บทที่ 5

สรุปผลการวิจัย การอภิปราย และข้อเสนอแนะ

สรุปผลการวิจัย

ในการวิจัย เรื่อง การยอมรับ และการใช้ประโยชน์ จากเครือข่ายโรงเรียน ของครูและนักเรียนมัธยม ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่ทำการศึกษา รับดับการยอมรับ นวัตกรรมเทคโนโลยีด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ตามโครงการ อินเตอร์เนต เพื่อโรงเรียนไทย ที่มีหน่วยงานหลายหน่วยงานมาร่วมมือกัน ตามนโยบายของรัฐบาล ในอันที่จะกระจาย ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ให้ทั่วถึง ในระดับโรงเรียนโดยกระจายทั่วประเทศ การนำเทคโนโลยีใหม่ เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษานั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็ คือ การยอมรับสิ่งนั้นเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะ ครูซึ่งเป็นเหมือนแม่แบบให้กับนักเรียนด้วยแล้วก็ยิ่ง เป็นที่หน้าศึกษาวิจัย ซึ่งการยอมรับของครูจะนำมาซึ่งผู้นำ ในความคิดให้กับนักเรียน กระทำตาม

การศึกษาวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นไปที่ การยอมรับนวัตกรรมเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย ในการเรียนการสอน ของครูและนักเรียนมัธยม ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่เป็นสมาชิก โครงการเครือข่ายโรงเรียน หรือ ( Schoolnet ) เพื่อเปรียบเทียบ ระดับการยอมรับ การใช้ประโยชน์ จากเครือข่าย ของครู และ นักเรียน ว่ามีความแตกต่างเพียงใด ละ ขนาดของโรงเรียนมีผลต่อการยอมรับเทคโนโลยี และการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายหรือไม่

ผลการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็น ครู จำนวน 100 คน และนักเรียน จำนวน 300 คน สรุปได้ดังนี้

สรุปผลการวิจัยด้านข้อมูลทั่วไป

ตอนที่ 1

สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางประชากร และ สถานะทางสังคมของ ครู และ นักเรียนมัธยม ตอนที่ 1.1 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางประชากร และสถานทางสังคม ของ นักเรียนมัธยม ในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กนักเรียน ที่ทำการสำรวจ จำนวน 300 คน พบว่า ส่วนใหญ่ เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 63.0 เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 37.0 ทั่งนี้เนื่องจากการสุ่มตัวอย่าง โดยแบ่งเป็นโรงเรียนขนาด เล็ก 1 โรงเรียน กลาง 2 โรงเรียน และใหญ่ 2 โรงเรียน 1 ใน 2 ของโรงเรียนขนาดใหญ่ เป็นโรงเรียนชายลวน จึงทำให้ กลุ่มตัวอย่างจึงมี เพศชายมากกว่าเพศหญิง กลุ่มตัวอย่างส่วนมากอายุอยู่ระหว่าง 15 - 17 ปี จำนวน 249 คน คิดเป็นร้อยละ 83.0 อายุ เพราะเป็นช่วงอายุ ดังกล่าว เป็นช่วงอายุของนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในลังศึกษาอยู่ระดับชั้น มัธยม 4 ดูได้จากจำนวน นักเรียนระดับชั้นมัธยม 4 ที่จำจำนวนตอบแบบสอบถามมากถึง จำนวน 116 คน คิดเป็นร้อยละ 38.7 ซึ่งส่วนใหญ่ศึกษาอยู่สายวิชาวิทยศาสตร์ จำนวน 177 คน ส่วนค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองให้กับกลุ่มตัวอย่างไม่สูงมากนักคิดเป็รรายได้ในแต่ละเดือนประมาณ 1,110 ถึง 2,000 บาท ต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 37.0 โดยผู้ปกครองส่วนใหญ่จะมีรายได้ ต่อเดือนประมาณ เดือนละ 20,000 ถึง 40,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 34.0 และประกอบอาชีพ ธุรกิจส่วนตัว หรือ ร้อยละ 38.0 และมีตำแหน่งเป็นเจ้าของกิจการธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 30.7 แต่ กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวใช้ จำนวน 154 คน คิดเป็นร้อยละ 51.3 เนื่องจาก รายได้ ของผู้ปกครอง ในแต่ระเดือน ยังต่ำอยู่ เมือพิจารณา อาชีพและตำแหน่งงานของผู้ปกครอง ที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือค้าขาย เป็นส่วนใหญ่จึงไม่ให้ความสำคัญด้านเทคโนโลยีมากเท่าไรนัก ตามที่ (Rogers and Shoemker) ได้พูดถึง คุณลักษณะของผู้ที่จะยอมรับนวัตกรรมนั้น จะมีสถานะภาพทางสังคมที่สูงกว่า มีรายได้ และทรัพย์สินมากกว่า มีอาชีพดีกว่าและมีระดับการดำรงชีวิตที่ดี จะมีการยอมรับนวัตกรรมเร็ว

ตอนที่ 1.2 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางประชากร และสถานทางสังคม ของ ครูมัธยม ในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง ที่เป็นครูมัธยม ที่ทำการสำรวจจำนวน 100 คน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 60 คน ครูเพศชาย 40 คน อายุ มากกว่า 41 ปี จำนวน 44 คน มีคุณวุฒิการศึกษาอยู่ระดับ ปริญญาตรี จำนวน 82 คน และมีสถานภาพสมรสแล้ว จำนวน 54 คน รายได้ต่อเดือนประมาณ 10,000 - 30,000 บาท จำนวน 62 คน ดำรงตำแหนง อาจารย์ 2 ระดับ 7 จำนวน 32 คน และมีหน้าที่รับผิดชอบในการสอนหนังสือนักเรียน เสียเป็นส่วนใหญ่ จำนวน 76 คน โดยสอนวิชา คอมพิวเตอร์ จำนวน 28 คน และสอนวิชาวิทยาศาสตร์ จำนวน 27 คน เป็นที่สังเกตได้ว่าครูที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ จะเป็น ครูที่มีอายุค่อนข้างสูง และเป็นลักษณะของการเป็นผลนำทางความคิด และมีฐานนะทางการเงินที่มันคง และมีระดับการศึกษาสูง จึงทำให้ครูส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของเทคโนโลยี สังเกตได้จาก ครูส่วนใหญ่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ส่วนตัว จำนวน 67 คน เมื่อเทียบการคอบครองเทคโนโลยี ระหว่างครู กับนักเรียนแล้ว จึงมีความแตกต่างกัน เนื่องจาก สถานะภาพทางสังคม การดำรงชีพ รายได้ ครูที่สูงกว่านักเรียนนั้นเอง

ตอนที่ 1.3 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการยอมรับเทคโนโลยี ของนักเรียนมัธยม

สำหรับการยอมรับนวัตกรรมเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แบงตาม คุณลักษณะของของนวัตกรรม 5 ประการคือ ความได้เปรียบเชิงเทียบ ความเข้ากันได้ ความซับซ้อนยุ่งยาก สามารถนำไปทดลองใช้ได้ และ สามารถสังเกตเห็นผลได้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ยอมรับว่า เทคโนโลยีเครือข่ายโรงเรียน เป็นเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ ทันสมัยและสดวกสบาย โดยมีผู้ตอบว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึง ร้อยละ 37.7 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยในการยอมรับของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด พบว่าอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง รองลงมามีการยอมรับว่าเทคโนโลยีเครือข่ายโรงเรียน เป็นระบบสื่อสารที่ทำให้ผู้ใช้เป็นคนทันสมัยอยู่เสมอ ร้อนละ 30.3 ระบุว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยมีค่าเฉลี่ยในการยอมรับของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด พบว่าอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง และมีกลุ่มตัวอย่างมียอมรับว่า บริการในระบบเครือข่ายโรงเรียน มีความเหมาะสมและเข้ากันได้กับการเรียนการสอน ร้อยละ 30.3 โดยพิจารณาค่าเฉลี่ยในการยอมรับของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด พบว่าอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง จะเห็นว่ากลุ่มตัวอย่างนักเรียนมีการยอมรับนวัตกรรมเทคโนโลยี นั้นดีกว่า มีประโยชน์มากกว่าสิ่งเก่า โดยวัดประโยชน์ในแง่เศรษฐกิจ ความเชื่อถือของสังคม เกียรติยศ ความสดวกสบายในการเรียนการสอน และเข้ากับค่านิยมใหม่ของสังคมกับการเป็นคนทันสมัย

ตอนที่ 1.4 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการยอมรับเทคโนโลยี ของครูมัธยม

กลุ่มตัวอย่างครูส่วนใหญ่ ยอมรับ เหมือนกับนักเรียน คือยอมรับว่า เทคโนโลยีเครือข่ายโรงเรียน เป็นเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ ทันสมัยและสดวกสบาย โดยมีผู้ตอบว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึง ร้อยละ 25.0 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยในการยอมรับของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด พบว่าอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง รองลงมามีการยอมรับว่าเทคโนโลยีเครือข่ายโรงเรียน เป็นระบบสื่อสารที่ทำให้ผู้ใช้เป็นคนทันสมัยอยู่เสมอ ร้อนละ 23.0 ระบุว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยมีค่าเฉลี่ยในการยอมรับของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด พบว่าอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง และมีกลุ่มตัวอย่างมียอมรับว่า บริการในระบบเครือข่ายโรงเรียน มีความเหมาะสมและเข้ากันได้กับการเรียนการสอน ร้อยละ 18.0 โดยพิจารณาค่าเฉลี่ยในการยอมรับของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด พบว่าอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง

ตอนที่ 1.5 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ บริการเครือข่ายโรงเรียนของครูและนักเรียนมัธยม ประกอบด้วยสถานที่ใช้ , ระยะเวลาที่เคยใช้ , ความบ่อยครั้งในการใช้ , ช่วงเวลาในการใช้ สถานที่ใช้เครือข่ายโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ใช้ที่โรงเรียน ครู ร้อยละ 56.0 นักเรียน ร้อยละ 73.7 ระยะเวลาที่เคยใช้บริการเครือข่ายโรงเรียน ครูส่วนใหญ่จะมีประสพการในการใช้เครือข่ายโรงเรียนก่อนนักเรียนคือ ใช้มาเป็นเวลา 3 - 6 เดือน ส่วนนักเรียน ส่วนใหญ่เคยใช้มาที่หลังครู ครูใช้มาเป็นเวลา น้อยกว่า 3 เดือน เนื่องจากตามโครงการเครือข่ายโรงเรียนในระยะเริ่มแรกนั้นจะเชื่อมโยงเครือข่าย เพื่อให้บริการกับครูผู้สอนก่อน ซึ่งบางโรงเรียนมีเครืองคอมพิวเตอร์ที่ต่อเชื่อมกับเครือข่าย เพียงเครื่องเดียว จากนั้นจึงขยายไปสู่นักเรียน โดยเพิ่มหลักสูตรในการเรียนการสอนเกี่ยวกับ Internet เข้าไปในหลักสูตร สำหรับระยะเวลาในการใช้ในแต่ละครั้งของครูจะใช้เวลานานมากที่สุดคือ จะใช้เวลา ประมาณ 30 นาที - 60 นาที ต่อ ครั้งคิดเป็นร้อยละ 30.0 ส่วนนกเรียนจะใช้เวลาในการใช้บริการแต่ละครั้ง มากที่สุด ประมาณ 15 นาที - 30 นาที คิดเป็นร้อยละ 36.3 ความบ่อยครั้งในการใช้บริการ ครู จะมีการใช้ น้อยกว่านักเรียน คือส่วนใหญ่ จะใช้บริการ นานๆครั้ง คิดเป็นร้อยละ 49.0 ส่วนนักเรียน จะใช้บริการมากกว่า คือ ส่วนใหญ่ จะใช้บริการทุกวัน คิดเป็นร้อยละ 45.0 ช่วงเวลาที่ใช้บริการ ครูส่วนใหญ่จะใช้บริการ ในช่วงเวลา หลังเวลาเรียนเวลาสอน คิดเป็นร้อยละ 43.0 ส่วนนักเรียนส่วนมากจะใช้บริการในช่วงเวลาเรียนเวลาสอน คิดเป็นร้อยละ 36.7 สรุปครู จะมีประสพการการใช้ก่อนนักเรียนและใช้ลบริการแต่ระครั้งจะใช้เวลานาน แต่จะใช้นานๆ ครั้ง โดยใช้ช่วงเวลาหลังเวลาเรียนเวลาสอน ส่วนนักเรียนจะมีประสพการการใช้น้อยกว่าครู การเข้าใช้บริการแต่ระครั้งจะใช้เวลาสั่น ๆ แต่ ใช้บริการทุกวัน ในช่วงเวลาเรียนเวลาสอน

สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ ความบ่อยครั้งในการใช้บริการเครือข่ายโรงเรียน ของครูและนักเรียนมัธยม โดยใช้ ผลคูณของคะแนนความบ่อยครั้ง กับ ระยะเวลาในการใช้บริการ ความบ่อยครั้งของการใช้บริการ ของครูและนักเรียน พบว่า ยังมีการใช้บริการน้อยครั้งอยู่ คือ ครูมีการใช้น้อยครั้ง มากถึง ร้อยละ 38.0 และ นักเรียน คิดเป็นร้อยละ 54.3 รองลงมาใช้บริการปานกลาง ครู จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 35.0 ส่วนนักเรียน จำนวน 107 คน คิดเป็นร้อยละ 35.7 ทั้งนี้เนื่องจาก การให้บริการเครือข่ายยังไม่เพียงพอกับการ ขอใช้บริการ ของครู และ นักเรียน ทั้งช่วงเวลา และอุปกรณ์ ที่ใช้บริการ ดังนั้น ผลของความบ่อยครั้งในการใช้บริการ ทั้งครู และ นักเรียนจึงไม่แตกต่างกัน คือ มีการใช้บริการน้อยอยู่

ตอนที่ 1.6 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ ความเชี่ยวชาญการใช้คอมพิวเตอร์ และบริการจากเครือข่าย ประกอบด้วย เคยใช้ Internet จากที่อื่นหรือไม่ , การมี E-Mail Address , การมี Home page แนะนำตัวเอง , การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ , การเรียนรู้การใช้ Internet , และ การใช้บริการประเภทต่าง ๆ ในระบบเครือข่าย กลุ่มตัวอย่าง เคยใช้ Internet จากที่อื่น พบว่าครูมีประสพการการใช้ Internet มากกว่า นักเรียน ครู คิดเป็นร้อยละ 52.0 ส่วนนักเรียน ไม่เคยใช้ Internet จากที่อื่น เนื่องจากครูจะมีประสพการมากกว่าและมีสถานะทางสังคม รายได้ ที่ดีกว่านักเรียน สำหรับการมี E-Mail Address พบว่า ครู และ นักเรียน เหมือนกัน คือ ไม่มี E-Mail Address ครู คิดเป็นร้อยละ 65.0 และนักเรียน คิดเป็น ร้อยละ 61.7 ส่วนการมี Home page แนะนำตัวเอง ก็เช่นกับ พบว่า ครู และ นักเรียนเหมือนกัน คือ ครู คิดเป็น ร้อยละ 88.0 นักเรียน คิดเป็น ร้อยละ 81.7 เมื่อพิจารณาความเชี่ยวชาญการใช้ระบบเครือข่ายโรงเรียนพบว่า ทั้งครูและนักเรียน ยังคงมีความชำนาญน้อยอยู่ เนื่องจาก ประสบการการใช้ ซึ่ง ครู เคยใช้มา 3 - 6 เดือน และ นักเรียน ซึ่งน้อยกว่า 3 เดือน แล้ว ก็คงจะเป็นข้อมูลยืนยันได้

การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทต่าง ๆ ของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า โปรแกรม World Processing ครูและนักเรียนมีความสามารถใช้ได้มาก คือ ครู คิดเป็น ร้อยละ 88.0 นักเรียน คิดเป็นร้อยละ 47.7 รองลงมา ซึ่ง โปรแกรมดังกล่าว เป็นโปรแกรมที่ได้รับความนิยม และ การใช้มาก โดยมีการบรรจุเข้าไปในหลักสูตร ตั้งแต่ มัธยมต้น และครูส่วนใหญ่จะนำไปใช้ แทนเครืองพิมพดีด ในการพิมพ์งาน ครูมีความสามารถในการใช้ โปรแกรม Database และ Graphics Art เท่ากัน คือ จำนวน 31 คน คิดเป็นร้อยละ 31.0 เนืองจากจะต้องใช้การบันทึกการเรียนการสอบ จึงมีความชำนาญในโปรแกรมนี้ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูล ส่วนนักเรียนมีความสามารถใช้ โปรแกรม Spread Sheet จำนวน 121 คน คิดเป็นร้อยละ 40.3 การเรียนรู้ การใช้ Internet ส่วนใหญ่ ครูและนักเรียน เรียนรู้มาจากเพื่อนและญาติพี่น้อง ครู คิดเป็นร้อยละ 47.0 นักเรียน คิดเป็น ร้อยละ 47.3 รองลงมา ครูมีการเรียนรู้มาจากการเข้าอบรมหลักสูตรของโครงการเครือข่ายโรงเรียน คิดเป็นร้อยละ 36.0 ส่วนนักเรียนมีการเรียนรู้มาจากชั้นเรียน หรือ การเรียนการสอน คิดเป็นร้อยละ 44.3 การใช้บริการในเครือข่ายโรงเรียน ประเภทที่ ครู และ นักเรียนใช้มากที่ สี่ คือ การสืบค้นข้อมูล ด้วย WWW. ครูคิดเป็นร้อยละ33.0 ที่ระบุว่าใช้มากที่สุด เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยในการใช้ของกลุ่มตัวอย่างพบว่า ในระดับใช้มากที่สุด ส่วนนักเรียน คิดเป็น ร้อยละ 31.0 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยในการใช้ของกลุ่มตัวอย่างพบว่า ในระดับใช้มากที่สุด รองลงมาสำหรับครู ใช้บริการ E-Mail มากที่สุด ร้อยละ 10.0 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยในการใช้ของกลุ่มตัวอย่างพบว่า ในระดับมากที่สุด ส่วนนักเรียน มีการใช้ บริการสนทนาออนไลน์ Chat,Talk, IRC มากที่สุด ร้อยละ 16.0 เมือพิจารณาค่าเฉลี่ยในการใช้ของกลุ่มตัวอย่างพบว่า ในระดับมากที่สุด เนื่องจาก Chat กำลังได้รับการนิยมมากในหมู่วัยรุ่น

ตอนที่ 1.7 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ การใช้ประโยชน์จากการติดต่อสื่อสารผ่าน เครือข่ายโรงเรียน ของครูและนักเรียนมัธยม กลุ่มตัวอย่างครู มีการใช้ปรโยชน์จากการสื่อสารผ่านเครือข่ายโรงเรียน มากที่สุด เพื่อค้นคว้าหาหนังสือตามห้องสมุดต่างๆ ร้อยละ 6.0 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยการใช้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า อยู่ในระดับใช้ทุกวัน รองลงมา ใช้เพื่อค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ในระบบเครือข่ายเพื่อประกอบการเรียนการสอน ร้อยละ 6.0 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยการใช้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า อยู่ในระดับใช้ทุกวัน จะเห็นว่าครูส่วนใหญ่จะใช้บริการเครือข่ายโรงเรียน เพื่อประโยชน์ในการเรียนการสอน เพื่อค้นคว้าหาข้อมูลประกอบการสอน กลุ่มตัวอย่างนักเรียน มีการใช้ประโยชน์จากการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายโรงเรียน มากที่สุด เพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียน เช่น ทำรายงานกลุ่ม,การบ้าน โดยสื่อสารผ่านระบบเครือข่าย ร้อยละ 9.0 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยการใช้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า อยู่ในระดับใช้ทุกวัน รองลงมา ใช้เพื่อค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ในระบบเครือข่ายเพื่อประกอบการเรียน ร้อยละ 12.3 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยการใช้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า อยู่ในระดับใช้ทุกวัน

ตอนที่ 1.8 สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ การใช้ประโยชน์ จากเครือข่ายโรงเรียน ของครูและนักเรียนมัธยม ประกอบด้วยความต้องการสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง, ความต้องการมีการติดต่อสื่อสารทางสังคม,ความต้องการสิ่งแปลดใหม่และบันเทิง,ความต้องการข้อความจริงและความรู้เกี่ยวกับโลก กลุ่มตัวอย่าง ครู มีการใช้ประโยชน์ ในด้านทำให้ครูเป็นคนทันต่อเหตุการณ์และเป็นคนทันสมัย ร้อยละ27.0 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยการใช้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า อยู่ในระดับใช้มากที่สุด รองลงมาคือ เพื่อแสดงความกว้าหน้าของโรงเรียน ร้อยละ 31.0 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยการใช้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า อยู่ในระดับใช้มากที่ ส่วนกลุ่มตัวอย่างนักเรียนมัธยม มีการใช้ประโยชน์ เพื่อความเพลิดเพลินและการพักผ่อนหย่อนใจ มากที่สุด ร้อยละ 35.0 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยการใช้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า อยู่ในระดับใช้มากที่สุด รองลงมา ใช้ เพื่อความทันเหตุการณ์และเป็นคนทันสมัย ร้อยละ 31.07 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยการใช้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพบว่า อยู่ในระดับใช้มากที่สุด จะเห็นว่าครูมีการประโยชน์จากเครือข่ายในการแสดงความเป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์และ แสดงถึงความกว้าหน้าของโรงเรียน ในขณะที่นักเรียน ส่วนใหญ่ใช้เครือข่าย เพื่อความบันเทิง พักผ่อนหย่อนใจเป็นส่วนใหญ่

ตอนที่ 2

สรุปการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบ สมมุติฐาน ได้แก่

  1. สมมุติฐานที่ 1 ความแตกต่างทางประชากร และ สถานะทางสังคม มีการยอมรับ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความแตกต่างทางประชากร และสถานะทางสังคม มีการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ไม่แตกต่างกัน
  2. สมมุติฐานที่ 2 ครูที่มีสถานะโรงเรียนแตกต่างกัน จะมีการยอมเทคโนโลยีรับแตกต่างกัน แต่ การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ไม่แตกต่างกัน
  3. สมมุติฐานที่ 3 นักเรียนที่มีสถานะโรงเรียนแตกต่างกัน จะมีการยอมรับเทคโนโลยี และการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ไม่แตกต่างกัน ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
  4. สมมุติฐานที่ 4 การยอมรับเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์ กับการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ของครูและนักเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 6.
  5. สมมุติฐานที่ 5 การยอมรับเทคโนโลยี ไม่มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการใช้เครือข่ายโรงเรียน ของ ครูและนักเรียน ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 7.

การอภิปรายผล

การวิจัยเรื่อง " การยอมรับ และการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ของครูและนักเรียนมัธยม ในเขตกรุงเทพมหานคร " ได้ผลการวิจัยที่น่าสนใจหลายประการ

1. สรุปผลการวิเคราะห์ การยอมรับเทคโนโลยี ของครู และนักเรียน

ในเรื่องผลการวิเคราะห์ คุณลักษณ์ทางประชากร และ สถานะทางสังคม นักเรียน กับการยอมรับเทคโนโลยี พบว่า นักเรียนชาย กับ นักเรียนหญิง มีการยอมรับเทคโนโลยี ไม่แตกต่างกัน โดยส่วนมาก จะยอมรับว่าเทคโนโลยีเครือข่ายโรงเรียน เป็นระบบสื่อสารที่ทันสมัย และ สดวกสบาย ทำให้นักเรียนเป็นคนทันสมัยอยู่เสมอ ซึ่งตามทฤษฎี ของ (Rogers and Shoemaker , 1971 ) ได้กล่าว ถึงคุณลักษณะของนวัตกรรม ว่า การที่ผู้ยอมรับวัตกรรมสูงกว่า นวัตกรรมนั้นดีกว่า มีประโยชน์กว่า สิ่งเก่าๆ โดยวัดในแง่เศรษฐกิจ หรือแง่อื่น ๆ เช่น ความเชื่อถือของสังคม เกียรติยศ ความสะดวกสบาย ส่วนตัวแปร เกี่ยวกับสายวิชาที่เรียน ทั่ง สายวิทย และ สายศิลป นักเรียนทั้ง 2 สาย มีการยอมรับไม่แตกต่างกัน เนื่องจากทั้ง 2 สายวิชาจะมีการเรียนการสอน เกี่ยวกับวิชาคอมพิวเตอร์เหมือนกัน ตามที่(Rogers and Shoemker) ได้กล่าวว่า ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี จะมีผลกับการยอมรับนวัตกรรมนั้น ซึ่ง นักเรียน ทั้ง 2 สายวิชา มีการเรียนรู้ความเชียวชาญเหมือนกัน เช่นเดี่ยวกับการครอบครอง เทคโนโลยี ของนักเรียน ซึ่งการวิจัยนี้ ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ส่วนตัว พบว่า นักเรียนที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ และ ไม่มีเครื่อคอมพิวเตอร์ ใช้ส่วนตัว ไม่มีความแตกต่างกันในการยอมรับเทคโนโลยี ซึ่งเมือพิจารณาพฤติกรรมการใช้บริการเครือข่ายโรงเรียน ของนักเรียน ส่วนใหญ่จะใช้บริการจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียน มากกว่าใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน ส่วนตัวแปร อายุ ของนักเรียน พบว่า เด็กนักเรียน ที่มีอายุเท่ากัน และอายุต่างกัน จะมีการยอมรับเทคโนโลยี ไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อพิจารณาตามตัวแปร ระดับชั้นที่กำลังศึกษา พบว่า นักเรียนชั้นมัธยม 6 มีการยอมรับเทคโนโลยีมากว่า นักเรียนมัธยม 5 สำหรับ ตัวแปล ที่เกี่ยวข้องกับสถานะทางสังคม โดยเฉพาะ รายได้แต่ละเดือนของนักเรียนจากผลปกครอง รายได้ต่อเดือนของผู้ปกครอง อาชีพ การดำรงตำแหน่งงาน พบว่า ตัวแปรดัง กับ การยอมรับเทคโนโลยี ของนักเรียน ไม่มีความแตกต่างกัน ซึ่งหากพิจารณาตามแนวคิดของ Rogers and Shoemker ว่าสถานทางสันคม ไม่ว่าจะเป็นรายได้ อาชีพ การดำรงชีวิตที่ดีกว่าจะมีการยอมรับนวัตกรรมมากว่า แต่เมื่อพิจารณาจากข้อมูล แล้ว พบว่า รายได้ของนักเรียนจากผู้ปกครองในแต่ระเดือน และรายได้ของผู้ปกครองในแต่ระเดือน ยังมีรายได้น้อยอยู่ และ อาชีพส่วนใหญ่จะประกอบการค้าขาย ธุรกิจส่วนตัวมากกว่า จึงมีผลต่อ การยอมรับเทคโนโลยี และการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ในเรื่องผลการวิเคราะห์ คุณลักษณ์ทางประชากร และ สถานะทางสังคม ครู กับการยอมรับเทคโนโลยี และ พบว่า ครูเพศชาย มีการยอมรับเทคโนโลยี มากกว่า ครูเพศหญิง ส่วนตัวแปล ด้านสถานภาพการสมรส , และการเป็นเจ้าของเทคโนโลยี คือการมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ส่วนตัว ไม่มีผลกับ การยอมรับเทคโนโลยี การวิจัยนี้ พบว่า ตัวแปล ด้าน คุณวุฒิการศึกษา รายได้ต่อเดือน การดำรงตำแหน่ง ลักษณะงานที่รับผิดชอบ การปฏิบัติการสอนรายวิชา ไม่มีความแตกต่างกัน ในการยอมรับเทคโนโลยี ความแตกต่างกันระหว่างครู กับนักเรียน ที่มีความแตก ต่าง ทั้งลักษณะทางประชากร และสถานะทางสังคม พบว่า นักเรียน มีการยอมรับเทคโนโลยี ด้านความเข้ากันได้ กับการเรียนการสอน สังคม วัฒนธรรม ด้านความสามารถนำไปทดลองใช้ได้ และ ด้านความสังเกตเห็นผลได้ แตกต่างกับ ครู กล่าวคือ นักเรียน มีแนวโน้มที่ยอมรับมากกว่า ครู ทั้งนี้ เนื่องจาก ครู และ นักเรียน มีความแตกต่างด้านสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ ทั่ง อายุ ระดับการศึกษา รายได้ ตามแนวคิกของ โรเจอร์สและชูเมคเกอร์ ซึ่งจะมีผลต่อการยอมรับ จากนวัตกรรมนั้น จึงมีแนวโน้ม ว่า นักเรียนซึ่งมีอายุน้อยกว่า ระดับการศึกษาน้อยกว่า รายได้น้อยกว่า แต่มีส่วนรวมในสังคม คือการทดลองใช้ตามแนวนิยมของสังคมที่กำลังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี จึงทำให้ นักเรียน มีการยอมรับเทคโนโลยี มากกว่า ครู ซึ่งมีอายุมากกว่า และมีระดับการศึกษา รายได้ และสถานทางสังคมมากกว่า นักเรียน ตัวแปรความแตกต่างระหว่าง กลุ่มครู ที่มีสถานโรงเรียนแตกต่างกัน พบว่า ครู มัธยมโรงเรียนขนาดใหญ่มีการยอมรับเทคโนโลยี แตกต่างกับ ครูโรงเรียนขนาดกลาง คือ ครูโรงเรียนใหญ่มีการยอมรับเทคโนโลยี ด้านความซับซ้อนนุ่งยาก มากกว่า ครูโรงเรียนขนาดกลาง และครูโรงเรียนขนาดเล็ก มีการยอมรับมากกว่า ครูโรงเรียน ขนาดกลาง ตัวแปรความแตกต่างระหว่า กลุ่มนักเรียน ที่มีสถานโรงเรียนแตกต่างกัน พบว่า กลุ่มนักเรียน มีการยอมรับ ไม่แตกต่างกัน คือ ยังมีการยอมรับเทคโนโลยี น้อยอยู่

2. ในเรื่อผลการวิเคราะห์ การใช้ประโยชน์จากเครือข่าย ของครู และนักเรียน

ในเรื่องผลการวิเคราะห์ คุณลักษณ์ทางประชากร และ สถานะทางสังคม นักเรียน การใช้ประโยชน์ประเด็นหนึ่งที่หน้าสนใจ ก็คือ ตัวแปรในเรื่องเพศ ซึ่งไม่มีผล กับการยอมรับเทคโนโลยี แต่มีผลต่อการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย โดยกลุ่มนักเรียนชาย จะมีการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน มีแนวโน้มมากกว่า นักเรียนหญิง ไม่ว่าจะเป็นในแง่การใช้ประโยชน์เพื่อความเพลิดเพลินและการพักผ่อนหย่อนใจ เมื่อพิจารณาประเด็นนี้ ตามแนวความคิดของ (Morray and Kippax,1979) ได้อธิบายว่า บุคคลจะให้ความสนใจ รับรู้ และใช้ประโยชน์จากการสื่อสาร ที่จะให้ความพงพอใจ หรือสามารถตอบสนองความต้องการของตน เท่าที่บุคคลนั้นคิดว่ามีประโยชน์ หรือสนองความพอใจกับเขาได้ ซึ่งนักเรียน คิดว่า เทคโนโลยีเครือข่ายโรงเรียน จะสนองความพึงพอใจในความบันเทิงและเพื่อความพักผ่อนหย่อนใจมากกว่า

ส่วนตัวแปร เกี่ยวกับสายวิชาที่เรียน ทั่ง สายวิทย และ สายศิลป นักเรียนทั้ง 2 สาย เช่นเดี่ยวกับการครอบครอง เทคโนโลยี ของนักเรียน ซึ่งการวิจัยนี้ ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ส่วนตัว พบว่า นักเรียนที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ และ ไม่มีเครื่อคอมพิวเตอร์ ใช้ส่วนตัว ไม่มีความแตกต่างกันใน การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ซึ่งเมือพิจารณาพฤติกรรมการใช้บริการเครือข่ายโรงเรียน ของนักเรียน ส่วนใหญ่จะใช้บริการจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียน มากกว่าใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เพราะจำนวนนักเรียนที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ส่วนตัว ยังมีประมาณน้อยอยู่

ตัวแปร อายุ และ ตัวแปร ระดับชั้นที่กำลังศึกษา รายได้แต่ละเดือนของนักเรียนจากผู้ปกครอง รายได้ต่อเดือนของผู้ปกครอง อาชีพ การดำรงตำแหน่ง กับ การใช้ประโยชน์จากเครือข่าย ไม่แตกต่างกัน ในเรื่องผลการวิเคราะห์ คุณลักษณ์ทางประชากร และ สถานะทางสังคม ครู การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียนพบว่า ครูเพศชาย มีการยอมรับเทคโนโลยี มากกว่า ครูเพศหญิง แต่การใช้ประโยชน์จากเครือข่าย กลับไม่มีความแตกต่างกัน

ส่วนตัวแปล ด้านสถานภาพการสมรส , และการเป็นเจ้าของเทคโนโลยี คือการมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ส่วนตัว ไม่มีผลกับ การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ของครูเลยตัวแปลอายุของครูนั้นไม่มีผลกับ การยอมรับเทคโนโลยี แต่ มีผลกับการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน คือ พบว่า ครูที่มีอายุระหว่า 23 - 30 ปี จะมีการใช้ประโยชน์มากกว่า ครูที่มีอายุสูงกว่า 41 ปี ซึ่งตรงกับ แนวคิดของ(Kippax and Murray ) ได้กล่าวว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา เป็นตัวกำหนดการใช้ และ การรับรู้ประโยชน์ของสื่อ คนทีมีอายุน้อย จะมีแนวโน้มที่จะ ยอมรับ และใช้ประโยชน์ ได้เร็วกว่าคนที่มีอายุมากกว่าแต่การวิจัยนี้ พบว่า ตัวแปล ด้าน คุณวุฒิการศึกษา รายได้ต่อเดือน การดำรงตำแหน่ง ลักษณะงานที่รับผิดชอบ การปฏิบัติการสอนรายวิชา ไม่มีความแตกต่างกัน การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ความแตกต่างกันระหว่างครู กับนักเรียน ที่มีความแตก ต่าง ทั้งลักษณะทางประชากร และสถานะทางสังคม พบว่า นักเรียนมีการใช้ประโยชน์ ในด้านเพื่อติดต่อสื่อสารทางสังคม และ เพื่อสิ่งแปลกใหม่และความบันเทิง แตกต่างจากครู คือ นักเรียน มีแนวโน้มในการใช้ประโยชน์ มากกว่า ครู ทั้งนี้ เนื่องจาก ครู และ นักเรียน มีความแตกต่างด้านสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ ทั่ง อายุ ระดับการศึกษา รายได้ ตามแนวคิกของ โรเจอร์สและชูเมคเกอร์ ซึ่งจะมีผลต่อการยอมรับและการรับรู้ประโยชน์ จากนวัตกรรมนั้น จึงมีแนวโน้ม ว่า นักเรียนซึ่งมีอายุน้อยกว่า ระดับการศึกษาน้อยกว่า รายได้น้อยกว่า แต่มีส่วนรวมในสังคม คือการทดลองใช้ตามแนวนิยมของสังคมที่กำลังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี จึงทำให้ นักเรียน มีการยอมรับเทคโนโลยี และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี มากกว่า ครู ซึ่งมีอายุมากกว่า และมีระดับการศึกษา รายได้ และสถานทางสังคมมากกว่า นักเรียน ตัวแปลความแตกต่างระหว่าง กลุ่มครู ที่มีสถานโรงเรียนแตกต่างกัน พบว่า ครูมัธยม มีการใช้ประโยชน์ ไม่แตกต่างกับ ส่วนกลุ่มนักเรียน ที่มีสถานโรงเรียนแตกต่างกัน พบว่า มีการใช้ประโยชน์จากเครือข่าย ไม่แตกต่างกัน คือ ทั้ง ครู และนักเรียน ยังมีการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ในปริมาณน้อยอยู่ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า การยอมรับเทคโนโลยี และการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ยังไม่แพร่หลาย เท่าที่ควร ในกลุ่ม นักเรียน และ ครู เนื่องจากประการแรก เพราะยังมีสื่อสื่ออื่น ๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน และ การค้นคว้าหาข้อมูลความรู้ได้สะดวกรวดเร็ว และเสียค่าใช้จ่ายน้อย เช่น การค้นคว้าในห้องสมุด การอ่านหนังสิ่งพิมพ์หรือวารสาร นิตยสาร ต่างๆ การฟังวิทยุ หรือ ชมโทรทัศน์ และ วิดีทัศน์ ซึ่งเมือเปรียบเทียบกับการใช้ สื่อ อินเตอร์เน็ต แล้ว ยังมีข้อจำกัด อยู่หลายประการ เช่น จำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อให้บริการ ยังไม่เพียงพอ ช่วงเวลาที่เข้าใช้ ที่บางครั้งต้องจองเวลาก่อนล่วงหน้าหลายวัน และ การลงทุน กับอุปกรณ์ เชื่อมต่อ ให้เป็นระบบเครือข่ายภายในโรงเรียน บางโรงเรียนยังไม่พร้อม ทั้งในด้าน นโยบาย และ เงินทุน นอกจากนี้ การสืบค้นข้อมูลก็ทำได้ยาก กว่าการสืบค้นข้อมูลจากสื่ออื่น จะต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ในการสืบค้นสูง ซึ่งสื่อ อินเตอร์เน็ต ตามโครงการ ยังอยู่ระยะแรก จึงมี นักเรียน และครู ยังอยู่ในขั้นเรียนรู้ การใช้ระบบ แต่ยังไม่มีความชำนาญ ในการใช้เท่าที่ควร ประการที่สอง ความหน้าสนใจของสื่อ อินเตอร์เน็ต ซึ่งถึงแม้จะมีการตกแต่งหน้าของ โฮมเพจ ให้มีความสวยงาม ซึ่งมีทั้ง ภาพ เนื้อหา ภาพเคลื่อนไหว เสียง เข้ามีส่วนในการดึงดูดความสนใจ แต่มีข้อ จำกัด ที่อุปกรณ์ ในการแปลงสัญญาณ ภาพเคลื่อนไหว และ เสียง คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ในโรงเรียน ไม่มี sound card เมื่อวิเคราะห์ตาม ลักษณะ ทางประชากร ของครู และ นักเรียน กับการยอมรับ พบว่า ทั้งครูและนักเรียน ยอมรับ ว่า การสื่อสารผ่านเครือข่ายโรงเรียน จะทำให้เป็นคนทันสมัย และส่งเสริมภาพพจน์ให้กับโรงเรียน แต่ ทั้งครู และ นักเรียน ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนได้หรือไม่ เพราะจากการที่ได้ทดลองใช้แล้วไม่สามารถสนองประโยชน์ในแง่การการสอนมากนัก ซึ่งเมื่อพิจารณาการใช้ประโยชน์ ตามประเภท แล้ว พบว่า ครู จะ ใช้ประโยชน์ ในเรื่องการสืบค้นข้อมูล เพื่อประกอบการสอน มากกว่า นักเรียน ส่วน นักเรียน จะใช้ประโยชน์ ในด้านความบันเทิง และ การพักผ่อนหย่อนใจ มากกว่า ซึ่งอาจเป็นเพราะ ครู ซึ่งมีอายูมากกว่า การศึกษาสูงกว่า จึงมี ความสนใจไปที่เนื้อหา และ สาระมากกว่าความบันเทิง ส่วนนักเรียน ซึ่งยังอยู่ใน วัยรุ่น ที่มีความสนใจ ดนตรี ภาพยนต์ การพูดคุย ในแง่มุมของ ความบันเทิง พักผ่อน มากกว่า ความสนใจในเนื้อหา และสาระมากนักและเวบไซด์ ต่างๆ ก็ เน้นเนื้อหาไปในลักษณะ ความบันเทิงมากกว่า ข้อมูล และ สาระ เนื่องจาก กลุ่มเป่าหมายส่วนใหญ่ มุ่งไปที่ กลุ่มวัยรุ่นอายุน้อย ที่มีการเข้าใช้บริการมากกว่า กลุ่มผู้สูงอาย

3. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่าง การยอมรับเทคโนโลยี กับ การใช้ประโยชน์ จากเครือข่าย พบว่า การยอมรับเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์ กับการใช้ประโยชน์ ของครูและนักเรียน ที่มีการยอมรับมาก ก็จะมีแน้วโน้มว่า จะมีการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายมาก อย่างที่ Rogers and Shoemker ได้ กล่าวไว้ว่า ระดับการยอมรับนวักรรม ขึ้นอยู่กับระดับความตั้งใจ และความปราถนา ผู้ที่ยอมรับเร็วจะมีระดับความตั้งใจที่จะทำสิ่งนั้น ให้บรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดกว่าผู้ยอมรับนวัตกรรมช้า อีกทั้งยังมีความปราถนา หรือความ ต้องการ ศึกษา ในสิ่งนั้นสูง กล่าวคือ ครูและนักเรียน ที่มีการยอมรับ มาก ก็จะมีแรงปราถนาที่จะศึกษา และใช้ ประโยชน์จาก นวัตกรรม อินเตอร์เน็ตมาก เช่นเดี่ยวกับ กลุ่ม ครู และนักเรียน ที่ไม่ยอมรับเทคโนโลยี ก็จะมีแรง ปราถนา ที่ ใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้น น้อยเช่นกัน 4. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง การยอมรับเทคโนโลยี กับ พฤตกรรมการใช้ เครือข่ายโรงเรียน ของครูและนักเรียน พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กัน กล่าว คือ กลุ่มครูและนักเรียน พฤติกรรมการใช้ที่มีการใช้น้อย ก็อาจจะมีการยอมรับมากก็เป็นได้ เนื่องจากอุปสรรค์ ในการใช้ ที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการมีน้อย และไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ส่วนตัว ส่วนคนที่พฤติกรรมการใช้มาก ก็อาจจะมีการยอมรับน้อยก็เป็นได้ เนื่องจาก พฤติกรรมการใช้เครือข่ายมากก็อาจมากจาก การที่นักเรียนต้องใช้ในช่วงเวลาเรียนเวลาสอนทุกวัน ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทุกวัน แม้จะไม่ยอมรับเทคโนโลยีนั้น ก็ตาม แต่หาก พิจารณาพฤติกรรมการใช้ ทั้งครูและนักเรียนแล้ว พบว่า ทั่งครูและนักเรียน ยังมีปริมาณการใช้น้อยมาก ซึ่งก็มีแนวโน้มที่จะยอมรับเทคโนโลยีนั้น น้อยไปด้วยเช่นกันกับพฤติกรรมการใช้ กับ การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโรงเรียน ก็ไม่มีความสัมพันธ์กัน 5. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่าง การยอมรับเทคโนโลยี กับ การใช้ประโยชน์จากการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่านโรงเรียน พบว่า การยอมรับเทคโนโลยี มีความสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์จากการติดต่อสื่อสารผ่านระบบ กล่าวคือ ครูและนักเรียนที่มีการยอมรับมาก จะมีแนวโน้ม ว่าจะใช้ประโยชน์จากการสื่อสารมากเช่นกัน อย่างเช่นที่ (Rogers and Shoemker) ได้กว่าไว้ว่า ผู้ที่ยอมรับนวัตกรรมในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคม จะมีพฤติกรรมสื่อสารระหว่าง ตนเองกับ บุคคลอื่นๆ ในสังคมที่ต่างกัน เมื่อพิจารณา การติดต่อสื่อสาร ระหว่างกัน พบว่า นักเรียน มีแนวโน้ม ที่สื่อสาร ระหว่างกัน มากกว่า สื่อสาร กับครู โดยเฉพาะกับเพื่อนต่างโรงเรียน มีการใช้ 1 - 2 ครั้ง ต่อ สัปดาห์ ในขณะที่การติดต่อสื่อสาร ระหว่างครูสื่อสาร เมื่อไม่เข้าใจ หรือการส่งการบ้าน พบ ว่า ร้อยละ 57 ไม่เคยใช้ ทั้งนี้เนื่อง จากนักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ และครูส่วนใหญ่ก็ไม่ใช้ระบบเครือข่ายสั่งงานและรับงานจากนักเรียน ซึ่งจะมีความยุ่งยากกว่า การส่งงานโดยตรงกันครู หรือ การปรึกษาข้อข้องใจ ระหว่างครูกับนักเรียน จะเป็นการสื่อสาร แบบตัวต่อตัวมากกว่า การสื่อสาร ผ่านสื่อ กล่าวคือ เมื่อครู หรือนักเรียนไม่เข้าใจ ก็จะสอบถามในห้องเรียน หรือห้องพักครูมากกว่า หรือ อยู่บ้าน ก็จะใช้ สื่อแบบอื่น เช่น โทรศัพท์ หรือ โทรสาร มากกว่า การสื่อสารผ่าน สื่ออินเตอร์เน็ต ส่วนการสื่อสารระหว่านักเรียนที่สื่อสารถึงกัน ก็จะเป็นลักษณะของการใช้ โปรแกรม IRC ,Talk , Chat มากกว่า โดยประเด็นส่วนใหญ่ที่นักเรียน สื่อสารจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความสนใจส่วนตัว มากกว่า เนื้อหาการเรียนการสอน และ โปรแกรม E-Mail ที่นักเรียนส่วนใหญ่มักนิยมสื่อสารระหว่าเพื่อจากต่างประเทศ ที่มีการใช้ รองลงมาจาก การติดต่อสื่อสารกับเพื่อนต่างโรงเรียน ซึ่งการสื่อสารแบบอื่น จะมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการสื่อสาร ผ่านระบบอื่น และต้องลงทุนด้านอุปกรณ์สูงกว่าระบบอื่น ตามแนวคิดของ เดวิสัน (Davision) ที่สนับสนุนแนวคิดของ คาทซ์ (Katz) ที่ว่า บุคคลทุก ๆ คนมีความเกี่ยวพันธ์อย่างยิ่งต่อสังคมและสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ซึ่งสภาพแวดล้อมดังกล่าว เป็นสาเหตุให้แต่ละบุคคลมีความต้องการเลือกใช้สื่อ เพื่อสนองความพอใจมากที่สุด หมายความว่า ครูและนักเรียน จะเลือกสื่อที่มีความเหมาะสมกับการติดจ่อสื่อสาร ของตัวเอง ตามความต้องการนั้น เช่น การติดต่อสื่อสารกับครู ก็จะใช้ การสื่อสารแบบตัวต่อตัว หรือ ผ่านสื่อโทรศัพท์ หากอยู่บ้าน หรือ ต่องการพูดคุยกับเพื่อนต่างโรงเรียน ก็จะใช้ การสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เพราะเป็นการสื่อสารแบบกลุ่ม ที่มีความหลากหลาย ง่ายต่อการติดต่อ และ หากต้องการติดต่อกับเพื่อนต่างประเทศ ก็จะใช้ การส่ง E-Mail แทนการสื่อสารแบบอื่น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า การสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต

เมื่อพิจารณาพฤติกรรมการใช้ กับ การใช้ประโยชน์จากการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่าย พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ปริมาณการใช้แต่ระครั้งของครูและนักเรียน มาก หรือน้อย ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้เพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เพราะการใช้แต่ละครั้ง ของครู และนักเรียน อาจจะใช้เพื่อ สื่อค้นข้อมูล หรือ เพื่อโอนย้ายโปรแกรมมาใช้ หรือ ใช้เพื่อหาหนังสือตามห้องสมุดต่าง มากกว่าจะ ใช้ เพื่อติดต่อสื่อสาร ระหว่างกัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่าย อินเตอร์เน็ต ของครูและนักเรียน ยังไม่แพร่หลายเท่าทีควร เนื่องจากการสื่อผ่านสื่ออื่น จะให้ความสดวกสบายมากกว่า เช่น การพูดคุยตัวต่อตัว หรือการสนทนาผ่านสื่อโทศัพท์ ซึ่งสามารถใช้งานได้งาย หาใช้ง่าย กว่าการสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ต ที่ต้องลงทุนอุปกรณ์ และ ต้องรอจองเวลาในการใช้ ซึ่งการให้บริการยังไม่เพียงพอต่อการใช้

ข้อเสนอแนะ

การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ มุ่งเน้นที่พฤติกรรมการใช้ และ การยอมรับในเทคโนโลยี ที่เข้ามาใช้เพื่อการเรียนการสอน และ การใช้ประโยชน์จากเครือข่าย เพื่อเป็นประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน ของครูและนักเรียน โดยหาความแตกต่างระหว่าง ลักษณะทางประชากร และสถานะทางสังคม ร่วมทั้งสถานโรงเรียน ระว่างครูและนักเรียน ว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ ร่วมทั้งหาความสัมพันธ์ระหว่าง ตัว แปร การยอมรับเทคโนโลยี การใช้ประโยชน์ และการใช้ประโยชน์จากการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายโรงเรียน

ปัญหาที่พบจากการวิจัยในครั้งนี้ และเป็นอุปสรรคของการเก็บข้อมูล คือ โครงการมีการเริ่มต้น มาระยะหนึ่งแต่การแพร่กระจายของการให้บริการยังคงไม่มากนั้น จะเห็นได้จาก การตอบแบบสอบถามที่ว่า ท่านเคยใช้มาเป็นเวลานานเท่าไร ซึ่งครู ส่วนใหญ่จะตอบว่า 3 - 6 เดือน ส่วน นักเรียน จะตอบว่า น้อยกว่า 3 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่น้อยมาก และจากการสำรวจ พบว่า ครูส่วนใหญ่จะไม่นิยมใช้ ที่ไม่เคยใช้ ส่วนใหญ่มีครูเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ เข้าใช้ ซึ่งถ้าครูที่ไม่เคยเข้าใช้ และไม่มีความรู้เรื่องอินเตอร์เน็ต จะไม่สามารถ ตอบแบบสอบถามได้ ยิ่งไปกว่านั้น บางโรงเรียน มีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายโรงเรียน เพื่อให้บริการเพียงเครื่องเดี่ยว ทั้ง ครู และ นักเรียน จะต้องลงชื่อ เพื่อข้อใช้ล่วงหน้า และมีกำหนดเวลาในการใช้ ซึ่งทำให้ นักเรียน และ ครู ไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คือ เฉพาะครูสอนคอมพิวเตอร์ และนักเรียนมีสนใจเป็นพิเศษเท่านั้น และนักเรียนเข้าเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ที่มาใช้บริการ

ส่วนข้อเสนอแนะ ที่คาดว่า จะมีส่วนทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ ทั้ง ครูและนักเรียน ยอมรับ และใช้ประโยชน์ จากการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ รัฐบาลจะต้องสนับสนุน อย่างจริงจังมากกว่านี้ ทั้ง หน่วยงานราชการ เช่น กรมสามัญศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และการสื่อสารแห่งประเทศไทย ที่ต้องให้การสนับสนุน อุปกรณ์ และคู่สายโทรศัพท์ ให้มีความเพียงพอกับความต้องการ ของโรงเรียนที่เป็นสมาชิก เพราะบางโรงเรียน อดีตเคยใช้บริการ แต่ปัจจุบัน ไม่ได้รับอนุญญาให้เข้าใช้ เนื่องจากมีโรงเรียนเข้าใช้กันมาก จนต้องมีการแบ่งเวลา ในการเข้าใช้ และการอบรมให้ความรู้ ด้านการใช้ คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต กับ ครู เป็นการเร่งด่วน เนื่องจากครูส่วนใหญ่ ยังคงไม่มีการเรียนรู้ การใช้มากนัก และยังติดกับระบบราชการ หมายความว่าจะต้องเป็นคำสังจาก ผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น จึงยอมปฏิบัติตาม ส่วนนักเรียนนั้นไม่ประสพปัญหาเท่าใดนั้น เนื่องจาก บางโรงเรียนเริ่มมีการจัดหลักสตรู สอบการใช้อินเตร์เน็ตแล้ว ส่วนงานวิจัยในอนาคต ขอเสนอแนะว่า ในส่วนของระบบเครือข่าย นั้นมีปัญหาและอุปสรรคอย่างไร หน่วยงานไหนที่ให้ความสำคัญและสนับสนุนมากน้อยแค่ไหน ผู้บริหารเห็นความสำคัญและสนับสนุน หรือเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวในการใช้อินเตอร์เน็ตหรือไม่ เพราะปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่จะสงผลถึงการแพร่กระจาย ของอินเตอร์เน็ต คือผู้บริหารระดับสูงของโรงเรียน และ เงินงบประมาณที่จะมาสนับสนุนอุปกรณ์ต่างๆ เป็นประเด็นที่หน้าศึกษาวิจัยต่อไป

1