ประเทศไทยมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอันดับที่ 47
อย่าดีใจ เพราะสถาบันการศึกษาเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ที่มีชื่อเสียงในสวิตเซอร์แลนด์
ได้ ซุ่มทำงานวิจัย 47 ประเทศในปี 2543 หรือ ปี 200
คือ ประเทศไทยมีความสามารถด้านนี้ ได้ที่โหล่คือ อันดับบ๊วยสุด
สถาบันนี้คือ International Institute for Management Development
เขาเรียกย่อ ๆ ว่า ไอเอ็มดี (IMD) อยู่สวิสเซอร์แลนด์
โดยใชัเกณฑ์ในการชี้วัดอยู่ 26 ชนิด
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทางรัฐบาลให้ความสนใจมาก เลยนำมาเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
ในส่วนของเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
เมื่อสัปดาห์
ก่อนโดยมี ฯพณฯ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นประธาน
สำหรับเกณฑ์ในการวัดทั้ง 26 ชนิดนำมาแบ่งกลุ่มได้ 5 หัวข้อใหญ่ คือ
1. ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา
ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาทั้งของ
ภาครัฐและเอกชน โดยเทียบอัตราส่วนต่อประชากร ต่อรายได้ประชาชาติ (GDP)
ซึ่ง
โดยรวมในปี 2000 เราอยู่ในอันดับที่ 45
2. บุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา
ก็เป็นจำนวนบุคลากรด้านการวิจัยทั้งหมดในภาครัฐ
และเอกชนรวมทั้งบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์ และไอที เราอยู่อันดับที่ 46
3. การจัดการด้านเทคโนโลยี ก็ดูจากความร่วมมือในการทำวิจัยของเทคโนโลยี
ด้านการเงิน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี การเคลื่อนย้ายหน่วยงานวิจัยออกจากประเทศ
เราอยู่อันดับที่ 43
4. สิ่งแวดล้อมทางวิทยาศาสตร์
ก็เป็นจำนวนรางวัลโนเบล (ประเทศไทยไม่เคยได้รับ
แม้แต่คนเดียว) การวิจัยพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ และการศึกษาและเยาวชน
เราอยู่
อันดับที่ 35
5. ทรัพย์สินทางปัญญา ดูจากจำนวนสิทธิบัตรที่เราคิดค้น
การคุ้มครองและลิขสิทธิ์ เราได้
อันดับที่ 44
แต่เมื่อนำมารวมกันทุกประเทศแล้ว แม้ว่าทุกข้อเราไม่ได้คะแนนบ๊วย
แต่ทุกข้อประเทศอื่น
จะมีอันดับดีกว่าเราเสมอ
เราจึงอยู่อันดับบ๊วย
นำมาให้ผู้อ่านช่วยกันคิดโดยเฉพาะท่านครูบาอาจารย์และนิสิต นักศึกษา
ทำอย่างไรให้เราไม่อยู่อันดับโหล่ของห้อง ?
การแก้ไขไม่ใช่เป็นภาระของรัฐบาลอย่างเดียว แต่ต้องทุกฝ่ายและประชาชนจะต้องมีความ
ตื่นตัวด้านนี้ด้วย
เอามาเขียนไม่อยากให้ท้อใจ แต่อยากจะให้เป็นจุดเริ่มสู้ด้วย
วิถีใหม่ในสหัสวรรษใหม่... สู้ต่อไป...
ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล
boonmark@democrat.or.th
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คอลัมน์ โลกาภิวัฒน์
ฉบับวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2543 หน้า 16
|