถือว่าหนังสือพิมพ์นั้น หมดสภาพความหนังสือพิมพ์ไปแล้ว
เพราะหากไม่ถือคำสั่งเป็นที่สิ้นสุด ไม่มีอาญาสิทธิ กองบรรณาธิการจะตกอยู่ในสภาวะไร้การควบคุมทันที)
การบริหารงานข่าวโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์แล้ว โดยทั่วไปจะบริหารงานด้วย
คณะบรรณาธิการ ซึ่งอาจประกอบด้วย บรรณาธิการ หนังหน้าข่าว และนักข่าว
การทำงานจะเป็นไปตามสายบังคับบัญชา ซึ่งหากยึดตามตัวบทกฎหมายแล้ว
น่าจะหมายความว่า นักข่าวแต่ละคนมีสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าว
หรือ แสดงความคิดเห็น(?) ถ้าหากข้อเท็จจริงปรากฎดังนี้ จะพิจารณากันอย่างไร
? เช่น นักข่าวได้เสนอลงข่าว ลงบทความ แต่ไม่ผ่านการพิจารณาของคณะบรรณาธิการ
บรรณาธิการ หรือหัวหน้าข่าว ตัวอย่างนี้หมายถึงสายบังคับบัญชาไม่ปฏิบัติตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่
? หรือ นักข่าว หัวหน้าข่าว บรรณาธิการ มีสิทธิเสรีภาพที่จะเสนอข่าวสาร
บทความ หรือ แสดงความคิดเห็น ในแง่มุมที่เป็นลบกับเจ้าของหนังสือพิมพ์
หรือผู้บริหารตามสายบังคับบัญชาหรือไม่ ? มีสถานีวิทยุสักกี่แห่ง
สถานีโทรทัศน์สักกี่แห่ง หนังสือพิมพ์สักกี่ฉบับ ที่ได้เสนอข่าวสารหรือ
แสดงความคิดเห็นต่อองค์กร สถาบัน หรือผู้บังคับบัญชาของตนได้
ความเป็นจริงในทางปฏิบัติแล้ว กองบรรณาธิการ จะคิดและนำเสนอข้อมูลข่าวสารอิสระ
แต่ก็ต้องเหลียวมองดูหน้าดูหลังบ้าง เพราะความเป็นจริงเป็นเช่นนี้
ดังจะพบว่า ในอดีตและปัจจุบัน นักการเมืองเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ก็มี
(กองบรรณาธิการเปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายของเจ้าของผู้ประกอบการเสมอ)
สถานีโทรทัศน์ส่วนใหญ่ ก็อยู่ในอาณัติสายบังคับบัญชา วิทยุก็เช่นกัน
คงไม่ง่ายนักที่จะให้นักจัดรายการ ใช้เสรีภาพในการเสนอข่าวสาร
หรือ แสดงความคิดเห็น อันส่งผลกระทบต่อสถานี ผู้บังคับบัญชาสถานี
ผู้เขียนเห็นว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 41 เป็นการตรากฎหมายที่จริงบางส่วนและไม่จริงบางส่วน
ทั้งนี้เพราะกฎหมายนี้ ส่งผลกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินของผู้อื่น
ซึ่งในหลักการตรากฎหมายแม่บทนั้น กฎหมายแม่บทจะหลีกเลี่ยงกระทบต่อทรัพย์สินของบุคคล
ส่วนกิจการของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจนั้น จะมีสถานภาพที่แตกต่างกับเอกชน
เพราะกิจการรัฐวิสาหกิจ หรือของรัฐ ถือเป็นทรัพย์สินสาธารณะ
หรือเป็นของประชาชนทุกคน
กรณีหากเกิดปัญหาขึ้น และพิจารณาว่าขัดหรือไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ
น่าจะใช้ขบวนการตามบทบัญญัติของกฎหมาย ตามความในมาตรา 40
กรณีเป็นสื่อสารมวลชนประเภทคลื่นความถี่ และหากเป็นหนังสือพิมพ์
ก็ควรเสนอให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้พิจารณา (เพราะควบคุมกันเอง)

(HOME)
|