พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD002
เรื่องของการถือฤกษ์งามยามดี
เป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับชาวบ้าน
ที่ยังไม่ถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า มักจะคล้อยตามหรือเชื่อถือตาม ๆ กันมา
โดยปราศจากเหตุผล และ
ตราบใดที่คนเรายังไม่มีความเชื่อมันในกฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนาอย่างหนักแน่นแล้ว ก็ยากที่จะเลิกละได้
พระพุทธองค์ทรงวางหลักการถือฤกษ์ยามไว้ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! คนเหล่าใดทำความดี ด้วยกาย วาจา ด้วยใจ ในเวลาเช้า
เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดี ของคนเหล่านั้น
คนเหล่าใดทำความดีด้วยกาย วาจา และใจ
ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของคนเหล่านั้น
คนเหล่าใดทำความดีด้วยกาย วาจา และใจ
ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของคนเหล่านั้น
คนทั้งหลายปฏิบัติชอบในเวลาใด
เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดี
สุปุพพัณหสูตร ๒๐/๓๓๕
แต่ทั้งนี้ จะต้องมีปัญญากำกับด้วย
คือ ต้องประกอบด้วยกาลเทศะ และบุคคลร่วมด้วย ถ้าทำกรรมใดโดยขาดปัญญา กาละและเทศะ
เช่น หว่านข้าวในทะเล หรือทำนาหน้าแล้ง มันก็ย่อมจะเหนื่อยเปล่า
และเสียของเปล่าแน่นอน
และสิ่งประกอบสำคัญ ที่ไม่ควรลืมคืออกุศลกรรมเก่า
จะตามมาให้ผลในขณะที่เรากำลังทำความดี ให้เราต้องได้รับทุกข์
แต่เหตุที่เราทำกรรมดีไว้ ผลก็จะต้องดีเสมอไป ไม่กลับกลายเป็นอื่น
เรื่องกฎแห่งกรรม เป็นเรื่องลึกซึ้งและซับซ้อน ค่อนข้างจะเข้าใจยาก
ควรที่จะศึกษาให้แจ่มแจ้ง มิฉะนั้นอาจเห็นผิดว่า คนทำดีได้ชั่วก็มี คนทำชั่วได้ดีก็มี ซึ่ง ตามกฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนาแล้ว
ไม่มีทางจะเป็นไปได้
แต่เพราะการให้ผลของกรรม บางครั้งต้องข้ามภพชาติ จึงทำให้ผู้อ่อนปัญญาเห็นผิดไป
เพราะไปเพ่งแต่กรรมในปัจจุบัน ไม่เห็นกรรมชั่วในอดีต ที่กำลังให้ผลอยู่ในปัจจุบัน
ในฐานะชาวพุทธที่ดี ก็ควรจะดำเนินตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะเป็นแนวคำสอนของผู้รู้แจ้งโลกทุกโลกแล้ว ไม่มีทางที่จะผิดพลาดได้
อย่าได้ฝากความหวังไว้กับหมอดู ซึ่งมักจะคู่กับหมอเดา จะพาให้เศร้าใจ.