ทำดีต้องให้คนรู้

......กงเมิ่งจื่อกล่าวกับม่อจื้อว่า "ถ้าหากกำลังทำความดีจริงๆ ใครเล่าจะไม่รู้? ทำไมต้องโฆษณาตัวเองด้วย เหมือนกับผู้วิเศษที่มีเวทย์มนต์ขลังมากๆ แม้จะธุดงค์อยู่ในป่าลึก ผู้คนก็ยังแห่กันไปหา เอาข้าวของปัจจัยไปถวาย เรียกว่ามีวัตถุปัจจัยเหลือกินเหลือใช้ทีเดียวแหละ หรือจะเปรียบกับสาวงามชาวป่าก็ได้ แม้เธอจะอาศัยอยู่ในป่าในดอย ไม่เคยออกสังคม แต่ก็มีชายหนุ่มจำนวนมากมาขอแต่งงานกับเธอ ถ้าหากผู้หญิงคนนี้เที่ยวโฆษณาหาคู่ไปทั่ว พวกผู้ชายกลับไม่อยากได้เธอเสียอีก เวลานี้ท่านเที่ยวโฆษณาทฤษฎีของตนเอง มิใช่เป็นการเหนื่อยเปล่าดอกหรือ?"
......ม่อจื้อตอบว่า "โลกในทุกวันนี้สับสนวุ่นวายมาก จริงอยู่ คนที่อยากได้ผู้หญิงสวยๆ ไปเป็นเมียนั้นมีอยู่มาก ผู้หญิงสวยๆ ไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก ก็มีคนจำนวนมากมาสู่ขอถึงบ้าน แต่คนที่แสวงหาความดีนั้นมีน้อยเหลือเกิน ถ้าหากไม่โฆษณาตัวเอง พยายามอบรมบ่มสอนคน ผู้คนก็ไม่รู้จักเรา"
......"สมมติว่ามีหมอดูอยู่ 2 คน ก็เก่งด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ แต่คนหนึ่งออกไปข้างนอกเที่ยวดูโชคชะตาราศีให้ชาวบ้าน ส่วนอีกคนหนึ่งเฝ่าอยู่แต่ในบ้าน ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า เซ็งลี้ของใครจะดีกว่ากัน?"
......กงเมิ่งจื่อตอบว่า "เซ็งลี้ของคนที่ออกไปดูหมดข้างนอกย่อมดีกว่า"
......ม่อจื้อ กล่าวว่า "ภารกิจการพิทักษ์ความถูกต้องชอบธรรมก็เหมือนกับหมอดูสองคนนั้นนั่นแหละ ต้องออกไปข้างนอกเที่ยวพูดเที่ยวโน้มน้าวจูงใจคนจึงจะได้ผลดี เพราะฉะนั้น ทำไมข้าพเจ้าจึงจะไม่ออกไปข้างนอกเที่ยวพูด เที่ยวโฆษณาทฤษฎีของข้าพเจ้าต่อชาวบ้านเล่า?"
1