topbar-text.gif (31206 bytes)

 

menubar-2.GIF (36908 bytes)

home-button.gif (2806 bytes)

 

emblem.GIF (5339 bytes)

emblem2.jpg (2608 bytes)

 

 

heading.gif (13112 bytes)

        พระราชสมภพ

                            พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์    พระราชสมภพ ณ โรงพยาบาล เมานท์ ออเบิร์น ที่นครบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2470 ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ 3 ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระองค์มีพระเชษฐภคินี และพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์ คือ

pic1.jif (7733 bytes) emblem.GIF (5339 bytes)
emblem.GIF (5339 bytes)

    สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรม     หลวงสงขลาราชนครินทร์

        พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลอดุลยเดชวิกรม รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งประเทศไทย

 

        ขณะนั้นสมเด็จพระราชบิดามีฐานันดรศักดิ์เป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า กำลังทรงศึกษาวิชาแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา  

father.jpg (13105 bytes)

    ต่อมา เมื่อพระราชบิดาสำเร็จวิชาแพทย์จากสหรัฐอเมริกาแล้ว ทรงตั้งพระทัยว่าจะเสด็จกลับเมืองไทย เพื่อปฏิบัติหน้าที่แพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลศิริราช เยี่ยงนายแพทย์ใหม่ทั้งหลาย แต่ติดด้วยพระอิสริยยศของพระองค์เป็นอุปสรรค    เมื่อทางโรงพยาบาลแมคคอร์มิคเชียงใหม่ได้ทูลเชิญเสด็จไปประจำที่นั่น จึงทรงรับและเสด็จไปเชียงใหม่เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ.2472 และเริ่มงานด้านการแพทย์นับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

                 ทรงพระเยาว์

พระบรมราชชนกทรงปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคได้เพียง 5 เดือน ก็ทรงประชวร และสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2472 พระชนมายุได้ 37 พรรษา 8 เดือน 23 วัน ท่ามกลางความอาลัยของประชาชนชาวไทยทั้งมวล (ต่อมาได้มีการกำหนดให้วันที่ 24 กันยายนของทุกปีเป็นวันมหิดล) ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุได้ 1 พรรษา กับ 9 เดือนเท่านั้น พระองค์ท่านจึงทรงรับอุปการะจาก สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสา มาตุฉาเจ้า ณ วังสระปทุม

chlid1-1.jpg (13194 bytes) child2-1.jpg (16811 bytes) child3-1.jpg (14624 bytes)

ครั้นพระองค์ท่านทรงมีพระชนมายุ 5 พรรษา ได้ทรงศึกษาวิชาสามัญชั้นต้นที่โรงเรียนมาร์แตเดอี ถนนเพลินจิต ต่อมาในต้นเดือนเมษายน พ.ศ.2476 สมเด็จพระราชชนนีทรงพาพระราชโอรส พระราชธิดา เสด็จไปยังเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากพระโอรสพระองค์ใหญ่ทรงมีพระอนามัยไม่แข็งแรง และขณะนั้นมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ เมื่อเสด็จถึงโลซานน์ ทรงประทับที่แฟลตเลขที่ 16 ถนนทิสโซต์ จากนั้นในเดือนกันยายน ได้ทรงส่งพระราชโอรสธิดาไปเข้าโรงเรียนเมียร์มองต์ (Miremont) ในชั้นประถม ทรงศึกษาภาษาต่างๆ ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ ทรงมีพระปรีชาสามารถจดจำได้อย่างรวดเร็ว เป็นที่ชื่นชมของครูที่มาถวายการสอนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังทรงสนพระทัยในงานช่างฝีมือ งานจักรกล งานเกษตร งานปรุงพระกระยาหาร และการดนตรีทุกชนิด ในเวลาว่าง จะทรงปลูกผักทำสวนครัวอย่างขมักเขม้น แล้วนำพืชผลที่ปลูกได้มาบอกขายเพื่อนำรายได้นั้นมาซื้อพันธุ์ไม้เพื่อการเพาะปลูกต่อไปอีก ยามที่ทรงว่างจากการศึกษา ทรงซื้อเครื่องดนตรีมาฝึกจนเกิดความชำนาญ และหลังจากที่พระองค์เสร็จสิ้นจากพระราชกรณียกิจประจำวันแล้ว จะทรงประทับอยู่แต่ในพระตำหนักส่วนพระองค์ ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือช่างไม้ เครื่องจักรกล เครื่องดนตรี รถยนต์เล็กและรถไฟเล็กที่ใช้ไฟฟ้า

young1.jpg (18067 bytes) young2.jpg (16360 bytes) young3.jpg (19388 bytes)

ต่อมาได้ทรงศึกษาในโรงเรียนโนเวลเดอลาสวิส โรมอนด์ ชัยยี ซูร์ โลซานน์ และโรงเรียนจิมนาสคลาสสิค คอง โดนาล แห่งโลซานน์จนจบชั้นมัธยม

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชสมบัติ รัฐบาลในสมัยนั้น ได้กราบทูลอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุเพียง 9 พรรษาเศษ ๆ รัฐบาลจึงได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้น ส่วนพระองค์ทรงประทับอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาต่อไป

เพื่อให้สมกับพระเกียรติ สมเด็จพระราชชนนีได้ทรงย้ายจากแฟลตเดิม ไปประทับที่บ้านเช่าบนลาดเนินเขา เหนือฝั่งทะเลสาบเลอมอง ที่เมืองพุยยี่ (Pully ) ทรงตั้งชื่อว่า “วิลล่า วัฒนา”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลประดุจดังฝาแฝด ทรงใช้ชีวิตอย่างสามัญชนทั่วไป ในเวลาปิดภาคเรียน สมเด็จพระราชชนนีจะทรงพาไปประพาสนอกเมือง เสด็จทรงกีฬาอยู่เสมอ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการเล่นดนตรี โดยเฉพาะแคลริเนทและแซกโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีที่ทรงโปรดมาก

 

           เสด็จนิวัติพระนคร

ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2481 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมสมเด็จพระราชชนนี และ สมเด็จพระอนุชา ได้เสด็จนิวัติพระนคร โดยออกจากเมืองโลซานน์ทางรถไฟ ประทับเรือเดินสมุทร ถึงเกาะสีชังในวันที่ 15 พฤศจิกายน จากนั้นประทับในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เป็นการเสด็จนิวัติพระนครเป็นครั้งแรกหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในการเสด็จยังที่ต่างๆ นั้น สมเด็จพระอนุชา ( ขณะนั้นทรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ) มักตามเสด็จด้วยเสมอ จนมีพระฉายาในหมู่ราษฎรว่า “เจ้าฟ้าแว่น” เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นเด็กๆ ใส่แว่นสายตากันบ่อยนัก

หลังจากประทับอยู่ในเมืองไทยได้เพียง 59 วันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลก็ต้องทรงเสด็จกลับ   ไปทรงศึกษาต่อท่ามกลางความอาลัยของพสกนิกร

man1.jpg (26576 bytes)

man2.jpg (37872 bytes)

                                                                                                         

ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2488 เสด็จนิวัติพระนครอีกครั้งหนึ่ง ถึงประเทศไทยในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2488 พอดี พระราชกรณียกิจระหว่างประทับในเมืองไทย ที่สำคัญได้แก่ การเสด็จเยี่ยมชาวจีนที่อยู่ในสำเพ็ง เพื่อคลายความบาดหมางระหว่างชนชาติชาวจีนกับชาวไทย ยังความปลาบปลื้มให้แก่ประชาชนชาวจีน อินเดีย และไทยที่อาศัยอยู่ในสำเพ็งยิ่งนัก พระมหากรุณาธิคุณในการเสด็จประพาสสำเพ็งครั้งนี้ ทำให้รอยร้าวระหว่างชาวไทยกับชาวจีนที่มีอยู่เดิมหายไปหมดสิ้น

 

เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ

ประชาชนชาวไทยต้องประสบกับความวิปโยคและความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน โดยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง คณะรัฐมนตรีจึงได้กราบบังคมทูลเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ในพระปรมาภิไทยว่า “ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร “ แต่เนื่องจากขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุเพียง 19 พรรษา รัฐสภาจึงได้แต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการขึ้น และเสด็จกลับไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยทรงเปลี่ยนวิชาที่ทรงศึกษาจากวิทยาศาสตร์เป็นวิชากฏหมายและวิชารัฐศาสตร์

 

06right.jpg (1960 bytes)

 

 

 

 

 

 

1