พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD040
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ทรงแสดงสัญโญชน์
(กิเลสเครื่องร้อยรัด) เบื้องต่ำ ๕ คือ
๑.
สักกายทิฐิ (ความเห็นเป็นเหตุยึดกายของตน)
๒.
วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
๓.
สีลัพพตปรามาส (การลูบคลำศีล)
๔.
กามฉันทะ (ความพอใจในกาม)
๕.
พยาบาท (ความคิดปองร้าย)
อานนท์!
สัญโญชน์ ๕ เป็นของมีกำลัง ถ้าไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับคำแนะนำที่ดี
ไม่มีอุบายที่ดี ย่อมไม่สามารถจะละได้ ผู้ไม่อาศัยหนทางเพื่อละสัญโญชน์ ย่อมไม่อาจจะละได้
อานนท์!
เปรียบเหมือนการตัดต้นไม้มีแก่น ต้องถากเปลือกและกะพี้ออกเสียก่อน
จึงจะตัดแก่นไม้ได้ ฉันใด ? ผู้ต้องการละสัญโญชน์เบื้องต่ำ ๕
ก็ต้องปฏิบัติไปตามลำดับขั้น ฉันนั้น.
มหามาลุงโกยวาทสูตร ๑๓/๑๓๗
การปฏิบัติธรรมนั้น
จะว่ายากก็เหมือนง่าย จะว่าง่ายก็เหมือนยาก คือถ้ามีอุบายที่ประกอบด้วยปัญญาแล้ว
การปฏิบัติธรรมก็ดูเป็นเรื่องง่ายดายไป แต่ถ้าขาดปัญญาเพียงตัวเดียว
จะทำอะไรทุกสิ่งก็ดูมันจะยากไปหมด นอกจากจะทำยากแล้ว บางทีก็อาจเกิดโทษเสียด้วย
พระสูตรตอนนี้
ทรงแสดงถึง ขั้นตอน แห่งการปฏิบัติธรรม เหมือนการตัดไม้ที่มีแก่น
ต้องผ่านเปลือกและกะพี้ไปตามลำดับ แล้วจึงจะเข้าถึงแก่นของไม้ได้ ฉันใด
ในการปฏิบัติธรรม
เพื่อการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง ก็มีอุปมา ฉันนั้น ทั้งนี้เพราะ กิเลสตัณหา
ได้ถูกสะสมมานานจนกลายเป็น สัญโญชน์ ไปแล้วนั่นเอง
แต่ไม่ว่ากิเลสประเภทใด
ๆ ก็ตาม ถ้าคนเรามีความเพียรพยายามไม่ลดละ ก็ย่อมจะพิชิตมันแน่นอน
ต่างแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น สมตามพุทธภาษิตที่ตรัสตอบอาฬวกยักษ์ (๑๕/๒๙๘) ว่า
คนจะล่วงพ้นความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะความเพียร