|
คดีพิพาทและการพิจารณาคดี
|
......ซาดิกแสดงความสามารถที่แยบยลและเผยให้เห็นถึงจิตใจที่ดีงามดังนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน
ผู้คนชื่นชนเขาและยังรักใคร่เขาด้วยนับได้ว่าเขาเป็นผู้ชายโชคดีที่สุดในบรรดาผู้ชายทั้งปวง
ชื่อของเขาโด่งดังไปทั่วราชอาณาจักร
พวกผู้หญิงพากันชายตาให้เขา
ราษฎรทุกคนฉลองความเที่ยงธรรมของเขา
เหล่านักปราชญ์เองก็มองเขาราวกับผู้หยั่งรู้อนาคต
แม้แต่พวกราชครูเองก็ยอมรับว่า
เขามีความรู้มากกว่ามหาราชครูเฒ่าเยเบอร์เสียอีก
ตอนนี้ทุกคนต่างลืมกรณีพิพาทเรื่องตัวกริฟฟงไปแล้ว
และเชื่อเฉพาะสิ่งที่ซาดิกเห็นว่าควรเชื่อเท่านั้น |
......ในกรุงบาบิโลน
มีกรณีพิพาทรุนแรงยืดเยื้อมาตั้งแต่ห้าร้อยปีแล้วและได้แบ่งราชอาณาจักรออกเป็นสองนิกายที่ขัดแย้งกันอย่างหนัก
นิกายหนึ่งถือว่าควรจะก้าวเท้าช่วยเข้าไปในวิหารมิทราก่อน
ส่วนอีกนิการยเห็นว่าประเพณีนี้น่ารังเกียจเป็นยิ่งนัก
และเราควรก้าวเท้าขวาไปก่อนเท่านั้น
ทุกคนต่างเฝ้ารอวันฉลองพิธีถวายพระเพลิงศักดิ์สิทธิ์
เพื่อจะดูว่าซาดิกจะเข้าข้างนิกายใด
พอถึงวันดังกล่าว
ทั่วทั้งกรุงต่างเพ่งสายตาจ้องมองไปที่เท้าทั้งสองข้างของซาดิก
ตื่นเต้นกันไปทั้งเมือง
ต่างคอยดูเหตุการณ์อย่างระทึกใจ
ซาดิกชิดเท้าทั้งสองข้างแล้วกระโดดเข้าไปในวิหารพร้อมกัน
จากนั้นก็กล่าวสุนทรพจน์น่าฟัง
เพื่อพิสูจน์ว่าพระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์และแห่งโลกนั้น
ไม่ทรงโปรดปรานผู้หนึ่งผู้ใดเป็นพิเศษ
ในทำนองเดียวกัน
พระองค์จึงไม่ทรงโปรดเท้าซ้ายมากกว่าเท้าขวา |
......จอมอิจฉาและภรรยาเห็นว่าสุนทรพจน์ของซาดิกไม่มีสำนวนโวหารเท่าที่ควร
และไม่ทำให้ภูเขาและเนินเขาสั่นสะเทือนพอต่างพูดกันว่า |
......"เขาพูดไม่เก่ง
ไม่เห็นน่าฟังเลย
มองไม่เห็นภาพน้ำทะเลที่เหือดหายไป
ดาวที่ลับฟ้าและพระอาทิตย์ที่ละลายราวกับขี้ผึ้ง
สรุปแล้ว
เขาไม่มีลีลาการพูดที่ดีแบบตะวันออกเลย" |
......ส่วนซาดิกนั้นพอใจที่มีวิธีการพูดอย่างมีเหตุผล
ทุกคนเห็นด้วยกับเขา
แต่มิใช่เพราะเขาเดินทางถูก
มีเหตุผล
หรือนิสัยดี
แต่เพราะเขาเป็นอัครมหาเสนาบดีต่างหาก |
......นอกจากนี้
ซาดิกยังได้ทำให้กรณีพิพาทสำคัญๆ
ระหว่างพวกราชครูขาวและพวกราชครู้ดำลงเอยได้ด้วยดี
ฝ่ายขาวเห็นว่าการสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าโดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออกในฤดูหนาวเป็นบาปอย่างยิ่ง
ส่วนฝ่ายดำเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงโปรดคำสวดของผู้ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกในฤดูร้อน
ซาดิกจึงออกคำสั่งว่าใครจะหันหน้าไปทางไหนก็ได้
แล้วแต่ความพอใจ |
......ซาดิกรู้เคล็ดลับในการทำงานพิเศษและงานประจำได้เสร็จสิ้นไปตอนช่วงเช้า
และใช้ช่วงเวลาที่เหลือสำหรับการตกแต่งกรุงบาบิโลนให้สวยงาม
ทั้งยังจัดให้มีการแสดงละครโศกนาฏกรรมที่ทำให้คนดูร้องไห้และละครแบบสุขนาฏกรรมที่ทำให้คนดูหัวเราะ
ความจริงแล้วละครทั้งสองแบบนี้ล้าสมัยไปตั้งนานแล้ว
แต่ซาดิกกลับฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
เพราะเขาเป็นคนมีรสนิยมในด้านนี้
แต่เขาไม่เคยแสดงตนว่ารู้มากกว่าศิลปินนักแสดงและมอบเงินและเหรียญตราเป็นรางวัลให้กับผู้แสดงยอดเยี่ยม
โดยไม่เคยรู้สึกอิฉาความสามารถของพวกเขาอย่างลับๆ
เลยคืนวันหนึ่ง
เขาทำให้พระราชาและโดยเฉพาะพระราชินีทรงเกษมสำราญยิ่ง
พระราชาทรงรับสั่งว่า |
......"ท่านอัครมหาเสนาบดีผู้นี้เยี่ยมจริงๆ" |
......พระราชินีตรัสว่า |
......"ท่านอัครมหาเสนาบดีผู้น่ารัก" |
......แล้วทั้งสองพระองค์ก็ตรัสเสริมพร้อมกันว่า |
......"คงจะน่าเสียดายเหลือเกินนะ
ถ้าเขาถูกแขวนคอไปเสีย" |
......ไม่เคยมีผู้ดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีคนใดต้องมาคอยต้อนรับเหล่าสุภาพสตรีเท่ากับซาดิก
ส่วนใหญ่ไม่มีเรื่องอะไรที่จะมาปรึกษาเขาแต่อยากมีความสัมพันธ์กับเขา
ภรรยาของจอมอิจฉามาขอคำปรึกษาเป็นรายแรก
หล่อนสาบานกับเขาต่อเทพมิทราต่อพระคัมภีร์เซนอเวสตา
และต่อพระเพลิงอันศักดิ์สิทธิ์ว่า
หล่อนเกลียดความประพฤติของสามี
จากนั้นก็ปรับทุกข์ว่า
สามีหล่อนนั้นขึ้หึง
และดุร้าย
แล้วก็กล่าวเป็นนัยว่า
อาจจะด้วยเหตุนี้กระมังเหล่าเทพจึงลงโทษเขาโดยทำให้พลังรักซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผู้ชายเหมือนอมตะเทพไร้ประสิทธิภาพ
และตบท้ายด้วยการปล่อยใจให้สายรั้งถุงน่องหล่นลงกับพื้น
ซาดิกก้มลงเก็บให้ด้วยความมีมารยาทอย่างเคย
แต่ไม่ได้เกี่ยวสายให้ตรงเข่าหล่อน
ความผิดเล็กๆน้อยๆ
ซึ่งถ้าจะถือเป็นความผิดละก็จะกลายเป็นสาเหตุของเคราะห์ร้ายที่น่าสะพรึงกล้วยิ่งซาดิกไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลยแต่ภรรยาของจอมอิจฉาครุ่นคิดถึงอย่างมาก |
......สุภาพสตรีคนอื่นๆ
ก็ไปหาซาดิกทุกวัน
จดหมายเหตุลับของกรุงบาบิโลนอ้างว่าเขาพลาดท่าเสียตัวไปเพียงครั้งเดียว
แต่เขารู้สึกแปลกใจยิ่งที่บรรลุจุดสุดยอดได้โดยไม่มีอารมณ์ใคร่และกอดจูบชู้รักของเขาอย่างใจลอย
สุภาพสตรีผู้ที่เขาได้ประทับรอยแห่งการคุ้มครองโดยแทบจะไม่รู้ตัวนั้นเป็นต้นห้องของพระราชินีอัสตาร์เต้
ส่วนสาวชาวบาบิโลนผู้อ่อนโยนคนนี้
รำพึงในใจเพื่อปลอบใจตนเองว่า |
......"ผู้ชายคนนี้คงจะต้องมีเรื่องสำคัญๆ
อยู่เต็มสมองแน่
เลยเพราะแม้แต่ตอนร่วมรักเขายังพะวงถึงอยู่" |
......ในระหว่างที่กำลังร่วมรักอยู่
หลายต่อหลายคนไม่พูดอะไรสักคำ
ในขณะที่คนอื่นๆ
เปล่งแต่คำพูดศักดิ์สิทธิ์
ส่วนซาดิกนั้นหลุดออกมาคำหนึ่งว่า |
......"พระราชินี" |
......แม่สาวชาวบาบิโลนนึกไปว่า
เขาคงมีสติกลับคืนมาตอนจังหวะสำคัญ
และพูดกับตนว่า |
......"พระราชินีของข้า" |
......แต่ซาดิกยังคงใจลอยอยู่มาก
และเอ่ยชื่ออัสตาร์เต้ออกมา
แม่นางซึ่งกำลังมีความสุขอยู่
ตีความทุกอย่างเข้าข้างตนและนึกเอาเองว่าคำพูดของซาดิกมีความหมายว่า |
......"เจ้าสวยยิ่งกว่าพระราชินีอัสตาร์เต้เสียอีก" |
......จากนั้น
นางก็ออกจากฮาเร็มของซาดิกไปพร้อมกับของขวัญมีค่าหลายชิ้น
และแวะเล่าเรื่องราวให้ภรรยาจอมอิจฉาซึ่งเป็นเพื่อนสนิมของหล่อนฟัง
ปรากฎว่าผู้ฟังโมโหใหญ่ที่ไม่ได้เป็นคนโปรดของซาดิก
นางพูดด้วยความโกรธว่า |
......"เขาไม่อยากแม้แต่จะเกี่ยวสายรั้งถุงน่องสายนี้ให้ฉัน
ฉันไม่อยากใช้มันอีกแล้วล่ะ" |
......แม้สาวผู้โชคดีพูดกับเพื่อนขี้อิจฉาว่า |
......"โอ้โฮ
นี่เธอใช้สายรั้งถุงน่องแบบเดียวกันกับของพระราชินีเลยรึนี่
เธอได้มันมาจากร้านคนทำคนเดียวกันรึ" |
......นางขี้อิจฉาไม่ตอบ
คิดอะไรอยู่ในใจ
แล้วเดินไปปรึกษากับสามีจอมอิจฉาของตน |
......ระหว่างนั้น
ซาดิกก็รู้ตัวเขาใจลอยอยู่บ่อยๆ
เวลาออกว่าความและตัดสินคดี
ทำให้เขาไม่สบายใจอยู่อย่างเพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ |
......คืนหนึ่ง
ซาดิกฝันว่าตอนแรกดูเหมือนตนจะนอนอยู่บนหญ้าแห้ง
ซึ่งมียอดแหลมทิ่มตำหลังอยู่บ้างทำให้นอนไม่สบาย
ต่อมากลับนอนพักอยู่บนพรมดอกกุหลาบแสนนุ่มซึ่งมีงูตัวหนึ่งโผล่ออกมาข้างใต้และกัดเข้าด้วยเขี้ยวพิษแหลมคม |
......ซาดิกรำพึงว่า |
......"เฮ้อ
ข้าได้นอนอยู่บนหญ้าแห้งที่ทิ่มตำมานานทีเดียว
ตอนนี้ข้านอนอยู่พรมดอกกุหลาบ
แต่งูนั้นจะเป็นอะไรล่ะ" |