ปีที่ 2 ฉบับที่ 639 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2542
วิวาทะ
สงสารสถาบันสงฆ์ไทย สงสารแผ่นดินไทย
แค้นกันแต่ชาติใดหนอ??
เหนื่อยใจจริงๆ ครับ กับพวกรู้มากยากนาน รู้น้อยก็พลอยรำคาญ นักวิชาการศาสนา ชักลากพระพุทธศาสนาเข้าป่าลงเหว
ลุงเสฐียรพงษ์ ผู้เฒ่า ส.ศิวรักษ์ สื่อมวลชนใจหยาบ ไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นกับคนกลุ่มนี้ จึงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงนก เสียงกา อย่าว่าแต่เสียงนก เสียงกาเลยครับ
เสียงวินิจฉัยจากคณะกรรมการมหาเถรสมาคม ตัดสินวัดพระธรรมกาย โดยให้วัดนำคำแนะนำจากพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ไปปฏิบัติ 4 ข้อ ถือเป็นข้อยุติแห่งปัญหาวิวาทะที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังเข้าสู่ขั้นตอน การน้อมนำมาปฏิบัติของวัดพระธรรมกาย
แต่คนกลุ่มนี้ กลับตะแบงลบหลู่ด่าทอ ปฏิเสธคำวินิจฉัยของมหาเถรสมาคม ซึ่งมีสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นองค์ประธาน อย่างไม่ เกรงกลัวต่อบาปกรรม
ผู้เฒ่า ส.ศิวรักษ์ ลากไม้เท้าผุๆๆๆ พอกับสังขารท่านผ่านจอแก้ว ร่วมกับด๊อกเตอร์เจิม ตามหาแก่นธรรม ... ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ฟุ้งอาสาเป็นทนายแก้ต่าง ปกป้องพระพุทธศาสนาให้ผุดผ่อง ไปๆ มาๆ ผู้เฒ่าไม้เท้าผุก็ลุแก่โทสะจนได้
ลุโทสะอย่างไรหรือครับ ก็ผู้เฒ่าไม้เท้าผุ ก่นด่ามหาเถรสมาคม ไม่มีชิ้นดี
มีแต่พระแก่ อายุ 80 ปี อืดอาด รับเงิน เห็นแก่ปัจจัย จึงตัดสินวัดพระธรรมกายออกมาบิดเบี้ยว
ส.ศิวรักษ์ พ่นน้ำลายเหม็นอวดภูมิรู้ภูมิธรรม สอนพระสังฆราชว่า ควรจับท่านวางไว้บนหิ้ง ให้คนกราบไหว้บูชาพอแล้ว
"พระที่เป็นสมเด็จ มีภูมิหลังเป็นมาอย่างไร ก็แค่ลูกชาวบ้านธรรม พอได้เป็นสมเด็จ ก็นึกว่า ข้านี้ใหญ่โตเหลือเกิน ใครแตะไม่ได้"
ความคิดอย่างนี้ ไม่แน่ใจว่า มาจากที่สูงๆ หรือไม่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่คนวัยไม้ใกล้ฝั่งอย่าง ส.ศิวรักษ์ จะมีความเห็นความคิดอย่างนี้ ด่าพระด่าเจ้า เสมือนสุนัขเฝ้าบ้าน หรือข้าทาสในเรือนเบี้ย
...ผมสงสารแผ่นดินไทย สงสารสถาบันสงฆ์ไทย สงสารและเศร้าใจกับความรู้สึกนึกคิดที่ คนอายุคราวบิดาผม มีความคิดอย่างนี้...
บทบาทของ ส.ศิวรักษ์ พระสงฆ์องค์เจ้า และคนทั่วไปต่างรู้ดีว่า ...
ท่านรักพุทธศาสนาอย่างไร?
รักสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร?
รักผืนแผ่นดินบ้านเกิดอย่างไร?
คงไม่ต้องลงรายละเอียดอะไรให้มากไปกว่านี้ ผมเชื่อว่า ไม้ใกล้ฝั่งอย่าง ส.ศิวรักษ์ ยังมีสติรู้จำดีอยู่ว่า ตนเองสร้างกรรมดี กรรมไม่ดี ไว้อย่างไรบ้าง...
มส. ท่านตัดสินเด็ดขาดกับวัดพระธรรมกายไปแล้ว เมื่อวันที่ 19 มีนาคม
แต่พวกท่าน ส.ศิวรักษ์ เสฐียรพงษ์ ด๊อกเตอร์เจิม กลับนำมาเป็นประเด็นวิวาทะ ตามหาแก่นธรรม แก่นท้วย ชนิดไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมก็ไม่ทราบว่า พวกท่านตามหาธรรมฝ่ายไหน อกุศลธรรม หรือกุศลธรรม...
ความคิดหลังความผิดหวังของนักวิชาการศาสนา กู่ก้องประกาศล้มล้างวัดพระธรรมกาย เปลื้องสบง จีวรพระเจ้า ต้องคว้าน้ำเหลว ปูดโปน ข้อมูลเท็จ-จริง ให้มันยุ่งเหยิง จนไม่รู้ว่า ความผิดถูกของสังคมมันอยู่ตรงไหน
คำตัดสินของมส. ก็อยุติธรรม ไม่ถูกใจพวกท่าน
เสฐียรพงษ์เคยเขียนบทความไว้ พร้อมกับชักภาพกับพระเถระแห่งวัดสระเกศ มีความว่า "อยากเห็นพระพุทธศาสนาผุดผ่อง ต้องใจเย็นๆๆ.."
ผมก็นึกว่า ท่านจะใจเย็นๆๆ ดังงานเขียนของท่าน แต่ท่านกลับร้อนกายร้อนใจ จนออกอาการผิดหวังเอาเสียมากๆ
ราชบัณฑิตอย่างท่านมีความเพียรสูง คิดอย่างไรต้องได้อย่างนั้น ถึงขึ้นต้องแก้ พ.ร.บ.สงฆ์ ก็เอา
ส่วน ส.ศิวรักษ์ไม่ใกล้ฝั่ง ไอเดียกระฉูดเปรี้ยงออกมาว่า ต้องปลดบอร์ดมส. เอาพระหนุ่มไฟแรงเข้ามาทำงานร่วมกับฆราวาส ถ้าเป็น ฆราวาสหัวหงอกๆ อย่างพวกท่าน ผมว่า มันยิ่งจะยุ่งกันไปใหญ่
เพราะพวกท่านเร่งร้อนเหลือเกิน จะทำ พ.ร.บ.สงฆ์ ให้เหมือนกฎหมายล้มละลายกันหรือครับ ฟ้องเร็ว ยึดเร็ว ตัดสินเร็ว ก็เจ๊งกันทั้ง ประเทศไงเพ่
มส.ท่านบอกแล้วว่า จะไม่นำเรื่องปัญหาวัดพระธรรมกาย มาพิจารณาอีก เพราะได้ตัดสินไปแล้ว หลังคำตัดสินไม่กี่วัน ก็มีขบวนการ ป่วนเมืองปล่อยข่าวมส. จะนำเรื่องกลับมาพิจารณาใหม่
วานนี้ ท่านรมต. ตูมตาม เฮีย "อาคม เอ่งฉ้วน" ก็ออกมาพูดแล้วว่า การตัดสินของมส.ถือว่า สิ้นสุดแล้ว
ผมว่า ทางที่ดี เสฐียรพงษ์ และ ส.ศิวรักษ์ ด๊อกเตอร์เจิม น่าจะหาไม้แคะหู แคะตา เพื่อขยายทวารทั้ง 5 เปิดกว้าง รับฟังเหตุผล และความเป็น ไปของสังคมบ้าง เรื่องมันจะได้จบๆ กันเสียที
หรือไม่ก็เตรียมไปคำนวณค่าราคาแห่งเกียรติยศที่ฟ้องร้อง "พิมพ์ไทย" 58 ล้าน เป็นตัวเลขที่ถูกต้องพอเพียง ต่อศักดิ์ศรีราชบัณฑิต อย่าง ท่านหรือไม่ คำนวณให้ดีๆ นะ ครับ คิดมาคิดไป หากมีใจเป็นธรรม อาจพบว่า มีราคาค่าเพียงแค่ "อนัตตา" ไง
โซตัส