พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์

ธรรมรักษา

                TPD023

 

ธรรมที่เป็นคู่ปรับกัน

 

พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสสอนพระราหุลถึงธรรมที่เป็นคู่ปรับกัน ๖ คู่ คือ

 

๑.      “ราหุล! เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาท (คือความคิดที่จะแก้แค้น) ได้

๒.      เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่ จักละวิหิงสา (คือการเบียดเบียน) ได้

๓.      เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่ จักละอรติ (คือความริษยา)ได้

๔.      เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จักละปฏิฆะ (คือความขัดใจ) ได้

๕.      เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่ จักละราคะ (ความยินดีในกาม) ได้

๖.      เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนา จักละอัสมิมานะ (คือการถือตัว) ได้

 

มหาราหุโลวาทสูตร ๑๓/๑๒๗

 

            การปฏิบัติธรรมเพื่อการดับทุกข์อย่างจริง ควรจะต้องศึกษาให้รู้ถึงสิ่งที่เป็น “คู่ปรับ” ของกันและกัน ดังที่ทรงยกมาสอนแก่พระราหุล ๖ ข้อนี้ และยังมีอีกมาก

            การปฏิบัติธรรม ถ้าเราจับคู่ของธรรมะของข้อนั้น ๆ ให้ถูกฝาถูกตัวกัน การปฏิบัติธรรมก็จะดูเป็นเรื่องไม่ยากเลย เช่น คนมีความตระหนี่ขี้เหนียว ก็ต้องพิจารณาโทษของความตระหนี่ถี่เหนียว ทำให้เกิดเป็นคนยากจน ไม่มีพวกพ้องบริวาร ทำให้เป็นคนมีใจคับแคบ และเห็นแก่ตัวจัด เป็นต้น

            ทางแก้ก็ต้องใช้แบบ “หนามยอก เอาหนามบ่ง” คือ การบริจาค การให้ทาน การเสียสละต่าง ๆ ให้มาก จริงอยู่ในการทำครั้งแรก ๆ มันก็ย่อมฝืนใจและทำยาก แต่เมื่อหัดทำบ่อย ๆ มันก็จะเกิดความเคยชินไปเอง

            ธรรมะข้ออื่น ๆ ก็เช่นเดียว ล้วนมีคู่ปรับที่คอยหักโค่นกันอยู่เสมอ ถ้าเราจัดหาคู่ปรับมาแก้ ให้ถูกฝาถูกตัวกันได้แล้ว การปฏิบัติธรรมทางศาสนา ก็จะไม่กลายเป็นเรื่องยาก หรือเป็นเรื่อง “สุดวิสัย” อย่างที่คนทั่ว ๆ ไปคิดเห็นกันอีกต่อไป

            ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ก้าวหน้า ไม่เกิดผลใด ๆ ก็ขอให้พิจารณาดูข้อธรรมนั้น ๆ ว่ามันถูกฝาถูกตัวกันหรือไม่?

 

1