ปีที่ 2 ฉบับที่ 781 ประจำวันวันพฤหัสบดีที่ 2 เดือนกันยาน พ.ศ. 2542 |
เผยพระปลัดสุธรรมพร้อมคณะ 4 รูป ไม่อยู่วัด ไปสุพรรณบุรี ไม่เดินทางมาให้ปากคำตามหมายเรียกของตำรวจ ศิษย์วัดระบุชัด พระ-เณร ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องให้ปากคำก็ได้ "สนธยา โพธิ์แดง" สวมหมัดสื่อมวลชนลงข่าวบิดเบือน เผยวัดกลับสู่สภาพปกติเมื่อไหร่ เชิญสื่อเข้าทัศนาจรได้เต็มที่ ด้าน "สมเด็จเกี่ยว" งดพูดเรื่อง ธรรมกาย
ผู้สื่อชข่าวรายงานว่า จากกรณีพนักงานสืบสวนสอบสวนดคีวัดพระธรรมกาย ได้นัดพระผู้ใกล้ชิด เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้แก่ พระปลัดสุธรรม สุธัมโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย พระวิษณุ ปัญญาทีโป พระสุวิทย์ สุวิชาโภ พระสุวิทย์ วิชเชสโก และนายมัยฤทธิ์ ปิตะวณิช ผู้โอนเงิน ให้นายถาวร พรหมถาวร ศิษย์ใกล้ชิดเจ้าอาวาส วัดพระ ธรรมกาย ที่ตกเป็นผู้ต้องหา ไปซื้อที่ดิน จังหวัดพิจิตร มาให้ปากคำที่กองบังคับการตำรวจตระเวณชายแดน ภาค 1 จังหวัดปทุมธานี เมื่อเวลา 13.00 น. ของเมื่อวานนี้ (1ก.ย.) นั้น ปรากฎว่า ไม่มีผู้ใดเดินทางไปตามหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่วัดพระธรรมกาย ให้ความเห็นว่า เป็นเพราะ พระภิกษุสงฆ์ และสามเณร ได้รับความ คุ้มครองตาม กฎหมาย โดยกฎหมายอนุญาตให้ พระภิกษุและสามเณร ไม่ต้องเดินทางไป เป็นพยานในคดีก็ได้ หรือถ้าเดินทางไป จะไม่ให้ปากคำก็ได้เช่นกัน ดังนั้น จึงไม่มีใครไปตามหมายนัด ดังกล่าว
ในวันเดียวกัน นายสนธยา โพธิ์แดง ทนายความวัดพระธรรมกาย ได้เดินทางไปที่ เวลาประมาณ 14.00 น. และแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบว่า พระลูกวัดทั้ง 4 รูป ยังไม่ได้ เดินทางกลับวัดพระธรรมกาย ตั้งแต่วันที่ตำรวจเข้าไปค้นวัดในคืนวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา มีเพียงพระปลัดสุธรรม เท่านั้นที่ติดต่อมา โดยแจ้งว่า อยู่ที่ จ.สุพรรณบุรี
อย่างไร ก็ตาม นายสนธยา ได้พาพยานอีก 2 คน คือน.ส.พรทิพย์ และ น.ส.พรรณทิพย์ พิริยะโยธิน มาให้ปากคำที่กองปราบปรามแทน ซึ่งพยานทั้งสองเป็น ผู้แสดงเจตนา ยกที่ดินให้วัดพระธรรมกาย
นายสนธยากล่าว โดยส่วนตวแล้ว ตนไม่รู้จักกับพระทั้ง 4 รูปแต่อย่างใด ที่รู้จักกันเพราะว่า ได้รับการติดต่อจากทางพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินการเรียกตัวมาเป็นพยาน ซึ่งตนคิดว่า พระทั้ง 4 รูป ยังสังกัดวัดพระธรรมกาย และตามกฎระเบียบของวัด พระทั้งหมดภายในวัด ถ้าจะเดินทางออกนอกวัด เกิน 5 วัน จะต้องแจ้งให้พระผู้ดูแลทราบ
ในคดีนี้ ตนได้ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนอย่างเต็มที่ ในการติดตามพยานปากต่างๆ มาให้ทางพนักงานสอบสวนให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับ ดุลยพินิจของ พนักงานสอบสวนด้วยว่า ระยะเวลาในการสรุปสำนวนมีเพียงใด และตนเป็นเพียงผู้อาาสประสานเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคำครหาว่า พยานทางฝ่ายวัด หลบหนีการให้ปากคำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการที่ตำรวจออกหมายจับกุมนั้น คิดว่า เป็นการกลั่นแกล้งกันหรือไม่ นายสนธยาตอบว่า ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนเรื่องการปิดกั้นสื่อมวลชน ไม่ให้เข้าไปในวัดนั้น นายสนธยากล่าวว่า ตนขอย้อนถามกลับไปยังสื่อมวลชนด้วยว่า ทางสื่อทำอะไรกับมาบ้าง พวกเราไม่ได้เป็นศัตรูกับสื่อ
แต่สื่อมีการลงข่าวโจมตีทางวัดมาตลอด มีการบิดเบือนข้อมูล และยังกล่าวหาว่า ทางวัดใช้คำสอนบิดเบือนพระธรรมวินัย ตนเองก็ไม่รู้ว่า สื่อนั้นรู้หรือไม่ว่า พระวินัยที่ ทางวัด สอนผิดข้อไหน ผิดอย่างไร การปฏิบัติที่เคร่งครัดของวัดพระธรรมกาย ทำให้คนทั่วไปมองดูว่า วัดพระธรรมกายเป็นอีกนิกายหนึ่ง หรืออย่างไร ส่วนตนแล้ว ขอยืนยันว่า ยังเป็นพุทธ แต่เป็นพุทธอีกรูปแบบหรือเปล่า ให้สื่อมวลชนช่วยตรวจสอบด้วย
ส่วนเรื่องการห้ามเข้าวัดนั้น ก็เนื่องจากได้รับแจ้งจากทางพนักงานสอบสวนว่า การปล่อยให้สื่อเข้าไปในวัดนั้น จะทำให้การทำงานไม่สะดวก ต่อทางพนักงานสอบสวน อีกทั้งตนยังเห็นว่า จะทำให้การควบคุม เป็นไปด้วยความลำบาก เพราะไม่สามารถควบคุมได้
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ปกติทางวัดต่างๆ ทั่วประเทศเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไป สามารถเดินทางเข้าวัดได้อย่างเสรี แต่ทางวัดพระธรรมกาย ทำไมถึงมีการปิดกั้นเฉพาะกลุ่ม นายสนธยาตอบว่า เนื่องจากทางวัดกำลังมีปัญหา คือ ถูกกล่าวหาก็ต้องปิดกั้น เพื่อปกป้องตนเองไว้ก่อน หลังจากที่ได้มีการสะสางปัญหาเสร็จทุกอย่าง ก็จะกลับเป็นปกติเหมือนเดิม และโดยส่วนตัวแล้ว ตนเพิ่งเข้ามาทำงานกับทางวัด ได้เพียง 3 อาทิตย์ จึงไม่สามารถตอบปัญหาที่มีมานานกว่า 10 เดือนได้ และตนเอง ก็ไม่เคยนับถือลัทธิ หรือนิกายมาก่อน ที่ทำไป ก็เพราะว่า เป็นวิชาชีพของตน
ด้านสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ซึ่งเดินทางมาเป็นประธานในพิธีทำบุญ ในโอกาสวันสถาปนากองปราบปราม ครบ 51 ปี ไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ เกี่ยวกับวัด พระธรรม กาย ซึ่งผู้สื่อข่าวได้พยายามถามว่า พระอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ออกไปที่อื่น ผิดหรือไม่ การแยกนิกายดีหรือไม่ แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์ พูดเพียงสั้น ๆ ว่า "ให้ทำดี" และรดน้ำมนต์ ให้ ผู้สื่อข่าว
ส่วนสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า ตามที่นายผ่อง เล่งอี้ กับพวกรวม 73 คน ซึ่งเป็นผู้ร้องได้ให้นายสนธยา โพธิ์แดง ทนายความผู้รับมอบ อำนาจ ยื่นคำร้อง ผ่านวัดพระธรรมกายต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า
การกระทำของกระทรวงศึกษาธิการ
กรมการศาสนา
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และกรมประชาสัมพันธ์
ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ
ที่ขัดขวางมิให้มีการปฏิบัติศาสนบัญญัติ
ของวัด พระธรรมกาย
และปฏิบัติตามแนวทาง
ตามความเชื่อของผู้ร้องกับพวก
และวัดพระธรรมกายซึ่งมีเจ้าอาวาส
รองเจ้าอาวาส พระภิกษุ สามเณร
อุบาสก อุบาสิกา
และประชาชนทั่วไป
อันเป็นการรอนสิทธิ์
ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
และผู้ร้อง ขอให้มีคำสั่ง ให้รัฐ
องค์กรของรัฐ
และผู้อื่นหยุดกระทำการใด ๆ
อันเป็นการรอนสิทธิ์ข
องผู้ร้องกับพวก
และวัดพระธรรมกายนั้น
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา นายสนธยา ได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องแล้ว โดยอ้างว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องผ่านทางวัดพระธรรมกาย โดยเข้าใจว่า วัดพระธรรมกายเป็นองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อได้ตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าวัดพระธรรมกายมิใช่องค์กร ตามรัฐธรรมนูญ จึงขอถอนคำร้องไปเสนอประธานรัฐสภา เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยต่อไป ในเรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว อนุญาตให้ถอนคำร้องได้