ปีที่ 2 ฉบับที่ 582 วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2542 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล
นักจิตวิทยาวิเคราะห์เจาะลึก บัณฑิตหางด้วน อิ่มรสธรรม-เสพกาม |
วัดวันวาน กับวัดวันนี้ ความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ประเพณีไทยนั้นยกย่องให้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ส่วนหญิงเป็นช้างท้างหลัง แต่ปัจจุบัน โลกของเรา ก้าวย่างสู่ กระแสโลกาภิวัฒน์ อันหญิงชาย มีศักดิ์และสิทธิ์ เท่าเทียมกันทุกประการ
ผมขอพูดย้อนยุคถึงวัฒนธรรมแบบไทย สมัยปู่ย่าตาทวด ที่นิยมนำเด็กหนุ่ม บวชบรรพชา หรืออุปสมบท วัดสมัยนั้น ไม่ได้มีบทบาทหน้าที่ เพียงกระกอบศาสนพิธี เท่านั้น แต่วัดรวมถึงเนื้อนาบุญของชาวพุทธ พระสงฆ์องค์เจ้า ท่านได้ทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ เป็นทั้งครูบาอาจารย์ อบรมสั่งสอนให้ความรู้ ทั้งในด้านพระพุทธศาสนา และวิชาการทางโลก ตามความเหมาะสม
คนโบราณนิยมเรียกชายไทยที่บวชเรียนแล้วว่า คนสุก ส่วนชายที่ยังไม่ได้บวชเรียนเป็น คนดิบ ความหมายของคนสุก หมายถึง ผู้รู้มากด้วยปัญญา เป็นบุคคลที่รู้บาปบุญคุณโทษ เชื่อในหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างไม่ต้องสงสัย คลางแคลงใจ ดังนั้น บุคคลพวกนี้ จึงได้รับความ ไว้วางใจ จากสังคม เจริญเติบใหญ่ เป็นเจ้าคน นายคน ในเวลาต่อมา
สังคมไทยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บทบาทหน้าที่ของวัดนี้ก็เปลี่ยนไป ทั้งในทางที่ดีและในทางที่เสื่อมถอย
ชายไทยที่บวชเรียน หรือได้ชื่อว่า คนสุก หลายคนได้รับคำชื่นชม ให้เป็นนักปรัชญา ทางด้าน พระพุทธศาสนา เป็นมหาบัณฑิต ผู้ล้ำเลิศ ด้วยคุณธรรม
วันนี้สังคมได้พิสูจน์แล้วว่า บัณฑิตผู้นี้เป็น คนสุก หรือ คนสุข นิยามคำว่า สุข ในที่นี้ สังคมได้ตราแล้วว่า เขาไม่ได้สุขจาก รสพระธรรม คำสั่งสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้แต่น้อย กลับกัน เขาสุขในการร่ำสุราเมรัย สุขในกามคุณ ให้คุณของกามเป็นใหญ่ สุขในการให้ร้าย ป้ายสี พระสงฆ์องค์เจ้า
ผมไม่บังอาจพูดได้ว่า ชายผู้นี้เป็น มหาบัณฑิตหางด้วน หลงใหลได้ปลื้มในกามคุณ ที่พระศาสดาของเรา ชี้ชัดไว้ว่า มีโทษมากกว่าคุณ
ผมไม่อาจพูดได้ว่า ชายผู้นี้ เป็นปฏิปักษ์ ทรยศต่อพระผู้มีพระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาธิคุณและพระบริสุทธิคุณ
นักจิตวิทยาคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตถึงผู้มีปัญญา ในอดีตเคยเป็นนักบวช บวชเรียนทางธรรม ตั้งแต่เป็นสามเณร วัดดีคืนดี ก็ลุแก่กองกิเลส ยอมตนตกเป็น ข้าทาสรับใช้ พญามารโดยดุษฎี
มีข้อคิดจากนักจิตวิทยาผู้นี้น่าสนใจมาก อันมีนัยยะสำคัญคือ พุทธศาสนามี กฏเกณฑ์ ละเอียดอ่อน มีลักษณะของการห้ามไม่ให้ สัตว์มนุษย์ กระทำหรือ นิยมชมชอบ กับความสุขที่ไม่จีรัง ยั่งยืน ตามหลักของศาสนานั้น หมายถึง กามคุณทั้งหลาย
แค่ศีล 5 ข้อ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ หากมนุษยชาติปฏิบัติตามนี้ได้ โลกของเราจะมีความสุขถ้วนหน้า ไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีใคร ใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งกันและกัน ไม่มีโจร ไม่มีหัวขโมย ไม่มีใครคิดผิดต่อลูกเมียใคร
หากมองในแง่ของจิตวิทยา ผู้ที่บวชเรียนแล้ว ต้องพ่ายแพ้แก่มารกิเลส หันหลังให้กับพระธรรม อาจมีเหตุผล หลายอย่าง มาประกอบ
ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
ความอยากรู้ อยากเห็นในสิ่งที่ตนต้องอยู่ในกรอบของพุทธศาสนา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ฐานทางจิตใจให้เข้ากับสังคมหมู่มาก ที่ยังฝักใฝ่ในกามคุณ โดยเฉพาะ เรื่องความต้องการเพศ ที่ถูกเก็บกดมานาน
นักจิตวิทยาเขาพูดไว้อย่างนี้
โซตัส