Home      

 

             มาลาท่าพระจันทร์

 

ตอนที่ 1  ร ..รักเริ่มร้อน

            ก่อนอื่นก็ต้องขอสวีดัส..สวัสดีท่านผู้อ่านก่อนนะครับ ผมหรือดิฉันเป็นนักเขียนซะเมื่อไหร่     ก็แค่นักศึกษาปัญญาชนชั้นกลางก็ทำนองนั้นแหละครับ ที่เขียนนี่ก็เขียนเล่น ๆ เป็นเชิงวิชาการนิดหน่อย พอสังเขปก็เท่านั้น

        ณ เรื่องนี้ก็มีอยู่ว่า

                “อันชายงามนามเพราะชื่อพิพัฒน์           รูปสมบัติจัดว่าครบดูดีหลาย

        หลงรักหญิงนามหนึ่งซึ้งมากมาย                      เจ้าหล่อนขายมาลัยใกล้โรงเรียน”

       เรื่องมันก็เริ่มต้นจากไอ้เพื่อนคนนี้ของผมนั่นแหละ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมกับไอ้พิพัฒน์ ขอใช้คำไทยแท้แต่สมัยพ่อขุนหน่อยนะครับ หวังว่าคงไม่ว่ากะไรกัน ผมกับไอ้พิพัฒเป็นเพื่อนกันและก็อยู่โรงเรียนเดียวกันก็แถว ๆ ท่าพระจันทร์เนี่ยแหละครับ อย่าไปสนใจอะไรมากมาสนใจเรื่องไอ้พิพัฒน์มันดีกว่า เพื่อนของผมคนนี้มันแปลกมากครับ  ยังไงนะหรอ ก็เมื่อผมมาโรงเรียนผมก็เห็นหน้ามันก่อนใคร ๆ ซึ่งผิดปกติซะยิ่งกว่าหิมะตกที่เมืองไทยซะอีกที่มันมาโรงเรียนแต่เช้า ผมก็เกิดสงสัยขึ้นมาหรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่าเสือกอะไรประมาณนั้นแหล่ะ โธ่! ก็เพื่อนกันนี่ครับอะไรแปลกหูแปลกตาไปมันก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น จริงไหม  ผมจึงรีบรี่เดินตรงปรี่เข้าไปหามันแล้วถามอย่างที่เพื่อนทั่ว ๆ ไปเค้าใคร่จะปาศรัยกัน

        ผม : “เฮ้ยพิพัฒน์ ทำไมวันนี้คุณมาโรงเรียนแต่เช้าได้อ่ะ”

        พิพัฒน์ : “มึงไม่เกี่ยวอย่าเสือกเรื่องของกู “

        ท่าทางมันจะเอาจริงเอาจังมากครับแต่มันหารู้ไม่ว่าคนหัวใสอย่างผมรู้หมดแล้วครับ ผมก็เลยตอบกลับไปแบบคนหัวไวว่า

        ผม : “ นั่นแน่รีบมาหาแม่ค้ามาลาหน้าหวานหรือไง ทำไม่บอกแต่กูรู้โว้ย ทำมาเป็นปกปิดเพื่อนฝูงนะมึง” (สุภาพได้ไม่นานครับ)

        พิพัฒน์ : “เออ! มึงรู้แล้วกูจะได้รีบไป”

    พอไอ้พิพัฒเดินไปได้ก็หน้าบานเป็นจานพวงผกาของดาลี่เลยครับ ดอกนี่สะพรั่งเชียว พอถึงหน้าร้านดอกไม้ของแม่มาลาเท่านั้น มันก็ฟาดคารมคมในฝักใส่ให้โครมเบ่อเร่อ  ลองฟังดูนะครับมันช่างหาข้อเรียบเทียบได้เนี้ยบจริง ๆ

                “อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ               ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก

        เป็นเพราะเจ้าคนเดียวที่ข้ารัก                         แม่ดอกรักแม่ดอกฟ้ามาลาลัย”

        แหม! กลอนมันมั่วดีจริง ๆ นะครับ แต่คารมมันก็สามารถทำให้แม่มาลามาลัยร้อยห้อยเป็นพวงขายอยุ่ที่ท่าพระจันทร์หลงคารมได้เหมือนกัน จนต้องต่อคารี้สีคารมเชือดเฉือนกันสนั่นอยู่หน้าร้านของน้องมาลาเป็นห้านานหกนานนั่นแหละครับ แต่ของแม่มาลาเค้าก็ไม่น้อยหน้าไอ้พิพัฒเพื่อนผมเลยแม้แต่น้อย ลองฟังกันดูนะครับ

                “แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์                   เหมือนเข็มหมุดทิ่มแทงในใจนั้น

        ถ้ามาแซวแล้วไม่ซื้อเดี๋ยวเจอกัน                      แม่จะหั่นเป็นชิ้นให้ดิ้นตาย”

        ยังไม่จบนะครับยังมีแถมท้ายอีกหนึ่งบทอีกต่างหาก จนไอ้เจ้าพิพัฒมันหน้าซีดเผือดเหมือนไก่เจอน้ำเดือนก็มิปานเลยล่ะ

                “อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก           แต่รสสากมากนะน้องอยากลองไหม

        หรือว่าจะลองอีโต้ดูเป็นไง                               ถ้าสงสัยไม่เคลียร์เดี้ยคอยดู”

        พอแม่มาลาเค้าว่าจบเท่านั้นแหล่ะครับ คุณพิพัฒก็เตรียมจัดแจงควักสตางค์ลงทุนซื้อมาลัยของน้องมาลาตั้งพวงแน่ะ ผมละปลื้มมันเสียจริง ขนาดจีบหญิงทั้งทีลงทุนตั้งห้าบาท แม่มาลาเธอก็หน้าบานขายได้แต่เช้า แต่ไม่เป็นไรครับเค้าว่ากันว่าการจีบสาวคือการลงทุน ประหนึ่งอยากกินขนุนก็ต้องปีนต้น ไม่ก็เดินไปซื้อมันมาเท่านั้นก็ได้กินแล้ว ใช่ไหม

        เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาร่ายมนต์มหาเสน่ห์ นายพิพัฒน์หนุ่มมาดเทห์ก็วาดลวดลายหนุ่มลิเกต่อในบัดดล แบบว่าน้ำตาลมิตรผลก็มิตรผลเหอะยังหวานไม่ได้ครึ่งเลยครับ

                “มาลัยมาลาหอม                         ชวนให้  พี่พิศ

        พี่อยากจะจุ่มพิศ                                  มาลา

        หากพี่ไม่มีสิทธ์                                    ในเจ้า

        โอ้แม่พฤกษา                                       หัวใจข้า เหี่ยวตาย”

        เป็นไงล่ะ เป็นไงเป็นอึ้งกันเป็นแถว ๆ ขนาดผมยังเคลิ้มเลยแล้วแม่มาลาล่ะครับจะทนได้อย่างไรกัน มันช่างปากหวานปานมดตดให้ดมเสียจริง ๆ น้องมาลาเธอก็หน้าแดงไปนานเชียวครับ ไม่ทันไรมันก็วาดลวดลายแบบกลอน ๆ ขึ้นมาอีกบท ใจร้อนจริงครับเพื่อนผม ขนาดบทแรกผมก็อ่อนปวกเปียกไปหมดแล้ว แล้วบทสองล่ะครับจะหวานขนาดไหนกันนี่ โอ้ย! ผมล่ะปวดฉี่จริง ๆ ให้ตายเถอะ

                “มาลัยเมื่อเช้านี้                          ช่างหอม  ชวนชม

        เหมือนแม่ค้าหน้าคม                             คนนี้

        หอมไหมขอดม                                    ได้หรือเปล่า

        กินข้าวหรือยังคนดี                               กลางวันนี้  พี่เลี้ยงเอง”

        อื้หือ! อ่ะนะไห้มันได้อย่างนี้สิเพื่อนผม เจาะประเด็นเสียจริงยิ่งกว่าไอ้เสือบุกเสียอีก แบบว่าเวลาเสือเค้าบุกกันยังตะโกนบอกกล่าว แต่นี่อะไรไม่อ้อมไม่ค้อมเอาเสียเลย ชวนได้หน้าตาเฉยเลยเพื่อนผม มันน่าจะถาม ชวนผมบ้างนะครับเพื่อนมันแท้ ๆ ผมซะอีกที่ยังไม่ได้กินเลยตั้งแต่เช้าเพราะไปไม่ทันข้าวก้นบาตร ถูกไอ้หยวกลูกป้าตองกับลุงกล้วยฟาดเรียบ ตัดหน้าไปตั้งกะเช้า ท้องผมยังกิ่วหน้าก็ยังนิ่วอยู่เชียว แต่มันไม่ได้ชวนผมนี่ครับแห้วเลย  นั่นแน่น้องมาลาเธอเตรียมจะออกท้องพระโรงแล้วครับ เสียงเอื้อนส่งขึ้นบรรเลงแล้ว แหม! ลิเกโรงนี้ช่างมันหยดจริงเทียวครับ

                “มาลัยเมื่อเช้านี้                          พี่ซื้อ ห้าบาท

        มันยังไม่หมดถาด                                 เลยพี่

        ซื้อไปหมดกระจาด                                ได้หรือเปล่า

        ถ้าหมดคงดี                                         น้องนี้อาจไป”

        เมื่อได้ฟังดังนั้น พระอภัยนามไอ้พิพัฒน์ก็อุหมัดอุแหม่ในใจคิดยั้งชั่งใจไม่ทันนาน มือหนึ่งตบพระอุระ มือสองจะควักกระเป๋า แบบว่าจ่ายหมดถาดเลยครับ มีเท่าไหร่เจ้าบุญทุ่มคนนี้เป็นเหมาหมด  “ แล้วเราจะไปกินที่ไหนกันดีล่ะจ๊ะ”  ไอ้พิพัฒน์เอ่ยเสียงออดอ้อน หวานเจี้ยบบบบ  ส่วนน้องมาลาเค้าก็ตอบเป็นตำรับตำราภาษากลอนเหมือนเดิม ประหนึ่งว่าจบมาจากสำนักเดียวกันเลยก็ว่าได้อ่ะนะครับ

                “ไปกิน เค เอฟ ซี                                ก็ดี     

        หรือเป็นเอ็มเค สุกี้                                       ก็ได้

        หรือแม็คโดนัลเข้าที                                      ดีกว่า

        จะได้ซื้อเก็บไว้                                             ฝากแม่  ฝากน้อง”

        ไอ้พิพัฒน์ได้ยินเสียงแว่วดังแผ่วมาแต่ใกล้ ๆ ดังนั้น น้ำบ่อใหญ่ข้างในผิวกายก็แวกว่ายผุดผายกระเซ็น กระซิก แหม ! คุณเธอเล่นของหรั่งเลยแถมเจ้าหล่อนยังคิดจะซื้อฝากแม่ ฝากน้องอีก โห! ช่างเป็นหญิงที่กตัญญูเสียจริงครับ ครั้นพูดจบ ลิเกฉากใหญ่ก็จบลง เสียงระนาดเอก ปี่ แตร กลอง กรับ ก็เก็บสำหรับสำรับเข้าหลังโรงไป เหลือแต่คนเชิดหน้าโรง หน้าใสอย่างผม  ไปกันแล้วครับสองคนนั่นตามภาษาคนจบสำนักเดียวกัน ไอ้พิพัฒน์ก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ส่วนผมท้องก็ร้องไปตามระเบียบ ก็ผมมันไม่รวยอย่างมันนี่ครับ ก็ต้องกินข้าวราดแกงแห้ง ๆ คาจานที่ร้านน้องส้มเจ้าเก่านี่แหละ มันนี่ใจดำจริง ๆ นะครับ น่าจะชวนกันบ้าง เป็นพิธีก็ดีให้ผมปฏิเสธเล่นสักคำสองคำอย่างไม่เต็มใจทำซักกะหน่อยก็ยังดี    ว้าว!   นั่นน้องส้มเอาแกงส้มกับชะอมชุบไข่มาให้ผมแล้ว     ออเดอร์บาทวิถี ชุบชีวิให้พระสังฆ์อย่างผมมาแล้ว  ขออนุญาตนะครับ เอาเป็นว่าจบตอนก่อนดีกว่า เพราะโบราณท่านว่าไว้ “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” เห็นด้วยไหมครับ เอาไว้ต่อกระดาษแผ่นหน้าล่ะกันนะครับ

 

 

๑๐ มีนาคม ๒๕๔๔

     

     

1