มรรยาทชาวพุทธ

 

 

                คนไทยนับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติมาเป็นเวลานาน และในพระวินัยพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเสขิยวัตร หรือข้อปฏิบัติอันควรแก่ภิกษุสามเณรรวม 75 ข้อ เมื่อคนไทยได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา รู้เห็นวัตรปฏิบัติอันงามของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตามหลักเสขิยวัตร จึงนำข้อปฏิบัติมาเลียนแบบและกลายเป็นมรรยาทของชาวพุทธไป พระพุทธศาสนาจึงมีอิทธิพลต่อการประพฤติปฏิบัติของชาวไทย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและการประพฤติปฏิบัติด้านมรรยาทของคนไทยสืบทอดมาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย

                มรรยาทของชาวพุทธ ได้หล่อหลอมมาจากหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ซึ่งได้อบรมสั่งสอนและปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล หลักธรรมที่หล่อหลอมให้ชาวพุทธมีมรรยาทได้แก่ ขันติ ( ความอดทน )

                โสรัจจะ (ความสงบเสงี่ยม ) การรักษาศีล เพื่อความสงบเรียบร้อยของกาย วาจา มีวิธีการแสดงความเคารพ การปฏิสันถาร มีหลักมงคลชีวิต ว่าด้วยความเป็นผู้ว่าง่าย สันโดษ เป็นต้น ซึ่งชาวพุทธทุกคนในปัจจุบันสามารถจะนำมาปฏิบัติได้โดยไม่ยาก และเมื่อปฏิบัติได้ถูกต้องตามประเพณีนิยมแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคม

                คำว่ามรรยาท หรือ มารยาท ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ 2525 ให้คำนิยามไว้ว่า กิริยาวาจาที่ถือว่าเรียบร้อย และคำว่า ชาวพุทธ คือผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา ดังนั้นมรรยาทชาวพุทธจึงมีความหมายว่า กิริยาวาจาของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาที่ถือว่าเรียบร้อย คำว่ามรรยาทมีความหมายกว้าง รวมถึงกิริยาวาจาที่แสดงออกในชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหาร การแต่งกาย การพูด การแสดงความเคารพฯลฯ ซึ่งรวมเรียกว่ามรรยาทสังคม อันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยด้วย

มรรยาทแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ มรรยาททางกายและมรรยาททางวาจา

            มรรยาททางกาย หมายถึงมรรยาทที่แสดงออกทางกาย เช่นการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีเรียบ ๆ ไม่ฉูดฉาดเกินไป มีรูปทรงพอเหมาะกับกาลเทศะและบุคคล การแต่งใบหน้าและทรงผมให้พอเหมาะกับบุคลิกภาพของตน การแสดงกิริยาสุภาพเรียบร้อย สงบเสงี่ยม อ่อนโยน อ่อนน้อม และมีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ เป็นต้น

            มรรยาททางวาจา หมายถึง มรรยาทที่แสดงออกทางคำพูด มีวาจาสุภาพเรียบร้อย ไม่พูดคำหยาบ คำส่อเสียด ยุยงให้เขาแตกความสามัคคีกัน พูดแต่คำจริงและถูกกาละเทศะ เป็นคำพูดที่ชักนำให้สมานไมตรีมีประโยชน์แก่คนทั่วไป

 

        มรรยาทที่แสดงออกทางกายซึ่งสำนักวัฒนธรรมได้กำหนดแบบปฏิบัติสำหรับชาวไทยและชาวพุทธอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยได้แก่

    1. มรรยาทในการแสดงความเคารพ เป็นกิริยาที่แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน และเป็นการ ประกอบมงคลในพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง ได้แก่
    2. 1.1 การไหว้ การไหว้คือการที่มือสองข้างยกขึ้นประนม นิ้วชิดกัน ปลายนิ้วจรดกัน ไม่แยกปลายนิ้วออกจากกัน ยกมือขึ้นในระดับต่างๆตามฐานะของบุคคล ทำเพียงครั้งเดียว การไหว้แบ่งออกเป็น 4 อย่างคือ

      1.1.1 การไหว้พระรัตนตรัย ยกมือที่ประนมขึ้นจรดหน้าผากให้ปลายนิ้วหัวแม่มือจรดหว่างคิ้ว ก้มศรีษะและโน้มตัวลงเล็กน้อย

        1. การไหว้บิดา มารดา ครูอาจารย์ ยกมือที่ประนมขึ้นจรดหว่างคิ้ว ให้ปลายนิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก ก้มศรีษะ และ โน้มตัวลงเล็กน้อย ถ้ายืนไหว้ ( ชาย ) ยืนส้นเท้าชิด ปลายเท้าแยกเล็กน้อย (หญิง ) ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าย่อตัวลงไหว้
        2. การไหว้ผู้ที่เคารพทั่วไป ยกมือที่ประนมขึ้นจรดปลายจมูก ให้ปลายนิ้วหัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนิ้วชี้จรดปลายจมูก และเมื่อมีผู้น้อยทำความเคารพด้วยการไหว้ ต้องรับไหว้ทุกครั้ง การรับไหว้ใช้ประนมมือแค่อก ก้มศรีษะเล็กน้อย
        3. การไหว้ผู้ที่เสมอกัน ไม่ต้องยกมือที่ประนมขึ้นจรดหน้า เพียงแต่ยกมือที่ประนมขึ้นหว่างอก ไม่ต้องก้มศรีษะ หรือก้มเพียงเล็กน้อย

 

                           1.2 การกราบ การกราบมี 2 แบบ คือ

      1. การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ใช้สำหรับกราบพระรัตนตรัย เป็นการใช้ส่วนของร่างกาย 5 ส่วนจรดพื้น คือ หน้าผาก 1, ศอก 2 , เข่า 2 มีวิธีการกราบ ดังนี้

 

ท่าเตรียม ( ชาย ) นั่งท่าเทพบุตรคือนั่งคุกเข่า ปลายเท้าตั้ง ผายเข่าทั้งสองให้ห่างกันพองาม (ประมาณ 1 คืบ ของตน )

( หญิง ) นั่งท่าเทพธิดา คือนั่งราบบนส้นเท้า หงายฝ่าเท้าขึ้น และฝ่าเท้าไม่ทับกัน

ทั้งหญิงและชายคว่ำมือพาดไว้เหนือเข่า

จังหวะที่ 1 ( อัญชลี ) ยกมือประนมไว้ที่ทรวงอกในท่าไหว้ให้ฝ่ามือทั้งสองประกบกัน นิ้วมือทั้งหมดแนบชิดสนิทกัน อย่าให้นิ้วแยกห่างกัน กระพุ่มมือเป็นดอกบัวตูม ปลายนิ้วตั้งขึ้นข้างบน อย่าเบนไปทางซ้ายหรือขวา หรือจรดคาง หรือห้อยลง โดยตั้งประมาณ 45 องศากับทรวงอก

จังหวะที่ 2 ( วันทา ) ยกมือที่ประนมขึ้นจรดหน้าผากพร้อมกับก้มศรีษะลงเล็กน้อย นิ้วชิดติดกัน นิ้วหัวแม่มือไม่ห่างออกจากฝ่ามือ ให้นิ้วหัวแม่มือจรดหว่างคิ้ว นิ้วชี้แนบหน้าผาก

จังหวะที่ 3 ( อภิวาท ) ลดมือทั้งสองจากหน้า น้อมตัวไปข้างหน้า พร้อมกับทอดมือทั้งสองลงกับพื้น ( ชาย ) ให้ศอกทั้งสองต่อกับเข่าทั้งสองและจรดพื้นด้วย ( หญิง ) ลำแขนแนบเข่า

ทั้งหญิงและชายคว่ำมือทั้งสองแบราบลงกับพื้น ให้นิ้วทั้ง 5 ชิดกัน มือทั้งสองห่างกันพอที่จะก้มศรีษะให้หน้าผากลงจรดพื้นได้

แล้วลุกขึ้นทำจังหวะที่ 1 , 2 และ 3 ( อัญชลี วันทา อภิวาท ) ติดต่อไปอีก 2 ครั้ง

จึงจบด้วยท่าวันทา เป็นจังหวะที่ 4 สุดท้าย คือยกมือทั้งสองจรดหน้าผากหลังจากทำการอภิวาทเป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันทาแล้วให้ลดมือลงและนั่งตามปกติ ซึ่งโดยทั่วไปนิยมใช้พับเพียบทั้งหญิงและชาย หรือชายจะใช้ขัดสมาธิก็แล้วแต่สะดวก หากจะลุกขึ้นยืนก็ยันตัวลุกขึ้น โดยใช้มือพยุง หรือใช้เข่าดันตัวขึ้นก็ได้ แล้วเดินเข่าถอยหลังออกมาให้ห่างจากพระภิกษุ หรือ พระพุทธรูปพอสมควรแล้วจึงหมุนตัวหันหลังเดินออกไป

 

 

                                        1.2.2 การหมอบกราบ ใช้กราบผู้อาวุโส เช่น บิดา มารดา ญาติผู้ใหญ่ ครูอาจารย์  วิธีหมอบกราบ กระทำดังนี้

    1. นั่งพับเพียบเก็บปลายเท้า ทั้งหญิงและชาย มือประสานคว่ำประกบกันวางไว้เหนือเข่าข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นกิริยาการนั่งกับพื้นต่อหน้าผู้ใหญ่โดยทั่วไป
    2. เลื่อนมือทั้งสองข้างที่คว่ำประกบกันลงพื้นและน้อมตัวลงในลักษณะที่เรียกว่าการหมอบ
    3. เมื่อเลื่อนมือลงถึงพื้นแล้วคลายมือที่ประกบกันออกตั้งบนพื้น ให้ข้อศอกข้างหนึ่งสอดเข้าระหว่างขาที่พับเพียบ ข้อศอกอีกข้างหนึ่งอยู่ด้านนอก
    4. ก้มศรีษะลงไปให้จมูกจรดหัวแม่มือและกระดกปลายนิ้วชี้ให้จรดหน้าผาก
    5. ลุกขึ้นนั่งในท่าเดิม ( ท่าที่ 1 )
    6. ให้กราบเพียงครั้งเดียว

หากไม่มีการสนทนา และผู้ใหญ่อนุญาตให้ไปได้ ก็ใช้มือพยุงตัวขึ้นยืนเข่า และเดินเข่าถอยหลังออกมาในระยะห่างพอสมควรจึงลุกขึ้น และหมุนตัวกลับเดินออกไป

การเดินเข่า คือกิริยาการคุกเข่าเดินแทนเท้า นิ้วเท้าตั้งเพื่อยันตัวให้เดินไปข้างหน้า หรือเดินถอยหลัง ไม่ให้ลากเท้าเดิน แขนชิดแนบลำตัวไม่แกว่งไปมา หากจะแกว่งก็แกว่งเพียงเล็กน้อยพองาม

การเข้าพบพระสงฆ์ หรือผู้ใหญ่ซึ่งนั่งอยู่กับพื้น ควรเดินเข่าเข้าไปก่อนที่จะกราบ

 

Home

1