ประวัติ จันตรี ศิริบุญรอด


                                                                                                                                                                เขียนและรวบรวมข้อมูลโดย ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย
    หมายเหตุจาก DigiTaL-KRASH!!! --- คุณไพรัตน์ได้ส่งอีเมล์บทความนี้มาให้ ขอบคุณมากครับ ---
จันตรี ศิริบุญรอด
สามัญชนเกียรติยศ
                                                                                                                                                                                         ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย
 
      " เขาคือ สามัญชน คนเขียนหนังสือ
        เขาคือ สามัญชน บนอุดมการณ์แห่งการเผยแพร่ความรู้
        เขาคือ สามัญชน เกียรติยศ ที่คนลืมเลือน "
 
     มีคนมากมายที่ไม่รู้จักนิยายวิทยาศาสตร์เลย มีคนส่วนหนึ่งที่เคยอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ ท่ามกลางคนที่อ่านนิยายวิทยาศาสตร์ มีส่วนหนึ่งที่มองว่านิยายวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องราวที่เพ้อฝัน พาผู้คนหลุดออกนอกขอบเขตของความเป็นจริง มีอีกส่วนหนึ่งที่ชอบ รัก และติดนิยายวิทยาศาสตร์ตั้งแต่แรกอ่าน ในส่วนที่รักนิยายวิทยาศาสตร์นี้ มีเสี้ยวหนึ่งรักวิทยาศาสตร์จริง ๆ และกลายมาเป็นนักวิทยาศาสตร์จริง ๆ และอีกเศษเสี้ยวหนึ่งกลายเป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์
     พลังของนิยายวิทยาศาสตร์มีมากเพียงใดไม่ใช่เรื่องจะพูดกันได้โดยง่าย  ความเพ้อฝันในนิยายวิทยาศาสตร์บางครั้ง ต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีจึงจะกลายเป็นจริง ด้วยเหตุนี้ การตราหน้านิยายวิทยาศาสตร์ว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

     แปลกแท้ ถ้าหากนิยายวิทยาศาสตร์ มีบรรยากาศของจินตนาการที่ไกลกว่าชีวิตที่ต้องประสบทุกวันแล้ว เหตุใดในท้องตลาดหนังสือจึงมีนิยายวิทยาศาสตร์น้อยเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เราดูภาพยนตร์วิทยาศาสตร์กันอยู่บ่อย ๆ ช่วงหลัง ๆ นี้ก็เช่น ID4, Jurassic Park, Chain Reaction, Phenomenon รวมทั้งภาพยนตร์ชุดทางทีวีอย่างเรื่อง X-Files ไม่เว้นแม้แต่ หุบเขากินคน
     คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สาเหตุที่มีนิยายวิทยาศาสตร์น้อยก็เพราะมีคนเขียนกันน้อย สาเหตุที่เขียนกันน้อยก็เพราะผู้อ่านมีตัวเลือกที่จะอ่านมาก และตัดสินใจเลือกที่จะอ่านสิ่งอื่น อีกปัจจัยหนึ่งก็เพราะ พัฒนาการนิยายวิทยาศาสตร์ในเมืองไทยนั้นขาดช่วงไป เราขาดบุคคลสามคนคือ หนึ่ง นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชั้นดี สอง ขาดนักเขียนเรื่องทางวิทยาศาสตร์สำหรับประชาชนชั้นดี และสาม ขาดบุคคลผู้สามารถสร้างแหล่งเผยแพร่เรื่องราวของบุคคลที่หนึ่งและสอง ชั้นดี

     ถึงวันนี้ เราก็ยังมีคนไม่ครบทั้งสามคนตามที่กล่าวไปแล้ว โดยเฉพาะคนที่สามที่เป็นฟันเฟืองสำคัญที่สุด นี่คือเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2540 แต่เชื่อหรือไม่ว่า เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2500 นั้น เมืองไทยมีคนทั้งสามครบสมบูรณ์ แล้วจะเชื่อหรือไม่ว่า คนทั้งสามนั้น แท้ที่จริงแล้ว คือคนคนเดียวกัน!
 
ใครคือจันตรี
     บุคคลสามคนที่เป็นคนคนเดียวกันก็คือ "จันตรี ศิริบุญรอด" อาจจะพ่วงท้ายไปด้วยว่า "นักเขียนมหัศจรรย์" ในสมัยนั้น จันตรี  มีหน้าที่ดูแลหนังสือวิทยาศาสตร์สองเล่ม  คือวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์ ต่อด้วย วิทยาศาสตร์อัศจรรย์ (บทบาทของคนที่สาม) เป็นหนังสือแนวเดียวกับอัพเดทนี่เอง จันตรียังเขียนสารคดีวิทยาศาสตร์ให้ประชาชนทั่วไปอ่านได้อ่านดี (บทบาทของคนที่สอง) นอกจากนั้นยังเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ทั้งเรื่องสั้น เรื่องยาว แต่งเอง และดัดแปลงจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง (บทบาทของคนที่หนึ่ง) ในงานเขียนนั้น จันตรี ทำได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ อันเป็นที่มาของคำพ่วงนักเขียนมหัศจรรย์
     ช่วงเวลาเกือบสิบปีที่จันตรีทำหนังสือวิทยาศาสตร์ทั้งสองเล่ม (พ.ศ. 2498-2505) เป็นช่วงเวลาแห่งการปลูกฝังสร้างนักเรียน  นักศึกษา ผู้ใฝ่รู้ในเรื่องของวิทยาศาสตร์มากมาย สองท่านที่แฟนอัพเดทรู้จักก็คือ ดร.ครรชิต มาลัยวงศ์ เจ้าของคอลัมน์ส่องโลกคอมพิวเตอร์ และ ดร.ชัยวัฒน์ คุปตระกุล เจ้าของคอลัมน์คุยกับชัยคุปต์
     จันตรี  ศิริบุญรอด เกิดเมื่อ 31 มีนาคม พ.ศ. 2460 เป็นบุตรของ เรือโทเสงี่ยม และ นางละม้าย เดิมทีจันตรีมีนามสกุลว่า ศิริเทพอนุกูลแล้วเปลี่ยนเป็นศิริบุญรอดในภายหลัง (มิติที่ 4 พิเศษ 4, จันตรี ศิริบุญรอด นักเขียนมหัศจรรย์) หลังจากเรียนหนังสือจบชั้น ม.6 ก็เริ่มงานสอนหนังสือก่อนจะได้งานในกรมเชื้อเพลิง ช่องนนทรี จนปี พ.ศ. 2493 ก็ย้ายไปอยู่ลำปาง โดยเป็นครูสอนหนังสือที่ โรงเรียนเคนเน็ตแมคเคนซี่

     ที่ลำปางนี่เองที่ก่อให้เกิดคุณครูนักเขียนคนสำคัญของไทย

     ลักษณะการสอนของคุณครูจันตรีนั้น ช่วงเช้าจะสอนคำนวณและวิทยาศาสตร์ ช่วงบ่ายสอนภาษาอังกฤษ ส่วนวิชาอื่น ๆ เช่น วาดเขียน ขับร้อง พลศึกษา ศีลธรรม หน้าที่พลเมือง เป็นวิชาที่ครูจันตรีบอกว่า ไม่มีอะไรมาก เอาไว้ตะลุยสอนตอนใกล้สอบเลยทีเดียวก็ได้ ทุกวันในชั่งโมงสุดท้าย ครูจันตรีจะเล่าเรื่องนิยายวิทยาศาสตร์ที่ท่านแต่งเองให้นักเรียนฟัง
     นักเรียนที่ฟังเรื่องของครูจันตรีก็พากันติดงอมแงมจนไม่ยอมขาดเรียน หนักเข้าก็ไม่อาจเล่าให้ฟังได้ไหว จันตรีจึงจัดการโรเนียวเป็นเล่มขายให้นักเรียนอ่าน นี่คือบ่อเกิดของหนังสือวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์ในเวลาต่อมา

     ถ้าเราลองวาดภาพ คน ๆ หนึ่งต้องเล่าเรื่องที่ตัวเองแต่งให้คนอื่นฟังทุกวันคงจะเข้าใจได้ดีว่าคนผู้นั้น มีศักยภาพในการเขียนเรื่องทั้งที่เป็นเรื่องสั้นและเรื่องยาวมากขนาดไหน

     จันตรี เป็นหนอนหนังสือโดยแท้ เวิ้งนาครเขษม เป็นแหล่งหนังสือต่างประเทสที่จันตรีแวะเวียนมาบ่อย ๆ นอกจากหนังสือสาระอย่าง Popular Mechanic, Science Digest แล้ว หนังสือที่จันตรีสนใจก็คือ หนังสือที่ตีพิมพ์นิยายวิทยาศาสตร์ เช่น Amazing Stories, Galaxy นักเรียนที่เรียนกับท่านมักจะแวะเวียนไปอ่านหนังสือที่บ้านอยู่บ่อย ๆ บางครั้งจันตรีก็พานักเรียนไปดูหนังวิทยาศาสตร์ โดยท่านจะเล่าเรื่องย่อให้ฟังคร่าว ๆ ก่อน นั่นหมายถึงจันตรีต้องอ่านเรื่องเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นมาก่อนแล้วจากหนังสือต่างประเทศนั่นเอง

     สำหรับฝีมือเชิงศิลป์อย่างการวาดรูป งานปั้นปูนปลาสเตอร์ของจันตรีก็ได้รางวัลชนะที่ 1 ของลำปางอยู่เสมอ ๆ จนคนลำปางรู้จักฝีมือดี แม้แต่กีฬาฟุตบอลก็ยังสามารถสอนแนะนำเทคนิคให้นักเรียนได้อีกด้วย นี่แสดงถึงความสามารถรอบด้านของจันตรี ศิริบุญรอด

     ช่วงเดียวกันนี้เอง  จันตรีก็เขียนบทความทางวิทยาศาสตร์ นิยายวิทยาศาสตร์ รวมทั้งนิยายรักลงตีพิมพ์ในหนังสือท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่แน่ใจว่า งานเขียนระยะนี้ได้ใช้นามปากกาบ้างหรือไม่ ถ้าหากมีการใช้ก็คงเป็นไปดังนี้คือ งานเขียนเกี่ยวกับประวัตินักวิทยาศาสตร์ ใช้ว่า ศศิธร, จันทรา-ราตรี สารคดี ใช้ว่า สุวรรณี ศิริบุญรอด นอกจากนั้นก็อาจใช้ ยันตรมัย, กิ่งแก้ว ซึ่งเป็นชื่อของลูกชายและลูกสาวด้วย ถ้าเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ก็จะใช้ชื่อจริง

    มีข้อให้สังเกตด้วยว่า บทความประวัตินักวิทยาศาสตร์ที่จันตรีเขียนนั้น ชี้ให้เห็นว่า  นักวิทยาศาสตร์ก็มีชีวิตหมือนคนทั่วไป สุข เศร้า ปวดร้าว แร้นแค้น อดทน มุมานะ เหมือนสามัญชนทั่วไป ตัวคุณจันตรีเองก็มีลักษณะแบบนั้นเช่นเดียวกัน

     จันตรีจะใช้เวลาแต่ละวันอย่างคุ้มค่า มักจะอยู่อ่านและเขียนหนังสือถึงตีสองตีสาม ดังนั้นเมื่อมาสอนหนังสือก็จะดื่มกาแฟมาก (ประมาณหนึ่งขวดแม่โขงทุกวัน : มิติที่ 4 พิเศษ 4) มีอยู่ครั้งขณะที่สอนหนังสืออยู่ จู่ ๆ ก็เป็นลมล้มลงไป ทำเอานักเรียนตกใจกันมากทีเดียว
     ดังที่บอกแล้วว่า จันตรี เป็นนักอ่านและเข้ามาซื้อหนังสือในกรุงเทพฯเสมอ ปีพ.ศ. 2489 จันตรีมาซื้อหนังสือที่ร้านวิทยาภัณฑ์ สามยอดและได้พบกับ อาจารย์ปรีชา อมาตยกุล จันตรี ได้ปรารภว่าน่าจะได้ทำหนังสือด้านวิทยาศาสตร์ ให้เด็กไทยอ่านบ้างก็คงจะเป็นประโยชน์

     หลังจากนั้นไม่นาน คำปรารภนั้นก็เป็นจริง
 
จากนักเขียนสู่นักทำ
     หลังจากที่ครูจันตรีได้พบกับอาจารย์ปรีชาในวันนั้น งานเขียนในรูปเล่มโรเนียวก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา แรกเริ่มก็ 5 แผ่น คิดเงินกับนักเรียนด้วย 10 สตางค์ ถัดมาก็จัดการเย็บเป็นเล่ม นับไปนับมาก็หลายเล่มอยู่ ขณะเดียวกันจันตรียังร่วมมือกับลูกศิษย์เปิดร้านหนังสือชื่อ เบสต์ เซลเลอร์ ขึ้นด้วย สิ่งที่ขายก็คือ สรุปคำสอนวิทยาศาสตร์นั่นเอง
     จันตรีได้ปรึกษากับอ.ปรีชาอยู่หลายครั้งเพื่อจัดพิมพ์หนังสือทางวิทยาศาสตร์ให้ได้ ในช่วง พ.ศ. 2494-2495 เป็นช่วงที่อ.ปรีชามีตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย อ.ปรีชาได้ทำเรื่องเสนอสมาคมฯ โดยขอรับเป็นบรรณาธิการไม่รับเงิน ส่วนค่าพิมพ์ให้ไทยวัฒนาพาณิชรับผิดชอบ ทางสมาคมฯก็เห็นดีด้วย  ทุกอย่างจึงลงตัว

     วิทยาศาสตร์มหัศจรรย์เล่ม 1 ปรากฏขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2498 ราคาปก 2 บาท พิมพ์ 1 หมื่นเล่ม  แจกหมด  โรงเรียนละ 10 เล่มบ้าง 20 เล่มบ้าง ได้รับการต้อนรับอย่างดี มีสมาชิกเข้ามาหลายพันคน ในเล่ม 1 นี้  มีนิยายวิทยาศาสตร์ดัดแปลงฝีมือของจันตรีด้วยคือเรื่อง มนุษย์โลหะ

     ต้นฉบับส่วนใหญ่ในวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์ เป็นฝีมือของคุณจันตรี ไม่ว่าจะเป็นสารคดี ประวัตินักวิทยาศาสตร์ ปกิณกะวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน จินตนิยายวิทยาศาสตร์ คุณจันตรีสามารถเขียนได้รวดเร็วมาก ขนาดที่ว่า ให้เวลา 1 ชั่วโมงก็ได้นิยายมา1เรื่องดังนั้นวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์จึงไม่มีปัญหาในการเตรียมต้นฉบับแต่อย่างใด แถมยังทำล่วงหน้าได้ 3 เดือนเลยทีเดียว
     คุณจันตรีก้าวเข้ามารับหน้าที่บรรณาธิการวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์ในฉบับที่ 24 อันเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหนังสือรายเดือนมาเป็นรายปักษ์ งานก็หนักขึ้น ครั้งหนึ่ง จันตรีต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดลำไส้ แต่ยังปั่นต้นฉบับออกมาได้ มีผู้อ่านเขียนจดหมายแสดงความห่วงใยเข้ามามากมาย

     ในยุคนั้น หนังสือสำหรับอ่านคงมีไม่มากนัก กลุ่มเป้าหมายของวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์ก็เป็นกลุ่มนักเรียน ราคา 2 บาทก็ไม่ใช่ราคาเอากำไร แต่หนังสือก็อยู่ได้ด้วยยอดพิมพ์ที่บางครั้งขยับไปเกือบสองหมื่นเล่ม ที่สำคัญคือ ความตั้งใจของผู้จัดทำที่จะเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน หนังสือจึงคงอยู่และส่งอิทธิพลต่อคนหลายคนมาจนวันนี้
     แต่วิทยาศาสตร์มหัศจรรย์ก็ไปไม่รอด สาเหตุหลักเพราะออกไม่ตรงเวลา ก็มีปัจจัยมาจากการที่โรงพิมพ์ต้องพิมพ์ตำราเรียนด้วย บางครั้งต้องรอไป 15 วันจึงจะได้พิมพ์ ปกของวิทยาศาสตร์มหัศจรรย์ก็ต้อง 3 สี  (ไม่ง่ายเลยในยุคนั้น) ก็ทำให้ช้าอีก เมื่อหนังสือออกช้า ยอดขายก็เลยตก และในที่สุดก็ต้องล้มไปเมื่อออกมาได้ 75 เล่ม

     ถึงกระนั้น  เพราะจันตรีคือบุคคลที่ต้องการเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณชน (บุคคลที่ 3) จันตรีมีงานเขียนเผยแพร่อยู่ทั้งในหนังสือ วิทยุ โทรทัศน์ และอุดมการณ์อันเด็ดเดี่ยว ทำให้เกิดหนังสือขึ้นมาอีกเล่มคือ วิทยาศาสตร์-อัศจรรย์ เป็นการร่วมมือของจันตรีและ เริ่ม ศรีสาคร เจ้าของโรงพิมพ์ชัยชนะบล็อก ผนวกกับเพื่อนเก่าสมัยอยู่วัดระฆังโฆษิตาราม ชอบ ศรีสุกปลั่ง เข้ามาช่วยวาดรูปปกและประดิษฐ์อักษรในเล่มให้ นิตยสารเล่มนี้จึงสมบูรณ์ทั้งเนื้อหาและหน้าตา

     วัฏจักรของหนังสือวิทยาศาสตร์ยังคงเป็นเช่นเดิม วิทยาศาสตร์-อัศจรรย์ก็ต้องเลิกทำไปเหมือนกัน คุณจันตรียังสู้ต่อโดยตั้งสำนักพิมพ์ขึ้นมาเอง เพื่อพิมพ์เรื่องที่อัดแน่นอยู่ในสมองมากมายออกมาให้ได้มากเข้าไว้โดยไม่ใส่ใจเรื่องเงินมากนัก ทำไปตามกำลังที่มีอยู่ แล้วก็ล้มเหลวอีก หลายท่านให้ความเห็นว่า การที่คุณจันตรีล้มเหลวก็เพราะบริหารเงินไม่เป็น คุณจันตรีเป็นคนดีเกินไป เชื่อคนมาก จึงไม่ประสบความสำเร็จและต้องเลิกไปดังที่กล่าวแล้ว
ชีวิตของผู้จัดทำเผยแพร่ก็ยุติบทบาทลงไป
 
สู่เชิงตะกอน
     ถึงแม้คุณจันตรีจะเลิกทำวิทยาศาสตร์-อัศจรรย์ไป จันตรีก็ยังคงเผยแพร่ความรู้ออกมาเสมอโดยเขียนส่งตามสำนักพิมพ์ ตามหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ รวมทั้งเขียนบทละครวิทยุให้กับ คณะวัชรากร บทละครนี้ก็เป็นบทละครวิทยาศาสตร์เช่นกัน นอกจากนี้คุณจันตรียังพิมพ์หนังสือออกมาในนามสำนักพิมพ์ ศิริบุญรอด ด้วย
     การทำสำนักพิมพ์ศิริบุญรอด ก็ทำกันภายในครอบครัว มีคุณจันตรี เป็นคนเขียนเรื่อง คุณ สอางค์ (ภรรยา) ช่วยตรวจ กรองกาญจน์ (ลูกสาวคนโต) ช่วยพิมพ์ดีด กรมัย (ลูกชายคนโต) ช่วยวิ่งติดต่อเป็นธุระกับโรงพิมพ์ ทำกันได้ 3 ปี ก็ต้องเลิก ทั้งนี้ปัญหาก็เพราะเก็บเงินไม่ได้ แต่ตัวคุณจันตรีไม่ค่อยจะใส่ใจนัก  ท่านเคยพูดกับลูกชายไว้ว่า

     "การที่เราออกหนังสือไปแบบนี้ สตางค์ได้บ้างไม่ได้บ้างก็อย่าไปคิดอะไรมาก เพราะเราตั้งใจจะทำเป็นวิทยาทานก็แล้วกัน ขอให้มีหนังสือเต็มตลาดเข้าไว้ก็พอ"

     คุณจันตรีมีลูกทั้งหมด 10 คน เสียชีวิตไปสอง ลูก ๆ ไม่ได้รับการศึกษาเต็มที่นัก เพราะคุณจันตรีมักจะเอาเงินไปซื้อหนังสือเสียหมดจนไม่มีจ่ายค่าเทอม หนังสือที่มีก็จะเป็นภาษาอังกฤษจำนวนมาก ลูก ๆ จะอ่านก็อ่านไม่ถึง บางช่วงไม่มีเงินนักก็ยังเจียดเท่าที่มีอยู่ซื้อจนได้

     เวลาส่วนใหญ่ของคุณจันตรีใช้ไปกับการทำงาน แม้รับประทานยังกระทำไปพร้อมกับงานเขียน ไม่ยอมให้มีอะไรมาขัดจังหวะการทำงานเลย คุณจันตรีเคยเขียนตอบคนที่ถามว่า เอาเวลาจากไหนมาทำงานตั้งมากมาย คุณจันตรีตอบว่า

"ใช้เวลาที่หลายคนกำลังเที่ยวอยู่ทำงาน! ใช้เวลาที่หลายคนกำลังสนุกสนานกับมหรสพ ทำงาน! ใช้เวลาที่ทุกคนรับประทานอาหารวันละ 3-4 เวลา รับประทานเพียงเวลาเดียว ใช้เวลาที่ทุกคนนอนอย่างผาสุก ทำงาน! ใช้เวลาที่ทุกคนทำงาน ทำงาน!"

     ด้วยเหตุนี้ แม้จะเคยเป็นครูก็ไม่อาจปันเวลามาสอนลูก ๆ ได้ แต่ลูก ๆ ก็ได้เรียนจากตัวอย่างการทำงานหนักของคุณพ่อ และจากงานเขียนของคุณจันตรีเองที่สอดใส่สาระ คุณธรรม ไว้มากมาย คนที่อ่านก็จะได้ปรัชญาจากมันสมองของคุณจันตรี สอนให้บากบั่น รู้จักรักษาเวลา คำสอนของคุณจันตรีไม่ได้หายไปไหน ยังคงอยู่ในบทบรรณาธิการนั่นเอง

     พูดกันตรง ๆ แล้ว คุณจันตรีออกจะทำงานหนักเกินไป ทำโดยแทบไม่ได้พัก ความเครียด อาการปวดหัว ทำให้ต้องพึ่งยาจำนวนมากวันละหลายห่อ โดยข้าวปลาก็วันละมื้อเดียว บางทีก็กินยาขณะท้องว่าง นอกจากนั้นยังสูบบุหรี่อีกวันละ 4-5 ซอง เจ็บไข้ก็ไม่ใคร่จะไปหาหมอนัก

     ในที่สุดจันตรีก็ล้มเจ็บอย่างหนัก ครอบครัวได้พาไปโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าอาการเหมือนคนขี้เหล้า แต่คุณจันตรีไม่แตะต้องสุราเลยแม้แต่น้อย ครอบครัวจึงพาคุณจันตรีไปโรงพยาบาลมิชชั่น ก็เจอคำยืนยันจากหมอว่า ไตไม่ทำงาน ไม่อาจรักษาได้อีก
     เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2511 ราว ๆ หัวค่ำ บนตักของลูกชายคนโต ลมหายใจของจันตรี ศิริบุญรอดก็ขาดหาย

เกียรติยศที่รอคอย
     จันตรีเสียชีวิตอย่างเงียบเชียบ นับถึงวันนี้ก็เกือบ 30 ปีแล้ว ตลอดช่วงเวลาที่บุคคลผู้นี้มีลมหายใจอยู่ มีเด็กมากมายที่ซึมซับรับเอารากฐานด้านวิทยาศาสตร์ไว้อย่างเหนียวแน่น  และเป็นที่เข้าใจกันว่า เมืองไทยยังหาคนที่มีคุณค่าทำนองเดียวกับคุณจันตรีได้น้อยนัก

     บทบาทของจันตรีในฐานะนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ดูจะโดดเด่นกว่านักเขียนท่านอื่นที่แม้จะเขียนนิยายวิทยาศาสตร์บ้าง รวมทั้งผู้ที่เคยเขียนมาก่อนคุณจันตรีก็ตาม ไม่มีใครที่ผลิตผลงานได้เหมือนที่คุณจันตรีเคยทำไว้ ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ จนเรื่องของจันตรีได้กลายเป็นรากฐานที่แน่นหนายิ่งนัก จากปัจจัยเหล่านี้ทำให้เมื่อไม่นานมานี้มีกลุ่มคนพยายามจะเสนอให้ คุณจันตรี ศิริบุญรอด เป็นบิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ไทย

     ไม่เพียงเกียรติที่จะยกย่องให้เป็นบิดาของนิยายวิทยาศาสตร์ไทยเท่านั้น คนกลุ่มเดิมซึ่งต้องแจงไว้ตรงนี้ว่าคือ ชมรมนักเขียนและผู้จัดทำหนังสือวิทยาศาสตร์ (นจวท.) อาจารย์ชัยวัฒน์ คุปตระกุล คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี และคนในวงการอีกหลายท่าน รวมทั้งทีมงานหนังสือมิติที่ 4 ที่เพียรถามข่าวความคืบหน้าอยู่เป็นนิจ บุคคลเหล่านี้เคยคิดจะตั้งรางวัล  จันตรี ศิริบุญรอด ขึ้นมาด้วย โดยเบื้องต้นก็เห็นพ้องในหลักการ แต่ก็ติดในรายละเอียด เช่น จะให้เฉพาะนิยายวิทยาศาสตร์ หรือให้งานเขียนสารคดีด้วย จะใช้วิธีส่งเรื่องเข้าประกวดหรืออย่างอื่น

     ตรงนี้ อ.ชัยวัฒน์ เคยพูดไว้ว่า ไม่อยากให้ตั้งขึ้นมาแล้วหายไป ควรจะมีระบบที่ดี มีกองทุนที่มั่นคง มีความหมาย ต้องทำให้ต่อเนื่องเหมือนที่ต่างชาติมีรางวัลฮิวโก เนบิวลา อันเป็นรางวัลที่ยอมรับกันทั่วโลก

     เวลาผ่านไปห้าหกปีแล้วสำหรับความคิดเรื่องนี้

ตอนนี้เรื่องราวทั้งหลายก็เงียบลงไปจนมองไม่ออกเลยว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร...คงต้องรอให้สถานการณ์ สุกงอมมากกว่านี้

     จนถึงวินาทีนี้ แม้ไม่มีเกียรติคุณที่เป็นรูปธรรม แต่เชื่อได้ว่า สิ่งที่จันตรี ศิริบุญรอดได้สร้างสมไว้จะยังคงอยู่ในหัวใจของใครหลายคน ท่านเป็นบุคคลตัวอย่าง ผู้มุ่งมั่น เสียสละ มีหัวใจเหมือนปุถุชนธรรมดา วงการวิทยาศาสตร์เป็นหนี้ท่านและยังต้องการคนเยี่ยงท่านอีกต่อไป

ขอเราได้ร่วมกันระลึกถึง จันตรี ศิริบุญรอด นักเขียน นักทำ นักสอน เรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่ทรงคุณค่ายิ่งของไทยไปชั่วกาลนาน
 



เอกสารประกอบการเขียน
1. ปรีชา อมาตยกุล, งานเขียนของจันตรี ศิริบุญรอด, มิติที่4 39, พ.ย. 2526
2. มิติที่ 4 พิเศษ # 4 ฉบับจันตรี ศิริบุญรอด

ประวัติชีวิต จันตรี ศิริบุญรอด
แนวทางงานเขียนของจันตรี
รูปต่างๆของจันตรี ครอบครัวคุณจันตรี และผลงานของคุณจันตรี
  


  กลับสู่เมนูหลัก
1