ปีที่ 2 ฉบับที่ 581 วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2542 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล
ถูกโจมตีมากมายเหลือเกิน กับการสร้างพระพุทธรูป ของวัดพระธรรมกาย ว่าผิดเพี้ยนไปจาก พระลักษณะของพระพุทธรูป โดยทั่วไป หาว่า โป๊บ้าง เปลือยบ้าง ว่ากันไปต่างๆ นาๆ จนเป็นผลทำให้พุทธศาสนิกชน เกิดความความเข้าใจผิด
เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ ต้องให้ผู้ที่รู้จริงในงานศิลปของพระพุทธรูป ณ ที่นี้ อาจารย์ เกษมสุข ภมรสถิตย์ นักเจดีย์วิทยา, วิทยากร ผู้เชี่ยวชาญ ด้านศาสนาและปรัชญา จะมาเป็นผู้ไขความกระจ่าง จะได้เลิกสงสัยกันเสียที...
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปรัชญา
ที่ประพฤติปฏิบัติได้จริง
สัมผัสความสัมฤทธิ์ผล จากการเข้าถึงได้จริง
จึงทำให้เป็นศาสนา
ที่ถูกนำเข้าไปประยุกต์
กับวัฒนธรรม ศิลปกรรม
และสถาปัตยกรรมท้องถิ่น
อยู่ตลอดเวลา
เป็นเหตุให้สัญลักษณ์
ที่เป็นรูปธรรม ของพระพุทธศาสนา
มีความหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณะของโบสถ์
วิหาร วัด เจดีย์ และ พระพุทธรูป
ที่มีทั้งห่มจีวรสีแดง สีเหลือง
สีไม้ สีกรัก พระพุทธรูป
เปิดหน้าอก เช่น
พระพุทธรูปของจีน พระพุทธรูปสวม
จีวรที่ดูแนบเนื้อ
เช่นของศรีลังกา
ของไทยสมัยสุโขทัย
โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งพระพุทธรูปปางลีลา
หรือแม้พระพุทธรูป
ที่ดูเหมือนจะไม่ใส่จีวรเลย
เพราะเห็น รอยเพียงจีวรขอบแขน
ซึ่งก็มีอยู่ข้างเดียว คือ
พระพุทธรูปยุคต้น ของแคว้นมถุรา
ไม่เพียงเท่านั้น แม้พระพักตร์ก็แปรเปลี่ยน ไปตามใบหน้าของผู้คนในท้องถิ่น ไม่ว่า จะเป็นนัยน์ตา รูปหน้า และริมฝีปาก ล้วนโน้มเอียง ไปในทางท้องถิ่นทั้งสิ้น จนทำให้สามารถรู้ได้ทันทีที่เห็นว่า พระพุทธรูปนั้นๆ เดินทางมาจากส่วนไหนของโลก ส่วนพระเศียร อันได้แก่ ส่วนที่เรียกว่า เกตุ นั้น เริ่มต้นในยุคแรกๆ ด้วยมวยผม คือ มุ่นเมาฬี ที่ขมวดไว้หลวมบ้าง แน่นบ้าง จนพัฒนาต่อมาเป็นเกตุดอกบัวตูม และ เกตุเปลวเพลิง ซึ่งก็มีอยู่หลายรูปลักษณะอีกเหมือนกัน
ลักษณะแตกต่างกันเช่นนั้น ล้วนเป็นเรื่องของศิลปะ และพัฒนาการ เพราะไม่ว่าจะมองมุมใด รูปเคารพนั้นก็ยังคงให้คำตอบที่แน่แท้ว่า คือ พระพุทธปฏิมากร อันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อไว้เคารพ สักการบูชาแทนพระพุทธองค์ ผู้ทรงเข้าถึงสภาวะแห่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วยกายทั้งสอง คือ พระรูปกาย และพระธรรมกาย
ความสำคัญของพระพุทธรูป แท้จริงแล้วน่าจะอยู่ที่ความสามารถ ในการสำแดงพุทธปรัชญา แห่งความเป็นผู้ดำรงไว้ ซึ่งความสุขอย่างยิ่ง ความเป็น ผู้มีชัย เหนือสิ่งสำคัญใดๆ ในสากลโลก เป็นความสุขจริง บนวิถีทางแห่งความสงบลึกซึ้ง ซึ่งสามารถสั่งสอน และถ่ายทอดให้กับ ชาวโลกสัมผัสเข้าถึงได้จริง
ดังนั้น ความสำคัญของพระพุทธรูป จึงมิได้อยู่ที่ ลักษณะจีวร มิได้ อยู่ที่เกตุ มิได้อยู่ที่พระพักตร์ แต่หากอยู่ที่ กระแสแห่ง ความสุข ความสงบ ที่สามารถถ่ายทอดกระทบถึงใจของผู้กราบไหว้พบเห็นต่างหาก
ประวัติการสร้างพระพุทธรูปนั้น
เริ่มต้นมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
มีตำนานเล่าว่า
พระเจ้าปเสนทิโกศลสร้าง
พระพุทธรูป ไม้แก่นจันทร์ขึ้น หลักฐานการสร้างพระพุทธรูปนั้น
มีปรากฏชัดประมาณปี พ.ศ.๔๐๐
ที่แคว้นสวัสมถุรา
มีตั้งแต่ลักษณะพระพุทธรูปแบบปกติ
จนกระทั่ง
มาดูเป็นหนุ่มใหญ่ผู้ทรงภูมิ
มีมุ่นมวยผม
ในสมัยคันธาระกุศานะ
โดยพระเจ้ากนิษกะ
แล้วก็พัฒนาเรื่อย
มาอย่างไม่หยุดยั้ง
และก็ยังไม่มีผู้ใด
เข้าไปศึกษาอย่างจริงจังว่าสิ่งที่สร้าง
ขึ้นมานั้น
แทนองค์พระศากยมุนีพุทธเจ้า
หรือแทนพระธรรมกายที่ทรง
เข้าถึงภายในกันแน่ แต่ที่แน่ๆ
คือ พระพุทธรูปทั้งหลาย
ล้วนสร้าง
เพื่อจุดประสงค์ที่จะแสดงความโดดเด่น
แห่งลักษณะมหาบุรุษของพระองค์ท่าน
ศิลปินแต่ละท้องที่ จึงพากัน
คิดสรรคหาวิธี
ที่จะทำให้เห็นความแน่นหนาของทรวงอก
ลำคอ หัวไหล่ ช่วงแขน
หน้าตักให้จงได้
เมื่อผู้เขียนถูกขอให้เขียนเรื่องพระพุทธรูป
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
ความชำนาญของตัวเอง
จากการได้ค้นคว้ามานานถึง ๑๔ ปี
ควบคู่กับการศึกษาพระสูตร
และเรื่องราวของปรัชญาเจดีย์ในพุทธศาสนานั้น
พบว่าเป็นเรื่องใหญ่
และเป็นเรื่องยาวมาก
ไม่สามารถบรรจุลง ในเนื้อที่จำกัด
และเท่าที่ศึกษามาพบว่า พระพุทธรูปมีพัฒนาการ
มายาวนานมาก
ที่ดูเหมือนสวมเสื้อยืด
ก็มีในสมัยคุปตะ
ที่เป็นเกตุดอกบัวตูม
แบบเป็นดอกบัวตูมต่างหาก
วางอยู่บนจอมกระหม่อม เลยก็มี
ที่เป็นของจีน
ทั้งยังในส่วนที่แบ่งออกเป็น
ศากยมุนีพุทธะ หรือพระพุทธะ
ที่ยังล้วนเป็นข้อต้องศึกษาต่อไปว่า
ทำไมถึงต้องสร้างให้แตกต่างกันออกไป
แต่ทว่า...พระธรรมกาย สำหรับผู้เขียน ไม่อาจถือได้ว่าเป็นพระพุทธปฏิมากร เพราะมิใช่สิ่งที่ทำขึ้นจากอารมณ์ของศิลปิน หรือ ทำขึ้นจากความกดดัน ของสภาวะแวดล้อม แต่ทำขึ้น สร้างขึ้น ปั้นขึ้นจากความจริง ของการเข้าถึงธรรม คือ เข้าถึงธรรมกาย กายที่จะ ดำเนินเสริมส่ง ให้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป ในอนาคต ด้วยการปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญของพระธรรมกาย จึงมิใช่เรื่องของศิลปิน แต่เป็น เรื่องของสาระว่า สามารถสื่อกระแสแห่งพุทธะ ให้พุทธศาสนิกชน หรือคนทั่วไปได้หรือไม่ต่างหาก
ในฐานะของผู้ปฏิบัติธรรม
และในฐานะของผู้ศึกษาค้นคว้า
พระพุทธศาสนา มาช้านานถึง ๒๐ ปี
ไม่กล้าที่จะนำพระธรรมกาย ไปเปรียบเทียบกับ
พระในยุคสมัยใด
หรือเทียบกับศิลปะของใครทั้งสิ้น
เพราะ พระธรรมกาย
เป็นสากลแห่งการปฏิบัติธรรม
พระพุทธรูปที่จะนำไปประดิษฐาน ณ
มหาธรรมกายเจดีย์ มีชื่อว่า
พระธรรมกาย หล่อด้วย
โลหะซิลิกอนบรอนซ์
แล้วเคลือบผิวด้วยโลหะ ๓ ชั้น คือ
นิเกิ้ล ไททาเนียม และทองคำ
หน้าตักกว้าง ๑๕ เซนติเมตร
ขนาดความสูง ๑๕ เซนติเมตร
เมื่อรวมฐาน จะมีความสูง ๑๘
เซนติเมตร ที่ฐานจารึกชื่อ
ของสาธุชน ที่บริจาคปัจจัย
ร่วมสร้างพระพุทธรูป
หรือจารึกชื่อที่ผู้บริจาค
มีความประสงค์ให้จารึก
ซึ่งอาจจะเป็นชื่อของ
บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วหรือชื่อของผู้มีพระคุณ,
สมาชิกครอบครัวที่ยัง
มีชีวิตอยู่
พระพุทธรูป
พระธรรมกาย เป็นพระพุทธรูป
ปางสมาธิ พระหัตถ์ ขวาซ้อนทับ
พระหัตถ์ซ้าย นิ้วชี้พระหัตถ์ขวา
จรดนิ้วหัวแม่มือ พระหัตถ์ซ้าย
การครองผ้าเป็นการครองผ้า
แบบแนบพระองค์ เพื่อให้ได้เห็น
พุทธลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ
อย่างชัดเจน
รอบพระศอเป็นร่องแสดงรอยผ้า
และที่ข้อพระหัตถ์ทั้งสอง
มีรอยหยักของผ้า
หากพิจารณาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์
และโบราณคดี ลักษณะบริเวณส่วน
พระองค์ของพระธรรมกาย
และลักษณะการครองผ้า
มีความใกล้เคียงกับ พระพุทธรูป
ในพุทธศตวรรษที่ ๙ (ดูรูปที่ ๒)
ประดิษฐานที่เมือง อนุราธปุระ
ประเทศศรีลังกา
และพระธยานิพุทธไวโรจนะ
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๓ (ดูรูปที่ ๓)
ซึ่งประดิษฐานที่พระสถูปบรมพุทโธ
ประเทศอินโดนีเซีย