บุคคลเหล่านั้นได้หายไปหมดแล้วพร้อมด้วยถ้อยคำอันขมขื่นหยาบคาย เขาเหล่านั้นได้ละทิ้งดินแดนอันสงบเงียบสะอาดจากดาวอังคาร ดาวที่สร้างความอัศจรรย์และกระตือรือร้นแก่มนุษย์มาครั้งหนึ่ง และบัดนี้เขากำลังกลับไปยังโลก โลกที่คร่ำไปด้วยชนชาติต่าง ๆ ความหวัง ความฝัน ความกระหายเหล่านี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าสงบนิ่ง น้ำตาอุ่น ๆ ไหลออกจากเบ้าทั้งสองข้าง ริมฝีปากแห้งผากเหมือนทะเลทราย
ดาวอังคาร ดาวซึ่งมีสีเขียวแดง ดวงดาวซึ่งถือเป็นเทพแห่งสงคราม เทพแห่งสัญญา ดวงดาวอันเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและสงัดเงียบ เราเคยมาฉีกกระชากความสงัดที่นี่ แล้วด้วยเรื่องอันครึกโครม เสียงหัวเราะก้องเราเคยมาขุดคุ้ยกับพื้นทรายอย่างหิวกระหาย บัดนี้ดวงดาวนี้จะหลับนอนอีกครั้งหนึ่งโดยปราศจากการรบกวน เวลาแล้วเวลาอีก ดินแดนนี้ดินแดนที่มนุษย์ได้เคยมาเหยียบย่ำ บัดนี้มนุษย์ได้จากไปหมดแล้ว หากเหลือเพียงคนเดียวข้าพเจ้า...ข้าพเจ้า-เท่านั้น
จากสนามที่ใช้เป็นสถานีเวหาสยาน ข้าพเจ้ามองไปบนท้องฟ้า ซึ่งขณะนี้ไม่พบสิ่งที่เป็นทางขาวอีกแล้ว ทุกสิ่งหายไปกับความมืด ข้าพเจ้าหันกลับมองดูอาณาจักรใหม่ที่มนุษย์ได้สร้างไว้บนดวงดาวนี้ ตึกรามเป็นหย่อม ๆ ซึ่งใช้เป็นสถานที่พัก ที่ขายอาหาร โรงแรม หอวิทยาศาสตร์ บัดนี้ว่างเปล่าสลักหักพัง และมีข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้นในอาณาจักรอันแข็งแกร่งและมั่นคงนี้ ข้าพเจ้าออกเดินย่างเท้ามาเรื่อย ๆ ด้วยจิตใจอันหดหู่และหวาดผวา ข้าพเจ้าค่อย ๆ เดินมาพร้อมกับเสียงกระซิบกระซาบกับตัวข้าพเจ้า
เสียง-เสียงซึ่งข้าพเจ้าได้ยินมาหลายครั้งหลายคราในสัปดาห์ที่ผ่านไป
ไม่ใช่เสียงจากภูติผี ไม่ใช่เสียงที่ส่งมาจากโลกมนุษย์หรือจากอวกาศอันว่างเปล่า
หากเป็นเสียงที่เกิดในกระโหลกศีรษะ ในสมองข้าพเจ้า เป็นเสียงกระซิบสม่ำเสมอ
ไม่มีเวลา ไร้ขอบเขต เป็นเสียงของความปวด ร้าวและหลีกเลี่ยงไม่ได้ในความปวดร้าวเช่นนั้น
ข้าพเจ้ากลับมายังเมืองซึ่งร้างคน กลับมายังห้องอันว่างเปล่า ไร้แม้สัตว์เล็ก
ๆ อาศัยอยู่ ข้าพเจ้าพบแต่เตียงและทุ่มตนเองลงบนนั้น มือก่ายหน้าผากอย่างไม่จงใจ
ข้าพเจ้าตกอยู่ในสภาพระทดระทวยเหมือนมดที่ถูกบี้บด นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ซึ่งผลจากอดีตนั้น สร้างความร้าวรานใจ และหดหู่อับเฉาแก่ข้าพเจ้าในขณะนี้
ข้าพเจ้าครางเสียงดังด้วยจดจำในเหตุการณ์นั้น นานแล้วนานกว่า12 ปี ถูกละ 12 ปีมาแล้ว 12 ปีมาแล้วที่ข้าพเจ้าได้จ้องผ่านหน้าฉากที่ใช้ดูดาว และได้เห็นดาวสีแดงระคนเขียวดวงนี้อย่างตื่นตา เมื่อมันปรากฏอยู่เบื้องหน้าเวหาสยานที่นำข้าพเจ้ามาจากโลกมนุษย์
"นั่นไง ดาวอังคารที่เราฝันกันนัก" ข้าพเจ้าพึมพำว่า
"งาม สวยงามอะไรอย่างนั้น"
ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่เหยียบลงบนพื้นพิภพนี้ และนับแต่นั้นเอง
ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ข้าพเจ้าได้หลงใหลใฝ่ฝันต่อโลกนี้อย่างเต็มที่ มองไปอีกทางหนึ่ง
ข้าพเจ้าได้เห็นลูกกลมเขียวเล็ก ๆ ลอยอยู่ดุจดวงดาวทั้งหลาย ข้าพเจ้าจำได้ว่านั่นคือโลก-โลกที่ข้าพเจ้าจากมา
และโลกนั้นบัดนี้ข้าพเจ้าหมดหวังที่จะไปเสียแล้ว
ข้าพเจ้าจำได้ดีถึงวันประชุมใหญ่ ทั้งฝ่ายนักการเมือง นักการทหาร และนักเศรษฐกิจสูงสุดของที่ตั้งขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่ล่วงมา และหลังจากการโต้เถียงกันอย่างมากนั่นเอง เราทั้งหลายได้มาอยู่ที่นี่และหลังจากโต้เถียงกันที่นี่แล้ว เขาเหล่านั้นได้ทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ครั้งนั้น-ข้าพเจ้าคนเดียวที่โต้แย้งกับบุคคลเหล่านั้น
"มนุษย์จะประสบชะตาร้ายหรือ เหลวไหลเกินไป"
"ไม่เลย ด้วยเหตุผลแล้วความตายเป็นสิ่งไม่สนุกนักภายในการสืบเชื้อสายเพียงขั้นเดียวเท่านั้น
ชนชาติเราจะเป็นหมัน และศตวรรษเดียวนับจากเวลานี้ไปมนุษย์จะหยุดการมีชีวิตอยู่"
นายแพทย์ใหญ่คนหนึ่งกล่าวกับข้าพเจ้า และอีกคนหนึ่งก็ได้กล่าวว่า
"นั่นซิ อย่างน้อยเราต้องออกจากที่นี่ ออกไปจากโลกนี้ชั่วคราวเพื่อหลบหนีจากการแผ่รังสี"
อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำกล่าวขึ้นว่า
"ตลอดเวลาที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบการสลายของปรมาณูและแยกมันได้นั้น
เขาได้กระทำการอันเป็นอัตวินิบาตกรรม เขากำลังฆ่าตัวเอง ฆ่ามนุษย์โลกทางอ้อมทันทีที่ปรมาณูหลุดพ้นไป
พลังงานได้กระจายไป มันจะไปทำลายสิ่งอื่น"
"แน่เหลือเกิน" อีกคนสนับสนุน "การแผ่รังสีแสงเราไม่อาจต่อสู้กับมันได้
มันได้แปลงสภาพของมนุษย์ให้เกิดเป็นหมัน มันเป็นไปอย่างช้า ๆ
ทำให้เราไร้อำนาจ ทำให้มนุษย์หมดกำลัง"
ข้าพเจ้าได้คัดค้านเขา "มันไม่น่าจะเป็นไปได้
เกือบเหลือเชื่อ"
"มันเป็นความจริง" เขายืนยัน "มันน่าสยดสยองโลกกำลังเป็นดาวพระเคราะห์ที่กำลังตาย
มนุษย์ก็กำลังตายกำลังจะสาบสูญพันธุ์ ดุจสัตว์ดึกดำบรรพ์ หากว่า-อ้า การเดินทาง
ของท่านเป็นผลสำเร็จ ถ้ามนุษย์อาจหนีออกไปจากโลกที่เราสร้างความสยดสยองนี้
ไปสู่โลกซึ่งไม่มีด่างพร้อยได้ เราอาจสร้างโลกนั้นขึ้นใหม่ให้สะอาดเรียบร้อย"
ท่านนายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า
"ประเทศอื่น ๆ กำลังตระเตรียม ไทยจะนิ่งนอนใจไม่ได้
หากชนชาติอื่นจะจับจองดินแดนเหล่านั้นเพื่อพลเมืองของเขา สำหรับไทย
ท่านต้องเป็นผู้นำที่จะเลือกคนขึ้นไปกับเวหาสยานเพื่อไปเลือกที่ใดที่หนึ่ง
ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอก่อนที่เราจะอพยพชาวไทยไป ณ ที่นั้น"
ข้าพเจ้านิ่งฟังท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปอีก
"และดินแดนที่จะไป คณะรัฐมนตรีได้พิจารณากันแล้วว่า ควรไปยังดาวพระอังคาร"
ข้าพเจ้าอุทานเบา ๆ "ดาวอังคาร"
นายกรัฐมนตรีผงกศีรษะ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของท่านและของข้าพเจ้า
ทรงให้เหตุผลแล้วด้วยว่าควรไปยังโลกนั้น"
นั่นหมายถึงการยุติการโต้แย้งของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเดินมาที่หน้าต่าง
มองไปบนท้องฟ้า เพ่งไปสู่ทิศทางหนึ่งซึ่งดาวอังคารสถิตย์อยู่
ดาวอังคาร ดาวซึ่งเก่าแก่กว่าโลกมนุษย์ โดยการคิดฝันคาดคะเนสิ่งแวดล้อมบนดวงดาวนี้
ว่าพอที่จะให้ว่าชีวิตมนุษย์อาศัยอยู่ได้ แม้ว่าอากาศจะบางและกลางคืนจะเยือกเย็น
ข้าพเจ้าคิดแต่ในใจ ถ้าที่นั่นมีชาวอังคารอยู่เขาเหล่านั้นก็คงสร้างบ้านด้วยวิทยาศาสตร์
ซึ่งสามารถให้ความผาสุก ป้องกันความชุ่มชื้นได้ดี หรือไม่อย่างนั้นที่อาศัยก็ควรจะเป็นถ้ำ
หรือใต้ดิน คงจะมีอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ติดต่อกันอยู่ใต้ดิน สัตว์ในโลกนั้นคงมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมาะแก่สภาพเพื่อการดำรงอยู่
หากมนุษย์ไปอยู่ยังโลกนั้นมนุษย์จะสามารถใช้กำลังกล้ามเนื้อของเขา ทำงานได้ถึงสามเท่าของการอยู่ที่นี่
นั่นเป็นเพราะความโน้มถ่วงของดาวดวงนั้นน้อยกว่าโลกหนึ่งในสามเท่า
เมื่อเหตุการณ์บีบบังคับ ให้ข้าพเจ้าต้องเดินทางแน่แล้ว
ข้าพเจ้าจึงลงมือดำเนินงานทุก ๆ สิ่งที่จะใช้เกี่ยวกับการเดินทางไปในอวกาศ
ข้าพเจ้าต้องศึกษา ต้องคิดเกี่ยวกับเวหาสยาน เกี่ยวกับแผนที่ดาราศาสตร์
ซึ่งหนักทั้งในการคำนวณและการใช้ความจำ และจากนั้นข้าพเจ้าก็สามารถสร้างงานชิ้นนี้ได้สำเร็จ
เวหาสยานได้นำข้าพเจ้าเป็นคนแรกมาย่างเหยียบลงสู่โลกดาวอังคาร หลังจากสำรวจแล้ว
ข้าพเจ้าก็กลับไปยังโลกอีก งานข้าพเจ้าสำเร็จดังใจหมาย
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวว่าสำเร็จนั้นก็เป็นการงาน ส่วนในใจข้าพเจ้าเปล่าเปลี่ยวต่อสิ่งอันอ้างว้างขณะที่คนอื่นทำงานของเขา
ดาวอังคารได้ เกาะกุมหัวใจและวิญญาณของข้าพเจ้าช้า ๆ ด้วยความผาสุกอันเร้นลับที่สุด
ข้าพเจ้าก็เริ่มนึกว่าส่วนหนึ่งของข้าพเจ้ายังอยู่ในโลกที่จากมา ข้าพเจ้ายืนนิ่งในห้องทำงาน
เพียงหูเท่านั้นได้ยินแว่วมาว่า
"แปลกนะ แปลกจริง ๆ ทูโร กันได้ตรวจสัตว์ประหลาดของโลกนี้ตั้ง 12 ตัวมาแล้ว ตรวจอย่างละเอียดลออ กันไม่พบเลยว่ามันเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย ทั้ง 12 ตัว ไร้เพศ ไร้จริง ๆ"
แต่ไม่ช้าข้าพเจ้าก็ต้องกลับมายังดาวอังคารอีก
ในตอนนี้เราเริ่มทำงานก่อสร้าง มนุษย์พวกอื่น ๆ กำลังทยอยกันมา
ชาวนา ชาวไร่ นักการค้า และพร้อมกับพวกนี้ก็มีนักปล้น นักผจญภัย
แต่สำหรับข้าพเจ้ารู้สึกว่า การกลับมานี้ทำให้เกิดปีติยินดีจนน้ำตาไหล
ภายในระยะ 5 ปีที่ล่วงมา การมาของบรรดาผู้มีชื่อเป็นมนุษย์ในครั้งนี้
ทำให้โลกซึ่งเงียบเหงากลับครึกครื้นมากยิ่งขึ้น และขณะเดียวกันการวิวาทก็มีมากขึ้นตามกันมาทั้ง
ๆ ที่ ทุกคนรับปากมาแล้วว่าจะช่วยกันสร้างโลกใหม่ด้วยความสันติสุข
แต่ตรงข้าม บัดนี้ดาวอังคารกำลังอึกทึกไปด้วยเสียง-เสียงนานาชนิด
นั่นเพียงเสียงภายนอกสมัชชาใหญ่เท่านั้น เสียงภายในสมัชชาก็กำลังโต้เถียงกัน อย่างอึกทึกเหมือนกัน ทว่าไม่ใช่เสียงทะเลาะ หากเป็นเสียงที่กำลังเปลี่ยนแปลงความคิดเห็น เสียงของนักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง และนักการทหารกำลังประดังกันทั้งด้วยเหตุผล และคำพูดที่เข้าข้างตัว
ข้าพเจ้าในฐานะผู้นำคนหนึ่งของอาณาจักรใหม่ยังเกิดความลังเลใจเพราะการโต้เถียงนั้นเกิดกับมนุษยชาติโดยตรง และก็เป็นจริงดังนักวิทยาศาสตร์ทางชีววิทยาของเราสนอ ข้าพเจ้านึกและเป็นจริงเช่นนั้น
"ท่านสุภาพชน..." นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวขึ้นหลังจากที่ได้พูดอย่างยืดยาวมาแล้ว
"เหตุผลต่าง ๆ ย่อมประจักษ์แจ้งที่จะปฏิเสธไม่ได้ 5 ปีมาแล้ว-5 ปีที่เราตั้งอาณาจักรแห่งนี้ขึ้นในโลกอังคาร
ไม่มีเลยแม้แต่การเกิดสักครั้งเดียว เรามีทั้งผู้ชายผู้หญิง-มีทั้งสามีภรรยา
แต่เราไม่มีที่สำหรับลูกเลยแม้แต่คนเดียว"
ข้าพเจ้าลุกขึ้นค้านว่า "การแผ่รังสีได้ทำให้มนุษย์เป็นหมันตั้งแต่ครั้งที่อยู่บนโลก
รังสีอาจยังมีอำนาจเหนือมนุษย์อยู่จึงไม่อาจสืบพันธุ์ได้"
นักวิทยาศาสตร์กล่าวต่อไปว่า "ไม่ใช่เช่นนั้น
การแผ่รังสีนั้นควรจะหมดไปแล้วจากมนุษย์ทว่าสิ่งที่ปรากฏใหม่ในโลกนี้ เป็นเหตุปรากฏการณ์ที่เป็นจริง
และเปลี่ยนสภาพใหม่ใหผิดโลกจากมนุษย์ ชีวิตที่เกิดในโลกนี้เป็นชีวิตชั้นต่ำ
การสืบเชื้อสายเป็นไปดุจสภาพของสัตว์เซลล์เดียวโลกนี้ไม่มีการสืบพันธุ์ด้วยการผสมอันเกิดจากเชื้อตัวผู้และตัวเมีย
พูดง่าย ๆ โลกนี้เป็นโลกของชีวิตซึ่งไร้เพศไม่มีเพศฉะนั้นจึงไม่มีการผสมพันธุ์
นี่คือคำตอบของข้าพเจ้า"
นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของเราได้วางหีบ
ๆ หนึ่งลงบนโต๊ะของประธานที่ประชุมซึ่งข้าพเจ้าและใคร ๆ ลุกจากที่นั่งมายืนดูอยู่
เมื่อเปิดหีบออก ข้าพเจ้าแลเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งรูปร่างคล้ายหนู
แต่ตัวใหญ่เกือบเท่ากระต่ายยืนนิ่งอยู่ และสัตว์ตัวนี้ไม่มีเพศ มันค่อย ๆ
คลานออกจากหีบช้า ๆ มายืนอยู่กลางโต๊ะ
"มันเป็นสัตว์ที่เราเคยเห็น และรู้จักกันดีแล้วในโลกนี้
แต่ทว่าตัวนี้เป็นตัวที่โตถึงขนาดจะสืบพันธุ์ได้แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดดูให้ดี..."
ทุกคนจ้องดูสัตว์แห่งดาวอังคารอย่างเอาใจใส่ สัตว์นั้นเริ่มมีอาการสั่นเทาและเหยียดขาทั้ง 4 และหมอบลงเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ราวครึ่งชั่วโมงที่ไม่มีสรรพสำเนียงใด ๆ เว้นแต่เสียงถอนใจใหญ่เป็นครั้งคราว ทันใดนั้นเองก็มีเสียงร้องขึ้นว่า
"นั่นรูปหนูประหลาดกำลังเปลี่ยนไปแล้ว"
เป็นความจริงที่รูปของสัตว์ประหลาดตัวนั้นค่อย ๆ เปลี่ยนไป มันเปลี่ยนจากเดิมซึ่งมีทรวดทรงกลายเป็นก้อนกลุ่มเหลว มีสภาพดุจขี้ผึ้งที่ถูกลนด้วยความร้อนจนอ่อนนุ่ม แล้วสิ่งนั้นก็ค่อย ๆ เป็นปุ่มทั้งหัวและท้าย ตอนกลางเริ่มคอดอีกกิ่วเข้าทุกที ๆ จนขาดออกจากกัน เกิดเป็นรูปดุจขี้ผึ้งขึ้นสองก้อน จากนั้นก็ค่อย ๆ แปรสภาพเป็นรูปหนู ราวครึ่งชั่วโมงต่อมารูปหนูนั้นก็มีขนขึ้นอย่างสมบูรณ์ ออกวิ่งราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
"นี่แหละคำตอบของข้าพเจ้า" นักวิทยาศาสตร์สำคัญกล่าว "นี่แหละชีวิตบนโลกนี้ ท่านสุภาพบุรุษสิ่งมีชีวิตทุก ๆ สิ่งบนพิภพนี้แบ่งตัวของมันเองเช่นนี้ เช่นอะมีบา ซึ่งมีอยู่ในโลกเรา"
ข้าพเจ้ามองมันอย่างสนใจ แล้วพูดกับเขาเบา ๆ ว่า
"แต่มนุษย์ไม่ใช่อะมีบา"
"อย่างเดียวกัน จริง มนุษย์ไม่ใช่อะมีบา แต่บางทีบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในบรรยากาศของโลกอังคาร
อาจมีลักษณะเหมือนกับการแผ่รังสีของโลกเรา คือไม่ยอมให้มนุษย์สืบพันธุ์ตามธรรมชาติที่เคยเป็น
เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านสุภาพชน มนุษยชาติ มนุษยชาติต้องสิ้นสูญหมดชาติพันธุ์
หากเขายังอยู่ในโลกนี้ต่อไปอีก"
เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางอาณาจักรใหม่ เมื่อข่าวนี้แผ่สร้านไปทั่วทุกแห่ง การหัวเราะก้องกังวานที่เคยเป็นมาเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ชาวนายุติคันไถหมด ความฉงนสนเท่ห์ในเหตุที่ทำไมจึงฟักไข่ไม่ได้ สัตว์เลี้ยงทำไมจึงไม่สืบพันธุ์ คนงานทุกประเภทหยุดและนั่งจับเจ่า ใบหน้าของนักผจญภัยเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและสงบนิ่ง การลำเลียงมนุษย์มาสู่โลกนี้ถูกสั่งระงับกระทันหัน บรรยากาศเหนือดินแดนนี้เริ่มสั่นสะเทือนไปด้วยไม่พึงพอใจอย่างถึงขนาด
ข้าพเจ้าออกจากห้องประชุมเดิมไปตามที่ต่าง ๆ
ซึ่งฝูงชนกำลังจับกลุ่มโจษจันกันถึงเรื่องนี้ ในที่สุดข้าพเจ้าได้ไปยืนอยู่ในมุมเงียบแห่งหนึ่งในร้านขายเครื่องดื่ม
ไม่นานนักฝูงชนก็เข้ามาเต็มและมีคนหนึ่งยืนขึ้นบนโต๊ะ กล่าวดัง ๆ อย่างไม่พอใจว่า
"เหลืออีก 14 ลำเท่านั้น เวหาสยานเหลืออีก 14
ลำเท่านั้นที่จะต้องทยอยกันกลับไปยังโลก ทุกลำจะลำเลียงพวกเราไป มันอาจไม่หมด
จะต้องเหลือคนทิ้งไว้บนโลกนี้ เราจะต้องไปก่อน เรารอไม่ได้ที่จะใช้เวลาถึง
2 ปีในการไปสู่โลกสัก 1 เที่ยว เราจะต้องรีบไปก่อนเราไม่ใช่ชาวโลกอังคาร
เราเป็นชาวโลก-โลกของเรา"
"เราจะกลับบ้าน เราจะไม่ยอมอยู่"
หลายต่อหลายเวลาผ่านไป ข้าพเจ้าเฝ้าดูพวกเขาจากไปกัน
ข้าพเจ้าแลเห็นภาพของเวหาสยานที่พุ่งจากพื้น ทรายสีแดงขึ้นสู่ฟากฟ้า
ทุกลำกำลังทิ้งโลกนี้ ทิ้งดาวอังคาร แต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ยังอยู่
ข้าพเจ้าคนเดียวที่ยืนมองดูพวกเขาทิ้งข้าพเจ้าไปอย่างไม่แยแส
การลำเลียงได้ผ่านไปอีก เวหาสยานเหลือน้อยลำเข้า การแก่งแย่งก็ยิ่งหนักขึ้น
ทุกคนต่างมุ่งกลับไปโลกก่อน ไม่มีใครเสียสละ มนุษยชาติเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวเช่นนี้
ข้าพเจ้ายังอยู่ ข้าพเจ้ายังคงเฝ้าคอยดูพวกเขาจากไป จนกระทั่งเมืองที่เคยคึกคักครั้งหนึ่งนั้นเกือบจะไม่มีสิ่งใด ๆ เหลืออยู่ ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดกระวนกระวาย เ หลืออีกลำเดียวเท่านั้นสำหรับเวหาสยานที่จะกลับไปยังโลก ทุกคนรู้ว่าเขาได้กลับก็จริงแต่การกลับนั้นมีทั้งดีใจและเสียใจระคนกัน ยิ่งกว่านั้นพวกที่เหลืออยู่ยังทำลายข้าวของต่าง ๆ ที่เหลืออยู่ตามอารมณ์กึ่งสนุกกึ่งว้าเหว่ ข้าพเจ้าต้องเที่ยวเก็บเที่ยวรวบรวมของที่ข้าพเจ้าจะใช้จะกิน และหลบหลีกจากมนุษย์ซึ่งกำลังหัวเราะเยาะข้าพเจ้า เห็นข้าพเจ้ากำลังเป็นบ้าที่ไม่ยอมไป ซ้ำยังรวบรวมข้าวของต่าง ๆ ราวกับจะตั้งอาณาจักรแห่งนี้ให้คงอยู่ต่อไปแต่เพียงคนเดียว ข้าพเจ้ายอมรับว่า อาจจะถูกของเขาที่เขาว่าข้าพเจ้าโง่ บ้า ที่รวบรวมเสื้อผ้าอาหารและเครื่องมือต่าง ๆ แต่นั่นข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้ รู้ว่าข้าพเจ้าเตรียมเพื่ออนาคต ทั้ง ๆ ที่มันยังไม่มีอนาคต แต่ข้าพเจ้าก็ต้องเตรียมไว้ เราอาจทำสิ่งใด ๆ ได้เกือบทุกชนิดในดินแดนของโลกอังคารนี้ แต่ดาวดวงนี้ไม่ยอมรับพวกเรา ดาวอังคารไม่ต้องการทะเลาะวิวาทเอ็ดตะโรและหยาบคายต่ำช้า ดังนั้นที่สุด ข้าพเจ้าเท่านั้นที่จะยังอยู่ และยืนดูเวหาสยานลำสุดท้ายพุ่งขึ้นสู่อวกาศเพื่อจะกลับไปยังโลก
ข้าพเจ้าเดินกลับมายังที่พัก เดินโซซัดโซเซโลกแห่งนี้เงียบลงแล้ว ว่างเปล่า มีมนุษย์คนเดียวเท่านั้นที่เหลืออยู่ มีแต่เสียงกระซิบเท่านั้น เสียงกระซิบที่เกิดขึ้นในสมองของข้าพเจ้าเอง เสียงกระซิบสร้างความปวดร้าวของจิตใจ ความว้าเหว่ ความเปล่าเปลี่ยว โอย อย่าให้ข้าพเจ้ากล่าวเลย เพราะทุก ๆ สิ่งสายไปหมดแล้ว เวลาผ่านไป บัดนี้ข้าพเจ้าอายุเท่าใดไม่ทราบ แต่เมื่อข้าพเจ้ามาที่นี่ครั้งแรก ข้าพเจ้ามีอายุ 28 และมาอยู่ 7-8 ปี เป็น 33-35 ปี นี่คิดตามปฏิทินโลกที่เราติดต่อเสมอ เมื่อมนุษย์ไปกันหมด ข้าพเจ้าจึงไม่รู้ว่าบัดนี้ข้าพเจ้าอายุเท่าใด เพราะปีหนึ่งของโลกนี้มีถึง 687 วัน ซึ่งผิดกับโลกมี 365-4 วัน แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าคิดเคร่า ๆ ได้ราว 3-4 ปีคงจะได้ ที่ข้าพเจ้าได้อยู่คนเดียวในโลกแห่งนี้
และแล้ววันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าข้าพเจ้ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหัวใจข้าพเจ้าถูกบีบทำให้อึดอัด ร่างกายปวดร้าวคล้ายกับว่าร่างนี้จะแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ เป็นลักษณะแปลกซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
ข้าพเจ้าร้องไม่ออกได้แต่ดิ้นทุรนทุราย ข้าพเจ้าไม่อาจรักษาตัวเองได้ และก็ไม่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นโรคอะไรข้าพเจ้าต้องกระชากเสื้อผ้าออกสิ้น เพราะมันรัดเนื้อหนังของข้าพเจ้าจนบิดเบี้ยว และในตอนทรมานนั้นเอง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเนื้อหนังของข้าพเจ้าทั้งหมดเริ่มละลายตัวดุจขี้ผึ้ง มัน-มันประหนึ่งว่า โอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดเถิด-มันประหนึ่งว่าข้าพเจ้าไม่ใช่ตัวของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าไม่มีอะไรนอกจากโปรโตประสม (โปรโตรปลาสซึม) กองหนึ่งซึ่งไร้รูป
เมื่อข้าพเจ้าเริ่มมีความรู้สึกใหม่อีกครั้ง
ข้าพเจ้ายังรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสภาพมืดมน ว่างเปล่า ไม่มีที่สิ้นสุด
มืด-มืดมนเหมือนความมืดมิดในอวกาศ เมื่อข้าพเจ้ารู้สึกดีขึ้นข้าพเจ้าก็เริ่มหมุนตัวเคลื่อนไหว
พร้อมกับความสว่างไสวและพละกำลังใหม่ ข้าพเจ้าแข็งแรงขึ้น มีความคิดความรู้สึกขึ้นกว่าเก่า
เมื่อข้าพเจ้าลืมตาก็ต้องขยี้อย่างแรงโดยไม่เชื่อสายตา เพราะภาพที่ข้าพเจ้าได้พบเมื่อลืมตาขึ้นนั้นสร้างความอัศจรรย์อย่างยิ่งแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจำต้องยื่นมือออกไปเพื่อจะจับกับอีกมือหนึ่งและมือนั้นติดอยู่กับร่างอีกร่างหนึ่ง
ซึ่งมีทุก ๆ ส่วน มีแม้แต่ใบหน้าที่เหมือนกับข้าพเจ้าทุกอย่าง
ข้าพเจ้าร้องออกมาด้วยความดีใจ และขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ไม่ทำให้ข้าพเจ้าว้าเหว่อีกต่อไป เพราะขณะนี้ข้าพเจ้าได้มีร่างใหม่อีกร่างหนึ่ง ซึ่งเหมือนข้าพเจ้า ร่างนั้นยิ้มรับข้าพเจ้า เป็นมิตรกับข้าพเจ้า เป็นมนุษย์ส่วนคู่ของข้าพเจ้า
โอ ขอบคุณดาวอังคาร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพิภพนี้ได้แยกตัวข้าพเจ้าออกเป็นสองภาคดังนี้
ข้าพเจ้าได้แยกตัวแล้วด้วยการแบ่งเซลล์ดุจอะมีบา
ข้าพเจ้าไม่ต้องอยู่แต่ผู้เดียวแล้ว ชาวโลกทั้งหลายไปแล้วและไม่กลับมา เราเดินออกไปข้างนอกด้วยกัน
เรายืนด้วยกันท่ามกลางความเยือกเย็น เปล่าเปลี่ยวเงียบสงัด ในยามราตรีของดาวดวงนี้
เราทั้งสองยิ้มอย่างมีความสุขในสัญญลักษณ์ใหม่ ซึ่งมีแต่ความสงบสันติสุข และเราให้สัญญากับเจ้าแม่ดาวดวงนี้ว่า
เรา-เราจะขอเป็นชาวโลกอังคารนี้ต่อไปจนสิ้นอายุขัย
เรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ เรื่อง "มนุษย์คู่"
คุณจันตรีเขียนไว้ และตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร "วิทยาศาสตร์-มหัศจรรย์"
ปีที่ 1 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนกันยายน พ.ศ.
2498