ประวัติสังเขปของลากอง Lacan, Jacques-Marie Emile, (1901-1981) เป็นนักจิตวิเคราะห์ชาวฝรั่งเศส
Lacan มีคุณวุฒิในฐานะดอกเตอร์ทางด้านการแพทย์ ก่อนที่จะศึกษาต่อในแขนงวิชาจิตแพทย์ภายใต้การควบคุมของ Henri Claude และ Gatian de Clerambaut และทำงานที่คลีนิคพิเศษแห่งหนึ่งซึ่งประจำอยู่ที่ที่ทำการสถานีตำรวจ
Lacan ไม่ได้เป็นสมาชิกเต็มสภาพของ the Societe Psychoanalytique de Paris (สมาคมจิตวิเคราะห์แห่งปารีส) จนกระทั่งปี ค.ศ.1938 และหลังจากนั้นได้ทะเลาะกับสมาคมดังกล่าว ทำให้มีการแยกตัวออกมาเป็นกลุ่ม ซึ่งในท้ายที่สุดได้กลายมาเป็น the Ecole Freudienne de Paris ในปี ค.ศ.1964
การสัมนาต่างๆและการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของ Lacan ณ the Ecole Normale Superieure เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1953 อันเป็นจุดโฟกัสสำหรับปัญญาชนที่มีความรู้ทั้งหลายชาวฝรั่งเศส และผลงานต่างๆที่คนเหล่านี้สร้างขึ้นมาได้รับการตีพิมพ์เป็น Ecrits (document - written paper). รายงานสัมนาต่างๆสำหรับปี ค.ศ.1964 ได้รับการพิมพ์ออกมาในภาษาอังกฤษที่ชื่อว่า The Four Fundemental Concepts of Psychoanalysis (1977) [แนวคิดเบื้องต้นสี่ประการเกี่ยวกับจิตวิเคราะห์]
ข้อมูล: ประวัติสังเขปของลากอง มาจาก www.atl.ualberta.ca/po/ scholars.cfm?range=39
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
กลางวันเรามองเห็นอะไรได้ชัดเจน
แต่กลางคืนเราต้องอาศัยจินตนาการ
Website ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
สร้างขึ้นมาเพื่อผู้สนใจในการศึกษา
โดยไม่จำกัดคุณวุฒิ
สนใจสมัครเป็นสมาชิก
กรุณาคลิก member page
ส่วนผู้ที่ต้องการดูหัวข้อบทความ
ทั้งหมด ที่มีบริการอยู่ขณะนี้
กรุณาคลิกที่ contents page
และผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
หรือประกาศข่าว
กรุณาคลิกที่ปุ่ม webboard
ข้างล่างของบทความชิ้นนี้
หากต้องการติดต่อกับ
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ส่ง mail ตามที่อยู่ข้างล่างนี้
midnight2545@yahoo.com
midnightuniv@yahoo.com
แม้ว่าผลงานของ Lacan อาจถูกมองในฐานะที่เป็นการถกเถียงไปเรื่อยๆอันหนึ่งกับ Sigmund Freud, แต่อันที่จริง มันเป็นการโต้กันอันหนึ่งซึ่งได้ทำให้สว่างขึ้นมาโดยการหยิบยืมของ Lacan เกี่ยวกับ Hegel, ลัทธิเหนือจริง(surrealism), ภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง และมานุษยวิทยาของ Levi-Strauss. Levi-Strauss ได้แสดงให้เห็นว่าระเบียบวิธีโครงสร้างนิยมของ Saussure สามารถได้รับการนำไปใช้ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ทางเครือญาติ และปกรณัมหรือมายาคติสมัยบุพกาลได้อย่างไร, และ Lacan, นับจากช่วงต้นทศวรรษ 1950s จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1981, พยายามที่จะใช้วิธีการอย่างเดียวกันนี้เพื่อสร้างแผนที่โครงสร้างซึ่งอยู่ข้างใต้เกี่ยวกับกระบวนการทางจิตของมนุษย์
เหมือนกับบรรดานักคิดโครงสร้างนิยมที่ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ, Lacan เริ่มต้นด้วยภาษา. ในหลายทาง ผลงานของเขาคือการขยายเกี่ยวกับความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งต่างๆของ Saussure เข้าไปสู่ภาษาเพื่อนำไปปฏิบัติการกับเรื่องของจิตใจ. บางทีถ้อยคำหรือแถลงการณ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาก็คือการประกาศว่า จิตไร้สำนึกได้ถูกสร้างขึ้นมาเหมือนภาษา(the unconscious is structured like a language)
อันนี้หมายความว่า จิตไร้สำนึกทำงานด้วยเครื่องมืออย่างเดียวกันกับภาษา และนั่นมันได้สืบทอดดำรงอยู่มาเนื่องมาจากภาษาเพียงเท่านั้น
Saussure ถกว่า มันคือโครงสร้างทั้งหมดของภาษาหนึ่ง, ระบบของความแตกต่าง ที่ทำให้ภาษามีความสามารถสื่อความหมาย. สำหรับ Saussure ความเชื่อมโยงกันระหว่างคำๆหนึ่ง(signifier) และไอเดียอันนั้นที่มันถ่ายทอด(the signified)เป็นไปในลักษณะไร้เหตุผลอย่างบริสุทธิ์; เขาอ้างเหตุผลว่า อย่างไรก็ตาม มันมีเสถียรภาพหรือความมั่นคงที่แน่นอนอันหนึ่งในความสัมพันธ์
Lacan, คล้ายคลึงกับ Jacques Derrida, ได้ท้าทายต่อความสัมพันธ์ที่น่าอุ่นใจอันนั้น. สำหรับ Lacan คำต่างๆมักจะอ้างอิงถึงคำอื่นๆเสมอ: คำต่างๆ(signifiers)ได้สร้างสายโซ่อันหนึ่ง ซึ่งพวกเราได้ลื่นไถลโดยไม่เคยไปถึงความหมายที่กำหนดตายตัวหรือนิยามที่แน่นอนเลยแม้แต่สักครั้งเดียว ประโยคๆหนึ่งมักจะสามารถถูกผนวก, และการผนวกอันนั้นสามารถที่จะผลิกกลับความหมายของมันได้อย่างสมบูรณ์
การอุปมาอุปมัยและการเปรียบเปรย(metaphor and metonymy), คำทั้งสองอย่างนี้ ซึ่งเกี่ยวพันกับการแทนค่าคำๆหนึ่งโดยใช้คำอีกคำหนึ่ง (เช่นคำว่า "คนมีสี" - หมายถึงข้าราชการที่มีอิทธิพล ทหารหรือตำรวจในวัฒนธรรมไทย), ทำให้ความเชื่อมโยงระหว่าง"คำ"(signifier)และ"ไอเดียของคำ"(signified)มีความยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น
การเน้นในเรื่องภาษาของ Lacan เป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับปฏิกริยาของเขาที่มีต่อนักคิดคตินิยมลดทอน(reductionist), การอ่านเรื่องราวทางชีววิทยาของ Freud ซึ่งแพร่หลายดกดื่นท่ามกลางสานุศิษย์และผู้ติดตามชาวอเมริกันของ Freud. การหวนกลับไปหา Freud ของ Lacan ในเรื่องความจริง เป็นการหวนคืนไปสู่ผลงานต่างๆในช่วงต้นๆของปรมาจารย์ท่านนี้, อย่างเช่นเรื่อง The Interpretation of Dreams และ the Psychology of Everyday life, ซึ่งการกำเนิดต่างๆทางชีววิทยาเกี่ยวกับความคิดของเรา, อารมณ์ความรู้สึกต่างๆและพฤติกรรม ได้ถูกลดการเน้นย้ำลงมา เพื่อไปให้การสนับสนุนอยู่ข้างเดียวกันกับปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม
Lacan ได้ขยายการมาถึงเกี่ยวกับพลังอำนาจต่างๆที่ไม่ใช่เรื่องชีววิทยา, การตีความ, ยกตัวอย่างเช่น, เรื่องปมออดิปัสในฐานะที่เป็นการติดต่อจัดการทางภาษา: สิ่งต้องห้ามในการร่วมประเวณีในหมู่เครือญาติเป็นปรากฎการณ์อันหนึ่งทางวัฒนธรรม ซึ่งวางความเชื่อมั่นอยู่บนการจำแนกทางภาษาเกี่ยวกับ"พ่อ"กับ"แม่", มันเป็นอิสระออกไปเลยจากสัญชาตญานหรือความต้องการทางชีววิทยา
อันที่จริง สำหรับ Lacan แนวความคิดทางชีววิทยาเกี่ยวกับความต้องการ(need) ส่วนใหญ่ได้ถูกแทนที่โดยแนวความคิดเกี่ยวกับความอยาก-ความปรารถนา(desire). ความต้องการ(need)สามารถถูกทำให้สำเร็จพอใจได้, แต่ความอยาก (desire) เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยับยั้งได้. ทารกมีความต้องการนมมารดา ซึ่งสามารถที่จะทำให้สำเร็จพอใจได้ แต่ทารกปรารถนาความรักของมารดา และความอยากความปรารถนาความรักนั้นไม่เคยถูกทำให้พึงพอใจเลย
แบบจำลองเกี่ยวกับพัฒนาการของ Lacan เกี่ยวพันกับความเชื่อมโยงในระเบียบแบบแผนกันและกันคือ - จินตนาการ(imaginary), สัญลักษณ์(symbolic), และ ความจริง(the real)
ขั้นตอนเกี่ยวกับจินตนาการมากับการจำได้หมายรู้ของทารกเกี่ยวกับตัวเองในกระจกเงา เมื่อทารกมองเห็นตัวเองเป็นครั้งแรก ในฐานะที่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงที่สอดคล้องเชื่อมโยงอันหนึ่ง มากกว่าอะไรที่แตกแยกออกไปบางอย่าง, ความปนเปสับสนที่ไม่เข้ากันเกี่ยวกับความแปลกแตกต่าง. แต่ความเป็นเอกภาพนี้เป็นภาพลวงหรือมายาการ, อุดมคติอันหนึ่งของการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน
จากขั้นตอนจินตนาการ ทารกจะพัฒนาไปสู่ขั้นตอนสัญลักษณ์ - โลกเกี่ยวกับวัฒนธรรม, เกี่ยวกับภาษา, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกของคำต่างๆ(signifiers). มันคือขอบเขตของวัฒนธรรมซึ่งตัวตนมนุษย์(human subject)สืบทอดมรดกการมีอยู่ โลกใบหนึ่งที่ถูกปกครองโดย"นามของพ่อ"(name of the Father)ในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งกระทำการในฐานะที่เป็นผู้บีบบังคับเพื่อความมั่นคงมีเสถียรภาพ เช่น คำที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ในขั้นตอนความจริง ความจริงไม่ได้มีอยู่ในความหมายของ"โลกความจริง"(the "real world") แต่เป็นสิ่งซึ่งหลบหลีกภาพต่างๆและสัญลักษณ์, การไม่มีอยู่ในลักษณะคุกคามอันหนึ่งที่ซุ่มซ่อนแอบแฝงอยู่เบื้องหลังอาการเกี่ยวกับโรคประสาท
Lacan เป็นผู้ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อการศึกษาทางด้านอักษรศาสตร์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทฤษฎีสิทธิสตรี(feminist theory) บรรดานักสิทธิสตรีทั้งหลายได้ให้คุณค่าการเน้นย้ำของ Lacan ในเรื่องต้นตอกำเนิดทางวัฒนธรรมและภาษาเกี่ยวกับการแบ่งแยกความแตกต่างทางเพศ ซึ่งดูเหมือนว่าได้ให้ทางรอดอันหนึ่งจากทฤษฎีต่างๆทางชีววิทยาอันป่าเถื่อนรุนแรงเกี่ยวกับความแตกต่างทางเพศ. แต่อย่างไรก็ตาม บรรดานักสิทธิสตรีก็ได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างแหลมคมเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานในเชิงปิตาธิปไตย(patriarchal assumption)อย่างลึกซึ้ง ซึ่งได้รับการฝังตรึงอยู่ในการอธิบายของ Lacan (1)
ลากองและจิตวิเคราะห์
(Lacan and Psychoanalysis)
สามารถกล่าวได้ว่า การสนทนาของนักคิดมาร์กซิสท์เกี่ยวกับเรื่องจิตวิเคราะห์ เริ่มต้นขึ้นในปี
ค.ศ.1963 เมื่อ Louis Althusser, นักปรัชญาคอมมิวนิสท์ชั้นนำในฝรั่งเศส ได้เชื้อเชิญ
Jacques Lacan มาช่วยสอนในกระบวนวิชาสัมมนาของเขา ณ the Ecole Normal
ช่วงระหว่างเวลานี้ เป็นช่วงที่กิจกรรมในแบบสหวิทยาการค่อนข้างเฟื่องฟู; อย่างน้อยอีก 1 ปีต่อมา Althusser ได้ตีพิมพ์บทความที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ Freud and Lacan เขาได้อ้างเหตุผลว่า ทั้ง Marx และ Freud ได้คิดค้นศาสตร์ใหม่ๆขึ้นมา
Marx และ Freud แต่ละคนได้ค้นพบเรื่องราวใหม่อันหนึ่งของความรู้ พวกเขาทั้งคู่ได้เสนอนิยามอันเป็นหนทางใหม่ของความรู้อันหนึ่งเกี่ยวกับสังคมขึ้น ซึ่งนั่นไม่น่าประหลาดใจเท่าใดนัก แต่ที่สำคัญ พวกเขารู้สึกท้อใจและถูกกดทับให้เปลี้ยลงด้วยกระเป๋าทางวัฒนธรรมของยุคสมัยของพวกเขา
ในส่วน"ความคิด"Freud การค้นพบของเขาในแนวคิดต่างๆได้หยิบยืมมาจากชีววิทยา, กลศาสตร์, และจิตวิทยาในช่วงวันเวลาของเขา. ส่วน"ความคิด"ของ Marx การค้นพบของเขาได้นำเอาแนวคิดของ Hegelian เกี่ยวกับเรื่อง"ตัวตน"(subject)มาใช้
มันเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลที่จะอ่านว่า Althusser มอง Lacan ซึ่งเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนวิชาสัมมนาของเขาอย่างไร. เทียบกับการที่ Althusser กำลังพยายามคิดใหม่เกี่ยวกับลัทธิมาร์กซิสม์อีกครั้ง โดยไม่มีการอ้างอิงถึงตัวตนสมบูรณ์(absolute subject)ของ Hegel, เขามอง Lacan ในฐานะที่กำลังพยายามคิดถึงเรื่องทฤษฎีจิตวิเคราะห์ โดยปราศจากการอ้างอิงใดๆถึงแนวคิดที่เป็นหนึ่งเดียวของตัวตน(self)และอีโก้(ego)
ไม่กี่ปีต่อมา ช่วงระหว่างการจลาจลในเดือนพฤษภาคม 1968, มันถูกรู้สึกโดยนักศึกษาและคนงานจำนวนมากว่า การเมืองที่เป็นอิสระ จะสามารถเกิดขึ้นได้แต่เพียงจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นอิสระเท่านั้น และมันเป็นการระเบิดเกี่ยวกับความสนใจในจิตวิเคราะห์แบบลากองเนียน - ขบวนการอันหนึ่งซึ่งดูเหมือนเป็นการไกล่เกลี่ยประนีประนอมระหว่างลัทธิอัตถิภาวะนิยมกับลัทธิมาร์กซิสม์(existentialism and Marxism)
ส่วนหนึ่งของความดึงดูดใจของผู้คนในลัทธิอัตถิภาวนิยม อาจเนื่องมาจาก มันได้จัดหาหนทางอันหนึ่งในการคิด โดยผ่านประเด็นปัญหาต่างๆเกี่ยวกับการเลือก และความรับผิดชอบของปัจเจกชน. แต่ในฐานะที่เป็นทฤษฎีหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องตัวตนทำให้ลัทธิอัตถิภาวะนิยมยังคงอยู่ใน Cartesianism (หรือในปรัชญาของ Decartes)
จิตวิทยาของลัทธิอัตถิภาวนิยมมีแนวโน้มที่จะวาดหรือพรรณาให้ปัจเจกชนเป็นผู้กระทำที่มีเหตุผล มีความสำนึก ซึ่งสามารถเข้าใจพื้นฐานสำหรับการกระทำของตัวเอง. มันยังคงมีรากอย่างเหนียวแน่นอยู่ในปรัชญาเกี่ยวกับความเป็นอิสระของปัจเจก(individual autonomy) และการเลือกที่มีเหตุผล(rational choice)
ณ ช่วงเวลาของเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 1968 ผู้คนทั้งหลายต่างให้ความเอาใจใส่ต่อคำถามต่างๆเกี่ยวกับการแสดงออกของตัวตน ความปรารถนา และเรื่องทางเพศ และทฤษฎีของ Lacan ได้เสนอหนทางอันหนึ่งที่คิดถึงเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคม และโครงสร้างทางภาษาซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวตน, และเกี่ยวกับความคิดที่ผ่านปัญหาของปัจเจกและสังคม
สำหรับ Lacan แล้ว มันไม่มีการแบ่งแยกระหว่างตัวตนและสังคม. มนุษย์กลายเป็นสังคมด้วยการผนวกเข้าด้วยกันของภาษา; และมันเป็นเพราะภาษาที่ได้สร้างพวกเราขึ้นมาในฐานะที่เป็นตัวตน(subject). ด้วยเหตุดังนั้น พวกเราไม่ควรที่จะแยกขั้วระหว่างปัจเจกและสังคมออกจากกัน. สังคมดำรงอยู่ในปัจเจกชนแต่ละคน
บ่อยครั้งมันได้รับการพูดว่า Lacan ต้องการถูกทำความเข้าใจเพียงโดยคนเหล่านั้น ผู้ซึ่งต้องการที่จะพยายามทำความเข้าใจเขาเท่านั้น และสำหรับบทความชิ้นนี้ ผู้เขียนคิดว่า พวกเราควรพยายามทำเช่นนั้น งานเขียนของ Lacan ซึ่งเป็นตัวอย่างแสดงถึงทัศนะของเขาเกี่ยวกับภาษา มันค่อนข้างมีนัยพาดพิง ภาษาของเขาเป็นการหลอมรวมเอาลักษณะทางทฤษฎีและกวีนิพนธ์เข้าหากัน
สไตล์ที่ร่วมกันของเขามีเจตนาที่จะทำให้ผู้อ่านช้าลง
หนังสือของเขาไม่ใช่เพื่อต้องการที่จะสร้างความเชื่อมั่น แต่มันกระทำบางสิ่งบางอย่างกับผู้อ่าน. เขาให้ความไว้วางใจอย่างหนักแน่นต่อเกมส์ต่างๆทางภาษาและการเล่นคำ และเขาได้นำเอาสัญลักษณ์ และเครื่องหมายต่างๆมาใช้ ฯลฯ., เพื่อแสดงตัวของเขาเองโดยไม่มีการอ้างอิงถึงภาษาธรรมดา. เขาต้องการที่จะต่อต้านการทำให้มันดูง่ายจนเกินไปของงานเขียนทางจิตวิเคราะห์จำนวนมาก. เขายังต้องการที่จะล้มล้างการทำให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ภาษาในชีวิตประจำวันกำหนดด้วย
ผู้เขียนเชื่อว่า การบรรลุผลสำเร็จที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษของ Lacan ก็คือเขาได้หลอมรวมปรากฎการณ์วิทยา(phenomenology)และลัทธิโครงสร้างนิยม(structuralism)เข้าหากัน. งานช่วงต้นๆของเขาสอดคล้องต้องกันกับการเจริญเติบโตของปรากฎการณ์วิทยาฝรั่งเศส และเขาได้รับอิทธิพลมาจากความคิดของ Hegel และ Heidegger
ลัทธิโครงสร้างนิยมได้ให้แนวทางอันหนึ่งกับ Lacan ในการพูดถึง"ระบบต่างๆ"เกี่ยวกับการตีความ. งานของเขามีเสน่ห์เป็นที่น่าหลงใหล กล่าวคือ มันยังคงเลื่อนไหลระหว่างปรากฎการณ์วิทยาและลัทธิโครงสร้างนิยม. ปรากฎการณ์วิทยาเน้นในเรื่องของตัวตนที่เป็นอิสระ(free self)(the subject); ส่วนลัทธิโครงสร้างนิยมเน้นเรื่องนิยัตินิยม(determinism - ลัทธิที่ถือว่า เหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นตามกฏบังคับตายตัวที่มีสาเหตุนำหน้าแล้วมีผลตามมา ลัทธินี้ปฏิเสธในเจตจำนงเสรี). Lacan ได้นำเอาลัทธิโครงสร้างนิยมมาใช้ แต่ไม่เคยปฏิเสธเรื่องตัวตนเสรี(subject)
ในบางส่วน Lacan ยังสังกัดอยู่กับขนบจารีต hermeneutic (การอธิบายหรือการตีความ)ด้วย ซึ่งกล่าวว่า ปรากฎการณ์ต่างในทางสังคมมักจะมีความหมายเสมอ และนั่นคือภารกิจของสังคมศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์สังคมที่ไม่ได้อธิบาย (เช่นดังที่จิตเวชศาสตร์ตามขนบประเพณีแสวงหาที่จะทำ) สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์กระทำแต่เพียงทำความเข้าใจเท่านั้น. จิตวิเคราะห์เป็นระเบียบวิธีอันหนึ่งของการตีความ. แต่อย่างไรก็ตาม Lacan ทราบว่า ในการตีความ บ่อยครั้ง พวกเรายัดเยียดข้อสมมุติฐานให้กับตัวของพวกเราเอง
ผลงานวิทยานิพนธ์ในระดับดอกเตอร์ของเขาเรื่อง "On Paranoid Psychosis and its Relation to the Personality"[ในภาวะจิตบกพร่องผิดปกติและความสัมพันธ์ของภาวะดังกล่าวกับบุคลิกภาพ] เป็นที่น่าสนใจยิ่ง เพราะเขาได้เขียนงานวิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ขึ้นมาก่อนงานของ Saussure ในเรื่องภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง. ณ ช่วงเวลานั้น เขายังไม่ได้เป็นนักจิตวิเคราะห์แต่อย่างใด; เขายังคงเป็นจิตแพทย์เท่านั้น. สิ่งที่เปิดเผยออกมาก็คือมุมมองหนึ่งจากสิ่งซึ่งเขาเข้าหา Freud และวิธีการที่เขาปฏิเสธคตินิยมลดทอนของสรีรวิทยา(physiological reductionism)
หนึ่งในรูปลักษณ์หลักๆเกี่ยวกับงานของ Lacan นั่นคือมันเป็นการต่อต้านชีววิทยาอย่างไม่โอนอ่อน. ทัศนะซึ่งเป็นที่ยอมรับในช่วงทศวรรษที่ 1930s เป็นตัวอย่าง ที่ว่า "ความบ้า"มีมูลเหตุมาจากสาเหตุทางชีววิทยา. Lacan ถกว่าเรื่องราวต่างๆของ organicist (ความเชื่อในเรื่องอวัยวะ[ชีววิทยา])ไม่สามารถอธิบายความบ้าได้
"ความบ้า"เป็น"วาทกรรม"(discourse)อันหนึ่ง, เป็นความพยายามอันหนึ่งของการสื่อสาร, ซึ่งจักต้องได้รับการตีความ. พวกเราต้องทำความเข้าใจมากกว่าให้คำอธิบายเกี่ยวกับมูลเหตุ. เขาเน้นว่าบุคลิกภาพไม่ใช่"จิตใจ"(the mind) แต่เป็นทั้งหมดของการเป็นอยู่(whole being). พวกเราไม่สามารถแยกจิตวิทยาของบุคคลคนหนึ่งออกมาจากประวัติส่วนตัวของคนๆนั้นได้
เมื่อ Lacan กลายเป็นนักจิตเคราะห์ เขาได้วิจารณ์เกี่ยวกับ Freud ในท่าทีที่ลังเลเล็กน้อย. ข้อวิจารณ์หลักอันหนึ่งของเขาก็คือ Freud ได้ใช้สมมุติฐานเกี่ยวกับเรื่องทางชีววิทยาเป็นจำนวนมาก. ทัศนะของ Lacan ก็คือ ชีววิทยามักจะได้รับการตีความโดยตัวตนของมนุษย์, และมันหักเหหรือเบี่ยงเบนไปโดยผ่านภาษา; มันไม่มีสิ่งนั้นในฐานะ"ร่างกาย"ก่อนภาษา
อาจได้รับการกล่าวว่า โดยการเปลี่ยนคำอธิบายต่างๆทั้งหมดจากระดับกายวิภาค-ชีววิทยา ไปสู่สัญลักษณ์อันหนึ่ง เขาได้แสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมได้กำหนดยัดเยียดความหมายลงบนส่วนต่างๆของกายวิภาคอย่างไร
Lacan ไม่เพียงทำให้บรรดานักจิตวิทยาพฤติกรรมเสื่อมเสียชื่อเสียงลงเท่านั้น อย่างเช่น Pavlov และ Skinner แต่ยังรวมถึงนักจิตวิทยาอีโก้(อเมริกัน) อย่างเช่น Fromm และ Horney ก็ต้องพลอยเสื่อมเสียไปด้วย. การเน้นในช่วงหลังๆ เป็นการให้ความสำคัญถึงการปรับตัวของปัจเจกกับสภาพแวดล้อมของสังคม
Lacan ถกว่า พวกเขาได้อ่อนกำลังลงและทำให้ไอเดียต่างๆของ Freud เกี่ยวกับจิตไร้สำนึกและเรื่องเพศของทารกบรรเทาลงไปได้. สำหรับจิตวิทยาอีโก้(ego psychology)ยืนยันว่า "การปรับปรุงตนเอง"เป็นสิ่งซึ่งเป็นไปได้โดยไม่ต้องทักท้วงต่อสังคม
Lacan มักจะยืนยันบ่อยๆว่า เขาได้หวนกลับไปสู่ Freud แต่อันนี้ไม่ควรจะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเนื้อหาสาระเท่าใดนัก. เขายังคงสงวนรักษาแนวความคิดหลักๆเอาไว้ แต่ได้เล่นกลแสดงการตบตาและออกลวดลายกับแนวความคิดดังกล่าว เพื่อสรรสร้างระบบความคิดใหม่อันหนึ่งขึ้นมา
ในฐานะนักคิดที่เฉียบแหลม เขาได้นำเสนอสูตรสำเร็จของ Freud ใหม่อีกครั้งซึ่งออกจะเข้มงวดกว่าเก่าแก่พวกเรา. เขาค้นหาความเป็นภววิสัย แต่ไม่ใช่ความเป็นภววิสัยของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ. เขาสนใจในตรรกทางคณิตศาสตร์และกวีนิพนธ์มาก และในงานเขียนของเขาเองพยายามที่จะหลอมรวมมันเข้าหากัน
ทฤษฎีของ Lacan เกี่ยวกับเรื่องภาษาคืออันนั้น ซึ่งเขาไม่อาจที่จะหวนคืนกลับไปสู่ Freud ได้: หนังสือต่างๆไม่สามารถที่จะปราศจากความคลุมเครือ, หรือมีความหมายที่บริสุทธิ์. ในทัศนะของ Lacan การวิเคราะห์ต่างๆจักต้องสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงโดยตรงกับจิตไร้สำนึก และอันนี้หมายความว่า พวกเขาจะต้องเป็นนักปฏิบัติการต่างๆเกี่ยวกับภาษาของจิตไร้สำนึก - เกี่ยวกับกวีนิพนธ์, การเล่นคำ, จังหวะต่างๆที่มีอยู่ภายใน. ในการเล่นคำ ความเชื่อมโยงเหตุปัจจัยต่างๆได้ละลายหายไป และมันทำให้ความสัมพันธ์ต่างๆเป็นไปได้มากขึ้น
การสำรวจอย่างกว้างๆ
(overview)
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ Lacan บางส่วนได้รับการวางพื้นฐานอยู่บนการค้นพบเกี่ยวกับมานุษยวิทยาเชิงโครงสร้างและภาษาศาสตร์.
หนึ่งในความเชื่อหลักของเขาก็คือ จิตไร้สำนึกเป็นโครงสร้างที่ซ่อนเร้นอันหนึ่ง
ซึ่งคล้ายคลึงกับเรื่องของภาษา. ความรู้เกี่ยวกับคำ เกี่ยวกับคนอื่น และเกี่ยวกับตัวตนได้รับการกำหนดโดยภาษา
ภาษาเป็นเงื่อนไขที่ต้องมีมาก่อนสำหรับการรับรู้รับทราบตัวของตัวเองในฐานะที่เป็นแก่นแท้ที่ชัดเจนอันหนึ่ง. มันคือวิภาษวิธีของ I - Thou (ฉัน-เธอ), การนิยามตัวตนต่างๆ(subjects)โดยความตรงข้ามกันของพวกเขา ทำให้ได้ค้นพบความเป็นอัตวิสัย. แต่ภาษาเป็นพาหะของสังคมที่กำหนดให้ด้วย, วัฒนธรรมอันหนึ่ง, ข้อห้ามต่างๆและกฎหมาย. เด็กๆได้รับการวางรูปแบบ และจะได้รับการทำเครื่องหมายที่ลบไม่ได้โดยมัน และไม่รับรู้รับทราบอะไรเกี่ยวกับมัน
ขอให้เรามองไปที่ขั้นตอนหลักบางประการในทฤษฎีของ Lacan
ในเรื่อง Beyond the Pleasure Principle นั้น Freud ได้อธิบายเกมของเด็กทารกเกมหนึ่ง. เด็กทารกจะมีหลอดด้ายหลอดหนึ่งผูกกับเชือกเส้นหนึ่งเอาไว้. โดยการยึดจับกับเชือกเส้นนั้น เขาจะขว้างหลอดด้ายดังกล่าวออกไปนอกขอบของเปลที่นอนอยู่ และเปล่งเสียงออกมาซึ่ง Freud ตีความมันในฐานะที่เป็นความพยายามอันหนึ่งที่เป็นภาษาเยอรมันว่า"fort", หมายถึง"ไป"หรือ"ไปเสีย"(gone or away). ต่อจากนั้นทารกจะดึงเอาหลอดด้ายกลับมาสู่ขอบเขตสายตาของเขาอีกครั้ง ทักทายกับการที่มันปรากฏตัวขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนานด้วยคำว่า "da"(there)
เกมนี้อนุญาตให้เด็กอายุ 18 เดือนอดทนโดยไม่กระจองงองแงต่อประสบการณ์อันเป็นทุกข์ของการที่แม่ของเขาไม่อยู่, เป็นการจัดการกับการหายตัวไปของเธอและการปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้ง
มันเป็นภาพประกอบเกี่ยวกับการกำเนิดขึ้นมาของภาษา ในความเป็นอิสระของมันจากความเป็นจริง และยินยอมให้เกิดความเข้าใจได้มากขึ้นเกี่ยวกับการที่ภาษา ได้ทิ้งพวกเราให้มีระยะห่างจากประสบการณ์ของความจริงอย่างไร. ระยะห่างดังกล่าวจากประสบการณ์นั้นได้ส่งผลในสองขั้นตอน :
ขั้นตอนแรกเด็กทารกเคลื่อนจากแม่ของตนไปสู่หลอดด้าย และ
ขั้นที่สอง ได้เคลื่อนไปสู่ภาษา
ความสามารถพูดได้ชัดเจนเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับ"ตัวฉัน"( I ) เกิดขึ้นในขั้นตอนที่ Lacan เรียกว่า "ขั้นตอนภาพสะท้อนในกระจกเงา"(mirror stage). บ่อยครั้ง Lacan อ้างถึงขั้นตอนภาพสะท้อนในกระจกเงาในฐานะที่เป็นภาพจำลองทั้งหมดในลักษณะวิภาษวิธีระหว่างความแปลกแยกและความเป็นอัตวิสัย
การรู้จักตัวตนในกระจกเงาได้ส่งผล(ในช่วงระหว่าง 6 เดือนถึง 18 เดือน)ออกมาเป็น 3 ขั้นตอนที่ต่อเนื่องกัน
ขั้นตอนแรก เด็กทารกพร้อมด้วยผู้ใหญ่คนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้ากระจกเงา เขาจะสับสนกับภาพสะท้อนของตัวเองกับผู้ใหญ่อีกคนหนึ่ง
ในระยะที่สอง เด็กทารกได้เรียนรู้ความคิดเกี่ยวกับภาพดังกล่าวและเริ่มเข้าใจว่า ภาพสะท้อนอันนั้นไม่ใช่ของจริง
ในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สาม เป็นสำนึกความจริงไม่เพียงว่า ภาพสะท้อนดังกล่าวเป็นภาพๆหนึ่งเท่านั้น แต่ภาพๆนั้นคือภาพของตัวเขาเอง และมันแตกต่างไปจากภาพของคนอื่นๆด้วย
Lacan มองเห็นในหนทางที่คล้ายคลึงกันกับ Levi-Strauss ที่ว่าปมออดิปัส(Oedipus complex)เป็นหัวใจสำคัญของความเป็นมนุษยนิยม เป็นขนบจารีตอันหนึ่งจากบันทึกธรรมชาติเกี่ยวกับชีวิต ถึงบันทึกทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับกลุ่มการแลกเปลี่ยนและผลที่ตามมาของกฎหมาย, ภาษาและการทำให้เป็นองค์กร
Lacan ยืนยันว่า
แรกสุด ทารกไม่เพียงปรารถนาที่จะสัมผัสติดต่อกับมารดาและการเอาใจใส่ของเธอเท่านั้น; ทารกยังปรารถนา, บางทีโดยไร้สำนึก, ที่จะเป็นการเติมเต็มในสิ่งซึ่งขาดไปของเธอด้วย: นั่นคือองคชาติ(phallus). ณ ขั้นตอนนี้ ทารกยังไม่ใช่ตัวตนหนึ่ง(subject)แต่เป็นส่วนที่ขาดหายไป(lack), การไม่มีอยู่.
ในขั้นตอนที่สอง พ่อได้เข้ามาแทรกแซง; เขาจะเข้ามากีดกันทารกเกี่ยวกับวัตถุของความปรารถนา และเขาจะกีดกันมารดาเกี่ยวกับวัตถุทางเพศ. ทารกต้องเผชิญหน้ากับกฎของพ่อ.
ขั้นตอนที่สาม คือเกี่ยวกับการค้นหาเอกลักษณ์กับผู้เป็นพ่อ. พ่อจะคืนองคชาติให้ในฐานะที่เป็นวัตถุของความปรารถนาของมารดา และมันไม่ได้เป็นไปในฐานะการเติมเต็มของทารกต่อสิ่งที่ขาดหายไปในเธอ. ดังนั้น มันจึงเป็นการตอน(castration - การตัดอัณฑะ)ในเชิงสัญลักษณ์อันหนึ่ง: พ่อได้ทำการตอนทารกโดยการแยกทารกออกจากแม่. อันนี้คือหนี้ซึ่งจะต้องจ่ายคืน ถ้าหากว่าคนๆหนึ่งต้องการที่จะกลายเป็นตัวตนของตนเองอย่างสมบูรณ์
อันนี้ต้องการที่จะเน้นว่า ปมออดิปัสสำหรับ Lacan ไม่ใช่ขั้นตอนหนึ่งเหมือนกับคนอื่นๆในจิตวิทยาเกี่ยวกับการกำเนิด: มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งซึ่งทารกกลายสภาพตัวของเขาเป็นมนุษย์ โดยการรับรู้รับทราบเกี่ยวกับตัวตน, เกี่ยวกับโลกและคนอื่นๆ. การแก้ปัญหาเกี่ยวกับปมออดิปัสจะปลดปล่อยตัวตนให้เป็นอิสระโดยการให้เขามีชื่อ, ให้สถานที่ที่หนึ่งในครอบครัว, ให้การแสดงออกอันหนึ่งเกี่ยวกับตัวตนและความเป็นอัตวิสัย. มันส่งเสริมให้เขาเกิดความสำนึกเกี่ยวกับตัวตน โดยผ่านการมีส่วนร่วมในโลกของวัฒนธรรม ภาษาและอารยธรรม
ดังที่ได้กล่าวมาแต่ต้น, Lacan ได้คิดใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับ Freud ในกรอบที่กว้างกว่าที่ได้รับการให้มาโดยภาษาศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงโครงสร้าง. ในทัศนะของเขา จิตไร้สำนึกได้แสดงตัวของมันเองให้เห็นได้ในความฝันต่างๆ, เรื่องตลก, การเผลอพูดผิด, และอื่นๆ จิตไร้สำนึกเป็นสิ่งที่เปรียบเทียบกันได้ในทางโครงสร้างกับภาษาๆหนึ่ง
ตามข้อเท็จจริง, Lacan อ้างเหตุผลว่าภาษาคือเงื่อนไขสำหรับจิตไร้สำนึก ซึ่งมันสรรสร้างและก่อให้เกิดจิตไร้สำนึก. คล้ายๆกับคำอธิบายจิตสำนึก, การสร้างตัวของจิตไร้สำนึก(ความฝัน, ฯลฯ) กำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างไปจากสิ่งที่พวกมันปรากฎในคำพูด
การสร้างตัวเหล่านี้ถูกควบคุมโดยกลไกอย่างเดียวกันกับภาษา, กล่าวคือ การอุปมาอุปมัยและการเปรียบเปรย(metaphor and metonymy)[metonymy - การเรียกชื่อสิ่งหนึ่งโดยใช้อีกสิ่งหนึ่งแทน เช่น "เขารักเก้าอี้ของเขามากกว่าศักดิ์ศรี" โดยใช้เก้าอี้แทนตำแหน่ง เป็นต้น]. ณ จุดที่พิเศษบางอย่าง อย่างเช่น การเผลอพูดผิด(slips of the tongue) และในเรื่องตลกบางเรื่อง ภาษาดูเหมือนว่าจะถูกฉีกทึ้ง
คำอธิบายจิตสำนึกค่อนข้างคล้ายกับต้นฉบับต่างๆ ที่ต้นร่างครั้งแรกจะถูกขูดลบขีดฆ่า และถูกคลุมด้วยร่างที่สอง. ในต้นฉบับเหล่านั้น ต้นร่างแรกสามารถได้รับการกวาดตาแวบหนึ่งโดยผ่านช่องว่างต่างๆในร่างที่สอง. คำพูดที่แท้จริง - จิตไร้สำนึก - ได้พัฒนาไปอย่างมากมาย ปกติแล้วในรูปแบบที่ถูกคลุมและยากที่จะเข้าใจ Lacan ชักชวนว่า, ขอบคุณต่อความสามารถในการอุปมาอุปมัยของมนุษย์, คำต่างๆที่ถ่ายทอดความหมายต่างๆอันหลากหลายออกมา และพวกเราใช้มันเพื่อบ่งชี้บางสิ่งบางอย่างที่ต่างออกไปเลยทีเดียวจากความหมายในเชิงรูปธรรมของมัน. ความสามารถอันนี้เกี่ยวกับการบ่งชี้ถึงบางสิ่งบางอย่างซึ่งต่างๆไปจากสิ่งที่กำลังพูดถึง ได้กำหนดให้ภาษามีความเป็นอิสระไปจากความหมาย
Lacan ยืนยันในความอิสระอันนี้ของตัวบ่งชี้. เขาได้ย่อยซึมกระบวนการอุปมาอุปมัยและการเปรียบเปรย(metaphoric and metonomic process)ของภาษาไปสู่ความเข้มข้นและการเคลื่อนที่โดยลำดับ. ทั้งหมดของการก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างเกี่ยวกับจิตไร้สำนึก ได้ใช้การประดิษฐ์ต่างๆในสไตล์เหล่านี้เพื่อลวงหลอกการตรวจตราหรือการเซ็นเซอร์
ตลอดทั้งผลงานของเขา Lacan พยายามมุ่งมั่นที่จะประณามกล่าวโทษมายาการร่วมดังกล่าว ซึ่งชี้หรือพิสูจน์อีโก้ด้วยตัวตน. ในทางที่ขัดแย้งกันกับผู้คนเหล่านั้นซึ่งกล่าวว่า "ฉันคิด ดังนั้นฉันจึงมีอยู่"(I think, therefore I am)
Lacan ยืนยันว่า "ฉันคิด ณ ที่ฉันไม่มีอยู่, ดังนั้น ฉันจึงอยู่ ณ ที่ฉันไม่ได้คิด"(I think where I am not, therefore I am where I do not think). หรือ "ฉันคิด ณ ที่ฉันไม่สามารถกล่าวได้ว่าฉันมีอยู่"(I think where I cannot say that I am)
แปลและเรียบเรียงจาก
(1) The Routledge : Critical Dictionary of Postmodern Though Edited by Stuart Sim / 1999
(2) An Introductory Guide to Post-Structuralism and Postmodernism Second Edition : by Madan Sarup (1993)
เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อความ กรุณาอ่านต่อเรื่อง"ความคิดจิตวิเคราะห์ของลากอง" บทความลำดับที่ 217 คลิกอ่านได้จากที่นี่
e-mail : midnightuniv@yahoo.com
หากประสบปัญหาการส่ง
e-mail ถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจากเดิม
midnightuniv@yahoo.com
ให้ส่งไปที่ใหม่คือ
midnight2545@yahoo.com
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจะได้รับจดหมายเหมือนเดิม
สำหรับสมาชิกที่ต้องการ download ข้อมูล อาจใช้วิธีการง่ายๆดังต่อไปนี้
1. ให้ทำ hyper text ข้อมูลทั้งหมด
2. copy ข้อมูลด้วยคำสั่ง Ctrl + C
3. เปิด word ขึ้นมา (microsoft-word หรือ word pad)
4. Paste โดยใช้คำสั่ง Ctrl + V
จะได้ข้อมูลมา ซึ่งย่อหน้าเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ
(กรณีตัวหนังสือสีจาง ให้เปลี่ยนสีเป็นสีเข้มในโปรแกรม word)
บทนำทางปรัชญา
: ลากองและจิตวิเคราะห์
สมเกียรติ ตั้งนโม : แปลและเรียบเรียง
(สาขาจิตรกรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
ลากอง : นักจิตวิเคราะห์
(1901-81)
Lacan, Jacques: Psychoanalyst (1901 - 81)
พร้อมด้วย Levi Strauss, Michel Foucault และ Raland Barthes, นักจิตวิเคราะห์และนักปรัชญา
Jacques Lacan เป็นหนึ่งในบุคคลที่เป็นแกนกลางของลัทธิโครงสร้างนิยมชาวฝรั่งเศส.
คล้ายๆกันกับ Foucault และ Barthes, ผลงานของเขาได้พิสูจน์ว่ามีการปรับตัวและอุดมสมบูรณ์เพียงพอ
ซึ่งได้ส่งอิทธิพลต่อไปถึงบรรดานักคิดหลังโครงสร้างนิยมและนักคิดหลังสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง
อันที่จริง Lacan เป็นหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งเกี่ยวกับลัทธิหลังสมัยใหม่ - ความหนัก, ความยาก และความสลับซับซ้อนในงานร้อยแก้วของเขา, สลับตัดกับการล่นคำ, มากไปด้วยการพาดพิงและมีนัยะ; การโบยบินไปกับความฝันและจินตนาการอันน่าวิงเวียนของเขา; บ่อยครั้งเป็นสไตล์หรือแบบฉบับของการเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นของเขา ซึ่งได้ส่งอิทธิพลถึงคำอธิบายและวาทกรรมของนักคิดหลังสมัยใหม่ทั้งหมด
Lacan กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงด้วยการตีพิมพ์ผลงานรวมบทความและงานชิ้นต่างๆ, Ecrits, ในปี ค.ศ.1966. บันทึกสำเนาต่างๆเกี่ยวกับสัมมนาต่างๆประจำสัปดาห์ของเขา, ซึ่งได้รวบรวมขึ้นมาสำหรับการฝึกฝนของบรรดานักจิตวิเคราะห์ ได้ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง