คู่มือการเดินทางไปอุ้มผาง

          สำหรับนักแรมทางในยุคนี้ตำนานแห่งการแรมทางสู่อุ้มผาง แม้เหตุการณ์การเดินทางครั้งแรกสู่อุ้มผางจะผ่านพ้นมาแล้วกว่า 10 ปี หลายครั้งที่เราถูกตั้งคำถามว่าการเดินทางครั้งใดที่ประทับใจที่สุดในชีวิต เรื่องราวของการเดินทางครั้งนั้นก็กลับมาสู่ความทรงจำ กลายเป็นตำนานที่เล่าขานได้อย่างไม่มีทางลบเลือนช่วงชีวิตของการแรมทางขณะนั้น เราได้เดินทางเข้าทุ่งใหญ่นเรศวร ห้วยขาแข้ง มาแล้ว การขึ้นเหนือมาค้นหาเส้นทางสู่อุ้มผางจึงกลายเป็น การต่อภาพของผืนป่าที่มาเกี่ยวเนื่องกันอย่างเหนือความคาดคิด เพราะขณะนั้นผืนป่าทั้งหมดที่กล่าวมาต่างแยกกันอยู่ด้วยเรื่องราวของมันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุ้มผาง เรารับรู้กันเพียงว่าที่นั่นคืออำเภอหนึ่งที่แสนห่างไกล และไม่มีข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับอุ้มผางมากมายนัก เราจึงไปเริ่มต้นการเดินทางที่ป่าแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร ด้วยข้อมูลจากแผนที่กรมทางหลวงที่เขียนเส้นทางประไว้ว่ามีถนนเชื่อมไปสู่อำเภออุ้มผางได้ และเมื่อเราไปสุดถนนสายแม่วงก์ก็ได้ประจักษ์ว่าหนทางตันอยู่เพียงนั้น แต่ดูเหมือนมันมีบางสิ่งบางอย่างเรียกร้องออกมาจากป่าอันไกลโพ้น ที่ทำให้เราต่อสู้ดิ้นรนค้นหาเส้นทางสู่อุ้มผางต่อไป

          ขณะที่เวลาในการเดินทางครั้งนั้นกำลังเหลือน้อยลงไปทุกวันเราต้องย้อนไปคิดค้นจากข้อมูล ที่เคยได้อ่านเรื่องราวการเดินทางที่เข้าทางอำเภอแม่สอด ซึ่งมีอยู่หนทางเดียวในขณะนั้นคือใช้เส้นทางผ่านพม่า เพราะถนนในเขตแดนไทยยังสร้างไม่เสร็จ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่เลาะเลียบเขตแดนที่โค้งเว้าเข้ามาในแผ่นดินไทย อธิบายกันง่ายๆก็คือระหว่างอำเภอแม่สอด และอำเภออุ้มผางจะมีแผ่นดินพม่ายื่นเข้ามาคั่นกลาง มองจากแผนที่แล้วจะไปสู่อำเภออุ้มผางได้สั้นที่สุด ก็คือตัดตรงผ่านเขตแดนพม่าจากกิ่งอำเภอพบพระ สู่บ้านวาเลย์ มาออกบ้านเดลอ อำเภออุ้มผาง ด้วยระยะทางราว 40 กิโลเมตร แต่หนทางและการจะเดินทางผ่านเส้นทางมิได้เรียบง่ายเลยแม้แต่น้อย ทั้งมันยังเป็นหนทางเดียวที่เราต้องไปอย่างไม่มีทางเลือกถนนสายนี้คงจะเป็นเส้นทางเดียวที่กรมทางหลวงของไทยต้องเข้าไปซ่อมทางให้ทุกปี เพราะเป็นทางเดียวที่อุ้มผางจะติดต่อกับโลกภายนอกได้ทางบก

          นอกจากนั้นแล้วข้าราชการในอำเภออุ้มผางก็ต้องอาศัยเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจตระเวนชายแดนเป็นพาหนะในคราวจำเป็น ยุคที่คอมมิวนิสต์ยังระบาดอยู่ จึงไม่ต้องสงสัยว่าอำเภออุ้มผางก็คือเขตอิทธิพลของ ผกค. ที่ข้าราชการต้องระวังตัวอย่างสุดขีด บรรยากาศของการเดินทางไปอุ้มผางในยุคนั้น จึงต้องเผชิญกับความน่าหวั่นเกรงตลอดทางนับแต่ออกจากเขตแดนไทยไปผ่านด่านพม่า ซึ่งกะเหรี่ยงยึดครองอยู่ ผ่านโรงเลื่อยไม้เถื่อน และถนนที่แสนจะทุลักทุเล ขับไปก็ติดหล่ม ช่วยกันลากกันดึงไปตลอดทาง พอรถติดหล่มคันหนึ่งก็ไปต่อไม่ได้แล้วเพราะทางมันแคบ ถ้าเป็นหน้าฝนอาจจะต้องเดินทางกันถึง 3-4 วัน บนทางช่วงที่สั้นที่สุดนี้

           ครั้งแรกแห่งการเดินทางสู่อุ้มผางของเราจึงอยู่ในเสี้ยวส่วนหนึ่งของประวัติการเดินทางของชาวอุ้มผาง ซึ่งต้องเดินทางผ่านแดนพม่าแล้วย้อนกลับมาเขตไทยเสมอในอดีต ก่อนที่จะเริ่มต้นใช้ถนนเขตไทย ใน พ.ศ. 2530ถนนสายอำเภอแม่สอด - อุ้มผางในเขตแดนไทย ระยะทางเพียง 164 กิโลเมตร สร้างอย่างเนิ่นนาน ไม่เสร็จสิ้นกันง่ายๆด้วย 2 เหตุผล คือ สภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงชัน และสถานการณ์การเมืองที่เกิดการต่อสู้โจมตีกันถึงขั้นล้มตายกันมากมายระหว่างการก่อสร้าง ถนนสายนี้จึงถูกกล่าวขานกันว่าเป็นเส้นทางสายมรณะ แม้กระทั่งที่เปิดเส้นทางใช้ในเวลาต่อมาก็ยังเป็นเส้นทางที่อันตรายที่สุดสายหนึ่งในประเทศไทย จดจำได้ดีว่าย่างก้าวแรกนั้นอำเภออุ้มผางในสายตาของเรามีเพียงถนนสายหลักเส้นเดียวตัดตรงสู่ที่ว่าการอำเภอ บ้านทุกหลังเป็นเรือนไม้ ถนนดิน ดูเป็นหมู่บ้านยิ่งกว่าจะเป็นเมือง อันมีย่านชุมนุมอยู่ที่ห้าแยก ซึ่งเป็นชุมทางของรถยนต์สองแถวที่วิ่งเข้าออกไปแม่สอดเพียงวันละ 1 เที่ยว จอดอยู่หน้าร้านกาแฟของลุงทองหล่อ ซึ่งเป็นสถานที่เดียวที่มีโทรศัพท์ในยุคนั้น เยื้องกันกับวัดอันเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวอุ้มผางสำหรับนักแรมทางแปลกหน้าเช่นพวกเรา สถานที่ที่มุ่งตรงไปหาข้อมูลในการสำรวจแหล่งธรรมชาติของเราก็คือข้าราชการอำเภอ ซึ่งขณะนั้นมีเพียงปลัดอำเภอและครูประชาบาล ผู้มีโอกาสออกพื้นที่รอบอำเภอ คืนนั้นเองที่เราได้เห็นภาพถ่ายน้ำตกแห่งหนึ่งกลางป่าที่พวกเขาถ่ายจากทางอากาศด้วยเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเดินทางส่งเสบียงให้กับตำรวจตระเวนชายแดนในแถบนี้ ภาพนั้นจุดประกายการเดินทางที่เหลือเชื่อให้กับพวกเรา ซึ่งดิ้นรนจะค้นหาความยิ่งใหญ่ของอุ้มผางมาตั้งแต่ป่าแม่วงก์ กำแพงเพชร เมื่อ 7 วันที่แล้ว ซึ่งเราใช้ความพยายามที่จะเดินทางมาอุ้มผางให้ได้ ถึงขนาดขอติดเฮลิคอปเตอร์ของเกษตร ซึ่งจะบินจากกำแพงเพชรมาตรวจป่าแถบนี้ ก็ยังไม่สำเร็จ เพราะเครื่องบินมีอันครบกำหนดต้องเข้าตรวจเครื่องยนต์ที่บินครบชั่วโมงพอดี

           แต่เราก็ยังดั้นด้นมายังอุ้มผางทางรถยนต์สายเก่าที่ต้องข้ามแดนพม่ามาอย่างทุลักทุเลจนได้ ขณะที่วันเวลาของการเดินทางเหลืออีกเพียง 3 วันเท่านั้น แต่เรายังไม่พบสิ่งที่พยายามค้นหาวันรุ่งขึ้น เราเดินทางต่อไปยังบ้านปะละทะด้วยเส้นทางถนนดิน ผ่านดอยหัวหมด ไปน้ำตกเซปละ ตลอดทางกำลังอยู่ในระหว่างทำถนน มีหน่วยงานของ ตชด. ประจำอยู่ใกล้เซปละและปะละทะ ที่ตั้งของหมู่บ้านกะเหรี่ยง อันเป็นจุดเริ่มต้นที่จะเดินเท้าเข้าไปยังน้ำตกใหญ่สายนั้น มันเป็นเวลาบ่ายที่เราเดินทางมาถึง แต่ยังไม่อาจทำอะไรได้ เพราะต้องรอกะเหรี่ยงที่จะนำทางไปกลับมาจากการทำไร่ในตอนเย็น แต่คำตอบที่ได้รับในค่ำนั้นก็คือไม่มีกะเหรี่ยงจะไปกับเราได้ คงเหลือเพียงเจ้าหน้าที่ อส. จากอำเภอ และ ตชด. ที่อยู่ในพื้นที่นั้น ที่เคยเข้าไปเพียงครั้งเดียวเพื่อสำรวจทำสนามเฮลิคอปเตอร์ และการเดินทางที่ผ่านมา พวกเขามีกะเหรี่ยงนำทางและเดินเข้าป่าไปหลายวันด้วยสัมภาระและเสบียงกรัง กว่าจะไปถึงน้ำตกใหญ่ที่กะเหรี่ยงเรียกว่า "ทีลอซู"

          สรุปว่าในสถานการณ์และเวลาเช่นนี้เรามีโอกาสทำได้เพียงเดินทางไปกลับในวันเดียว และต้องเสี่ยงเอาว่าเดินทางไม่ถึงภายในครึ่งวันก็ต้องเดินกลับออกมาสถานเดียว ไม่ว่าจะพบน้ำตกทีลอซูหรือไม่ก็ตาม มันเป็นเงื่อนไขอันยากยิ่งที่ต้องยอมรับโดยไม่มีทางเลือกเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น คือการเดินทางที่มีเดิมพันระหว่างการค้นพบหรือการเดินทางไปไม่ถึงที่หมาย ซึ่งขณะนั้นพวกเราไม่มีใครรู้ว่าระยะทาง ใกล้ไกลเพียงไหน? ยากลำบากเช่นไร? มันจะคุ้มค่าหรือไม่? เราเพียงเดินทางไปด้วยสัญชาตญาณของการสำรวจบุกเบิกเท่านั้นเอง มันคือวันแห่งการเดินเท้าที่สาหัสสากรรจ์ที่สุดทีเดียว เพราะเราเริ่มเดินตั้งแต่ 6 โมงเช้า ข้ามสายน้ำแม่กลองอันเย็นเฉียบด้วยแพไม้ไผ่ลำเล็กๆ เดินผ่านป่าสัก ขึ้นเขาสูง ข้ามสู่บ้านกะเหรี่ยงโคทะใจกลางป่าใหญ่ ต่อไปยังบุกป่าดิบเลียบธารน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกทีลอซู ใช้เวลาราว 5-6 ชั่วโมง และยังต้องเดินกลับอีกในเวลาเท่าๆกัน จำได้เพียงว่าเมื่อเดินถึงน้ำตก เพื่อนร่วมทางทุกคนพากันล้มพับอยู่เบื้องหน้าสายน้ำอันยิ่งใหญ่ ขณะที่เรายืนถ่ายภาพตลอด 2 ชั่วโมง เพราะตะลึงในความงามของน้ำตกที่ค้นหาด้วยความเหนื่อยยาก กว่าจะกลับออกมาเริ่มเดินกลับตอนบ่ายสามโมง และมาหยุดอยู่ชายป่าสักใกล้บ้านปะละทะเอาตอนสามทุ่มเห็นจะได้จนกลับออกมาแล้วนั่นแหละ เราจึงได้เทียบระยะทางจากแผนที่ ด้วยเส้นทางเดินนั้นเกือบจะคู่ขนานไปกับสายน้ำแม่กลอง และเส้นทางรถยนต์จากอุ้มผางสู่ปะละทะ ซึ่งประมาณระยะทางเดินเท้าราว 25 กิโลเมตร ไป-กลับ 50 กิโลเมตรในวันเดียว อันเป็นวันที่ทำให้เราเริ่มตระหนักในคุณค่าของการเดินทางที่แสนเหนื่อยยาก เพราะหากไม่มีวันนั้น เราจะยังไม่ได้สัมผัสและถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ของสายน้ำตกทีลอซูออกมาสู่โลกภายนอก

          และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เราได้มองป่าอุ้มผางในฐานะของต้นกำเนิดสายน้ำแม่กลอง อันหล่อเลี้ยงผืนป่า นับจากป่าอุ้มผางลงไปถึงป่าห้วยขาแข้งและป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และเราได้ถ่ายทอดความเกี่ยวเนื่องของผืนป่าส่วนนี้เข้าไว้ด้วยกัน แล้วขนานนามว่า "ผืนป่าตะวันตก"  อันมีหัวใจคือป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และห้วยขาแข้งแหล่งมรดกโลกต้นกำเนิดผืนป่าตะวันตกตอนเหนือสุด ของผืนป่าตะวันตกคือจุดกำเนิดของสายน้ำแม่กลอง ณ เทือกเขาสูงในตำบลโมโกรซึ่งลำห้วยหลายสายไหลมารวมกันที่บ้านแม่กลองคี ดังมีความหมายในภาษากะเหรี่ยงว่า "ต้นน้ำแม่กลอง" แล้วไหลพาดผ่านลงมาสู่อำเภออุ้มผาง อันถือได้ว่าเป็นอำเภอที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย ทว่ากลับเป็นดินแดน อันลี้ลับด้วยการเดินทางที่ยากลำบาก ด้วยสภาพทั่วไปมีที่ราบเพียง 1 ใน 50 ส่วน พื้นที่เกือบทั้งหมดคือป่าเขาอันเป็นบริเวณต้นน้ำแม่กลอง ซึ่งมีน้ำแม่จันไหลมาบรรจบรวมกันผ่านป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก

 ช่วงนี้เองที่เรื่องราวของสายน้ำแม่กลองเริ่มขึ้นที่อำเภออุ้มผางสายน้ำมากมาย ที่หลั่งไหลมารวมสู่น้ำแม่กลองนับแต่แม่กลองคีลงมา จะมีห้วยอุ้มผางบรรจบที่ตัวอำเภอ ส่วนด้านตะวันตก ห้วยกล้อทอไหลตกจากช่องเขาขาด กลายมาเป็นน้ำตกทีลอซู แล้วไปรวมกับห้วยแม่จัน และไหลลงน้ำแม่กลองที่ตอนใต้ของบ้านปะละทะ ขณะที่ห้วยแม่ละม้งก็ไหลมาจากด้านตะวันออกสู่สบแม่ละม้ง ตอนเหนือของบ้านปะละทะผืนป่าอุ้มผางมีลักษณะเป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน อยู่ในแนวเทือกเขาถนนธงชัย อันอยู่ระหว่างเขตแดนไทยและพม่าซึ่งเป็นป่าไม้หนาแน่น และยังคงเหลือป่าไม้อยู่ถึงร้อยละ 70 ของพื้นที่ทั้งหมด มีความสำคัญในฐานะเป็นป่าต้นน้ำของลุ่มแม่กลอง หรือลุ่มน้ำแควใหญ่ตอนบน ซึ่งไหลจากป่าอุ้มผางไปสู่ผืนป่าทุ่งใหญ่ นเรศวร และเป็นผืนป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่ง ด้วยตำแหน่งที่ตั้งอันอยู่กึ่งกลางระหว่างเขต 

การกระจายพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ดังจะพบสัตว์ป่าเฉพาะถิ่น ทั้งจากทางเหนือและทางใต้มารวมอยู่ในผืนป่าตะวันตก เช่น ลิงภูเขา ค่างแว่นถิ่นเหนือ นกเงือกคอแดง และสมเสร็จ เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาศัยขนาดใหญ่ของสัตว์ป่านานาชนิด เช่น ช้าง หมี เสือ กระทิง วัวแดง ควายป่า เลียงผา ไก่ฟ้า นกยูง เป็นต้นโดยเฉพาะในบริเวณป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันออกซึ่งอยู่ในเขตอุ้มผาง ยังมีรายงานพบเป็ดก่า ซึ่งใกล้สูญพันธุ์แล้วที่บึงลากะโต

           นอกจากนี้แล้วในสายน้ำแม่กลองยังเป็นแหล่งรวมพันธุ์ปลาน้ำจืดที่น่าสนใจมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ผืนป่าอุ้มผางซึ่งมีพื้นที่ป่าเชื่อมห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก ผืนป่าส่วนนี้รวมกันจะมีพื้นที่ประมาณ 5.5 ล้านไร่ ก็มีขนาดใหญ่เพียงพอจะเป็นพื้นที่ป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ทั้งนี้ยังมิได้รวมป่าที่ถูกนับเนื่องเข้ามาอยู่ในผืนป่าตะวันตกอีกรวมทั้งสิ้น 17 แห่ง รวมเป็น 11 ล้านไร่ คือ ป่าแม่วงก์ ป่าคลองลาน ป่าคลองวังเจ้า ป่าเขาสนามเพรียง ป่าพุเตย ป่าห้วยขาแข้ง ป่าอุ้มผาง ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันออก ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก ป่าทองผาภูมิ ป่าเขาแหลม ป่าศรีนครินทร์ ป่าไทรโยค ป่าเอราวัณ ป่าสลักพระ ป่าลำคลองงู ป่าเฉลิมรัตนโกสินทร์ ทั้งหมดนี้คือผืนป่าตะวันตกซึ่งมีทั้งขนาดใหญ่และทรงคุณค่าที่สุดของประเทศ อันมีต้นกำเนิดของสายน้ำสำคัญคือแม่น้ำแม่กลองจากป่าอุ้มผางนี่เองล่องแก่งแม่กลอง หลังจากที่เรื่องราวของน้ำตกทีลอซูเผยแพร่ออกไป นักเดินทางเริ่มเดินทางมายังอุ้มผาง พร้อมๆกับการพลิกค้นหาเส้นทางที่ตัดลัดกว่าเส้นทางสายปะละทะที่เราบุกเบิกเอาไว้ เริ่มด้วยเส้นทางตัดเข้าทางกิโลเมตร 19 ไปข้ามน้ำแม่กลองที่บริเวณแก่งมอแกนโด้ เดินต่อไปทีลอซูราว 3 ชั่วโมง หลังจากนั้น การจัดตั้งที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางที่บริเวณน้ำตกทีลอซู ทำให้มีการตัดถนนลำลองเข้าไป พร้อมๆกับเส้นทางในสายน้ำแม่กลองเริ่มมีความสำคัญขึ้นมา เพราะว่านั่นคือทางเลือกอีกทางที่จะเดินทางไปขึ้นจุดที่จะเดินทางต่อเข้าสู่น้ำตกทีลอซู ซึ่งใช้สัญจรกันจนถึงปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะในฤดูฝนซึ่งถนนไม่อาจใช้การได้การล่องแม่กลองเริ่มด้วยการตัดไม้ไผ่มาผูกแพ ล่องไปจากห้วยอุ้มผางที่ไหลจากอำเภออุ้มผางไปยังน้ำแม่กลอง

          สายน้ำเส้นนี้ไม่ใช่เส้นทางล่องแก่งที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ แต่เป็นเส้นทางสายน้ำที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ สองข้างทางมีทั้งป่าไผ่ ป่าเบญจ-พรรณ และป่าดิบ ปกคลุมเขียวขจี สายน้ำที่ไหลอยู่ระหว่าง โตรกผาสูงทอดยาวราวกับปราการธรรมชาติ มีธารน้ำตกเช่นทีลอจ่อ ไหลสาดกระเซ็นจากยอดเขาลงสู่แม่น้ำ รองรับด้วยโขดหินอันปกคลุม ด้วยมอสส์ และเฟิร์นเขียวชอุ่ม บางตอนมีธารน้ำพุร้อนรินไหล บางช่วงเป็นชะง่อนหินคล้ายกับเพิงถ้ำ มีน้ำย้อยหยดลงราวน้ำฝน และเถาวัลย์ห้อยระย้าเป็นสายยาว จะมีแก่งน้ำอยู่บ้างในช่วงฤดูหนาว ซึ่งมักจะใช้เดินทางมาทางน้ำเพื่อขึ้นที่ผาเลือด

 แล้วต่อขึ้นเส้นทางรถยนต์เข้าไปยังน้ำตกทีลอซู ในช่วงหน้าแล้งที่ถนนแห้งพอ แต่ถ้าเป็นหน้าฝนแล้ว จะล่องน้ำลงมาถึงท่าทราย แล้วเดินหรือขี่ช้างเข้าไปราว 3 ชั่วโมง ขากลับนักเดินทางก็มักจะย้อนกลับมาล่องแม่น้ำต่อลงสู่สบแม่ละม้ง หรือเลยไปบ้านปะละทะ แล้วก็ขึ้นรถกลับอุ้มผางทว่าการแรมทางในสายน้ำแม่กลองยังไม่สิ้นสุดเพียงนั้น แพไม้ไผ่อีกนั่นแหละที่บุกเบิกลงไปสู่แม่กลองตอนล่าง เลยจากปะละทะลงไป

         ครั้งนี้สายน้ำมิใช่เส้นทางที่ราบรื่นเสียแล้ว สองฝั่งน้ำออกจากบ้านปะละทะมาได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็จะเข้าสู่กำแพงโตรกผาที่เปลี่ยนเส้นทางสายน้ำให้คดโค้งไปมา และเบื้องใต้ก็เต็มไปด้วยโขดหินน้อยใหญ่ ในยามแล้งจะกลายเป็นแก่งน้ำที่ไหลวนไปมา สำหรับแพไม้ไผ่ ล่องไปได้ไม่กี่แก่งก็จะแตกยับเยิน ต้องตัดไม้ไผ่ซ่อมแพไปตลอด ในสมัยแรกๆอาจต้องล่องแพ 2 วันเป็นอย่างน้อย จึงจะผ่านไปถึงห้วยกะชอจิทะ ซึ่งเลยไปโค้งน้ำเดียวก็จะถึงน้ำตกทีลอเร ที่ไหลตกสู่แม่กลองเป็นม่านสายอย่างงดงาม จากนั้นจะมีเส้นทางจากฝั่งขวาเดินขึ้นบึงน้ำกลางป่าใหญ่คือบึงลากะโต แหล่งที่พบเป็ดก่า ซึ่งใกล้สูญพันธุ์เต็มทีแล้ว ส่วนเส้นทางป่าฝั่งซ้ายข้ามสันเขาไปเป็นเส้นทางเดินกลับห้วยดินแดงและบ้านปะละทะ ซึ่งต้องแรมทางกันเป็นวันๆ ด้วยการเดินเท้าหรือขี่ช้างวิถีทางที่ล่องแม่น้ำแม่กลองเริ่มเปลี่ยนแปลงจากการตัดไม้ไผ่มาล่องแพ ก็เพราะเส้นทางสู่ทีลอเรที่ยากลำบากและอันตรายเกินไปสำหรับแพไม้ไผ่นั่นเอง ทำให้เราเริ่มต้นการบุกเบิกอีกครั้งหนึ่งด้วยการนำเรือยางสำหรับการล่องแก่งโดยเฉพาะมาทดลองเดินทางสู่ทีลอเรเป็นครั้งแรก และก็ค้นพบว่ามันเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยยิ่งกว่าแพไม้ไผ่ และสามารถผ่านแก่งน้ำโดยไม่ต้องยกสัมภาระออกจากเรือ เหมือนอย่างที่ต้องขนถ่ายกันอย่างโกลาหลในการล่องแพไม้ไผ่

             เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือไม่ต้องตัดไม้ไผ่กันจนสิ้นเปลือง และทิ้งซากไว้เป็นขยะเต็มแม่น้ำในฤดูแล้งเมื่อแรกการนำเรือยางมาใช้ เพื่อเส้นทางสายทีลอเรโดยเฉพาะ ทว่าต่อมานักท่องเที่ยวเดินทางมาอุ้มผางมากมายเสียจนการใช้แพไม้ไผ่สูงสุดถึงปีละ 50,000 ต้น หรือคิดเป็นแพได้ราว 5,000 ลำ สำหรับนักท่องเที่ยว 10,000 คน ในแต่ละปี และยังมีแนวโน้มจะสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ขณะที่ไม้ไผ่เริ่มขาดแคลน เพราะถูกใช้ตั้งแต่เก็บหน่อไม้ ใช้ไม้ไผ่สร้างบ้าน และการล่องแพที่สิ้นเปลืองมาก เรือยาง จึงเป็นทางออกที่เข้ามาทดแทนแพไม้ไผ่ได้ถึงเที่ยวละ 5 ลำ ต่อความสูญเสียไม้ไผ่ 50 ต้น จนถึงวันนี้ มีการใช้แพไม้ไผ่น้อยลงมาก หรือหากจะล่องแพไม้ไผ่ในช่วงที่ปลอดภัย เพื่อให้ได้บรรยากาศดั้งเดิม ก็ยังกระทำได้โดยไม่เสียดุลธรรมชาติถิ่นกะเหรี่ยง และเส้นทางเลตองคุอุ้มผางนับเป็นถิ่นของชนเผ่ากะเหรี่ยงมาแต่ดั้งเดิม มีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่เกือบทั้งหมด ภายหลังจึงมีชาวไทยในภาคเหนืออพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ด้วยในอดีตที่นี่คือเมืองหน้าด่านทางชายแดนตะวันตกของไทย อุ้มผางจึงเป็นจุดตรวจชาวพม่าที่เดินทางเข้าเขตไทย ซึ่งสมัยก่อนเขามักจะนำเอกสารเดินทางใส่กระบอกไม้ไผ่ มีฝาปิดมิดชิด ป้องกันความเสียหายระหว่างการแรมทางมาในป่า กระบอกไม้ไผ่ใส่เอกสารนี้เองที่เรียกในภาษากะเหรี่ยงว่า "อุ้มผะ" ซึ่งเพี้ยนมาเป็นชื่อ "อุ้มผาง"

           ในปัจจุบันทุกวันนี้ในอำเภออุ้มผางก็ยังมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่รอบๆตัวอำเภอ มีหมู่บ้านใหญ่ๆ เช่น บ้านปะละทะ บ้านโคทะ บ้านเปิ่งเคลิ่ง บ้านแม่จัน บ้านทิโพจิ และบ้านเลตองคุ เป็นต้น และพวกเขามักเลี้ยงช้างเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับการเดินทางในป่าและขนสัมภาระ ในบางแห่งก็ใช้ช้างช่วยไถนา จะอย่างไรก็ตาม ช้างเลี้ยงในอุ้มผางก็น่าจะเป็นช้างที่มีความสุขกว่าช้างเลี้ยงที่อื่น เนื่องจากมันยังถูกปล่อยหากินในป่าเสมอการเดินทางเข้าออกอุ้มผางของเราหลายครั้งดูเหมือนยังไม่สมบูรณ์เลย ด้วยยังไม่เคยเหยียบย่างไปยังเส้นทางด้านที่จดเขตแดนตะวันตก จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว เราจึงกำหนดการเดินทางขบวนใหญ่เข้าสู่เส้นทางไปหมู่บ้านกะเหรี่ยงเลตองคุ อันเป็นชนเผ่ากะเหรี่ยงที่นับถือพระฤาษี ด้วยเส้นทางทางนี้เองที่นักเขียนชาวอังกฤษ คริสเตียน กูดเดน (Christian Goodden) เดินทางจากเชียงใหม่เลาะเลียบตะเข็บชายแดน ผ่านแม่ฮ่องสอน เข้ามาอุ้มผาง ลงไปด่านพระเจดีย์สามองค์ และเขียนหนังสือเรื่องทรี พาโกดา (Three Pagoda) อันเป็นเรื่องราวการเดินทางตามแนวชายแดนไทย-พม่าที่น่าสนใจมากทีเดียว

           เราเริ่มต้นด้วยการเขียนจดหมายไปขออนุญาตเข้าไปบ้านเลตอง-คุกับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่บ้านเปิ่งเคลิ่งก่อน เนื่องด้วยหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่า โอบล้อมด้วยเขตแดนพม่า โดยเฉพาะ เส้นทางรถยนต์จะตัดผ่านเข้าเขตพม่าก่อนแล้วย้อนเข้าเขตไทยสู่บ้านเลตองคุ และที่หมู่บ้านนี้เองก็มีกองร้อย ตชด. ตั้งรักษาการณ์ด้วย ทุกๆเดือนจะมีการขนส่งเสบียงไปส่งกันทางเฮลิคอปเตอร์ จากอำเภออุ้มผางมีทางดินลูกรังต่อจากเส้นทางสายแม่กลองใหม่มาทางบ้านเดลอคี ผ่านปากทางเข้าน้ำตกทีลอซู ปากทางแยกเข้าบ้านแม่จัน อันเป็นต้นห้วยกล้อทอที่ไหลไปเป็นน้ำตกทีลอซู เส้นทางจะเริ่มขึ้นเขา สองข้างทางเป็นป่าดิบสมบูรณ์ มีหมู่บ้านกะเหรี่ยงตามรายทาง คือ บ้านกุยทะ ทางแยกเข้าบ้านทิโพจิ ที่ตั้งของบึงแฝด บ้านนุโพ จนไปสุดเขตแดนที่บ้านเปิ่งเคลิ่ง รวมระยะทางทั้งสิ้นราว 90 กิโลเมตร จากอำเภออุ้มผาง ช่วงต่อไปเส้นทางดินลำลองผ่านเขตพม่าเข้าไปราว 40 กิโลเมตร แต่ไม่ใช่เส้นทางธรรมดา เพราะเป็นทางหลุมๆบ่อๆ แคบจนแทบสวนกับเกวียนไม่ได้ ทั้งยังต้องข้ามแม่น้ำสุริยะกันหลายๆครั้ง พื้นแม่น้ำยังเป็นหลุมลึก บางตอนน้ำสูงมากจนท่วมถึงพื้นรถยนต์ กว่าจะฝ่าฟันไปถึงบ้านเลตองคุก็เหนื่อยเอาการ ตลอดทางยังเต็มไปด้วยทางแยกชวนให้วิ่งหลงทางได้ตลอดเวลา ทว่าเมื่อเข้าเขตบ้านเลตองคุก็จะเห็นดงหมากสูง และหมู่บ้านอันลี้ลับที่ชาวกะเหรี่ยงนับถือพระฤาษีซ่อนตัวอยู่ในดงไม้อย่างสงบนิ่ง บ้านเรือนยังเป็นเรือนไม้ทั้งหมด ชาวบ้านมีพาหนะคือเกวียนและช้าง ความสำคัญของบ้านเลตองคุก็คือเป็นศูนย์กลางของกะเหรี่ยงที่นับถือฤาษีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย

           เพราะว่าชาวกะเหรี่ยงกลุ่มนี้จะอาศัยอยู่ตามแนวเขตแดนไทย-พม่า มีอยู่ด้วยกันราว 31 หมู่บ้าน ประมาณว่ามีสาวกอยู่ถึง 16,000 คน ซึ่งมีอยู่ 6 หมู่บ้านในเขตไทยในอาณาบริเวณของวัดจะมีเขตหวงห้ามมิให้ผู้หญิงเข้าไป พระฤาษีจะพำนักอยู่แต่ในวัดพร้อมกับลูกศิษย์ราว 50 คน ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มไว้ผมยาวเกล้าจุกไว้ข้างหน้า ช่วงระหว่างที่เข้ามารับใช้พระฤาษีและศึกษาคำสั่งสอนนั้นใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี 3 เดือน ตลอดเวลามีข้อห้ามไม่ให้กลับเข้าไปในบ้านคนและแต่งงาน และถ้าออกจากวัดไปแต่งงานก็ไม่อาจกลับเข้ามาอีกได้ สำหรับวัดพระฤาษีนี้จะมีของสำคัญคืองาช้างโบราณอายุกว่า 400 ปี มีความยาวประมาณ 1.70 เมตร 2 ข้างหนักรวมกันกว่า 40 กิโลกรัม แกะสลักเป็นพระพุทธรูปนั่งปางสมาธิโดยรอบจากโคนถึงปลายงา งาช้างนี้ถือเป็นวัตถุมงคล ชาวบ้านจะมากราบไหว้บูชาเป็นประจำการสืบทอดตำแหน่งของฤาษีนั้นมีความเชื่อคล้ายพระลามะทิเบต กล่าวคือได้สืบทอดจากองค์ก่อนๆซึ่งจะมีนิมิตจากฤาษีองค์แรก มาเข้าฝันตรงกันถึง 3 ครั้ง จึงจะแต่งตั้งกันต่อไป

            ในหมู่บ้านก็จะมีความเชื่อถือศรัทธาในพระฤาษีอย่างแรงกล้าถึงกับให้บุตรชายเข้ามาอยู่ในวัดเป็นเวลานาน และพวกเขายังสานต่อการดำเนินชีวิตอย่างดั้งเดิมโดยไม่สนใจโลกภายนอก ราวกับที่บ้านเลตองคุกาลเวลาหยุดนิ่งอยู่เพียงนั้นคืนสู่ทีลอซูโค้งแล้วโค้งเล่า ที่ถนนบนเส้นทางสู่อุ้มผางพาเราไต่ทะยานขึ้นไป ถนนลาดยาง แม้ไม่ดีเลิศแต่ก็ดีกว่าหลายปีที่แล้ว เส้นทางสายนี้เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักขับรถว่าคือถนนลอยฟ้า ด้วยระยะทางเพียง 164 กิโลเมตร แต่จำเป็นต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางที่คดโค้งมากเสียยิ่งกว่าสายแม่ฮ่องสอน เราคิดถึงการเดินทางกลับมาสู่ผืนป่าที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี การเดินทางวันนี้ พ.ศ. 2543 นี้ อาจกล่าวได้ว่าหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง หากว่าเราเปรียบเทียบกับอดีตที่ผ่านมาจากพบพระขึ้นไป โค้งอันตรายที่เคยเกิดอุบัติเหตุก็มีการตัดทางใหม่ให้เลือกใช้ หนทางช่วงแรกเป็นการปีนขึ้นเนินยาว ขึ้นไปแล้วก็จะมีแต่ขึ้นจนถึงครึ่งทางที่บ้านร่มเกล้า ราวกิโลเมตรที่ 80 ถนนลงหุบไปพบกับหมู่บ้านที่ขยายตัวอย่างผิดหูผิดตา ยิ่งกว่านั้นคือชุมชนขนาดใหญ่เกือบพันหลังคาเรือนสร้างขึ้นเต็มทั้งภูเขา ถามไถ่ได้ความว่าคือศูนย์อพยพชาวกะเหรี่ยงที่ลี้ภัยเข้ามาในเขตไทย เลยจากจุดนั้นขึ้นมาเป็นช่วงที่เราชอบมาก เพราะจะเริ่มผ่านป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยเฟิร์นยักษ์หรือมหาสดำ

            หนทางระหว่างนี้ได้รับการซ่อมแซมและขยายทางกว้างขึ้นด้วย และในที่สุดเราก็ขึ้นมาอยู่บนสันเขาทอดยาวที่มองลงไปเห็นหุบลุ่มน้ำแม่กลองคี ซึ่งหากอากาศ เปิดจะเห็นสายน้ำแม่กลองไหลคดเคี้ยวลงไปทางใต้ ทว่าวันนี้ฝนครึ้มเมฆขาวลอยละล่อง เพราะเราเลือกการเดินทางกลับมาอุ้มผางในช่วงฤดูฝน ด้วยความหลงใหลป่าในช่วงเวลาที่สมบูรณ์ที่สุด แม้จะทำให้การเดินทางยากลำบาก แต่เราอยากให้เป็นเช่นนั้น เพื่อให้บรรยากาศการเดินทางในวันเก่าๆ หวนคืนมาน้อยคนนักที่จะเลือกเดินทางมาในช่วงฤดูฝน ที่อุ้มผางจึงดูเงียบสงบ นักท่องเที่ยวไทยหายไป มีแต่นักเดินทางไกลชาวต่างประเทศที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอเป็นกลุ่มเล็กๆ รีสอร์ตที่เปิดกันมากมายว่างหมด เพราะนักท่องเที่ยวไทยยังนิยมมาเบียดเสียดยัดเยียดกันแค่เพียงเดือนธันวาคม ช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวจึงทำให้อุ้มผางบรรยากาศต่างกันไปโดยสิ้นเชิง วันแรกเราจึงเลือกเข้าน้ำตกทีลอจ่อตอนบน ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด บนเส้นทางสายอุ้มผาง-ปะละทะ ขึ้นไปเพียงเล็กน้อยจะมีแยกขวาเป็นทางดินราว 3 กิโลเมตร

          ทว่าในช่วงฤดูฝนนี่เองที่หนทางง่ายๆกลับกลายเป็นยาก ถึงจะใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อก็ไม่วายจะติดหนับกับดินเหนียวลื่นๆได้ เอารถเข้าไปครึ่งทางจึงเดินต่อไปตามทางดิน สุดทางคือต้นน้ำทีลอจ่อ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าต้นกำเนิดสายน้ำนั้นมันเป็นเช่นไร? เมื่อเราเริ่มข้ามลำธารสายเล็กๆนั่นแหละ จึงมีคำเฉลยว่า พื้นที่อันคล้ายกับป่าพรุที่มีสายน้ำซึมออกมาจากพื้นธารหินปูน มีเพียงป่าดงเตยยักษ์ปกคลุมชั้นบน และดงเฟิร์นและต้นหญ้าปกคลุมชั้นล่าง นี่เองคือความเปราะบางของพื้นที่ต้นน้ำที่โอบอุ้ม ชุ่มน้ำได้เพียงเพราะต้นไม้และผืนป่า กว่าจะมาเป็นธารน้ำสักสายหนึ่ง และอีกกี่สิบกี่ร้อยสายจึงรวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ของแผ่นดินเช่นน้ำแม่กลองสายนี้ จากบนยอดเขาของต้นน้ำทีลอจ่ออันเป็นภาษากะเหรี่ยงหมายความว่า "น้ำตกสายฝน" นั้น มองลงไปจะเห็นสายน้ำแม่กลองอยู่ในหุบลึก และเพียงการลงไปชมน้ำตกทีลอจ่อตอนบนก็ยังต้องเดินลงหุบไปสักหน่อย เพราะลักษณะของน้ำตกสายนี้เป็นเพิงผาหินปูนหน้าตัดชัน ทางน้ำที่ไหลผ่านหน้าผาโดยไม่มีแอ่งพัก มุมมองน้ำตกจะอยู่อีกด้านหนึ่ง

          เราเดินไปตามทางที่มีร่องรอยเดิมอยู่บนโขดหินอย่างระมัดระวังเพราะทางแคบและลื่นมาก เป็นการบังคับไปในตัวให้ต้องเดินเรียงหนึ่งเลาะเลียบชิดหน้าผา จากนั้นจึงแหงนมองขึ้นไป จึงเห็นสายน้ำสาดกระเซ็นลงมาเป็นละอองคล้ายสายฝน กลุ่มมอสส์ และดอกบีโกเนียชนิดเล็กๆจับอยู่ตามเพิงผาด้านบน อีกวันหนึ่งเราเตรียมตัวเข้าน้ำตกทีลอซูด้วยการล่องเรือยางไปตามลำน้ำแม่กลอง ซึ่งจะผ่านน้ำตกทีลอจ่อตอนล่างที่ไหลตกลงสู่แม่น้ำ ระหว่างทางนั้นจะมีธารน้ำตกไหลผ่านเพิงผาหินปูนมากมายกลายเป็นน้ำตกน้อยใหญ่ในสายน้ำแม่กลอง นี่เองคือความมหัศจรรย์ อันงดงามของผืนป่าหน้าฝน เพราะในฤดูแล้งจะมีเพียงแค่น้ำตกทีลอจ่อเพียงสายเดียวในการล่องแม่กลองช่วงต้น และน้ำตกทีลอเรในช่วงปลายแม้ว่าในช่วงฤดูฝนน้ำจะท่วมแก่งไปเกือบหมด

           แต่สำหรับการล่องแก่งในช่วงต้นเพื่อจะไปน้ำตกทีลอซูกลับเป็นผลดี เพราะทำให้การเดินทางเร็วขึ้นไปตามกระแสน้ำ ไม่ว่าขาไปหรือขากลับที่จะต้องกลับมาล่องน้ำออกสบแม่ละม้งเมื่อขึ้นถึงท่าทราย จุดที่จะขึ้นเดินป่าหรือขี่ช้างต่อไปยังน้ำตกทีลอซูก็เที่ยงวันพอดี หลังจากนั้นก็จะเดินทางต่ออีกราว 3 ชั่วโมง สำหรับบางคนยอมเดินป่าเสียจะดีกว่า เพราะบนหลังช้างหน้าฝนนั้นจะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบที่บินตอมและดูดเลือดช้าง แล้วก็พลอยเกาะคนนั่งช้างด้วย ฝรั่งบางคนกลัวถึงกับร้องไห้ เปลี่ยนใจลงเดินป่าแทน พวกเราก็เช่นกัน นั่งช้างไปครึ่งทางก็ชวนกันลงมาเดิน เพราะช่วงหน้าฝนแดดไม่ร้อน ป่าเขียวร่มครึ้ม ตามทางยังมีดอกไม้พวกกระเจียวหลากสี และผีเสื้อ ให้ชมไปเรื่อยๆ จนถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ซึ่งเป็นที่ตั้งแคมป์พักแรมในคืนนั้นการเดินป่าหน้าฝนและการพักแรมจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับสายฝนให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการนอนเต็นท์หรือผูกเปล สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือผ้ายางกันฝนและมุ้งกันยุงกันแมลง รวมถึงยากันยุงทั้งหลาย และคืนนั้นฝนตกกระหน่ำเสียค่อนคืน ทดสอบคุณภาพของเต็นท์และการกางว่าได้ผล เพราะเรากางเต็นท์กลางแจ้งจะอย่างไรก็ตาม สภาพที่เป็นอยู่นี้เรากำลังคิดถึงระบบการจัดการที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาพักแรมในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า  ซึ่งไม่สามารถให้บริการบ้านพักและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆได้ว่า การจัดสถานที่กางเต็นท์และสร้างห้องน้ำรวมเช่นที่นี่นั้น เป็นการแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง

          แต่ก็ยังมีปัญหาอื่นอีกที่ควรจัดการมากขึ้น เช่น สถานที่ประกอบอาหาร และระบบการรักษาความสะอาด หรือแม้แต่บริเวณที่กางเต็นท์ที่ไม่สามารถใช้การได้ในฤดูฝนรุ่งเช้าเราเดินเข้าน้ำตก สังเกตเห็นระหว่างทางมีป้ายสื่อความหมายธรรมชาติ นับเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีเยี่ยมในการให้ความรู้ความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว และทำให้การเข้าไปเที่ยวน้ำตกมีคุณค่ายิ่งขึ้นเรากลับเข้ามาอยู่ในบรรยากาศที่แวดล้อมด้วยป่าทึบ เลียบไปตามธารน้ำที่มาจากน้ำตก ซึ่งกำลังหลากไหลส่งเสียงดังกึกก้องทั่วไปทั้งราวป่า เราพากันเดินแยกซ้ายปีนป่ายขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดเขาก่อน ตามเส้นทางดารดาษไปด้วยพรรณไม้ที่แตกดอกออกช่อในช่วงฤดูฝน จนถึงทางขึ้นในช่วงสุดท้ายก็ต้องป่ายปีนขึ้นไปตามซอกหิน ออกจะยากลำบากอยู่สักหน่อย แต่ก็คุ้มค่ากับภาพอันยิ่งใหญ่ตระการตาของสายน้ำตกใหญ่ที่ไหลจากยอดเขาลงมาเป็นชั้นๆ นั่นคือสภาพของน้ำตกที่ไหลมาจากห้วยกล้อทอ ผ่านช่องเขาขาดไหลแผ่กว้างเกือบ 400 เมตร สูงประมาณ 200-300 เมตร ลักษณะเป็นธารน้ำตกหินปูน จึงเกิดการกัดเซาะพังทลายได้ง่าย ดังที่หลายปีก่อน เกิดพายุฝนกระหน่ำหลายวัน น้ำตกทีลอซูจึงได้พังทลายลงมา จนถึงวันนี้ เรามีโอกาสเข้ามาสำรวจ และพบว่าด้านที่สวยงามทางด้านซ้ายมือยังคงเดิม

          ส่วนด้านขวาที่พังทลายลงมาก็เริ่มฟื้นตัว จากภาพที่ปรากฏและการเข้าไปสัมผัส เราได้เรียนรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงจากปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้น ยังมีวันที่จะฟื้นคืนกลับมา เพียงขออย่าให้มนุษย์เราเข้าไปทำลายต้นกำเนิดของสายน้ำลำธารเท่านั้น เพราะมันไม่ใช่เพียงน้ำตกแห่งหนึ่ง มันคือแหล่งธรรมชาติอันเป็นปฐมบทของผืนป่าที่มีความสำคัญที่สุดของประเทศแม้แต่กับนักแรมทาง หากคุณยังไม่ได้ไปป่าอุ้มผางเลยสักครั้ง ก็เท่ากับยังไม่ได้สัมผัสถึงต้นกำเนิดของป่าตะวันตก ทว่าด้วยสภาพธรรมชาติอันยิ่งใหญ่มากมายเช่นนี้ ถึงคุณจะเคยไปมาแล้ว คงต้องถามตัวเองอีกครั้งว่าคุณได้เข้าถึงหัวใจและความยิ่งใหญ่ของป่าผืนนี้แล้วหรือยัง?เพราะคำถามนี้ เราเองยังถามไถ่กับตัวเองทุกครั้งของการเดินทางมาและกลับไปสู่อุ้มผางได้อย่างไม่รู้จบ...

HOME
1