ท่าเตียน...วัดแจ้ง

 

วัสดีค่ะเพื่อน ๆ วันนี้มีเรื่องจะเล่าให้ฟังแหล่ะ เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา (วันหยุดของดิฉันค่ะ แต่ของคุณ ๆ อาจไม่ใช่) ได้มีโอกาสไปเที่ยววัดพระแก้วอีกครั้ง เพื่อน ๆ อาจจะบอกว่า “เชย” ไปไหนไม่ไปดั๊นดันไปวัดทำนองนั้น แต่สำหรับดิฉันแล้ว    วัดคือที่ ๆ ดิฉันเลือกจะไปเป็นอันดับหนึ่งก่อนจะตัดสินใจไปที่ไหน ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กธรรมะธรรมโมอะไรดอก แต่ว่านาน ๆ ไปครั้งมันก็ทำให้จิตใจแจ่ม ใสได้บ้าง ได้ไปเจอสิ่งสวย ๆ งาม ๆ หล่อ ๆ (เฮ้อ! อันนี้เจ๋ง) เพื่อน ๆ อาจจะงงว่าไปวัดมีอะไรหล่อ ๆ ด้วยหรือ อ้าว!  แม่นล่ะ วัดพระแก้วนี่แหล่ะ  ที่นี่มีคนหล่อ ๆ เพียบ (จะบาปไหมเนี่ยฉัน) หลากสัญชาติ หลากสไตล์ มีหลากหลายประเทศให้คุณได้ยลโฉม ก็ ณ วัดพระแก้วแห่งนี้นี่แหละ...

พอ get of the bus ได้พวกเราก็ลุยเลย  ลืมไม่ได้ที่จะถ่ายรูปความกว้างใหญ่ของวัดนี้ไว้เสียก่อนเมื่อคราวลงรถ ครั้นถ่ายเสร็จเด็ดสะระตี่ก็เหลือบไปเห็นปืนใหญ่หลายกระบอกวางเรียงรายอยู่ ณ หน้ากระทรวงเข้า ก็อดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้เสียไม่ได้อีก..เห้อ! บ้ากรุงเทพฯ จริงเรา ทั้ง ๆ ที่เป็นเด็กกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ ฯ (ที่เหลือต่อเอาเอง ยาวอ่ะ) นะเนี่ย  พอข้ามถนน แค่ข้ามถนนนะเรายังทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีอีกแน่ะ โดยการพาเพื่อนฝรั่ง 2 คนข้ามถนนไปกะเราด้วยเราก็เดินเข้าประตูที่ใกล้ที่สุด แต่ประตูนี้เพื่อนฝรั่งสองคนนี้เข้าไม่ได้เพราะเขาอนุญาตให้คนไทยเท่านั้นที่เข้าได้ แปลกแฮะ! กะอีแค่เดินเข้าทำไม่ต้องแบ่งฝรั่งแบ่งไทยด้วยก็มิทราบได้ (เขาอาจมีเหตุผลของเขาน่า) เขาทั้งสองคนก็เลยเดินไปเข้าประตูใหญ่ประตูถัดไปแทนด้วยความเสียดายระยะทางยิ่งนัก... พอเข้าได้เท่านั้นหล่ะจิตใจมันก็สะพรั่นสะพรึงกับความสวยงามจับตาที่เห็นผ่านลูกตากลมโตทั้งสองข้างเป็นที่ยิ่ง อดไม่ได้อีกและที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ในมุมแปลก ๆ ที่สมองฉันบอกว่า “เอ่อ ! สวยใช้ได้” ไว้เสียก่อนที่จะเดินไปเก็บภาพจากมุมอื่น ๆ อีกในเส้นทางต่อไป

เราเดินไปทางอุโบสถที่มีพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่  ฉันวางเป้ลงข้าง ๆ ลำตัวพร้อมกับนั่งชันเข่า (ถอดรองเท้าแล้วนะ) และก็อธิษฐานจิตต่อพระแก้วทะลุประตูที่กั้นระหว่างองค์พระแก้วกับจุดที่ฉันนั่งอยู่ด้วยจิตใจที่แน่แน่ว ในมือไม่มีดอกไม้ธูปเทียนดอก แต่เรามาที่นี่หลายครั้งอยู่เหมือนกันก็เลยว่าเราตั้งใจอธิษฐานด้วยความเคารพมันก็คงสำฤทธิ์ผลเหมือนกัน ประหยัดไปได้อีก ๒๐ บาทขาดตัว อย่างน้อยก็ได้เก็บไว้ซื้อข้าวกลางวันกินอ่ะ (งกซ่ะ) หลังจากทำความสักการะพระแก้วมรกตเสร็จเราก็มิพลาดที่จะเยี่ยมชมจิตกรรมฝาผนังอันเลื่องชื่อในวัดนี้ “รามเกียรติ์” ใช่! มากี่ทีกี่ทีก็ยังสวยเหมือนเดิม บางครั้งอาจจะงดงามกว่าเดิมเสียอีกเพราะที่นี่เขามีการบูรณะซ่อมแซมอยู่บ่อย ๆ ...เดินตามเนื้อเรื่องไปได้ซักพักเราก็หนีหายออกไปจากเนื้อเรื่องเสียก่อน ยังไม่ถึงตอนจบเลยนี่ แต่มีของดีกว่านี่หน่าไม่ว่ากันนะหนุมานจ๋า... ฉันกับเพื่อนหนึ่งคนที่มาด้วยกันเดินต่อไป ณ  “ปราสาททอง” สีทองอร่ามทำให้เราต้องหนีจากภาพเนื้อเรื่องที่เราเคยเห็นผ่านหนังสือเรียนภาษาไทยฉบับมัธยมต้นเสียฉับพลัน ขาดไม่ได้อีกแล้วที่เราจะเก็บรูปไว้ แหม! สีทองของตัวปราสาทช่างตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าเสียนี่กระไรหนอ... สองหนุ่มญี่ปุ่นเหลือบมองฉันเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าฉันจะทุ่มทุนลงไปนอนเท้งเต้งเพื่อถ่ายภาพ.... แห่ะ ๆ ลืมตัวไปว่าเรานะเป็นผู้หญิงยิงเรือ ก็แหม! ถ้ายืนถ่ายเฉย ๆ มันก็เก็บภาพได้ไม่ครบองค์ประชุมน่ะสิ  ไม่ช่ายไม่ช่าย  ไม่เต็มองค์ปราสาทน่ะสิก็เลยลงทุนหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้มนะภาพออกมาสวยคมชัดเชียวหล่ะ... เราเดินลัดเลาะเก็บรูปภาพที่สวยสดได้เกือบม้วนแต่ไม่ลืมที่จะเก็บไว้เพื่อที่จะไปถ่ายกันต่อ ณ วันอรุณราชวราราม หรือวัดแจ้งของไทยเราและวัดนี้เป็นวัดประจำรัชการที่ ๑ ด้วยนะ แต่ก่อนอื่นหลังจากออกจากวัดพระแก้วหรือวัดพระศรีรัตนศาสดารามแห่งนี้แล้วก็ขอไปกินข้าวรองท้องรองไส้รองพุงซะก่อนหน่อยก่อนละกัน ไปกินที่ไหนน่ะเหรอ......ก็ขอแถว ๆ ริมน้ำที่ท่าพระจันทร์ล่ะกันนะ...โรแม๊นสส์ติกดี

เราสองเดินดุ่ม ๆ ดุ่ย ๆ ออกจากวัดพระแก้วข้ามถนนมาอยู่ ณ สนามหลวงแล้ว จุดหมายของเราอยู่ที่ท่าพระจันทร์แต่ด้วยสมองอันน้อยนิดบวกด้วยความไม่เคยไปแล้วมันอยู่ไหนกันละเนี่ย  ด้วยความชาญฉลาดของเราสอง เราจึงเดินตรงมาเรื่อย ๆ เพื่อนที่มาด้วยกันบอกว่าธรรมศาสตร์อยู่ฝั่งโน้นให้เดินตรงไป ๆ  (ฝังโน้นของเขานะเกือบถึงราชดำเนินแน่ะ) เดินแล้วก็เดินอีก ด้วยความสมองไวของฉันก็ทนไม่ไหวขืนเดินมั่วแบบนี้ไม่ได้กินแน่เลยข้าวทั้งเช้าและเที่ยงมื้อนี้  ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่มุมปากเริ่มบรรเจิด นั่นแน่ !เหลือบไปเห็นสาวสวยเดินมาหนึ่งคนหน้าตายิ้มแย้มพอเป็นมิตรใช้ได้ก็เข้าไปถามได้ความมาว่า “อยู่ทางนี้ค่ะเดี๋ยวจะพาไป” โอ้โห คนกรุงเทพฯ นี่ก็ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย จะพาไปส่งถึงที่เชียวแนะ  เราสามคน (เหมือนมาด้วยกันเลย) ก็เดินมาเรื่อย ๆ  (สำหรับฉันกะเพื่อนจอมมั่วน่ะเดินย้อน) เจอะหน้าประตูมหาลัยธรรมศาสตร์อยู่ริบ ๆ เราสามก็ข้ามถนนแล้วก็เดินเข้าไปในมหาลัยนั่นแหละ ฉันด้วยความเป็นคนมีอัธยาศัยดีเลยชวนเพื่อนสาวที่เดินมาด้วยกันคุยด้วย (ตอนแรกเรียกพี่นะแบบว่าต้องทำตัวเด็กไว้ก่อนพ่อสอนไว้)

“เรียนอยู่ที่นี่หรือค่ะ” เราถามพร้อมมองหน้าที่หมวยสวยจับตา

“ค่ะ แต่เพิ่งจะได้เรียนที่ท่าพระจันทร์นี่เพราะปีหนึ่งอยู่ที่รังสิตค่ะ” เธอตอบพร้อมอมยิ้มให้เรา

“เหรอค่ะ แล้วอยู่ปีไหนแล้วค่ะ” เราเลยส่งยิ้มกลับทั้ง ๆ ที่เดาได้ว่าอยู่ปีสองแล้ว

“ปีสองค่ะ แล้วนี่เรียนอยู่ที่นี่เหมือนกันหรือเปล่าค่ะ” เธอถาม

“เปล่าค่ะ เรียนรามคำแหงค่ะ (แต่ไม่ได้บอกปีไปเพราะถ้าบอกที่เราเรียกเธอว่าพี่เมื่อกี้ก็จบ...เห่)

“ปีไหนแล้วค่ะ” เธอถามต่อ

“เอ่อ! ปี..ปี..(กะโกหกดีไหมเนี่ยแล้วในที่สุด..) ปี..ปี หนึ่งค่ะ เรียนบัญชี ส่วนเพื่อนเรียนอยู่ มศว. ค่ะเราตอบด้วยสีหน้ามีพิรุธเล็กน้อย

“แล้วเรียนคณะไหนค่ะ” เราถามต่อ

“ศิลปศาสตร์เอกภาษาอังกฤษค่ะ” เธอตอบนิ่มเนิบ

“เหมือนเพื่อนเลยค่ะ เรียนเอกภาษาอังกฤษเหมือนกันเลย” ฉันตอบ (เพื่อนฉันเอาแต่ยิ้ม..ไม่พูดเลยอ่ะ ยิ้มลูกเดียวเลยเพื่อนฉัน)

“เดี๋ยวเดินต่อไปทางโน้นนะค่ะ แล้วเลี้ยวซ้ายแล้วก็เลี้ยวขวาก็จะเจอทางออกค่ะ สังเกตง่ายค่ะเห็นท่าน้ำก็ถึงแล้วหล่ะ” เธอบอกก่อนแยกตัวเดินเข้าคณะไปผ่านตึกวารสารศาสตร์

“ขอบคุณนะค่ะ” เรากล่าวลาพร้อมยิ้มอย่างขอบคุณ เพราะถ้าไม่เจอคุณแล้วฉันต้องเป็นลมตายเพราะอดกินข้าวแหง ๆ...

หลังจากผละจากเธอผู้ใจดีสตรีธรรมศาสตร์เราก็คลำทางจนพบกับทางออก โอ้โห! ของกินเพียบเลยอ่ะ แล้วเราจะเลือกกินอะไรก่อนดีหล่ะเนี่ย ฉันมองตาเพื่อน ท้องประสานท้องสายตาประสานสายตามองหาร้านริมน้ำราคาถูกสักร้านเพื่อที่จะจับจองที่นั่ง...

“เจอแล้ว ! เนี่ยล่ะกันนะถูกดี ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟชามละ 19 บาทเอง น้ำเปล่าก็ฟรีอ่ะ โห ! หายากจังอาหารถูก ๆ แถว ๆ กรุงเท๊พกรุงเทพแห่งนี้ บรรยากาศก็โอเค ได้สูดน้ำเน่าชัดปอดดี..อิอิ กินบรรยากาศอ่ะถึงแม้มันจะเน่าไปนิดก็ทำใจได้ ไม่เป็นไรดอก..

หลังจากหม่ำกันไปคนละจานครึ่ง ก็มีก๋วยเตี๋ยว ๒ ข้าวผัดหนึ่ง (อันหลังนี่แบ่งกันคนละครึ่งอีกทีแบบว่าประหยัดอ่ะ) เราก็มีแผนขึ้นเรือเพื่อที่จะข้ามไปฝั่งโน้นกันต่อ เราเดินไปขึ้นเรือที่ท่าพระจันทร์ ถามป้าท่าเรือคนเก็บตังค์

“ไปวัดแจ้งขึ้นเรือที่นี่หรือเปล่าค่ะ” เราตอบพร้อมทำหน้าเด็กเล็กน้อย (เด็กบ้านนอกอ่ะดิ)

“ต้องไปขึ้นที่ท่าเตียน” ป้าตอบห้วนเสียงห้าว

“เหรอค่ะ ขึ้นที่นี่ไม่ได้เหรอ” มีเถียงแน่ะมีเถียง ให้ตายดิ ป้าบอกก็เชื่อป้าหน่อยดิ

ให้ตายเหอะงานนี้เหมือนมีฉันมาคนเดียวเลยอ่ะ เพื่อนนี่ยืนเงียบสนิทแบบว่าแกไปไหนฉันไปตามทำนองนั้น ไม่เป็นผู้บุกเบิกเลยให้ตายดิเพื่อนฉัน หลังจากคิดได้เราก็เลยเดินต่อไป หาป้ายรถเมล์เพื่อที่จะไป ณ ท่าเตียนกันต่อ แต่เอ๊ะ! ท่าเตียนอยู่ไหนหว่า เคยรู้มาบ้างว่าเป็นที่ ๆ ยักษ์วัดแจ้งกะวัดโพธิ์ตีกันตายทำนองนั้น อิอิ แล้วอีกไกลจากท่าพระจันทร์ไหมเนี่ย

เดินรี่ ๆ หน้าแฉล้มแป้มมาเรื่อย ๆ เห็นจะไม่ได้การต้องถามใครสักคนแถวนี้สักหน่อยเพื่อความชัวร์ นั่นแน่ ! ป้าร้อยมาลัยหน้าแฉล้มเหมือนน้องมาลา (ท่าพระจันทร์) ของเรากลายเป็นเหยื่อที่เราเห็นว่าคงได้เรื่องแน่เพราะเป็นคนถิ่นนี้น่ะ

“ป้า ไปท่าเตียนขึ้นรถสายอะไรได้บ้างค่ะ” เราตอบทำพร้อมหน้าเด็กอีกครั้ง

“ขึ้นสายอะไรก็ได้ไปขึ้นรถทางโน้นนะหน้าธนาคารน่ะทางนี้มันไม่จอดหรอกหนู” ป้าตอบพร้อมชี้โบ้ชี้เบ้ไปทางถนนมืด ๆ ฝั่งข้างกำแพงมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ เอ่อ! กำแพงนี้นะฉันรู้มาว่าแต่ก่อนน่ะเป็นกำแพงวังหน้าแต่ต่อมาตกเป็นรั้วของมหาลัยธรรมศาตร์ไป ก็ดี ! ของเก่าเอามาใช้ใหม่ไม่เสียของดีเหมือนกันเนอะ....

เราสองขึ้นรถเมล์ได้ด้วยความไม่รู้ว่าท่าเตียนอยู่อีกไกลไหมจึงถามกระเป๋ารถเมล์ตอนจ่ายตังค์

“พี่ ท่าเตียนอยู่ไกลไหมค่ะ” เราถามพร้อมมองหน้าพี่เป๋ารถ

“ไม่ไกล” พี่ตอบโค- ตะ- ระห้วนม๊าก มาก จริง ๆ

เราได้แต่พยักหน้าผงึก ๆ รับคำ พี่เขาคงนึกในใจว่าเด็กบ้านนอกเข้ากรุงมาอีกแล้ว...

นั่งมาเรื่อย ๆ ผ่านวัดโพธิ์ก็นึกขึ้นได้ว่ายักษ์วัดโพธิ์นี่ตีกะยักษ์วัดแจ้งนี่หน่างั้นก็คงอยู่ตรงข้ามกันละมั้ง เหอ ๆ จริง ๆ แหล่ะ โง่อยู่ได้ตั้งนานรู้งี้ไม่นั่งให้โง่หรอกรถเมล์ใกล้แค่เอื้อมแค่นี้เอง เดินเอาก็ได้ฉัน...

เราเดินหาท่าเรืออยู่นาน ท่าแล้วท่าเล่าเขาก็บอกว่าให้ไปขึ้นที่ท่าเตียน พอดีนั่งรถเลยไปหน่อยเห็นซอยไหนทะลุตรงไปอีกฝั่งได้ก็เลี้ยวเข้าซอยนั้น เสียเวลาไปประมาณได้สองท่าได้ก็ถึงหล่ะท่าที่ต้องการ นักท่องเที่ยวนั่งรอเรือกันอยู่ตึม แต่เราก็ต้องประสบกับปัญหาอะไรบางอย่าง “ฝนตก” ดั๊นดันตกลงมาได้ตอนคนกำลังจะเที่ยวให้ตายเหอะ เราเลยม่วนอยู่กับการเลือกซื้อของที่ท่าเรือแห่งนี้ก่อนเพื่อไม่ให้เสียเวลา ฉันนะได้ postcard ตั้ง 20 ใบ ไม่ใช่เพราะความบ้านน๊อกบ้านนอกนาน ๆ เข้ากรุงทีหรอกนะ แต่เพราะว่ามันถู๊กถูกนี่ดิ ซื้อตามห้างสรรพสินค้านะตกใบละ 5 บาทได้ แต่ที่นี่ใบละ 2 บาทให้ตายดิไม่เห็นที่ไหนจะถูกเท่านี้อีกแล้ว อาชีพนักสะสม postcard  อย่างฉันจะเหลือเหรอ เสร็จสิ...จ่ายไปสี่สิบ ที่จริงอยากซื้อเยอะกว่านั้นอีกนะแต่ไม่ไหวหรอกหนักตายเลยแบกกลับบ้านน่ะ อิอิ (งก..งก) คนขายเขาก็งงเป็นไก่ตาแตกว่าทำไมเด็กไทยมันซื้อเยอะว่ะ เขาจะเอาไว้ขายคนนอกคนในดันซื้อซะเยอะเชียวเทือกนั้น

ครั้นฝนหยุดตกเราก็ได้โอกาสขึ้นเรือเสียที ค่าข้ามฟากก็ย่อม เยาว์แค่ 2 บาทเอง ไปกลับก็ 4 บาทรวมของเพื่อนฉันด้วยก็ 8 บาท เสร็จสรรพเราก็ได้เที่ยววัดอรุณกันเป็นครั้งแรก เด็กกลัวน้ำอย่างฉันไม่ค่อยชอบที่จะลงเรือหรอก ครั้งล่าสุดที่ลงเรือก็เมื่อคราวไปวัดพนัญเชิงที่อยุธยา เรายกจักรยานขึ้นเรือข้ามฟากกันที่โน่น ยังจำได้ถึงความสนุกอยู่เลยหล่ะพร้อมกับคำพูดฉิว ๆ ปลิวใส่หูอยู่ทุกวี่วันว่า “แกน่ะไม่น่าพาฉันหิ้วจักรยานลงเรือเลยไอ้จูน ยังเสียวอยู่ไม่หายจนถึงทุกวันนี้เลยล่ะ (เสียงยายกรรณเพื่อนอาหมวยสวยขาววิ่งแว่วทักทายมาเป็นระรอกแล้วระรอกเล่า)

เราเที่ยวอยู่วัดอรุณได้ไม่นานก็ได้เวลาหารถกลับบ้านแล้วล่ะ เชื่อม่ะเราเดินจากท่าเตียนมายันสนามหลวง แบบว่าจะได้ไม่เปลืองไง ชอบ ๆ และแล้วเราก็กลับบ้านกันเสียทีเที่ยวมานานแล้ววันนี้ ครั้นรถเมล์มา ขานี่แทบง่อยแน่ะ ง่วงก็ง่วงอยากหลับเป็นที่สุดเลยล่ะ..สองเรา

งานนี้มาวัดพระแก้วก็ไม่เสียเปล่าอีกแล้ว ฉันได้รู้จักท่าพระจันทร์เพราะอยากรู้จักกับเธอมานานแสนนานแต่ไม่มีโอกาสเพิ่มอีกแห่งสมใจอยาก คราวนี้ได้โอกาสเลยได้กินก๋วยเตี๋ยวที่นี่อีกตะหาก แถมยังได้ข้ามฟากไปเยี่ยมเยียนวัดอรุณหรือวัดแจ้งอีกด้วย ถือว่าคุ้มนะในหนึ่งวันนี้น่ะ ดีกว่าไปเดินเตร็ดเตร่ตามห้างตากแอร์เย็น ๆ ทั้งวันเสียอีก    อย่างน้อยตังค์ฉันก็ไม่หมดเยอะเท่าไหร่แต่ก็ไม่น้อยนะเพราะว่าบ้านฉันหน่ะอยู่ไกล้ไกลค่ารถบานเบอะกว่าค่ากินเสียอีกสิ..แต่ก็ไม่คิดมากหรอกดีใจเสียอีที่ได้มาเที่ยวที่นี่      ณ กรุงเทพมหานคร บ้านหลังใหญ่ของเรา...ของคนไทย...อย่างเรา ๆ ในวันนี้ กับท่าเตียน วัดแจ้งนี่แหละ

..........................................................................................................................

มิถุนายน คนชอบเที่ยว

แรมรอนและเดินทางเมื่อ จันทร์ที่ 15 แต่เล่าให้เพื่อนฟังเมื่อ 23 ตุลาคม ๒๕๔๔ ไปวางพวงมาลากันมาหรือยังล่ะเพื่อน ๆ

 

 

1