|
 |
|
1.
เลี้ยงไว้จำหน่าย
2. เลี้ยงเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาสายพันธุ์
3. เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน
4. เลี้ยงไว้ประกวด
5. เลี้ยงไว้ชน
1. เลี้ยงไว้จำหน่าย
ปัจจุบันมีฟาร์มมีซุ้มไก่ชนผุดขึ้นพอ ๆ กับดอกเห็ดหน้าฝน
ที่เร่งเร้าให้ยายฉิมตาแฉ่งออกไปเก็บเห็ดกันมากมาย
ไก่ชนที่มีคุณภาพจะมีราคาค่าตัวเมื่ออายุพอปล้ำได้คือประมาณ
7 8 เดือนก็ราว 500 บาทถึง ตัวละเป็นหมื่น
บางตัวที่ชนชนะติดกัน2 - 3 ไฟท์ก็อาจพุ่งมากกว่านั้น(
ทั้งราคาจริงและราคาคุย ) บางฟาร์มที่มีมาตรฐานสามารถจำหน่ายไก่ชนได้คู่หนึ่งเฉลี่ยราว5
พันบาท ลองนึกดูเลี้ยงสัตว์อไรที่ลง ทุนไม่มาก
แล้วขายได้ราคาขนาดนี้ ไก่ชน เป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่นักธุรกิจทั้งระดับพญาอินทรีถึงระดับธรรมดา
ๆ หันมาสนใจกันคึกคัก บางรายสามารถส่งออกจำหน่ายยังต่างประเทส
เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง
ญี่ปุ่น จีน แม้กระทั้งยุโรปได้สบายๆ ปีหนึ่งฟันเป็นสิบ
ล้านร้อยล้านบาท ออเดอร์เพียบแทบไม่พอขาย
เพราะไก่ชนไทย ฝีมือ ( ฝีเท้า )ไม่เป็นรองชาติใดในโลกนี้
หรือแค่ขายตลาดภายในประเทศก็บูมเอาการ ม่งั้นคงไม่มีใครกล้าลงทุนเป็นแสนเป็นล้านตั้งฟาร์ม
ลงโฆษณาในนิตยสาร บางรายก็เปิดเว็บไซต์เสนอขายไก่ชนทางอินเตอร์เน็ต
ตลาดในประเทศก็มีตั้งแต่การขายที่ฟาร์ม ที่ซุ้ม
ตามงานประกวดไก่ชน สนามไก่ชนตามชมรมฯ ตามศูนย์ส่งเสริมฯ
แม้ตลาดนัดจตุจักรก็มีไม่ น้อย ถ้าหากไปต่างจังหวัดหรือชานเมืองจะเห็นป้าย
จำหน่ายไก่ชน แทบทุกจังหวัด คงอีกไม่ช้าไม่นานไก่ชนจะขึ้นเว็บขายกันทาง
อี คอมเมอร์ช แน่นอน อันนี้ไม่ได้พูดเล่น
ๆ แต่แนวโน้มเป็นไปได้แน่ เพราะทุกวันนี้ก็มีการสั่งซื้อผ่านโทรศัพท์
โชว์ภาพไก่และรายละเอียดทางเว็บไซต์และมีการขนส่งทางเครื่องบินให้กับผู้ซื้อทั่วประเทศแล้ว
ส่วนรายย่อยก็สามารถเลี้ยงเพื่อจำหน่ายได้
แต่เงื่อนไขสำคัญอยู่ที่ คุณภาพไก่ชน
เพราะถ้าหากเลี้ยงไก่ชนไม่มีคุณภาพ สายเลือดไม่มี
ตีไม่เจ็บ เชิงไม่เอาไหน ก็ต้องขายเป็นไก่ย่างข้างถนน
หรือไก่ต้มแช่น้ำปลา ฯลฯ
2. เลี้ยงเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาสายพันธุ์
มีหลายรายที่เลี้ยงเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาสายพันธุ์
ประเภทนี้มีทุนรอนและวิทยาการที่จะทำงานด้านนี้ได้
ยกตัวอย่างเช่น น้าแอ๊ด คาราบาว ที่ทำอยู่ปัจจุบัน
หรือผู้หลักผู้ใหญ่ เศรษฐีเงินถังยังไม่เว้น
แม้ชาวบ้านธรรมดาก็สามารถเลี้ยงเพื่อการนี้ได้
และบางรายก็สามารถตีทุนคืนได้ด้วยการแบ่ง
รือคัดจำหน่ายให้ผู้สนใจ บางรายก็นำไปแจกให้เกษตรกรเลี้ยงเสริมรายได้หรือให้สมาชิกเลี้ยงก็มีไม่น้อย
รวมทั้งบรรดานักวิชาการและผู้สนใจ
3.
เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน
ประเภทนี้หุ่นให้ ใจรัก เห็นเขาเลี้ยงก็เอาบ้าง
เอาไว้แก้เซ็ง เป็นงานอดิเรก ดีกว่าอยู่เปล่าๆ
ไก่ชน ไก่แจ้ นกเขา นกกรงหัวจุก บอนสี บอนไซ
ไม้มงคล เอาหมด เพราะมีกะตังค์แถมเวลาว่างและบริวารแยะ
หรือไม่ก็ ประเภทเห็นเขาเลี้ยงแล้วได้เป็นเซียน
ก็อยากเป็นกับเขาบ้าง ก็ไม่เสียหายอะไรเพราะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
4. เลี้ยงไว้ประกวด
ประเภทนี้คล้าย ๆ พวกเล่นพระเครื่องเพื่อประกวด
เก๊แท้ไม่ว่า ขอให้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของพระเครื่องติดรางวัล
กี่งาน ๆ ก็ส่งประกวด แถมเป็นสปอนเซอร์อีกต่างหาก
แต่สิ่งที่ตามมาคือมูลค่าเพิ่มของไก่ที่ชนะประกวด
ราคาค่างวดก็พุ่งเป็นธรรมดา บางฟาร์มบางซุ้มจึงไม่พลาดที่จะส่งไก่เข้าประกวดเพราะได้ผลด้านจิตวิทยาพีอาร์เพียบ
แถมเต๊ะท่าถ่ายรูปโก้สมใจโก๋อีกต่างหาก ฟาร์มที่มีไก่ชนะประกวดจึงเท่ากับมีประกาศนียบัตรรับรอง
ประเภทนี้อาจผนวกเป็นประเภท 1 บวก 2 ได้อีกด้วย
คือขายก็ได้จำหน่ายก็ดีอนุรักษ์ก็เด่นอะไรจะปานนั้น
แต่อยากให้วางกฎระเบียบให้รัดกุมเพราะ ไก่ต่อปีกต่อหางย้อมไก่เข้าประกวดก็อาจมี
และชาวบ้านรายย่อยที่อยากประกวดบ้าง แต่เมื่อมาเจอ
" ขาใหญ่ " หรือ "สปอนเซอร์
" ก็ต้องชิดซ้าย จึงน่าหาทางแบ่งประเภทในการประกวดการอนุรักษ์ว่า
ประเภทชาวบ้าน กับประเภทซุ้มหรือฟาร์มมาตรฐาน
เพื่อดาวรุ่งภูธรจะได้แจ้งเกิดบ้าง วงการก็จะคึกคัก
ไม่ใช่ส่งประกวดกี่งาน ๆก็ได้เป็นแค่ "
ตัวประกอบ "
5. เลี้ยงไว้ชน
ประเภทนี้เป็นนักเลงไก่ชนเข้มข้น คือ เลี้ยงไว้ชนเอง
คัดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ พยายามให้ ลงเหล่า
ได้ไก่เก่งเพื่อเข้าสนามตีเดิมพัน
ถ้าชนะนอกจากเดิมพันที่ได้แล้ว ยังมีโอกาสขายไก่ตัวที่ชนะในราคาสูงลิ่ว
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติยิ่งชนชนะหลายไฟต์ติดต่อกัน
ราคาก็ยิ่งพุ่งกระฉูดยิ่งกว่าราคาหุ้นยามกระทิงดุซะอีก
แต่ถ้าแพ้ก็แน่นอนว่าตรงกันข้าม เจ้าของกับไก่หงอยพอๆกันบรรดาไก่เก่งส่วนใหญ่มาจากไก่ที่ผ่านสังเวียนมาแล้ว
เพราะเป็นการทดสอบฝีมือ ฝีเท้า ชั้นเชิง ความอดทน
และน้ำเลี้ยง แต่ปัจจุบันการคัดเลือกไก่เก่ง
ไม่ต้องเอาลงไปตีกันจนน่วมอ่วมอรทัย แค่ปล้ำกันพักสองพักก็เห็นแวว
แล้ว ที่สำคัญคือ เจ้าของไก่ มีเครดิตขนาดไหน
ก็เหมือนกับนักมวยนักฟุตบอลนั่นแหละ ค่ายมวย
หรือสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียง
|
|
|
 |
|
|