พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD012
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ ปาวาริกอัมพวัน
เมืองนาลันทา หัวหน้าหมู่บ้านชื่อ อสิพันธ์ ได้ไปเฝ้าและได้ทูลถามปัญหา ถึงคนที่ตายไปแล้ว
ว่าพระพุทธองค์สามารถทำให้คนเหล่านั้น ไปเกิดในสวรรค์ทั้งหมดได้หรือไม่
พระพุทธองค์ทรงย้อนถามว่า
อสิพันธ์! เราจะขอถามท่าน คนบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
โลภมาก พยาบาท และเห็นผิด มหาชนได้ประชุมกันแล้วสวดวิงวอนว่า
ขอให้คนนี้เมื่อตายไปแล้ว จงไปเกิดในสวรรค์เถิด คนที่ไม่มีกุศลกรรมบถผู้นี้
เมื่อตายแล้วจะไปเกิดในสวรรค์ ได้หรือไม่?
ไม่ได้ พระเจ้าข้า
อสิพันธ์! เปรียบเหมือนคนโยนก้อนหินใหญ่
ลงไปในแม่น้ำลึก แล้วมหาชนพากันสวดอ้อนวอน ขอให้ก้อนหินลอยขึ้นมา
ก้อนหินจะลอยขึ้นมาตามเสียงสวดวิงวอนหรือไม่?
ไม่ลอยขึ้นมา พระเจ้าข้า
อสิพันธ์! ฉันนั้นเหมือนกัน
ผู้ใดไม่รักษากุศลกรรมบถ ๑๐ เมื่อตายไปย่อมต้องตกนรก เสียงอ้อนวอนของมหาชน
ก็ไม่อาจจะช่วยอะไรใครได้
เช่นเดียวกัน คนบางคนในโลกนี้
รักษากุศลกรรมบถ ๑๐ มีการไม่ฆ่าสัตว์ เป็นต้น เมื่อตายไปก็ย่อมไปเกิดในสวรรค์
แม้มหาชนจะพากันสวดอ้อนวอน ให้ผู้ตายไปเกิดในนรก เขาก็ต้องไปเกิดในสวรรค์
ตามกุศลกรรมบถของเขา เปรียบเหมือนคนเทน้ำมันลงในแม่น้ำ แม้มหาชนจะสวดอ้อนวอน
ให้นำมันจมลง น้ำมันย่อมจะลอยขึ้น ไม่จมลงใต้น้ำก็ฉันนั้น
ภูมกสูตร ๑๘/๓๔๒
พระสูตรนี้แสดงว่า วัวใคร ก็เข้าคอกใคร เป็นหลักคำสอนที่พ้นสมัย คือ
ไม่ขึ้นกับกาลสมัย เข้าลักษณะที่ว่า ทำดีได้ดีเอง
ทำชั่วได้ชั่วเอง
ใครสรรเสริญหรือสาปแช่งให้ใครดีหรือชั่วไม่ได้เลย
คนที่เห็นว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าล้าสมัย คร่ำครึ งมงาย
ไร้เหตุผลนั้น ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่รู้หลักกฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง
พอเห็นชาวพุทธบางคน ไหว้กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ
ก็เลยเหมาเอาว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คนงมงาย
แท้จริงเป็นเพราะคนเหล่านั้นยังเข้าไม่ถึงคำสอนของศาสนา จึงต้องอาศัยสิ่งอื่น ๆ
เข้าช่วย เผื่อเหนียว ไว้ก่อน ก็เช่นนั้นเอง