อินเดียเป็นฐานการผลิตซอฟท์แวร์ หรือ ภาพยนต์การ์ตูนวอลลดีสนีย์
เขียนรูปตัวละครในสหรัฐอเมริกา แต่ลงสีฉากหรือแบลกกราวน์ในอินเดีย
และลงสีตัวละครในไต้หวัน เป็นต้น วงดนตรีหลายประเทศทั่วโลกก็ใช้ห้องอัดเสียงไทยเป็นแหล่งผลิต
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างเช่นกัน ที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การตลาดยุคใหม่มุ่งที่จะผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพ
ต้นทุนต่ำ โดยไม่คำนึงถึงฐานผลิตและเจ้าของการผลิตจะอยู่ประเทศเดียวกันหรือไม่
การตลาดบนกระแสเศรษฐกิจดิจิตอล
ความก้าวหน้าด้านระบบสื่อสารสนเทศ(IT:Information Technology)
ส่งผลให้การค้าพาณิชย์โลกปรับเปลี่ยนไป ผู้บริโภคและลูกค้า สามารถเข้าถึงผู้ผลิตสินค้าได้โดยตรง
ในขณะที่ในอดีตนั้น ส่วนใหญ่ผู้บริโภคมักจะเชื่อมโยงกับธุรกิจผู้ค้า
ผ่านธุรกิจผู้ค้าไปถึงผู้ประกอบธุรกิจในฐานะผู้ผลิต ซึ่งผลของการที่ผู้บริโภค
หรือโลกค้าใกล้ชิดกับผู้ผลิต ย่อมทำให้ราคาสินค้าถึงมือผู้บริโภคในราคาต่ำ
และการค้าพาณิชย์ยุคใหม่นี้เรียกว่า ยุคเศรษฐกิจดิจิตอล(Digital
Economy)
ยุคเศรษฐกิจดิจิตอล
ปัจจุบันโลกได้เข้าสู่ยุคใหม่เศรษฐกิจแล้ว ภายหลังจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี่สื่อสาร
ได้แพร่ขยายไปทั่วโลก ซึ่งเศรษฐกิจยุคใหม่จะแข่งขันกันด้วยคามเร็ว(Economy
of Speed) คือ ใครเร็วกว่าจะได้เปรียบ หรือมีต้นทุนต่ำกว่า ในขณะที่แบบเดิมนั้นจะแข่งขันกันที่ขนาด(Economy
of Scale)เป็นหลัก ทั้งนี้เครื่องมือทางการค้าที่สำคัญก็คือ ระบบอินเตอร์เน็ตนั่นเอง
ทำให้ อี-คอมเมิร์ซนำนักการตลาด- นักขาย เข้าสู่ยุคการค้าไร้พรมแดน(Globalization)อย่างแท้จริง
คือทำให้ผู้ผลิต สามารถค้าขายกับผู้บริโภคทั่วโลกได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางพบปะ
นอกจากนี้แล้วเครื่องมือการค้ายุคใหม่ทำให้เกิดการค้าปลีกสามารถทำได้ทั่วโลก
และไม่จำกัดเวลา อาทิ เปิดร้านค้าในระบบอินเทอร์เน็ต ผู้บริโภคทั่วโลก
สามารถทำการซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยลูกค้าอาจมาจากเครื่องหนึ่งเครื่องใดที่ติดตั้งในระบบอินเทอร์เน็ตแล้วกว่า
1,000 ล้านเครื่อง
ส่วนรูปแบบของอีคอมเมิร์ชนั้นแยกเป็น 3 ประเภท คือ 1) Business
to Business(B-to-B) คือการค้าขนาดใหญ่ระหว่างองค์กรกับองกร
2) Business to Consumer (B-to-C) เป็นการค้าปลีกกับผู้บริโภคทั่วโลกหรือภายในท้องถิ่น
3) Consumer to Consumer (C-to-C) คือ การค้าปลีกระหว่างบุคคลทั่วไป
หรือระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ดด้วยกัน
(อ่านต่อ>)
|