พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD027
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
เมืองสาวัตถี
ครั้งนั้นแล พระพุทธองค์ได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลาย พอสรุปเป็นใจความได้
เรื่องเคยมีมาแล้ว ที่พระนครสาวัตถีนี่แหละ
มีแม่บ้านคนหนึ่งชื่อ เวเทหิกา กิตติศัพท์อันงามของนางได้เล่าลือไปไกล ว่านางเป็นคนสงบเสงี่ยม
อ่อนโยนเรียบร้อย นางได้มีคนรับใช้หญิงคนหนึ่งชื่อ กาลี เป็นคนขยันขันแข็ง
ทำงานบ้านการเรือนเรียบร้อยดีมาก เป็นที่รักใคร่ของนางเวเทหิกามาก
วันหนึ่ง กาลีมีความคิดว่า
การที่นายหญิงของเรามีกิตติศัพท์ชื่อเสียงว่า เป็นผู้สงบเสงี่ยม อ่อนโยน
เรียบร้อยดุจผ้าพับไว้นั้น เป็นเพราะมีธรรมะในใจหรือเป็นเพราะว่า มีคนรับใช้ในงานได้เรียบร้อย
และถูกใจทุกอย่างกันแน่? จะต้องลองสอบธรรมะนายหญิงดูสักครั้ง เมื่อคิดอุบายได้แล้ว
เช้าวันหนึ่งจึงแกล้งนอนตื่นสายไม่ได้ทำงานบ้าน นายหญิงจึงตวาดเอาว่า
เฮ้ย!
อีกาลี มึงเป็นอะไรวะ จึงนอนตื่นสาย?
ไม่เป็นไรดอก เจ้าค่ะนาย
อีคนชั่ว เมื่อมึงไม่เป็นอะไร
ทำไมจึงนอนตื่นสายล่ะ?
นางเวเทหิกา
โกรธขัดใจ หน้างอ แล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไป
วันต่อมา
กาลีก็สอบธรรมะนายหญิงด้วยการนอนตื่นสายอีก คราวนี้ถูกด่าอย่างรุนแรงและหยาบคายมาก
เรื่องก็ผ่านไปอีก
วันต่อมา
กาลีก็สอบธรรมะนายสาวอีก คราวนี้นอกจากถูกด่าอย่างรุนแรงแล้ว
ยังถูกปาด้วยลิ่มประตูจนหัวแตกเลือดไหล กาลีได้เที่ยวร้องประกาศให้ชาวบ้านได้รู้ทั่วกันว่า
ท่านทั้งหลายเจ้าข้า!...... เชิญดูคนสงบเสงี่ยมของท่านทั้งหลายเถิด หัวของดิฉันได้แตก
เพราะคนอ่อนโยนและเรียบร้อยของท่านทั้งหลายแล้ว
ครั้งนั้น
กิตติศัพท์อันงามของนางเวเทหิกา ได้สลายลงแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุบางรูปก็ฉันนั้น เธอเป็นคนสงบเสงี่ยมจัด อ่อนโยนจัด
เป็นคนเรียบร้อยจัด เธอทำได้ก็เพียงแต่ไม่ได้กระทบถ้วยคำอันไม่เป็นที่พอใจเท่านั้น
จึงยังดูเป็นคนเรียบร้อย อ่อนโยนได้
ภิกษุทั้งหลาย! ก็เมื่อใดเธอกระทบคำพูด
อันไม่เป็นที่พอใจเข้าแล้ว เธอยังสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อยอยู่ได้
เมื่อนั้นแหละเธอควรนะจะน่านับถือจริง
ภิกษุทั้งหลาย! เราไม่เรียกภิกษุว่าง่าย
เพราะเหตุที่ได้ปัจจัย ๔ แล้วจึงเป็นผู้ว่าง่าย เธอไม่ได้ปัจจัย ๔
เธอก็จะเป็นผู้ว่ายากต่อไป
ภิกษุทั้งหลาย!
อนึ่งภิกษุรูปใดเคารพและนอบน้อมต่อพระธรรมอยู่ เราเรียกภิกษุรูปนั้นว่า เป็นผู้ว่าง่ายแล.
กกจูปมสูตร ๑๒/๒๐๔
พระสูตรนี้
นับว่าเป็นบทเรียนที่ดีถึง ๒ ประการ คือ เป็นแว่นสองดูผู้อื่น
และเป็นกระจกส่องงดูตนเอง
เป็นแว่นสองดูผู้อื่น
คือ เมื่อเราติดต่อ เคารพ คบหากับผู้ใหญ่ เราก็จะได้ศึกษาว่า
สิ่งที่น่าแสดงกับเรานั้น เป็นสัจจะหรือมายา เป็นของแท้หรือของเทียม
เมื่อมีสิ่งที่เป็น อนิฏฐารมณ์ เกิดขึ้น ก็จะเป็นมาตรวัดได้อย่างดี
เป็นกระจกส่องดูตนเอง
คือ เมื่อเรากระทบกับสิ่งที่ไม่น่ายินดี ไม่น่าปรารถนา เราจะเกิด ปฏิฆะ ขึ้นในจิตหรือจนถึงแสดงออกมาทางวาจาและกายหรือไม่? แต่ถ้าเรามีความรู้สึกขัดใจ
แต่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้ ก็จะเป็น มาตร ที่วัดคุณธรรมในจิตใจของเราได้อย่างดี.
คนอกตัญญู ย่อมไม่พบความเจริญ
อลลฺปาณิหโต โปโส น โส ภทฺรานิ ปสฺสติ