พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD045
เจ้าปายาสิ ผู้ครองนคร ที่ขึ้นกับพระเจ้าปเสนทิโกศล
เป็นมิจฉาทิฐิ คือเห็นว่า โลกหน้าไม่มี ผลของการทำความดีและความชั่วไม่มี
แต่พระกุมารกัสสปได้เทนาทางถูกให้ฟังจนเจ้าปายาสิกลับเป็นสัมมาทิฐิ
และได้บริจาคทานเป็นประจำ
แต่การบริจาคทานนั้น เจ้าปายาสิ ให้ทานโดยไม่เคารพ ไม่ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความไม่นอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้ เจ้าปายาสิได้มอบหมายให้อุตตรมาณพ ผู้เป็นบ่าวให้เป็นผู้ให้ทานแทน
ส่วนอุตตรมาณพนั้น ได้ให้ทานโดยเคารพ
ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้
ผลปรากฏว่า
หลังจากบุคคลทั้งสองได้ละจากโลกนี้ไปแล้ว เจ้าปายาสิได้ไปเกิดในวิมานชื่อ เสรีสกะ ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุดในบรรดาสวรรค์ทั้งหมด
และวิมานนั้นยังว่างเปล่าไม่มีเครื่องประดับประดาอะไรเลย
และไม่มีนางฟ้าเป็นบริวารแวดล้อมด้วย
ส่วนอุตตรมาณพได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ซึ่งสูงกว่าสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชหนึ่งชั้น และพรั่งพร้อมด้วยยศและบริวารเป็นอันมาก
ปายาสิราชัญญสูตร ๑๐/๓๐๗
พระสูตรนี้ เป็นเครื่องเปรียบเทียบถึงผลของการให้ทาน
ที่นับว่าชัดเจนมาก คือ พระเจ้าปายาสิเป็นเจ้าของทาน
ส่วนอุตตรมาณพเป็นผู้บริการทาน พระเจ้าปายาสิไม่เคารพทาน แต่อุตตรมาณพเคารพทาน
แม้ว่าทานนั้นมิใช่ของตนก็ตาม นอกจากจะทำตามคำสั่งของนายแล้ว เขายังทำด้วยความศรัทธาและเสื่อมใสอีกด้วย
ฉะนั้น การทำบุญทำทานในทางศาสนา
ของจะมากหรือน้อยไม่สำคัญ สำคัญที่ใจ คือความเลื่อมใสและศรัทธา
ถ้ายังไม่เกิดศรัทธา ยังไม่มีความเลื่อมใส ก็อย่าทำดีกว่า ถ้าขืนทำในขณะนั้น
นอกจากผลทานจะน้อยแล้ว ผลที่ได้รับก็จะกระดำกระด่าง คือ ได้
ทั้งบุญและบาปคละเคล้ากันไป
ดังนั้น ก่อนให้ทานทุกครั้ง
จะต้องมีความดีใจ กำลังให้ก็เลื่อมใส และเมื่อให้แล้วก็ต้องปลื้มใจ
ทานนั้นจึงจะจัดว่ามีอานิสงส์มากหรือมีผลมาก.