ปีที่ 2 ฉบับที่ 644 ประจำวันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2542
วิวาทะ
เมืองไทยเมืองพุทธ ทำไมมีแต่ข่าวฆ่ากัน
มาลัยนี้บูชาพระฤานักร้อง
หัวใจของพระพุทธศาสนามีเป้าหมายหลักเพื่อให้มนุษย์ละลดความเห็นแก่ตัว ความยึดมั่นถือมั่น ความเป็นตัวเป็นตนให้น้อยลง
หลายคนอาจจะเคยตั้งคำถามว่า ในเมื่อเมืองไทย ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมือง แห่งพระพุทธศาสนา ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในยุคนี้
เหตุใดสังคมบ้านเรา จึงมีความสับสนวุ่นวาย คนในสังคมบ้านนี้ เมืองนี้ กลับดำรงชีวิต สวนทางกับข้อห้าม ทางพระพุทธศาสนา อย่างสิ้นเชิง มาก มีปัญหาร้อยแปด ยาเสพติด การข่มขืนล่วงเกินทางเพศ การเอารัดเอาเปรียบ ข้าราชการฉ้อฉล คอรัปชั่น
โรงแรมม่านรูด สิ่งบันเทิง ยั่วยวนกิเลส ตัณหา ราคะ เบ่งบานเติบใหญ่ หลายแห่งมีสถานที่ดังกล่าว เปิดให้บริการเคียงข้างวัด สร้างตึก อาคาร สูงบดบัง วัดวาอาราม รองความต้องการ ของมนุษย์ สั่งสม อวิชชา ความโง่งม ให้กับประชาชนคนไทย
เมืองพุทธแห่งนี้ ทุกวันมีแต่ข่าวฆ่ากันตาย แววตาแห่งความเอื้ออาทร มองเพื่อนมนุษย์ด้วยความเมตตา นับวันจะจางหายไป จากจิตใจของ ผู้คนเมืองนี้ไปเสียแล้ว
....เรากำลังหันหลังให้กับพระพุทธศาสนา ทางแห่งความร่มเย็น...
พุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่ศาสตร์วิชาการ ไม่ได้เป็นลัทธิ เป็นศาสนาเดียวที่อุบัติขึ้นในโลก โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัญญัติไว้อย่าง ชัดเจนว่า ศาสนาพุทธเรานี้ ไม่มีศาสดาเป็นใหญ่
ผิดแผกไปจากศาสนาอื่นๆ ที่จุดสูงสุดของเขาอยู่ที่องค์ศาสดานั้น คำสั่งสอนของศาสนา หลายศาสนา เป็นคำสั่งสอนแบบ กำปั้นทุบดิน
ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไปเฝ้าพระเจ้า
ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไปเป็นสาวกพระศาสดา
ศาสดาเป็นผู้สร้างมนุษย์
แล้วทำไมศาสดาท่านไม่สร้างแต่คนดีๆ โลกของเราจะมีแต่สันติสุข ไร้การสะสมอาวุธร้ายแรง ไม่มีสงคราม ไม่มีชาติประเทศไหน เอารัดเอาเปรียบ ก้าวก่ายกิจการบ้านเมืองอื่น
ทำไมศาสนาผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน เป็นผู้สร้างมนุษย์ชาติ จึงไม่ทำเช่นนั้น
จะเป็นได้ว่า ศาสนาอื่นอุบัติขึ้นท่ามกลางสงคราม ความยากลำบาก ความขัดแย้งของสังคม
แต่พุทธศาสนาอุบัติขึ้นจากเจ้าชายสิทธัตถะ หากพระองค์หลงใหลใน ลาภยศ แก้วแหวนเงินทอง อำนาจ ความสุขจอมปลอม พระองค์ก็จะ เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
ศาสดาของเราท่านทรงปฏิเสธความสุขจอมปลอมดังว่า และยังอุบัติขึ้นท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ ความเพียบพร้อม ในระดับชั้น ความสุข ทางโลกีย์
เมื่อพระองค์ตรัสรู้ พบกับสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ เป็นมหาสมบัติ ก็ทรงมีพระเมตตานำ มหาสมบัติเหล่านั้น มาแจกจ่าย เผยแผ่ธรรมะ เพื่อช่วยเหลือ เพื่อนมนุษย์ ให้พ้นจากวังวนวัฏสงสาร
ที่น่าอัศจรรย์กว่าศาสนาอื่น ก็ตรงที่พระองค์ทรงทำลาย "อัตตา" แห่งตน ในฐานะพระศาสดา และมอบพระธรรมวินัย เป็นตัวแทนพระองค์ (พระธรรมวินัยนะครับ ไม่ใช่พระไตรปิฎก) ซึ่งศาสนาอื่นไม่ได้บัญญัติไว้อย่างนี้
ตรงกันข้ามกลับส่งเสริมให้สาวกเคารพนนับถือตนเป็นสำคัญ เป็นเอกอุ แม้คำสอนใดที่สาวกคับข้องใจ ก็ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจ เห็นแจ้ง แทงตลอดได้ กลับอ้างว่าเป็นเรื่องของศาสดานั้นไปเสีย
การทำลาย "อัตตา" ของพระพุทธเจ้านี้ หมายถึงการทำลายสังขารกายมนุษย์หยาบ แล้วขึ้นไปเสวยสุข ดินแดนแห่งพระนิพพาน
จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาของเราใช้หลัก "อนัตตา" เป็นเครื่องมือในการก้าวกระโดดไปสู่พระนิพพาน ดังนั้น ผู้ที่เห็นนิพพานคือ ความว่างเปล่า ไร้แก่นสาร สาระ จึงเป็นการตู่พระพุทธศาสนา อย่างโง่งมที่สุด
พระพุทธศาสนาของเรา มีหลักให้มนุษย์ฝึกจิต ชำระจิตให้ขาวใสสะอาด ว่างจากกองกิเลสน้อยใหญ่
ฝึกจิตอย่างไรให้ขาวสะอาด ก็ต้องเจริญศีล สมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นแจ้งตามหลักของพระพุทธองค์นั่นเอง
แม้เมืองไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ แต่กลับมีคำถามมากมาย ตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไป ของผู้คนในสังคมนี้
ทำไมจึงทำตัวสวนทางกับหลักของพระพุทธศาสนา..?
คำตอบก็คือ เราเป็นพุทธกันแต่ปาก นับถือศาสนากัน แต่เปลือกกระพี้ มหาวิทยาลัยสงฆ์เอง ก็ฝึกให้พระปริยัติเป็นสำคัญ แข่งกันเรียน แข่งกันสอบ ให้ได้ประโยคสูงๆ
โดยหลงลืมแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา นิพพานํ ปรมํ สุขํ จึงเป็นความสุขอยู่ในใบลาน ในคัมภีร์พระไตรปิฎก
ผมจึงไม่แปลกใจที่เห็นนักการศาสนาหลายคน บวชเรียนใช้ชีวิตเป็นเพศสมณะมากกว่า 20 ปี แสดงความเห็นทางศาสนา จากการเรียนรู้ ในตำรับตำราเท่านั้น
เขาเหล่านั้นจะเก่ง มีปัญญาสมองท่องจำ เหมือนนกแก้วนกขุนทอง สอบได้ถึง ป.ธ. 9 ก็ไม่อาจเชื่อถือได้ว่า คำอธิบายชี้นำ ทางพุทธศาสนา ของคนเหล่านี้ ถูกต้อง Perfect
เพราะคนเหล่านั้น จำตำรามาสั่งสอนผู้อื่น จึงมีคำอธิบายทางศาสนา ที่ไม่ได้มาจากความเข้าใจของตนเอง ที่ได้ลงมือปฏิบัติเห็นมรรค เห็นผลจริงตามหลักศาสนา
...เป็นเพียงสัญญา การรู้จำจากตำราทั้งสิ้น
ผมย้ำว่า ศาสนาพุทธ คือศาสนาที่เน้นหนักให้มนุษย์ชำระจิต ฝึกจิต การที่เมืองพุทธอย่างเรา มีวิถีชีวิตสวนกระแสศาสนา ก็เพราะว่า เรามุ่งเน้นพัฒนาวัตถุ จับต้องสิ่งที่เห็นด้วยตาเนื้อ รูปธรรมเป็นฝ่ายใหญ่
ขณะที่เรื่องของนามธรรม ที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ พิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ กลายเป็นเรื่องที่เหลว บาปกรรม ชาตินี้ ชาติหน้า อดีตชาติ สวรรค์ นรก งมงาย
เราเอาวิชาโลเทคทางโลกมาจับเรื่องจิต เรื่องวิญญาณกับศาสนาพุทธได้อย่างไร...?
การพัฒนาของชาวโลกเน้นที่วัตถุ พัฒนาหวังเป็นเจ้าจักรวาล แต่กลับละเลยพัฒนาจิต เมื่อวัตถุเจริญ เกินความควบคุมของจิต ที่ไร้การ พัฒนาแล้ว จึงเกิดภาพเกิดคำถามที่ว่า เมืองไทยเมืองพุทธ ทำไมมีแต่ข่าวฆ่ากันตาย
วัดพระธรรมกายให้คนเข้าวัดไปทำบุญ มีการเรี่ยไรเงินทอง ญาติโยมศรัทธาเจ้าอาวาส ถวายที่ดินให้ จึงถูกมองว่า วัดดูดทรัพย์ วัดสะสม วัดฉาว เจ้าอาวาสละโมภ
ภาพเมื่อปี 2513 พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) มีเศษฟางเศษหญ้าเป็นอาสนะ นั่งอยู่บนคันนา คลุกโคลนดิน วัดพระธรรมกาย ปี 2513 จึงเปรียบได้กับ "ดิน" จวบตน 2542 นี่แหละครับ จึงเป็น "ดาว" จรัสแสงให้พวกบ้าขี้อิจฉากล่าวหากันมันปากมัน...(!)
แล้วไอ้คนที่ออกมาด่า มาว่า ถามหน่อยเถิด เคยทำบุญกับเขาบ้างหรือไม่ การเพ่งเล็งดังกล่าว จึงมาจากความรู้สึกขั้นพื้นฐาน นิสัยสันดาน ของผู้กล่าวหาเป็นสำคัญ
วันพระแท้ๆ พวงมาลัย 3 พวง 10 บาท เด็กด้อยโอกาสยากจน นำมาขายตามสี่แยกไฟแดง เสี่ยงต่อภัยบนท้องถนน มาเฟียรีดไถ ทั้งใน เครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ เสียงต่อสายตาหยามเหยียดผู้รากมากมี
เขาไม่ซื้อดอกครับ เด็นน้อยพวงมาลัย เพราะไม่รูจะไปบูชาพระที่ไหน ส่วนมากเขาจะซื้อพวงมาลัยแห้ง พวงละ 500-2,000 หรือ 10,000 บาท คล้องคอนักร้องสาว เสียงร้องเหมือนควายออกลูก สั่งวิสกี้นอกขวดละหลายพันบาท ดื่มด่ำ ทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านราชบัณฑิตเสฐียรพงษ์ วรรณปก เห็นอย่างที่ผมเห็นหรือไม่ครับ ว.4 ทางน้ำกันได้นะครับ
โซตัส