เก้าเมษายนสี่สี่
เวลากำลังดีแดดกำลังสวย อาทิตย์กำลังเคลื่อนเข้ากลีบเมฆอย่างช้า ๆ
ราวกลับฉากแห่งละครเวทีเพิ่งเริ่มต้น ยอดไม้มะขามไหวเอนอยู่เอื่อย ๆ
ด้วยแรงลมทะเลที่พัดมาจากทางตะวันออก ลมทะเล..ฉันอยากได้กลิ่นมันจัง
กลิ่นลมทะเลกับน้ำทะเลสีครามเขียว ประสมกับกลิ่นทรายเม็ดขาวขุ่นที่ฉันได้แต่ฝันถึงมันอีกครั้ง..เท่านั้น
หน้าร้อนปีนี้สำหรับฉันมันก็เหมือนเดิม..
แบบว่าเป็นกิจวัตรประจำปีเลยก็ว่าได้..เฝ้าบ้านประจำวันน่ะสิ
และโอกาสนี้แหละโอกาสที่ฉันจะได้ออกจากบ้านเป็นวันสุดท้ายก่อนที่วันสงกรานต์ของไทยเราจะเริ่มขึ้น
อากาศกำลังแจ๋วและกระเป๋าตังค์กำลังตุงสวยเชียว
ฉันเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าทำไมผู้หญิงถึงบ้าช็อบปิ้งกันนัก
และฉันก็เพิ่งจะเข้าใจก็วันนี้ ..ถ้ามีตังต์นะ อิอิ ! เจ็ดโมงเช้าเศษ ๆ
คือเวลาตื่นจากนิทราที่ไม่ค่อยจะแสนหวานนักเพราะมันนอนไม่หลับ
กระสับกระส่ายเส้นสายมันไม่ค่อยจะเข้าที่
อาการแบบนี้ฉันมักจะเป็นอยู่ประจำเมื่อรู้ตัวดีว่าพรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยว
และฉันก็คิดว่ามันคงเกิดขึ้นกับทุกคนบ้าง..คงไม่ใช่ฉันคงเดียวกระมัง
ใช่ไหมล่ะ และแล้วการเฟ้นหาเสื้อตัวเก่งก็เริ่มต้น
หนึ่ง..สอง..สาม..สี่..ตัวผ่านไปหลังจากมันถูกเปลื้องออกจากไม้แขวนอันสวย
สำหรับตัวที่ไม่ถูกเลือก บ้างก็หล่นไปนอนเอกเขนกบนเตียงนอนบ้าง
บ้างก็ใฝ่น้อยขอนอนแค่พื้นไม้ข้างล่างบ้างอย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อเฟ้นได้ตัวสวยแล้วการเดินทางก็เริ่มต้น ข้าวเช้าวันนี้มีผัดผักกวางตุ้งใส่แครอทฝีมือแม่ฉันเอง
แต่น่าเสียดาย ที่มื้อนี้ ฉันคงไม่ได้ลิ้มรสมันเสียแล้ว ก็มันสายแล้วน่ะสิ
มัวแต่เลือกเสื้อตัวเก่งอยู่ เฮ้อ! ทำไมนาฬิกาเดินเร็วฉิบเป๋ง อดเลย! ฉันอุทานในใจก่อนที่จะโดนมารดาแม่ครัวหัวเห็ดเทศน์ซะยับเนื่องจากไม่กินข้าว
แต่ฉันก็ต้องออกจากบ้านช้าลงอีกเนื่องจากพลขับของฉันกำลังแต่งตัว พี่ชายฉันไงล่ะ
กว่าคุณเจ๊เธอจะออกจากบ้านได้นะ ต้องหวีผมส่องกระจกฉีดโคโลญ
นานเป็นบ้าเป็นหลังเลยเชียวล่ะ ให้ตายสิ หล่อแล้ว
ๆ ฉันบ่นใบ้ให้พี่ชายพุงยื่นรีบเร่ง
มอไซด์ฮอนด้าสีแดงคาดน้ำเงินคือพาหนะคันแรกที่พาฉันไปถึงฝั่ง
กว่าจะหลุดออกจากถนนโลกพระจันทร์สายนี้ได้นะเล่นเอาก้นระบมเลยหล่ะทั้งคนขี่และก็คนซ้อน
ลุ้นระทึกอีกต่างหากว่าหลุมมันอยู่ตรงไหนบ้าง
แต่เดี๋ยวนี้น่ะหรอเซียนแล้วแบบว่าหลับตาก็รู้เทียวแหละ ถนนเข้าบ้านฉันนะหลุมบ่อเต็มไปหมด
จนเพื่อนฉันคนหนึ่งเอาไปแซวถึงไหนต่อไหนแล้วว่าบ้านฉันแสนจะชนบท
ถนนยังลูกรังอยู่เลย
แต่ขอโทษบ้านคุณเธอน่ะต้องเดินลัดทุ่งหรือไม่ก็ต้องลงเรือไปถึงจะถึง ..มันก็เหมือน
ๆ กันนั่นแหละไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันสักเท่าไหร่เลยใช่ม๊า ?
ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ บ้านใหม่หลังนี้ก็จวบสี่ปีกว่า ๆ แล้วหล่ะ
ที่นี่มีอะไรแปลก ๆ ให้ฉันรับรู้แยะจริง ๆ นะ ทั้งเรื่องมอเตอร์ไซด์เมล์
ที่แบบว่าต้องซ้อนสองน่ะ ไม่รู้จักกันก็ต้องไปด้วยกัน หนุ่ม แก่ สาว
เด็กเลือกไม่ได้ทั้งนั้น พูดถึงเรื่องนี้ก็มีอะไรเด็ด ๆ มาเล่าให้ฟัง
เรื่องก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งนั้นเป็นวันเกิดของฉันเองและมีพี่หนึ่งหนุ่ม
รูปร่างล่ำสันเกินพิกัดเขาจะมาสังสรรค์ด้วย
แบบว่าอยากมาเองอ่ะนะก็เลยต้องผจญกับแมงกะไซด์เมล์หน้าปากซอยซะ
ตอนนั้นพี่เค้ายังไม่รู้ว่ามอไซด์วินเนี้ยเขาต้องขึ้นสองคน
ไม่รู้จักกันก็ต้องมาด้วยกันมันก็เลยเป็นเรื่อง พอพี่เขาขึ้นรถได้นะเขาก็คิดในใจว่าทำไมรถมันไม่ยอมวิ่ง
ซักเดี๋ยวก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาซ้อนท้ายต่อจากพี่เขาอีก
ด้วยอาการตกใจเลยหันไปกะมองหน้าท้าต่อย
อีกใจนึงก็คิดว่ามันเป็นตุ๊ดหรือป่าวว่ะถึงได้มานั่งกะทำอะไรเขาหรือไง
อะไรอย่างเงี้ย สุดท้ายพอรู้เรื่องเปรื่องปราชญ์ในกฎเกณฑ์
ก็มาด้วยกันหล่ะครับไม่ว่าจะตุ๊ดตู่หรือไม่ก็ตาม งงเต็กครับงานนี้
เรื่องนี้ก็ทำให้งานมีบรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาบ้าง ขำคิกเลยหล่ะ และก็
เรื่องเสียงตามสายตอนเจ็ดโมงเช้าอีกเรื่อง คล้าย ๆ กับต่างจังหวัดจริง ๆ
นะบ้านฉันเนี่ย น้ำก็ท่วมได้ท่วมดีไม่ว่าหน้าร้อน หน้าหนาว
หน้าที่ไม่สมควรจะท่วมเอาเสียเลยให้ตายสิ
เอาล่ะเล่ามาพอสังเขปแล้วก็ออกเดินทางซะทีหล่ะทีนี้
ป้ายรถเมล์ไม่ค่อยจะมีผู้คนเนืองแน่นเท่าไหร่นักเพราะเวลาก็ประมาณแปดโมงแล้ว
คนที่ทำงานโรงงานส่วนใหญ่จะมายืนรอรถกันประมาณเจ็ดโมงเช้าถึงเจ็ดโมงครึ่ง เหลือก็เพียงแต่ส่วนน้อยเท่านั้นล่ะ
เมื่อถึงจุดนัดหมายปรากฏว่าฉันมาสายประมาณสิบนาทีได้
และเพื่อนของฉันล่ะไปไหนแล้วหรือว่าไม่รอแอบชิ่งไปก่อน แค่สิบนาทีเอง
เมื่อเป็นดังนั้นการเสียงตังค์จึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง โทรตามไงล่ะ
น่าเบื่อจังเนอะ เพื่อนสายเสมอเนี่ย เอ๊ะหรือว่าฉันสายกันแน่เนี่ย
ฉันว่าฉันสายแล้วนะแต่ไอ้เพื่อนฉันเนี่ยมาสายกว่าฉันอีก พับผ่าสิ
เวลาผ่านไปสักสิบนาทีได้โฉมหน้าเธอก็ปรากฏ เธอเดินทอดน่องมาช้า ๆ
ราวกับนกยูงระหงส์เยื้องยาตรหลังจากข้ามสะพานลอยเสร็จแล้ว
การติฉินนินทาแบบต่อหน้าระหว่างเราก็เริ่มขึ้นพอหอมปากหอมคอ หลังจากดูนาฬิกาแล้วพวกเราจึงคิดว่าโกยดีกว่าเดี๋ยวจะสายไปกว่านี้เพราะวันนี้โปรแกรมของเราก็ไกลอยู่ ไกลจริง ๆ นะ โขเชียวแหละ แบบว่าเด็กบ้านนอกเข้ากรุงน่ะ สวนหลวง ร เก้า
คือที่แรกที่เราจะไปกันที่นี่ขึ้นรถมอเตอร์ไซด์เข้าไปแป็บเดียวก็ถึงเพราะตอนนี้เราอยู่
ณ หน้าเสรีเซ็นเตอร์
จุดหมายที่เรานัดพบกันนั่นแหละเรียบร้อยแล้ว เมื่อมาถึงหน้าสวนเราจะต้องจ่ายตังค์เป็นค่าผ่านประตูเสียก่อน
แต่วันนี้ไม่ต้องเสียแต่อย่างใดเพราะว่าเรามาก่อนเก้าโมงเช้า ดีจริง
ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรกนะจะมาก่อนเก้าโมงทุกวันเลยล่ะฉัน เราเดินหาโลเกชั่นสวย ๆ
รับบรรยากาศสักหน่อย และแล้วอาชีพตากล้องสมัครเล่นของฉันก็เริ่มต้น
วิวทุกวิวเมื่อมองผ่านเลนต์กล้องแล้วมันดูดีพิลึก
แตกต่างจากมองผ่านลูกตาอยู่ลิบเชียวหล่ะ ไม่เชื่อก็ลองมองดูสิ ความคิดสร้างสรรค์ในสมองใบโตของฉันก็เริ่มบรรเจิด
การเฟ้นหามุมซึ่งฉันคิดว่าสุดไฉไลสุด ๆ
เมื่อมองผ่านจุดโฟกัส ก็พลุ่งพล่าน การเป็นตากล้องนี่ก็สนุกดีนะ
รู้ป่าวตอนนั้นฉันมีความคิดว่าจะเปลี่ยนจากนักบัญชีมาเป็นตากล้องมืออาชีพจริง ๆ
ซะแล้ว
เวลาดำเนินไป
คนก็ดำเนินตาม วันนี้....
เราเก็บภาพทั้งวิวและคน ป่าและน้ำได้เกือบม้วน
ฉันสนุกกับการเป็นตากล้องมือใหม่หัดขับมากเลยให้ตายสิ อากาศร้อนจัง..ร้อนแต่ก็สนุก
บรรยากาศที่นี่ดูเหมือนมีเราแค่สองคนยังไงก็ไม่รู้
ไม่ค่อยเห็นใครมาเที่ยวที่นี่เลยวันนี้
แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งอาจเป็นเพราะว่ายังเช้าอยู่กระมัง...ปกติที่นี่จะมีคู่รักหลายคู่มานั่งจับเข่า
จับแก้มจิจ๊าดิด๊ากันตรึม แต่วันนี้ แปลก! หลังจากเราเก็บภาพเกือบสุดท้ายของเกือบสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย
เราก็โกอ้าวต่อ ณ วันพระแก้ว หรือจะเรียกให้เต็ม ๆ แบบเต็มปากเต็มคำหรือเต็มยศว่า วันพระศรีรัตนศาสดาราม
เมื่อลงรถก้าวแรกฉันเพิงจะเห็นความยิ่งใหญ่และอลังการที่สุดเท่าที่ได้เห็นมาเลยก็ว่าได้
จุดนี้ช่างงามจริง ๆ
จุดข้างถนนหน้ากระทรวงกลาโหม เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้มีโอกาสมอง
และยลโฉมวัดพระแก้วจากมุมนี้แบบเต็มลูกตา ใหญ่และสวยมากจริง ๆ ให้ตายดิ ! ความคิดฉันตอนนั้นประหนึ่งว่าวัดที่ถูกโอบล้อมด้วยกำแพงสีขาวบริสุทธิ์อันใหญ่ยักษ์อยากจะทะลักทะลายออกมา
ปรากฏโฉมให้สายตาหลายต่อหลายพันคู่ได้ยลยิน ได้จับจ้องในความมหึมานั้น
ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่า เมืองไทยและกรุงเทพฯ เมืองที่แสนจะย่ำแย่จากมลพิษ
รถติด ขยะล้น จะมีดีกับเขาได้ เมืองกรุงอันยุ่งเหยิงและแออัด
....ฉันเคยมาที่นี่หลายต่อหลายครั้งแต่ภาพ ณ จุดตรงนี้ ฉันไม่เคยได้สำผัสมาก่อน
เสียดายที่ได้เห็นช้าไป แต่ก็ไม่สายเกินไปจริงม๊ะ
ผู้คนที่นี้คงชินเสียแล้วกับภาพอันสวยงามเหล่านี้
หรือพวกเขาไม่เห็นคุณค่ากันแน่นะ ...เขาคงเบื่อเพราะเห็นอยู่ทุกวี่วันก็เป็นได้
คิดในแง่ดีหน่อยสิ ! ครั้นเมื่อเข้าไป... ภาพภายในวัดฉันไม่ประหลายใจเลยหล่ะกับความสวยงามและความตระการตาของงานศิลป์รูปทรงที่ช่างช่ำบรรจงแต่งแต้มเติมสีสรรจนงามจับตาจับใจได้ถึงเพียงนี้
แต่วันนี้ที่ฉันดีใจและยิ่งชื่นชมกับความสวยงามเกินกว่าทุกครั้ง
ก็เนื่องจากว่าวันนี้ฉันมาพร้อมกับกล้องหนึ่งตัว กล้องที่ฉันได้เก็บภาพของวันนี้บันทึกไว้ในความทรงจำของฉันได้นอกจากแค่มองผ่านกระจกตาสองข้างของฉันไปเสียเฉย
ๆ ภาพทุกภาพ... มุมทุกมุม...ที่ฉันบรรจงเลือกสรรผ่านเลนส์นัยตากล้องทะลุสู่ตาฉัน
..ฉันได้เก็บมันไว้เป็นภาพลงสู่แผ่นฟิล์ม..กระดาษสี่เหลี่ยมขนาดพอประมาณ
..เก็บไว้ชื่นชมว่า..
เมืองไทยก็มีดี นั่นแหละ
ดีใจที่คนต่างชาติเขาเห็นคุณค่าของสิ่งล้ำค่าเช่นวัดพระแก้วของเรา
ในแง่ของเมืองท่องเที่ยว และคนไทยในแง่ของความมีน้ำใจ
และคำพูดที่ติดปากแบบแกะไม่ออกเสียแล้ว สยามเมืองยิ้ม
คำจำกัดความส่วนหนึ่งของประเทศไทยไงล่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมคนไทยถึงชอบยิ้ม ยิ้มกันเกลื่อนเมืองเลยก็ว่าได้
ยิ้มโดยไม่มีสาเหตุที่จะยิ้ม
เพราะเหตุผลจริง ๆ แล้วที่ฟังดูก็พอจะไปได้ก็คือ
ยิ้มเพราะพูดฝรั่งกับเขาไม่ได้ หรือไม่เป็นนั่นแหละ ดังเช่นว่า ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้
สุภาษิตฮิตของเด็กไทยเราไงล่ะ
หลังจากถ่ายรูปกันอิ่มหนำสำราญใจพร้อมกับใจที่บานตะไทในความหล่อและความสะใจที่ได้ใช้เพื่อนบ้านทั้งไกลและใกล้ของเราถ่ายรูปให้บ้างแล้ว
เราสองคนก็ไปต่อล่ะทีนี้ขืนช้าเวลาก็จะพาเราอับปางทันทีเพราะพ่อของฉันนี้คงถือไม้เรียวรอรับการกลับมาของฉันเป็นแน่แท้ จุ๊ ๆ อย่าบอกใครนะว่าวันนี้ฉันโกซิกค์พ่อว่ามาโรงเรียน
อิอิ บาปซ่ะ ! แต่ไม่เป็นไรเพื่อโลกกว้างที่น่าค้นหา
และทางข้างหน้า ที่น่าค้นพบและมันก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอที่เรามาเที่ยววัด
ถ้าไปสถานที่บันเทิงเริงรมย์ก็ว่าไปอย่าง ใช่ป่ะ! ช่วยเข้าข้างกันหน่อยสิ
นะ นะ! หลังจากวัดพระแก้วมรกตแล้วพวกเราก็ไปต่อกันที่
สวนอัมพรอีก ที่สุดท้ายแล้วหล่ะสำหรับวันนี้
และเนื่องจากวันนี้เป็นวัดสุดท้ายของงานกาชาดแล้ว
ที่นี่นะจะมีของขายตรึมเลยทั้งอาหาร ของใช้ เครื่องประดับ จิปาถะไปหมด
หลากจะบรรยายจบในวันนี้ เราสองคนชอปป์กันมันมือเติบมาก หอบข้าวของกลับบ้านกันคนละอย่างสองอย่าง
แบบว่าไม่ได้หอบก็มีนะ ก็อย่างว่าใส่มันตรงนั้นเลยไง..หลังซื้อเสร็จน่ะ สวมเลยประมาณเนี้ย เห่อซ่ะ! วันนี้ฉันสนุกมากและก็เมื่อยมากด้วย
แต่มันก็คุ้มค่านะ คุ้มค่ากับการได้เที่ยวไทยในหนึ่งวันนี้ แต่ว่าตอนนี้ต้องกลับบ้านแล้วหล่ะ
ไม่งั้นยักษ์ในวัดพระแก้วไม่ตัวใดก็ตัวหนึ่งต้องมีหน้าคล้ายกับพ่อตอนยืนรอฉันอยู่หน้าบ้านแหง
ๆ วันนี้ก็ขอบคุณประเทศไทย ที่มีที่สวย ๆ ให้ไปชื่นชมกัน ..ทั้งสวนไทย.. วัดไทย
..และก็ตลาดนัดเฉพาะกิจแบบไทย ๆ ให้ฉันกับเพื่อนได้เที่ยวกันวันเต็ม ๆ
ขนาดเต็มตาและเต็มหัวใจอันพองโตของเราในวันนี้ และหน้าร้อนนี้ ณ สยาม..เมืองไทยของเรา
มิถุนายน คนเขียน
Home
16 เมษายน 2544