พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์

ธรรมรักษา

                TPD042

 

ผู้ชนะย่อมก่อเวร

 

พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารบุพพาราม เมืองสาวัตถี ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลพระพุทธเจ้า ถึงพระเจ้าอชาตศัตรู ยกทัพไปตีแคว้นกาสี พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยกทัพไปป้องกัน แต่พ่ายแพ้กลับมา ทรงทราบแล้วได้ตรัสว่า

 

“ภิกษุทั้งหลาย! วันนี้พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงแพ้มาแล้วอย่างนี้ จะบรรทมเป็นทุกข์ตลอดคืนนี้”

 

และทรงแสดงผลแห่งสงคราม เป็นคติเตือนใจว่า

 

“ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์ บุคคลละความชนะและความแพ้เสียแล้ว จึงสงบระงับ (เวร) นอนเป็นสุข”

 

ตอนท้ายอีกสูตรต่อมา พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงชนะบ้าง พระพุทธองค์ตรัสว่า

 

“คนพาลย่อมสำคัญว่าเป็นสุข เมื่อบาปยังไม่ให้ผล ถ้าบาปให้ผลเมื่อใด คนพาลย่อมได้รับทุกข์เมื่อนั้น

 

ผู้ฆ่าย่อมถูกฆ่าตอบ ผู้ชนะย่อมได้รับการชนะตอบ ผู้ด่าย่อมถูกด่าตอบ ผู้โกรธย่อมได้รับการโกรธตอบ เพราะความหมุนเวียนแห่งกรรม”.

 

สังคามวัตถุสูตร ๑๕/๑๑๙

 

เรื่องการแพ้การชนะ เรื่องการได้การเสีย เป็นเรื่องของโลก ไม่มีการสิ้นสุดหรือยุติลงได้ ตราบใดที่ยังมีการแพ้หรือชนะกันอยู่ เวรก็ย่อมจะไม่สิ้นสุด ต่อเมือใดเลิกแพ้และเลิกชนะเสียได้ เวรก็ย่อมจะสิ้นสุด

ในทางพระ ท่านจึงนิยมการชนะตนเอง หรือชนะกิเลสตัณหาในตนเอง เพราะถ้าชนะได้แล้ว ย่อมเกิดความเย็น สงบ จะไปที่ไหน จะอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสงบสุข ทั้งตนเองและผู้อื่น

พระพุทธองค์จึงทรงเปรียบเทียบไว้ว่า การชนะข้าศึกทั้งกองทัพ ชนะคนอื่นตั้งหมื่นตั้งแสน ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับการชนะตนเองเพียงคนเดียว

ทั้งนี้เพราะการชนะคนอื่นนั้น อาจกลับกลายเป็นแพ้ก็ได้ และที่สำคัญคือผู้แพ้ก็ย่อมจะผูกเวร คือคิดจะแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา เป็นการก่อเวรที่ยืดเยื้อเรื้อรังไม่มีวันสิ้นสุด

แต่ว่าการที่จะเอาชนะตนเองนี่ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก ถ้าไม่อาศัยจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว และทำอย่างจริงจังตลอดไปแล้ว ถ้าไม่แพ้มันแต่ในมุ้ง ก็มักจะไปตกม้าตายที่กลางทาง อย่างไม่ต้องสงสัย.

 

1