ควรชมเว็บนี้ด้วยโปรแกรม Internet Explorer v. 6.0 ขึ้นไป ที่ความละเอียด 1024X768 จุด ใช้ขนาดอักษร Medium Size
ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด วันที่ 2 กรกฎาคม 2550

กระดานธุรกิจศึกษาสนทนา
 
ต้องการเผยแพร่บทความ งานวิจัย ในแวดวงธุรกิจศึกษาในเว็บนี้ ส่งได้ที่ somboon2547@yahoo.com
 
แวดวงธุรกิจศึกษา
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ) และ ม. มหิดล ได้เชิญ อ.สมบูรณ์ แซ่เจ็ง ร่วมเป็นทีมวิทยากร ในโครงการ ทุกถิ่นไทยใส่ใจ มอก. CLICK สำนักผู้ตรวจราชการ ศธ. เขต 6 ราชบุรี จัดอบรมการสร้าง E-learning เบื้องต้น โดย อ.สมบูรณ์ แซ่เจ็ง เป็นวิทยากร CLICK  CU. Business Ed. Bye-nior 48 ราตรีนี้เพื่อพี่ ๆ ทุกคน จากใจของน้อง ในงานเลี้ยงแสดงความยินดี แด่ว่าที่บัณฑิตธุรกิจศึกษา จุฬาฯ (ลานไทร 21) CLICK
"True learning is based on discovery guided by mentoring rather than the transmission of knowledge" John Dewey
"Teachers as learners, collaborators, and leaders facilitating student success." School of Education, Colorado State University

ข้อคิด - ความเห็น

ครูกับการสอนจริยธรรมทางธุรกิจ

สมบูรณ์ แซ่เจ็ง
29 มิถุนายน 2549


     
จากวิกฤติการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น และอยู่ในความสนใจของประชาชนทั้งประเทศ มีหลายฝ่ายทั้งนักการเมือง นักวิชาการ นักศึกษา สื่อมวลชน รวมทั้งประชาชนบางส่วน ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า เป็นผลที่เกิดจากความบกพร่องทางจริยธรรมของนักการเมือง และนักธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ประเด็นเรื่องจริยธรรม ก็ได้ถูกสังคมกล่าวถึงและวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในวงการศึกษา ถึงกับมีนักวิชาการหลายท่านกล่าวว่า "ต่อไปครูจะสอนจริยธรรมให้แก่ศิษย์ได้ยากขึ้น เพราะผู้นำในสังคมไม่เป็นแบบอย่างที่ดีให้เห็น" หากสภาพที่กล่าวถึงนั้นเป็นความจริง ก็นับเป็นปัญหาที่ท้าทายยิ่งสำหรับครู โดยเฉพาะครูธุรกิจศึกษาทั้งหลาย ซึ่งมีหน้าที่สอนผู้เรียนให้รู้จักโลกของธุรกิจและการทำธุรกิจ ในขณะที่นักธุรกิจก็เป็นกลุ่มที่กำลังถูกสังคมมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาทางจริยธรรมที่กำลังเกิดขึ้น จึงดูเหมือนว่าครูธุรกิจศึกษากำลังถูกสังคมตั้งคำถามในประเด็นที่ว่า ครูจะสอนศิษย์อย่างไรให้เป็นนักธุรกิจที่มีจริยธรรม ท่ามกลางสังคมที่กำลังดิ่งลงสู่เหวแห่งความไร้จริยธรรมในปัจจุบัน ดังนั้นข้อคิดความเห็นในวันนี้ จึงใคร่ขอเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการสอนจริยธรรมทางธุรกิจในมุมมองของผู้เขียน เพื่อจุดประกายให้ท่านผู้อ่านได้ช่วยกันขยายและเติมเต็มแนวคิด อันเป็นหนทางให้ครูสามารถบูรณาการจริยธรรมไปกับเนื้อหาวิชาธุรกิจได้อย่างมีคุณภาพ

ความหมายของจริยธรรม
      จริยธรรม (Ethic) เป็นคำนามที่มีความหมายตามที่ปรากฎในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ว่าหมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ, ศีลธรรม, กฎศีลธรรม นอกจากนี้ยังมีคำอื่นที่มีความหมายเกี่ยวข้อง เช่น จริยศาสตร์ ซึ่งหมายถึง ปรัชญาสาขาหนึ่งว่าด้วยความประพฤติและการครองชีวิตว่า อะไรดีอะไรชั่ว อะไรถูกอะไรผิด หรือ อะไรควรอะไรไม่ควร หรือคำว่า จริยศึกษา ที่หมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับความเจริญงอกงามในทางความประพฤติและการปฏิบัติตน เพื่อให้อยู่ในแนวทางของศีลธรรมและวัฒนธรรม ดังนั้นจึงพอจะประมวลได้ว่า จริยธรรม เป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติในกรอบของคุณธรรมความดี ซึ่งน่าจะครอบคลุมทั้งการคิดชอบและปฏิบัติชอบ คือมีความรู้สึกสำนึกที่ดีในจิตใจ และพฤติกรรมที่แสดงออกก็สอดคล้องกับสำนึกนั้น

มโนทัศน์ทางการสอนจริยธรรมของครู
      ในการสอนจริยธรรมนั้น ก่อนอื่นครูธุรกิจศึกษาควรต้องตีความให้ได้ก่อนว่า จริยธรรมคืออะไร การคิดชอบนั้นคืออะไร การปฏิบัติชอบนั้นคืออะไร หรือการรู้สึกสำนึกดีนั้นคืออะไร จะแสดงออกได้อย่างไร และอะไรคือความมีจริยธรรมที่สังคมยอมรับ เป็นต้น ซึ่งผลสรุปของการตีความนั้นมักจะขึ้นอยู่กับ ปรัชญาความเชื่อของครู ที่กลั่นออกมาเป็นมโนทัศน์ (concept) ทางจริยธรรมประจำตัว หากครูเห็นว่าจริยธรรมหรือความดี เป็นรูปแบบแน่นอนที่จริงแท้ และไม่เคยเปลี่ยนแปลง เช่น ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ความจงรักภักดี ความเสียสละ การอุทิศตน ฯลฯ เป็นความดีในตัวเองอยู่แล้ว โดยไม่ต้องมีข้อถกเถียงและไม่เคยเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งคนรุ่นก่อนได้สั่งสมไว้ เพื่อใช้จรรโลงสังคมให้ยั่งยื่นต่อๆกันมา ความหมายของการสอนจริยธรรมตามมโนทัศน์ของครูกลุ่มนี้ ก็น่าจะเป็นการสืบทอดและปฏิบัติตามมรดกทางจริยธรรมที่สังคมสั่งสมต่อเนื่องกันมายาวนาน
      แต่ถ้าหากครูเห็นว่าความหมายของจริยธรรมหรือการคิดชอบและปฏิบัติชอบนั้น ควรประเมินและตัดสินโดยพิจารณาจากบริบทและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่สามารถใช้รูปแบบจริยธรรมที่ตายตัวมาเป็นเกณฑ์วัดได้ เช่น ถ้าจะให้ตัดสินคุณค่าของคำว่า ความซื่อสัตย์ ก็ต้องพิจารณาว่าเป็นความซื่อสัตย์ต่อใคร ซื่อสัตย์ต่อบริษัท ซื่อสัตย์ต่อครอบครัว หรือซื่อสัตย์ในหมู่โจร ความหมายของการสอนจริยธรรมของครูกลุ่มนี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องของการให้รู้จักพิจารณาตัดสินใจประเมินค่าและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมโดยไม่เป็นผลร้ายต่อใคร

มองต่างมุม สอนต่างกัน
      จากมโนทัศน์ที่แตกต่างกันนี้ย่อมทำให้วิธีสอนแตกต่างกันไปด้วย ครูที่เชื่อว่าจริยธรรมคือรูปแบบความดีที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง การสอนก็จะเน้นการสืบทอดคุณงามความดีของมนุษย์ โดยนำเสนอรูปแบบของความดีที่มีอยู่แล้ว มาปลูกฝังให้ผู้เรียนได้รับรู้ เข้าใจและปฏิบัติตาม ซึ่งอาจใช้วิธีการบอกกล่าวกันโดยตรง หรือนำเสนอผ่านสื่อรูปแบบต่าง ๆ แล้วยกกรณีที่เกิดขึ้นในวงการธุรกิจเป็นตัวอย่าง ซึ่งวิธีสอนแนวนี้มีการปฏิบัติกันมาช้านานตามแนวทางปรัชญาสารัตถนิยม และเห็นได้ชัดเจนว่า วิธีสอนลักษณะนี้น้ำหนักจะตกอยู่กับครูผู้สอนเป็นสำคัญ เพราะครูจะเป็นผู้นำเสนอเนื้อหาความรู้ ชักจูงให้ผู้เรียนเชื่อและปฏิบัติตาม ส่วนผู้เรียนจะมีหน้าที่รับรู้ ทำความเข้าใจ เชื่อและปฏิบัติตามคำสอนของครู
      แต่สำหรับครูที่เห็นว่า จริยธรรมเป็นเรื่องของการประเมินคุณค่าและแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม ตามบริบทและความเปลี่ยนแปลง คงไม่สามารถนำรูปแบบความดีความงามมาบอกกล่าวผู้เรียนโดยตรง แต่จะเป็นการสอนที่มุ่งฝึกฝนให้ผู้เรียนรู้จักพิจารณา และหาทางตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างลงตัวไม่ส่งผลเดือดร้อนต่อทุกฝ่าย ซึ่งอาจอยู่ในรูปของการสอนด้วยกรณีศึกษาต่างๆ เช่น กรณีศึกษาทางธุรกิจ หรือกรณีศึกษาทางการตลาดที่ผนวกปัญหาทางจริยธรรมไว้ด้วย แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันพิจารณาแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ลุล่วง โดยที่ธุรกิจก็ไม่เสียหายและสังคมก็ไม่เดือดร้อน ซึ่งจะเห็นได้ว่าวิธีสอนตามแนวทางนี้ ครูไม่ได้เป็นผู้นำเสนอเนื้อหาหลักการ แต่มีหน้าที่เตรียมปัญหาให้ผู้เรียนพิจารณาแล้วเสริมในส่วนที่ผู้เรียนยังขาด โดยผู้เรียนจะมีหน้าที่ร่วมกับครูพิจารณาตัดสินใจประเมินค่าหรือแก้ไขปัญหานั้นๆบนพื้นฐานของบริบทและความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นน้ำหนักของการสอนจึงให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้เรียนมากขึ้น

ทัศนใหม่ในการสอนจริยธรรมทางธุรกิจ
      Dienhart นักวิชาการด้านจริยธรรมทางธุรกิจ แห่งมหาวิทยาลัย Seattle ได้ให้ความเห็นไว้ว่า การสอนจริยธรรมในปัจจุบันคงน้อยเกินไปถ้าครูจะสอนแค่ว่า "อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ" แต่เราควรนำผู้เรียนเข้าให้ถึงรากฐานของปัญหา โดยการนำปัญหาทางธุรกิจที่ตัดสินใจได้ยากมาให้ผู้เรียนช่วยกันพิจารณาว่า ถ้าเขาเป็นผู้เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น เขาควรจะหาทางออกในปัญหานั้นอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สุด ซึ่งมีผู้สอนหลายคนในปัจจุบันได้นำเอาปัญหาทางจริยธรรมที่เกิดขึ้นจริงมาเป็นกรณีศึกษา อาทิ ปัญหาเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในบริษัทต่าง ๆ ที่เป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการปั่นหุ้น การตกแต่งตัวเลขทางบัญชี เพื่อสร้างภาพลวงตาให้แก่บริษัทของตน ลงมาจนถึงปัญหาการปลอมปนสินค้า การกักตุนสินค้า การค้ากำไรเกินควร การผิดสัญญา การฉ้อโกง ความผิดในการใช้เช็ค การผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ ซึ่งเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ผู้สอนสามารถนำมาเรียบเรียงเป็นกรณีศึกษาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กันได้
      แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีข้อถกเถียงกันในอีกหลายประเด็นที่ยังหาข้อยุติไม่ได้เกี่ยวกับวิธีการสอนจริยธรรมทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นของการแยกวิชาจริยธรรมทางธุรกิจออกมาเป็นวิชาอิสระต่างหาก หรือควรบูรณาการไว้ในเนื้อหาของวิชาอื่น ๆ ทางบริหารธุรกิจ หรือประเด็นเรื่องตัวผู้สอนว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบสอนวิชานี้ ควรจะเป็นครูผู้เชี่ยวชาญทางจริยศึกษา หรือจะให้ครูวิชาบริหารธุรกิจเป็นผู้สอน อีกทั้งเนื้อหาที่สอนควรจะเน้นหนักในเชิงวิชาการเพื่อให้ผู้เรียนได้รู้ถึงทฤษฎีและปรากฎการณ์ทางจริยธรรม หรือเน้นให้ผู้เรียนรู้จักแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยใช้สามัญสำนึก หรืออีกนัยหนึ่งอาจหมายถึงว่าเราควรเน้นความรู้ทางวิชาการ(cognitive) หรือจะเน้นให้เกิดความซาบซึ้งทางจริยธรรม(affective) และเราควรตีกรอบเนื้อหาเฉพาะกรณีที่เกี่ยวกับการบริหารในองค์กรธุรกิจ(Micro) หรือควรมองกว้างไปถึงปัญหาทางจริยธรรมที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจและสังคม(Macro)

ท้ายที่สุดแต่ยังไม่สุดท้าย
      จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงการเปิดประเด็นปัญหาการสอนจริยธรรมทางธุรกิจเท่านั้น ยังมีประเด็นที่น่าคิดอีกมากมายที่รอให้ครูธุรกิจศึกษาช่วยกันหาคำตอบ เพื่อให้การสอนจริยธรรมทางธุรกิจมีประสิทธิผลมากขึ้น แม้แนวคิดการสอนจะมีการเปลี่ยนแปลงไป แต่ตราบใดที่ครูยังเห็นว่าการสอนจริยธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น ก็เชื่อมั่นได้ว่าคงมีโอกาสเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นในการจัดการเรียนการสอนจริยธรรมทางธุรกิจอย่างแน่นอน และสังคมก็คงได้รับคำตอบที่น่าพอใจจากผู้อยู่ในแวดวงธุรกิจศึกษา...

อ่านบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่...>>> CLICK

      คุณครูท่านใดต้องการนำเสนอข้อเขียนเกี่ยวกับการสอนจริยธรรมทางธุรกิจในเว็บนี้ ท่านสามารถส่งข้อเขียนของท่านไปได้ที่ somboon2547@yahoo.com เรายินดีนำเสนอให้โดยเร็ว

เล่าจากภาพ

ความต่างบนความไม่ต่าง

     เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้เขียนมีโอกาสต้องไปหาซื้อเครื่องสุขภัณฑ์ ณ ห้างขายวัสดุอุปกรณ์สำหรับบ้านชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนมีโอกาสไปเยือนห้างแห่งนี้ ความหลากหลายและหรูหราของการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ทำให้รู้สึกละลานตาจนเลือกไม่ถูกว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการ หลังจากได้เดินชมสินค้าอยู่เป็นเวลาพอสมควร จึงสังเกตเห็นว่าสินค้าสุขภัณฑ์ประเภทเดียวกัน ใช้ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน แต่กลับมีราคาแตกต่างกันตั้งแต่หลักหลายหมื่นลงมาถึงแค่ไม่กี่ร้อย ผู้เขียนจึงเกิดความสงสัย จึงเดินเข้าไปหาพนักงานขายคนหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ขายประจำแผนกเครื่องสุขภัณฑ์ แล้วจึงถามไปว่า "อ่างล้างหน้าที่ตั้งโชว์อยู่นี้ ทำไมราคาจึงต่างกันมาก อย่างใบโน้นราคา 2 พันกว่าบาท แต่ใบนี้แค่ 900 บาทเอง คุณบอกผมได้มั้ยว่าคุณภาพมันต่างกันตรงไหน" พนักงานขายคนนั้นทำหน้าแปลก ๆ แล้วจึงตอบแบบไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำว่า "ก็ยี่ห้อต่างกัน ราคาก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว" ผมจึงแย้งไปว่า "ยี่ห้อก็ไม่น่าจะห่างชั้นกันมาก มันน่าจะมีจุดไหนที่บ่งบอกคุณภาพที่แตกต่าง เพราะราคามันต่างกันเหลือเกิน และถ้าคุณบอกผมได้ ก็จะช่วยให้ผมตัดสินใจได้ง่ายขึ้น" พนักงานคนนั้นทำท่าอึกอักดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจคำถามของผู้เขียนนัก จึงชี้บอกให้เดินขึ้นไปชั้นบน แล้วให้ไปถามพนักงานในบูธของยี่ห้อสินค้านั้น ๆ เอาเอง แถมยังบอกผมว่า "พี่ไปชั้นบนเลย มีราคาให้เลือกเป็นหมื่น ๆ" ผู้เขียนจึงเดินขึ้นไปชั้นบนไปหาบูธของยี่ห้อที่ว่า ก็ได้พบกับพนักงานขายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นพนักงานประจำบูธ ผู้เขียนจึงถามว่า "คุณครับ ผมขอคำแนะนำเกี่ยวกับสินค้าของคุณหน่อย" ซึ่งพนักงานคนนี้ก็ตอบยินดี จึงได้ถามไปว่า "อ่างล้างหน้าที่ราคาต่างกันมาก มันต่างกันที่คุณภาพตรงไหนหรือ" จึงได้รับคำชี้แจงว่า "ตัวสินค้าไม่ได้ต่างกันเลย เป็นผลิตภัณฑ์เซรามิกเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ดีไซน์ โดยสินค้าที่ออกแบบมาใหม่ก็จะมีราคาสูงกว่าแบบเก่า" พร้อมกันนี้ยังได้อธิบายถึงคุณภาพของสุขภัณฑ์อีกหลายประเภท ที่ผู้เขียนถามเพิ่มเติม และข้อมูลที่พนักงานขายคนนี้ให้มาช่วยให้ผู้เขียนตัดสินใจเลือกซื้อได้ง่ายขึ้นมาก หากไม่ได้พบพนักงานขายคนที่สองนี้ เชื่อว่าวันนั้นผู้เขียนคงไม่ได้สุขภัณฑ์ที่ต้องการกลับไปแน่ ๆ
      เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้เขียนประจักษ์ชัดว่า สินค้าใดก็ตามถ้ามีความหลากหลายของราคาและรูปแบบมาก ผู้ซื้อที่คำนึงถึงคุณภาพก็มักจะตัดสินใจได้ยาก ความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับคุณภาพของสินค้า จะเป็นตัวบ่งชี้ความแตกต่างของสินค้าที่ดูเหมือนไม่แตกต่างกันได้ และเป็นสาระสำคัญที่พนักงานขายทุกคนต้องรู้ เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยลูกค้าให้ตัดสินใจได้ง่าย ดีกว่าการพูดกำกวมหรือบอกปัด เพราะนั่นคือสาเหตุหนึ่งที่ลูกค้า " ไม่ซื้อ "

สมบูรณ์ แซ่เจ็ง
20 สิงหาคม 2549

อ่านเรื่องอื่น ๆ ได้ที่นี่...>>> CLICK

ธุรกิจศึกษาปริทัศน์

การวัดทักษะการพิมพ์สัมผัส
เรื่อง การวัดความเร็วและความแม่นยำ

สมบูรณ์ แซ่เจ็ง
29 มิถุนายน 2549

     ในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้กล่าวถึงเรื่องของการวัดเทคนิคการพิมพ์ อันหมายถึงการวัดและประเมินวิธีการพิมพ์ที่ถูกต้อง ซึ่งครอบคลุมในเรื่อง การนั่ง การวางนิ้ว การเคาะแป้นอักษร และการใช้สายตา ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานที่สำคัญในการพิมพ์ และสำหรับตอนนี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงการวัดและประเมินผลทักษะพื้นฐานอีก 2 ประการ คือการวัดความเร็ว(speed) และ ความแม่นยำ(accuracy) ในการพิมพ์
     เป็นที่ทราบกันว่าความเร็วและความแม่นยำในการพิมพ์ คือเป้าหมายสำคัญของการฝึกทักษะการพิมพ์สัมผัส ผู้เรียนเกือบทุกคนมักจะสนใจว่า ตนเองจะพิมพ์ได้เร็วนาทีละกี่คำ หรือพิมพ์ได้แป้นยำในสัดส่วนเท่าไร เพราะในการทดสอบการพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นการวัดทักษะระหว่างเรียน หรือเพื่อคัดเลือกคนเข้าทำงาน ก็มักใช้เกณฑ์ของความเร็วและความแม่นยำเป็นตัวตัดสิน ดังนั้นความเร็วและความแม่นยำในการพิมพ์ จึงเปรียบเสมือนคุณภาพของการเป็นนักพิมพ์สัมผัสนั่นเอง ด้วยเหตุนี้การวัดคุณภาพในการพิมพ์จึงต้องวัดอย่างถูกต้องเที่ยงธรรมให้มากที่สุด เพื่อให้ได้ตัวชี้วัดคุณภาพที่แท้จริง ซึ่งจะขออธิบายวิธีการวัดดังนี้

การวัดความเร็วในการพิมพ์สัมผัส
     เป็นการวัดปริมาณคำที่พิมพ์ได้ในระยะเวลาที่กำหนด โดยจะขอทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่า ปริมาณคำในที่นี้ หมายถึง "คำพิมพ์ดีด" (typing word) มิใช่คำในความหมายทางหลักภาษา โดยปริมาณคำพิมพ์ดีดจะวัดจากการนับจำนวนเคาะ(stroke) หรือจำนวนดีดทั้งหมดที่พิมพ์ได้ รวมทั้งการเคาะเว้นวรรค(space)ด้วย และเมื่อนับครบแล้วก็นำ 5 มาหารจำนวนเคาะที่นับได้ (สำหรับการพิมพ์ภาษาอังกฤษ) หรือนำ 4 มาหารจำนวนเคาะที่นับได้(สำหรับการพิมพ์ภาษาไทย) ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือปริมาณคำที่พิมพ์ได้นั่นเอง คำถามจึงมีอยู่ว่าทำไมต้องหาร 5 หรือ 4 เหตุผลก็คือ ในอดีตได้มีการศึกษาพบว่า ในบรรดาคำภาษาอังกฤษที่ใช้ทั่วไปในขณะนั้นเมื่อเฉลี่ยแล้ว พบว่าแต่ละคำจะมีความยาวประมาณ 5 อักขระโดยเฉลี่ย และสำหรับภาษาไทยก็เช่นกัน มีการศึกษาพบว่าคำไทยทั่ว ๆ ไปที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น จะเฉลี่ยความยาวที่ 4 อักขระต่อ 1 คำ เราจึงยึดถือค่าเฉลี่ยที่พบนี้ เป็นเกณฑ์การเทียบวัดคำพิมพ์ดีดมาจนถึงปัจจุบัน
     ผลจากการคำนวณคำที่พิมพ์ได้ตามที่กล่าวมาข้างต้น เราก็จะได้เป็นคำดิบ(raw word)หรือคำระคน(gross word) ซึ่งค่าที่ได้จะบอกได้เพียงว่า ผู้พิมพ์สามารถพิมพ์ได้ในจำนวนกี่คำเท่านั้น จึงยังไม่สามารถบอกความเร็วในการพิมพ์ และ/หรือนำไปเทียบกับผู้อื่นได้ ต่อเมื่อเรานำเอาเวลาที่พิมพ์ซึ่งนิยมวัดเป็น "นาที" มาหารจำนวนคำดิบ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือจำนวนคำที่พิมพ์ได้ต่อ 1 นาที (word per minute - WPM.) หรือในอดีตนิยมเรียกว่าคำระคนต่อนาที (gross word a minute - GWAM) ซึ่งเป็นอัตราความเร็วในการพิมพ์ที่สามารถนำไปเทียบกับผู้อื่นได้ โดยขอสรุปเป็นสูตรง่าย ๆ ได้ดังนี้

     พิมพ์ภาษาอังกฤษ
     ความเร็ว(WPM) = (จำนวนเคาะที่พิมพ์ได้รวมเว้นวรรค / 5 ) / นาทีที่พิมพ์
     พิมพ์ภาษาไทย
     ความเร็ว(WPM) = (จำนวนเคาะที่พิมพ์ได้รวมเว้นวรรค / 4 ) / นาทีที่พิมพ์
     มีหน่วยเป็น "คำต่อนาที (WPM)"
     ตัวอย่างเช่น นายแดง พิมพ์ภาษาอังกฤษได้ 550 เคาะในเวลา 3 นาที ฉะนั้นนายแดงจะมีความเร็วในการพิมพ์เท่ากับ
     (550 / 5) / 3 = 36.67 คำต่อนาที หรือเท่ากับ 36.67 WPM
     หรือ นางสาวนุช พิมพ์ภาษาไทยได้ 480 เคาะในเวลา 5 นาที ฉะนั้นนางสาวนุชจะมีความเร็วในการพิมพ์เท่ากับ
     (480 / 4) / 5 = 24 คำต่อนาที หรือเท่ากับ 24 WPM

     สูตรการคำนวณความเร็วที่อธิบายมาข้างต้น เหมาะสำหรับใช้วัดผลความเร็วในการพิมพ์ของผู้เริ่มต้นเรียน ซึ่งครูบางท่านก็ใช้วัดในช่วงแรก ๆ หรือครึ่งภาคเรียนแรก แต่ก็มีครูจำนวนมากที่นิยมใช้วิธีการนี้วัดผลความเร็วตลอดทุกภาคเรียน เหตุผลที่วิธีการนี้ได้รับความนิยม ก็เพราะเป็นการคำนวณที่ไม่มีการนำคำผิดมาหักลบ ทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนคำที่ค่อนข้างมาก ซึ่งสอดคล้องกับหลักจิตวิทยาการพัฒนาทักษะ ที่ต้องการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียน เป็นการให้กำลังใจมิให้ผู้เรียนเกิดความท้อถอย ซึ่งดูเหมือนว่าในต่างประเทศจะนิยมใช้วิธีการนี้วัดผลความเร็วโดยทั่วไป ส่วนการคำนวณคำผิดนั้น นิยมแยกคำนวณต่างหาก เรียกว่าการวัดความแม่นยำในการพิมพ์ (typing accuracy)

การวัดความแม่นยำในการพิมพ์สัมผัส
     ในการฝึกหัดงานประเภททักษะปฏิบัติโดยทั่วไป มีความมุ่งหมายเบื้องต้น 2 ประการใหญ่ ๆ คือต้องการให้ผู้ฝึก สามารถปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ควบคู่ไปกับความถูกต้องแม่นยำ ซึ่งในการฝึกหัดพิมพ์สัมผัสก็เช่นกัน นอกจากจะต้องพิมพ์ได้รวดเร็วแล้ว ก็จะต้องพิมพ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำด้วย ความแม่นยำในการพิมพ์ หมายถึงจำนวนคำที่พิมพ์ได้ถูกต้องจากจำนวนคำทั้งหมดที่พิมพ์ได้ วัดได้เป็นร้อยละของคำทั้งหมด ซึ่งเรียกว่าระดับความแม่นยำ (accuracy rate)
     สำหรับการพิมพ์ภาษาอังกฤษนั้น มีวิธีคำนวณที่ชัดเจน เริ่มโดยการคำนวณหาคำพิมพ์ดีดทั้งหมดที่พิมพ์ได้ก่อน คือนับจำนวนเคาะทั้งหมด(รวมเว้นวรรค) แล้วหารด้วย 5 จะได้เป็นคำระคน(gross word) แล้วจึงนับคำที่พิมพ์ผิดทั้งหมด ซึ่งคำที่พิมพ์ผิดนี้ จะนับเป็นคำจริงตามหลักภาษาอังกฤษ ซึ่งครูสามารถสังเกตได้ง่าย เพราะทุกคำต้องคั่นด้วยเว้นวรรค (คำละ 1 วรรค) โดยไม่ต้องสนใจว่าใน 1 คำจะพิมพ์ผิดกี่อักขระ ถ้าปรากฏว่ามีที่ผิดแม้เพียง 1 อักขระ ก็ให้ถือว่าผิด 1 คำเสมอไป เมื่อนับได้จำนวนคำผิดทั้งหมดแล้ว ให้นำจำนวนคำผิดหักออกจากคำระคน แล้วหารด้วยจำนวนคำระคนอีกครั้งหนึ่ง ได้ผลลัพธ์เท่าไร จึงนำมาคูณด้วย 100 ก็จะได้ผลลัพธ์เป็นค่าร้อยละของคำระคนทั้งหมด สามารถสรุปเป็นสูตรง่าย ๆ ดังนี้

     ระดับความแม่นยำ = ( (จำนวนคำระคน - จำนวนคำผิด) / จำนวนคำระคน ) X 100
     ตัวอย่างเช่น เด็กหญิงหน่อย สามารถพิมพ์สัมผัสภาษาอังกฤษได้จำนวน 315 เคาะ โดยนับคำผิดได้ 5 คำ ฉะนั้นเด็กหญิงหน่อย จะพิมพ์ได้แม่นยำเท่ากับ 315 / 5 ได้คำระคนเท่ากับ 63 คำ จึงเท่ากับ ( (63 - 5) / 63 ) * 100 = 92.06 %

     โดยค่าระดับความแม่นยำนี้ จะบอกได้ว่าผู้เรียนพิมพ์ผิดคิดเป็นร้อยละเท่าไรของคำทั้งหมดที่พิมพ์ได้ ทั้งนี้ไม่มีการนำเอาเวลาที่พิมพ์มาเกี่ยวข้อง แต่ใช้จำนวน 100 เป็นฐานเพื่อการเปรียบเทียบ

     เมื่อสามารถวัดค่าความเร็วและความแม่นยำได้แล้ว การประเมินผลก็จะต้องนำเอาทั้ง 2 ค่านี้มาพิจารณาร่วมกัน โดยครูต้องตั้งเกณฑ์การประเมินเอง (ไม่มีเกณฑ์มาตรฐานสากลและมาตรฐานชาติในวิชาพิมพ์สัมผัส) ดังนั้นการกำหนดเกณฑ์ใด ๆ จะต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน เช่น วัยและระดับชั้นของผู้เรียน หากผู้เรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษา เกณฑ์ก็ไม่ควรสูง หรือระยะของการเรียน หากเป็นการเรียนระยะต้น เกณฑ์ก็ต้องไม่สูงนัก หรืออาจตั้งเกณฑ์จากจุดมุ่งหมายของการเรียน เช่น ถ้าเป็นการเรียนเพื่อนำไปประกอบอาชีพ ก็อาจจะต้องอิงเกณฑ์ของตลาดแรงงานเป็นหลัก แต่ถ้าเป็นการเรียนเพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เกณฑ์ที่ใช้ก็อาจไม่เข้มงวดนัก แต่ทั้งนี้ครูจะต้องใช้ปัจจัยหลายอย่างร่วมพิจารณาในการตั้งเกณฑ์เสมอ และเมื่อได้เกณฑ์ที่ชัดเจนแล้ว ครูก็สามารถจัดทำเป็น ตารางประเมินผลการเรียนได้ ดังตัวอย่าง

96-100 %

91-95 %

86-90 %

81-85 %

76-80 %

71-75 %

> 35 คำ

A

A

A

B+

B

C+

31-35 คำ

A

A

B+

B

C+

C

26-30 คำ

A

B+

B

C+

C

D+

21-25 คำ

B+

B

C+

C

D+

D

16-20 คำ

B

C+

C

D+

D

F

11-15 คำ

C+

C

D+

D

F

F

< 11 คำ

C

D+

D

F

F

F

     ตัวอย่างเช่น นายสมปอง พิมพ์สัมผัสภาษาอังกฤษได้ 455 เคาะในเวลา 3 นาที นับคำผิดได้ทั้งสิ้น 6 คำ ฉะนันนายสมปองมีความสามารถดังนี้
     มีความเร็วนาทีละ = (455 / 5) / 3 = 30.33 คำ ( 30.33 WPM)
     มีความแม่นยำ =( (91 - 6) / 91) x 100 = 93.40 %
     (หมายเหตุ 91 มาจาก 455 / 5)
     สรุป นายสมปอง พิมพ์ได้ 30.33 คำ ที่ความแม่นยำ 93.40 %
     เมื่อประเมินผลตามตารางข้างบน นายสมปองจะได้เกรด B+

     สำหรับการวัดความแม่นยำในการพิมพ์ภาษาไทยนั้น มีผู้นำมาใช้ค่อนข้างน้อย อาจเป็นเพราะว่ายังไม่มีองค์ความรู้เป็นการเฉพาะก็เป็นได้ แต่หากจะนำวิธีการข้างต้นมาใช้ในภาษาไทย ผู้เขียนก็มีข้อสังเกตบางประการที่จะชี้ให้เห็นคือ การนับคำผิดในภาษาอังกฤษนั้น ใช้วิธีการนับคำจริงตามหลักภาษา ซึ่งนับได้ง่ายเพราะมีการเว้นวรรคให้เห็นทุกคำ แต่ในภาษาไทยนั้น เราสามารถเขียนข้อความติดกันได้โดยไม่ต้องเว้นวรรค ในขณะที่รูปแบบของคำตามหลักภาษาไทย มีหลายรูปแบบ เช่น คำโดด คำประสม คำสมาส คำสนธิ ฯลฯ จึงเป็นการยากที่ครูผู้สอนวิชาพิมพ์สัมผัสซึ่งไม่ใช่ครูวิชาภาษาไทย จะนับจำนวนคำผิดได้ถูกต้อง ทำให้การวัดไม่เป็นปรนัย ซึ่งผู้เขียนเคยทดลองให้นิสิตปริญญาตรีสาขาธุรกิจศึกษา ลองนับคำในแบบพิมพ์ภาษาไทย โดยนับเป็นคำจริงตามหลักภาษา ผลปรากฎว่าการนับมีความคลาดเคลื่อนมาก จึงเป็นข้อยืนยันความไม่เป็นปรนัยหากจะใช้วิธีแบบเดียวกับภาษาอังกฤษ ดังนั้นผู้เขียนใคร่ขอเสนอวิธีการคำนวณความแม่นยำที่น่าจะเป็นปรนัยมากที่สุดให้ท่านได้ลองพิจารณาเป็น 2 แนวทาง ดังนี้
      แนวทางแรก ใช้วิธีนับจำนวนเคาะทั้งหมดที่พิมพ์ได้(รวมเว้นวรรค) แล้วตั้งไว้ จากนั้นให้นับจำนวนเคาะที่พิมพ์ผิดทั้งหมด ได้เท่าไรนำไปหักออกจากจำนวนเคาะทั้งหมดที่พิมพ์ได้ แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ไปหารด้วยจำนวนเคาะทั้งหมดที่พิมพ์ได้อีกครั้ง จากนั้นจึงนำไปคูณด้วย 100 ดังสูตร

     ระดับความแม่นยำ = ( (เคาะทั้งหมด - เคาะที่ผิด) / เคาะทั้งหมด) X 100

     แนวทางที่สอง ให้นับจำนวนเคาะทั้งหมดที่พิมพ์ได้(รวมเว้นวรรค) แล้วหารด้วย 4 ได้เป็นคำระคน(gross word) แล้วนับจำนวนเคาะที่พิมพ์ผิดทั้งหมด ได้เท่าไรหารด้วย 4 ได้เป็นจำนวนคำผิดในรูปแบบคำพิมพ์ดีด แล้วจึงนำไปหักออกจากคำระคน ได้ผลลัพธ์เท่าไรนำไปหารด้วยจำนวนคำระคนอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำผลหารที่ได้ไปคูณด้วย 100 ดังสูตร

      ระดับความแม่นยำ = ( (คำระคน - (เคาะที่ผิด / 4) ) / คำระคน) X 100
     หมายเหตุ คำระคน คือ จำนวนเคาะทั้งหมดที่พิมพ์ได้ / 4

     จากการทดสอบคำนวณ พบว่าทั้งสองแนวทางจะให้ผลลัพธ์ที่ตรงกัน แต่อาจมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ที่ตำแหน่งทศนิยมในบางจำนวน ซึ่งไม่เป็นปัญหาอะไร ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับความถนัดและความสะดวกของผู้ใช้ที่จะตัดสินใจเลือก

     ในการวัดและประเมินทักษะการพิมพ์สัมผัสนั้น นอกจากวัดความเร็ว ความแม่นยำแล้ว ผู้สอนจะต้องไม่ละเลยการวัดและประเมิน วิธีการพิมพ์หรือเทคนิคการพิมพ์ที่ถูกต้องร่วมด้วย เพราะทักษะทั้งสามเป็นพื้นฐานและเป้าหมายสำคัญเบื้องต้นของการฝึกพิมพ์ ซึ่งผู้สอนต้องระลึกไว้เสมอว่า ทักษะความเร็วและความแม่นยำจะพัฒนาได้ ก็ต่อเมื่อผู้เรียนมีเทคนิคการพิมพ์ที่ถูกต้องเท่านั้น ในตอนหน้าผู้เขียนจะได้นำเอาวิธีการวัดและประเมินทักษะความเร็วและความแม่นยำแบบก้าวหน้ามานำเสนอให้ทราบต่อไป...

อ่านตอนอื่น ๆ ได้ที่นี่...>>> CLICK

     คุณครูท่านใด มีประสบการณ์หรือเทคนิคการสอนวิชาธุรกิจ ที่คิดว่าน่าสนใจและต้องการเผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา เชิญส่งผลงานของท่านมาเผยแพร่ในเว็บนี้ได้ โดยส่งได้ที่ somboon2547@yahoo.com เรายินดีพิจารณานำเสนอให้ท่านโดยไม่ชักช้า

Business Teaching
Business Content

ไอเดียการสอนไอเดียการสอน
เทคนิคการสอนวิชาธุรกิจ

วิธีสอนพิมพ์สัมผัสทักษะการพิมพ์สัมผัส
วิธีสอนทักษะการพิมพ์สัมผัส

การสอนบัญชีการสอนบัญชี
เทคนิคการสอนวิชาบัญชี

การสอนการตลาดสอนการตลาด
เทคนิคการสอนวิชาการตลาด

เส้นทางเศรษฐีเส้นทางเศรษฐีออนไลน์
 
เรียนรู้การสร้างธุรกิจของตนเอง

SMEเกาะติดธุรกิจ SME
เรียนรู้การจัดการ SME

ห้องสีลมห้องสีลม Pantip.Com
 
เรียนรู้โลกธุรกิจริงหลากมิติ

ม.กรุงเทพฯวารสารออนไลน์
์คณะบริหารธุรกิจ ม.กรุงเทพ

Web Guide
คลิกที่นี่...จะจัดสภาพแวดล้อมใน office อย่างไรดี จึงจะช่วยถนอมสุขภาพของคนทำงาน เว็บนี้มีคำตอบ ซึ่งครอบคลุมเรื่องการจัด layout การเลือกอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ การจัดสภาพแวดล้อม คลิกที่นี่... Mind Tools คลังความรู้การใช้เครื่องมือ ช่วยวางแผน และการบริหารจัดการ พบกับ เครื่องมือพัฒนาความคิด เครื่องมือแก้ปัญหา เครื่องมือช่วยการตัดสินใจ และอีกมากมาย คลิกที่นี่...มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค NGO เพื่อผู้บริโภคไทย แหล่งข่าวสารและสาระความรู้ เพื่อการเป็นผู้บริโภคที่ฉลาด พบกับสาระที่ทันเหตุการณ์ เหมาะจะเป็นแหล่งความรู้ ในวิชาเศรษฐศาสตร์ผู้บริโภค
สรรหามาฝาก


ดูคะแนนสะสม


ดาวน์โหลดเอกสารสัมมนา มอก.
ดาวน์โหลด
แบบฟอร์มโครงงาน ปวส.

Download งานวิจัยในชั้นเรียน
งานวิจัย
ในชั้นแรียน

เว็บผลงานของลูกศิษย์
ผลงาน
ลูกศิษย์
แนะนำหนังสือธุรกิจศึกษา
แนะนำ
หนังสือ
ภาพประกอบการสอนธุรกิจ
คลังภาพ
ธุรกิจ
ภาพประกอบการสอนคอมพิวเตอร์
คลังภาพ
ไอที
เกร็ดความรู้จากอดีตถึงปัจจุบัน สรรหามาให้ เพื่อแสดงวิวัฒนาการ และความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจศึกษา CLICK
WEB ดีมีประโยชน์
เว็บแปลภาษา
LEXITRON
แปลเว็บอังกฤษ-ไทย กับภาษิต
Webster Dictionary
Your Dictionary
Dictionary.Com
The Free Dictionary

เทียบมาตรา ชั่ง ตวง วัด
Online Conversion
Convert-Me.com


สมาคมธุรกิจศึกษาสหรัฐฯ

 

ค้นบทความต่างประเทศ

 

ค้นความรู้และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีการศึกษา

 

Download โปรแกรมอ่าน Acrobat


 

เริ่มนำเสนอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545
ติดต่อผู้ดูแลเว็บ : somboon2547@yahoo.com
ท่านเป็นผู้เข้าชมเว็บลำดับท
ี่Counter

1