เขาทอดถอนใจ พลางนึกว่าถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้สู้อยู่สอนต่อในนิคมอวกาศซึ่งอยู่ในระบบสุริยะ
ส่วนในเสียดีกว่าที่จะมานั่งจับเจ่าอยู่ในสถานีวิจัยบนดาวเคราะห์อันหนาวเหน็บและอ้างว้างริมขอบ
ระบบสุริยะเช่นนี้
ประตูเลื่อนเปิดออก ชายหนุ่มลูกจีนร่างสูงพาตัวเดินเข้ามาในห้องอย่างร้อนรน
เขาจะเป็น
ใครไปไม่ได้นอกจาก ดร.อนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ* ผู้ช่วยมือหนึ่งผู้เคยเป็นลูกศิษย์ของเขา
นั่นเอง นักดาราศาสตร์หนุ่มกระพุ่มมือไหว้ดร.กรวิทย์ อดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาอย่างนอบน้อม
แววตาฉายความตื่นเต้นจนเห็นได้ชัดเจน
" อาจารย์จำดาวหางดวงที่ชื่อ 2419c ที่ฐานสังเกตการณ์ของเราเพิ่งค้นพบใหม่เมื่อเดือน
ก่อนได้ไหมครับ "
" จำได้ ทำไมหรือ " ดร.กรวิทย์ยังไม่หายจากอาการเบื่อหน่าย
" ตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เราคาดคิดไว้ตอนต้นแล้วล่ะครับ
เพราะขณะที่ค้นพบเมื่อเดือนก่อน
อุปกรณ์วัดสเปกตรัมของกล้องโทรทรรศน์อวกาศเกิดรวนขึ้นมาทำให้ผลการวิเคราะห์สเปกตรัม
ผิดพลาดไปจนทำให้สรุปว่าวัตถุที่ค้นพบน่าจะเป็นดาวหาง แต่หลังจากที่ผมได้ส่งหุ่นซ่อมแซม
ขึ้นไปตรวจซ่อมจุดที่เสียหายแล้ว ผลของข้อมูลใหม่ทำให้เราทราบว่าวัตถุชิ้นนี้มีผิวเรียบมาก
ลักษณะดูเหมือนเป็นโลหะและไม่ใช่ดาวหางอย่างแน่นอนครับ "
" ไหนว่าต่อไปซิ " ดร.กรวิทย์ชักสนใจ
" เทหวัตถุลึกลับนี้มุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะของเราด้วยความเร็วคงที่
เท่ากับ 220 กิโลเมตรต่อ
วินาทีครับ และจะเข้ามาในระยะของวงโคจรดาวพลูโตภายในสองเดือนข้างหน้านี้
ขณะนี้มีข้อมูล
เท่านี้ " ชายหนุ่มกล่าว
" คุณทำงานได้ดีมาก เอาอย่างนี้นะ
ช่วงก่อนที่เจ้าวัตถุนี้จะเข้ามาในระยะวงโคจรของ
ดาวพลูโต ขอให้คุณติดตามเส้นทางการโคจรของมันอย่างใกล้ชิด
ผมเห็นทีจะต้องแจ้งข่าวที่เรา
พบกลับไปที่คณะกรรมการป้องกันภัยจากอวกาศห้วงลึก** เสียก่อน
" ดร.กรวิทย์กล่าวพลางหัน
ตัวกลับเพื่อจะเดินไปที่ห้องสื่อสาร แต่ชะงักตัวกลับเมื่อคิดอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาได้
" อนุรักษ์ เมื่อครู่คุณว่าเครื่องวัดสเปกตรัมของกล้องโทรทรรศน์อวกาศเสียใช่ไหม
ส่วน
ไหนล่ะที่เสีย "
" เอ่อ.. คอนโทรลชิพในตัว
CPU ของกล้องโทรทรรศน์เสียครับ ดูเหมือนจะเป็น
ของบริษัทญี่ปุ่นที่ทำจากโรงงานบนดาวอังคารน่ะครับ "
" มิน่าเล่า " ดร.กรวิทย์กล่าวพร้อมหมุนตัวกลับแล้วเดินออกไปจากห้อง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
* * * * * *
2.
พ.ศ.2962 มนุษย์ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสร้างอาณานิคมถาวรบนดวงจันทร์
ดาวอังคาร และดาวบริวารบางดวงของดาวนพเคราะห์ชั้นนอกอย่างดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์
เทคโนโลยีการปรับปรุงสภาพภูมิอากาศของดาวเคราะห์ให้เป็นเช่นเดียวกับดาวเคราะห์โลก
(terraforming technology) ถูกนำมาใช้งานทั่วไปอย่างกว้างขวางในหลายๆอาณานิคมรวม
ทั้งใช้ฟื้นฟูสภาพดาวเคราะห์โลกที่เกิดสภาวะเรือนกระจกอย่างรุนแรงในช่วงปี
พ.ศ.2538-2563
จนส่งผลให้โลกกลายเป็นดาวสมุทรเคราะห์ทั้งดวงเนื่องจากน้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย
ให้กลับมามี
สภาพทางภูมิศาสตร์ "เกือบจะ" เหมือนเดิมก่อนเกิดวิกฤติการดังกล่าวอีกด้วย
ผลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านอวกาศและทรัพยากรที่ได้มาอย่างมากมายเหลือคณานับ
จากเหมืองแร่บนดวงจันทร์และดาวเคราะห์น้อย ทำให้โครงการส่งยานสำรวจอัตโนมัติที่ไม่มีมนุษย์
บังคับ ไปสำรวจระบบดาวฤกษ์ที่ใกล้กับระบบสุริยะที่สุดจำนวน 5 ระบบ อันได้แก่
proxima
centauri,alpha centauri,bernard's star,wolf 359 และ lalande 21185 สำเร็จ
ลงได้ด้วยดี...แต่...โชคไม่ดีเลยที่มนุษย์ยังไม่สามารถข้ามกำแพงแห่งสังขารของตัวเองได้สำเร็จ
อยู่นั่นเอง กล่าวคือหากต้องการเดินทางให้ถึงดาว อัลฟ่า เซนเทารี
หรือดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ดวงอา
ทิตย์ที่สุดซึ่งอยู่ห่างออกไป 4.3 ปีแสงภายในสิบปีแล้วละก็ ตัวยานอวกาศจะต้องเดินทางด้วยความ
เร็วครึ่งหนึ่งของความเร็วแสง ซึ่งในทางทฤษฎีเราสามารถสร้างยานไร้คนบังคับที่เร็วขนาดนั้นได้
แต่ในทางปฏิบัติการจะเร่งยานอวกาศที่มีคนบังคับให้มีความเร็วเพียงหนึ่งในสามของความเร็วแสง
นั้น ลูกเรือจะต้องเผชิญกับแรงกดอันมหาศาลเนื่องจากความเร่งซึ่งมีค่ามากกว่าความเร่งเนื่อง
จากแรงโน้มถ่วงของโลกถึงพันเท่า (1000 g)ให้ได้
ซึ่งแม้ว่าตามทฤษฎีแล้วถ้าลูกเรือจุ่มตัว
เองอยู่ในของเหลวบางชนิดก็จะช่วยป้องกันแรงกระแทกได้ แต่ด้วยเวลาเดินทางยาวนานขนาดนั้น
ลูกเรือไม่มีทางทานทนได้แน่นอน
และมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ ความไม่ไว้วางใจกัน
สงครามขนาดย่อม ความอดอยาก และปัญหา
ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงมีอยู่ แม้ในศตวรรษที่ 25 ก็ตาม และนั่นก็ทำให้โครงการหลายๆ
โครงการที่จะอำนวยประโยชน์อเนกอนันต์ให้แก่มนุษยชาติต้องสะดุดหยุดชะงักลงหรือเลิกล้มไปเนื่องจากปัญหาทางการเมือง
ดูเหมือนว่าวงรอบเหตุการณ์ในหลายๆช่วงของประวัติศาสตร์อันยาวนานของ
อารยธรรมมนุษย์จะวนเวียนอยู่เช่นนี้ตลอดมา...
****************************************************************8
3.
สามสัปดาห์ผ่านไป อนุรักษ์ก็รายงานข้อมูลเส้นทางการโคจรของวัตถุประหลาดนี้
ให้อดีต
อาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งบัดนี้กลายมาเป็นหัวหน้าของเขาได้ทราบ ข้อมูลเหล่านั้นได้สร้างความตื่นเต้น
ให้ทุกฝ่าย เพราะมันบ่งบอกให้รู้ว่าเทหวัตถุชิ้นนี้มิใช่วัตถุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแน่นอน!
มัน
ถูกสร้างขึ้นมาจากที่อื่น...แหล่งอารยธรรมอื่นนอกระบบสุริยะของเรา...
รศ.ดร.กรวิทย์ก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง
ข้อความบนประตูปรากฏเป็นอักษรสี
ทองตัดกับพื้นโลหะมันวาวสีเข้ม
" Board of Deep Space Object Defence "
B.O.D.S.O.D.
"โปรดวางมือขวาของท่านบนสแกนเนอร์ และมองเข้ามาในช่องอ่านดวงตา"
เสียงจาก
ระบบสังเคราะห์เสียงของคอมพิวเตอร์ดังกังวาน ดร.กรวิทย์รีบทำตามทันที
รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับ
เครื่องช่วยเดินที่เขาสวมใส่มันอยู่ในตอนนี้ "ตรวจจับลายนิ้วมือ
ตรวจจับลักษณะดวงตา ข้อมูล
ถูกต้อง ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ดร.กรวิทย์ กิติเกษม" เสียงดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่เลื่อนเปิดออก
เป็นเวลาร่วมเดือนที่เขาออกเดินทางเพื่อกลับมายังสำนักงานใหญ่ของ
BODSOD บนโลก
เขาเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เองและยังรู้สึกว่าพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ เจ็ดปีในนิคมอวกาศกับอีก
6 เดือน
ของการใช้ชีวิตบนฐานสังเกตการณ์บนดาวพลูโต ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลง
แม้จะมีเครื่อง
สร้างแรงโน้มถ่วงเทียมแต่มนุษย์ก็ยังทำได้ไม่เท่ากับแรงโน้มถ่วงจริงบนโลก
นี่เป็นสาเหตุที่เขา
ต้องสวมเครื่องช่วยเดินเมื่อต้องเดินออกไปไหนไกลๆเช่นในขณะนี้
เขาก้าวเข้าไปในห้องประชุมของคณะกรรมการ
BODSOD ในห้องประชุมมีนายทหารชั้น
สูงรวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นที่เกี่ยวข้องประมาณ
30 ท่านซึ่งเป็นสมา
ชิกของคณะกรรมการบริหารสูงสุดแห่งหน่วยงาน BODSOD นั่งประชุมกันอยู่ก่อนแล้ว
ชายวัยกลางคนผู้นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานที่หัวโต๊ะเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวต้อนรับผู้มาใหม่
" เชิญครับ ดร.กรวิทย์ " เขาผายมือไปยังเก้าอี้ตัวที่สองรองจากประธานซึ่งเป็นตำแหน่งถัด
จากที่เขานั่งอยู่ " พวกเรารอคุณอยู่ "
ดร.กรวิทย์ กล่าวขอบคุณพร้อมทั้งหันไปจับมือทักทายอย่างสุภาพกับผู้พูด
เขาคือ นายพล
เกรเกอร์ แม็คฟลาย แห่งกองทัพอวกาศ สหรัฐอเมริกา ประธานคณะกรรมการบริหารหน่วยงาน
BODSOD ชุดนี้ แม้จะอายุจะล่วงเข้าสู่วัยกลางคนแล้วก็ตาม
ท่านนายพลก็ยังกระฉับกระเฉงอยู่
เสมอ ตาสีฟ้าคู่นั้นยังฉายประกายแรงกล้าเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและเฉียบขาด
แต่แฝงไปด้วย
ความอ่อนโยนสุขุมอยู่ในที ท่านเป็นคนที่ตัดสินใจเรื่องต่างๆได้อย่างรอบคอบและมีเหตุผล
เหมาะ
สมกับตำแหน่งผู้นำของหน่วย BODSOD โดยแท้
ดร.กรวิทย์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุกำมะหยี่ซึ่งปรับตัวให้เข้ากับแผ่นหลังของเขาทันทีที่นั่งลง
" สวัสดีท่านประธานที่เคารพ และท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย
" เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มลึกตามแบบ
ฉบับ " ตามที่ทีมนักวิจัยบนฐานสังเกตการณ์ " ฮอรัส " สังเกตพบวัตถุประหลาดกำลังเดินทาง
เข้ามาในระบบสุริยะของเราเมื่อเดือนที่แล้ว ขณะนี้มันได้เข้าสู่ระยะวงโคจรของดาวพลูโตแล้วดัง
ข้อมูลที่ข้าพเจ้าจะแสดงให้พวกท่านชม " กรวิทย์กล่าวพร้อมทั้งดึง
portable holocube
ความจุข้อมูล 2 เทอร์ราไบต์ออกมาจากกระเป๋าเอกสารใส่ลงในช่องอ่านข้อมูลแบบ
laser
array reflectance driver ซึ่งฝังตัวอยู่บนพื้นโต๊ะประชุม
" กรุณาดับไฟด้วยครับ " เขากล่าว
ไฟในห้องประชุมหรี่สลัวลง ทันใดนั้นภาพโฮโลแกรมสามมิติเรืองแสงก็ปรากฏลอยเด่นอยู่ใน
อากาศกลางโต๊ะประชุม แสดงวงโคจรของดาวเคราะห์ทั้งหมดของระบบสุริยะอย่างละเอียดเป็นสี
ฟ้า รวมทั้งตำแหน่งของนิคมอวกาศที่โคจรรอบดาวเคราะห์ต่างๆและยานทุกลำเป็นสีแดง
มีเส้น
ทางเดินของวัตถุลึกลับเป็นสีเขียววิ่งผ่าน
"นี่คือเส้นทางการโคจรของวัตถุลึกลับที่เข้ามาในระบบสุริยะ
จากการคำนวณเส้นทางการ
โคจรแล้วพบว่าขณะนี้วัตถุดังกล่าวอยู่ในระยะวงโคจรของดาวพลูโต คือ 39.5177
AU ถ้ามันยังมุ่ง
หน้าเข้ามาตามเส้นทางเดิมด้วยความเร็วเดิม เจ้าสิ่งนี้จะผ่านเข้ามาใกล้โลกภายใน
303.148
วัน ในระยะ 1.5 AU แล้วผ่านออกไปโดยเฉียดเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าวงโคจรของดาวพุธ
โชคของเรายังดีที่ทางโคจรของมันไม่ไปชนเข้ากับดาวเคราะห์หรือนิคมอวกาศดวงใดเลยในระ
บบสุริยะของเรา"
"นั่นหมายความว่า ในเบื้องต้นแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำลายมัน"นายพลเกรเกอร์พูดเสริมขึ้น
ดร.กรวิทย์พยักหน้า พลางนึกถึงเครื่องกำเนิดแสงเลเซอร์พลังแสงอาทิตย์ความเข้มสูงนับพันดวงซึ่ง
โคจรอยู่โดยรอบดวงอาทิตย์ในวงโคจรของดาวพุธ มันเคยใช้เป็นพลังขับดันให้ยานสำรวจอัตโนมัติ
ชนิดเรือใบอวกาศแบบใช้แสงเลเซอร์เป็นพลังขับดัน (laser sail) ออกไปจากระบบสุริยะ
เพื่อ
สำรวจระบบดาวฤกษ์ที่ใกล้ที่สุด 5 ระบบ เมื่อ 20 ปีก่อน
เครื่องกำเนิดแสงเลเซอร์เหล่านี้พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีในโครงการสตาร์วอรส์ของสหรัฐ
อเมริกาเมื่อข่วงปลายศตวรรษที่ 20 นอกจากใช้เป็นพลังขับดันยานสำรวจอวกาศแล้วมันยังสา
มารถใช้เป็นอาวุธป้องกันระบบสุริยะจากแขกผู้ไม่พึงประสงค์ที่มาจากอวกาศ
เช่นอุกกาบาต ดาว
หาง ที่มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลกหรือดาวเคราะห์ใดๆที่มีอาณานิคมของมนุษย์อยู่
รวมทั้ง
ยานจากต่างดาวอีกด้วย ซึ่งถ้ามาอย่างศัตรูแล้วละก็ ลำแสงเลเซอร์อันเจิดจ้าทรงพลังนับพันลำจะ
ถูกยิงออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันจากสถานีเหล่านั้นด้วยระบบล็อคเป้าหมายอันทันสมัย
ส่งผลให้วัตถุแปลกปลอมใดๆจากนอกระบบสุริยะสลายตัวกลายเป็นไอในพริบตา...
"แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่คุกคามความปลอดภัยของโลก"
เสียงเครียดๆของ
สตอย อัลมินอฟ วิศวกรจากสหภาพยุโรปใหม่ ปลุกเขาขึ้นมาจากภวังค์
"ใช่แล้ว ถ้าหากสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากอารยธรรมอื่น
และมาอย่างมิตร เขาหรือมัน
ก็น่าจะส่งสัญญาณติดต่อมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ" ราเชน ซิงค์ กุมาร
นักโบราณคดีอวกาศ ชาว
อินเดีย เห็นด้วย
"ผมเห็นด้วยกับคุณราเชนและคุณอัลมินอฟ
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเราควรทำลายมันเสีย
แต่บัดนี้ก่อนที่มันจะเดินทางเข้ามาสู่เขตดาวเคราะห์ชั้นใน" มิ่งเมือง
มาลาจันทน์ นักปรจิตวิทยา
ชาวอเมริกันเชื้อสายลาวกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น พลางหันไปมองสมาชิกคณะกรรมการฯท่านอื่นๆเชิงขอความเห็น
"เราเห็นด้วย ทำลายมันเสีย"หลายๆคนกล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวล
ขณะที่บางคนยังลังเลอยู่..
"ทำลายมัน ทำลายมัน" จากกลุ่มเล็กๆที่ถูกชักจูง
กลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรม
การในที่สุด
วัตถุประหลาดคงสิ้นชื่อไปแล้ว...ถ้าไม่มีเสียงของนายพลเกรเกอร์มายับยั้งความคิดอัน
ขลาดเขลาของมนุษย์กลุ่มนั้น...มนุษย์เรามักจะก่อความรุนแรงที่จะนำไปสู่โศกนาฏกรรมเสมอเนื่อง
จากความกลัวที่มีอยู่ในจิตใจ...กลัวการถูกคุกคาม...กลัวการถูกทำร้าย...กลัวในสิ่งที่ไม่รู้...
เหล่านี้ล้วนนำมนุษย์ไปสู่พฤติกรรมการทำลายล้างทั้งสิ้น
"หยุดก่อนทุกท่าน ในสถานการณ์เช่นนี้การด่วนตัดสินใจทำอะไรลงไปนั้นไม่ใช่เรื่องที่ฉลาด
เลย อย่างน้อยก็ขอให้ฟังความคิดเห็นจากหลายๆฝ่ายดูก่อน ก่อนจะลงมติอะไรลงไป"
นายพลเกร
เกอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด หางเสียงเจือการตำหนิเล็กน้อย ท่านนายพลสอดส่ายสายตาไป
ทั่วห้อง จ้องมองเหล่าคณะกรรมการทีละคนเพื่อเรียกความสนใจอยู่ครู่ใหญ่
"อย่างน้อยก็รอให้ดร.กรวิทย์ หัวหน้าคณะวิจัยวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบวัตถุนี้ชี้แจงข้อมูลที่ท่านมี
อยู่ให้เสร็จเสียก่อน" นายพลเฒ่ากล่าวออกมาในที่สุด
"เชิญ ท่านดอกเตอร์"
"ขอบคุณครับ" ดร.กรวิทย์กล่าว รู้ตัวดีว่าชะตากรรมของโลก
และโอกาสที่จะได้สำรวจ
วัตถุประหลาดนี้ต่อไปขึ้นอยู่กับคำชี้แจงของเขาต่อคณะกรรมการชุดนี้เท่านั้น
"ตามที่ผมกล่าวมาในตอนต้น
ขณะนี้วัตถุดังกล่าวอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เท่ากับระยะวง
โคจรของดาวพลูโตและกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือว่ามันยังคงเคลื่อนที่เข้า
มาด้วยความเร็วเท่าเดิมโดยไม่มีความเร่ง เป็นกรณีที่แปลกมาก เพราะว่าวัตถุใดก็ตามถ้ามีเส้น
ทางการโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์แล้วควรจะมีความเร็วเพิ่มขึ้นเนื่องจากได้รับแรงดึงดูดจากดวงอา
ทิตย์" เขาหยุดนิ่งนิดหนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของผู้ฟังซึ่งเกือบทุกคนกำลังตั้งอกตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
"ว่าต่อไปสิ ท่านรองศาสตราจารย์"
หนึ่งในนั้นโพล่งออกมาด้วยความอยากรู้ กรวิทย์จึง
กล่าวต่อไป "ดังนั้นด้วยความเร็วที่มันเคลื่อนเข้ามาหาเราและทิศทางที่มันวิ่งเข้ามาในระบบสุริยะ
ทำให้เราสรุปได้ว่ามันไม่ได้เคลื่อนที่เข้ามาหาเราแต่เรากำลังเคลื่อนที่เข้าไปหามันต่างหาก!!!
เราต่างหากที่จะไปคุกคามมัน" ดร.กรวิทย์กล่าวอย่างติดตลกพลางหันหน้าไปมองอัลมินอฟ
ซึ่งทำท่าฮึดฮัดด้วยความหัวเสียที่ถูกขัดจังหวะจากนายพลเฒ่าเมื่อครู่
"ท่านรู้ได้อย่างไร..." ราเชนถามขึ้นด่วยท่าทีสงสัย
นักโบราณคดีอวกาศเช่นเขาไม่ใคร่จะ
แม่นทฤษฎีทางกลศาสตร์ท้องฟ้าสักเท่าใดนัก
"ทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสัมพัทธ์
อันนี้ไอน์สไตน์บอกเอาไว้ในทฤษฎี
สัมพัทธภาพของเขา ดังนั้นถ้ามองจากมุมมองของเราเขากำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาเรา
แต่ถ้ามอง
จากมุมมองของเขาเรากำลังเคลื่อนที่เข้าไปหาเขาต่างหาก" เขาตอบ
"เหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าเอะใจจนคิดขึ้นได้นั้น
เพราะในครั้งแรกที่ผู้ช่วยของข้าพเจ้า คือ
ดร.อนุรักษ์ ผู้ซึ่งขณะนี้กำลังเดินทางมาที่โลก ได้รายงานข้อมูลเบื้องต้นของวัตถุนี้ให้ทราบ
รวมทั้ง
ความเร็วของมัน ข้าพเจ้ารู้สึกคุ้นเคยกับค่าความเร็วของวัตถุนั้นมาก จึงได้ค้นดูในฐานข้อมูลที่มีอยู่
ปรากฏว่าค่านั้นมันเท่ากับความเร็วที่ดวงอาทิตย์ของเราเคลื่อนที่ไปในอวกาศพอดี
ถ้าจะกล่าวไป
บางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าจะฉายภาพประกอบ"
ดร.กรวิทย์ ก้มลงใช้ปลายนิ้วแตะลงบนคีย์บอร์ดระบบสัมผัสบนผิวโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว
พลันภาพเส้นทางโคจรต่างๆในระบบสุริยะก็เปลี่ยนไป
กลายเป็นภาพดาราจักรทางช้างเผือก
ที่เต็มไปด้วยมวลดาราอันระยิบระยับนับแสนล้านดวงรูปแผ่นจานกลมขึ้นมาแทนที่
และที่ปลายแขน
ข้างหนึ่งของกาแลกซี่ใกล้ขอบจาน มีทรงกลมเรืองแสงสีน้ำเงินปรากฏอยู่แสดงตำแหน่งของดวงอาทิตย์
"ดวงอาทิตย์ของเรามีตำแหน่งอยู่ที่ค่อนมาทางขอบจานของกาแลกซีประมาณสองในสาม
จากระยะจากจุดศูนย์กลางกาแลกซี คิดเป็นระยะทางประมาณ 9000 พาร์เสค
ดวงอาทิตย์อยู่ใน
แขนข้างหนึ่งของกาแลกซี่ทางช้างเผือก แขนนี้มีชื่อเรียกว่า
orion arm ดวงอาทิตย์ก็โคจร
ไปรอบๆจุดศูนย์กลางของดาราจักรทางช้างเผือก เช่นเดียวกับที่ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะต่างก็
โคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ โดยเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 220
กิโลเมตรต่อวินาที และมี
คาบการโคจรหมุนรอบจุดศูนย์กลางกาแล็กซีครบรอบหนึ่งใช้เวลาประมาณ
230 ล้านปี เรียกคาบ
การโคจรครบ 1 รอบนี้ว่า 1 ปีกาแลกติก (Galactic Year)"
ท่านดอกเตอร์หยุดหายใจนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไป "วัตถุดังกล่าววิ่งเข้ามาหาระบบสุริยะจากทิศทางของ
กลุ่มดาวหงส์ หรือ ซิกนัส อันเป็นทิศทางที่ดวงอาทิตย์ของเรากำลังเคลื่อนที่ไป
ด้วยความเร็ว 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเช่นเดียวกัน จากการใช้คอมพิวเตอร์จำลองการเคลื่อนที่ของวัตถุนี้
หรือจะกล่าวให้ถูกต้องคือการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์เข้าหาวัตถุดังกล่าวพบว่ามันควรจะมาจาก
ดาวฤกษ์ดวงใดดวงหนึ่งที่อยู่ใน orion arm เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ของเรา"
ดร.กรวิทย์กล่าวพลางใช้เมาส์สามมิติที่สวมอยู่ที่ ปลายนิ้วชี้บนเมนูเรืองแสงในอากาศแล้วกดสองครั้งติดกัน
"จุดทรงกลมสีแดงที่ปรากฏขึ้นนี้คือวัตถุลึกลับจากนอกโลก
ส่วนจุดสีน้ำเงินคือดวงอาทิตย์ และ
ขณะนี้ข้าพเจ้าจะจำลองการหมุนรอบตัวเองของกาแลกซีทางช้างเผือก" กรวิทย์ไล่ปลายนิ้วไปตาม
เมนูแล้วแตะอีกสองครั้ง
ภาพกาแลกซีและมวลดาราน้อยใหญ่กำลังเคลื่อนที่เป็นภาพที่น่าตื่นตาจนทุกคนในห้องจ้องไปที่
ภาพโฮโลแกรมเป็นตาเดียว
........ดาราจักรอันกว้างใหญ่ กำลังหมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆในทิศทางตามเข็มนาฬิกามีดวงอาทิตย์
ซึ่งเป็นจุดสีน้ำเงินและดวงดาวต่างๆหมุนไปในทิศทางเดียวกัน เว้นแต่จุดทรงกลมสีแดง
ซึ่งบัด
นี้ยังคงหยุดนิ่งอยู่กับที่ จนในที่สุดจุดทรงกลมสีแดงกับสีน้ำเงินเลื่อนเข้ามาซ้อนกันจนเป็นจุดเรือง
แสงสีม่วงเพียงจุดเดียว.......
"จากการสาธิตด้วยภาพโฮโลแกรม ท่านคงเห็นแล้วว่า ดวงอาทิตย์ของเราต่างหาก
ที่เคลื่อนที่
ส่วนวัตถุนี้หยุดนิ่งเมื่อเทียบกับจุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือก"
"แล้วมันสำคัญอย่างไรเล่า ท่านรองศาสตราจารย์" มิ่งเมืองถามอย่างพาซื่อ
แววตาไร้เดียงสา
รศ.ดร.กรวิทย์ กิติเกษม พยายามระงับความรำคาญอย่างเต็มที่
ฉุนจนนึกขันกับความซื่อ
ของนายคนนี้ "คุณมิ่งเมืองลองนึกดูสิครับ ว่าถ้าวัตถุทุกอย่างในกาแล็กซีของเรา
ต่างก็เคลื่อนที่ไป
ในทิศทางเดียวกันหมด แล้ววัตถุอันนี้หยุดนิ่งอยู่กับที่ มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก
เราน่าจะได้ศึกษาวัตถุชิ้นนี้มากกว่าที่จะไปทำลายมัน เพื่อดูให้รู้แน่ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุให้มันหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์
ดังที่เป็นอยู่"
"จริงด้วยครับดอกเตอร์" มิ่งเมืองเห็นพ้องด้วย
รวมทั้งราเชน ซิงค์ กุมาร และคนอื่นๆใน
ห้องก็เช่นกัน
"เดี๋ยวก่อน" สตอย อัลมินอฟ ขัดขึ้นหลังจากที่นิ่งอึ้งไปนานเพราะคำชี้แจงที่เต็มไปด้วยเหตุ
ผลและมีน้ำหนักของกรวิทย์ 'ฉันเป็นคนไม่ชอบเสียเหลี่ยมให้กับใคร'
เขาคิดอย่างไม่พอใจ
"ถ้าหากในกรณีที่เจ้าสิ่งนี้เป็นอาวุธหรือยานอวกาศที่อารยธรรมอื่นจงใจส่งมาคุกคามเราล่ะ
ถ้ามันเกิดมีอันตรายขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร" เขาตะคอก ลุกขึ้นหายใจถี่เร็วกำหมัดแน่นด้วยความ
โกรธ
"ถ้าเป็นอย่างนั้น..." ท่านนายพลเกรเกอร์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขรึมๆ
"ทุกท่านคงไม่ลืมว่า
เรามีเครื่องยิงลำอนุภาคพลังงานสูงในแถบดาวเคราะห์น้อยที่เพิ่งสร้างเสร็จ
ความจริงวัตถุประ
สงค์หลักของมัน ก็เพื่อใช้ขับดันยานสำรวจดาวฤกษ์รุ่นต่อไป
แต่มันก็ยังสามารถใช้เป็นอาวุธได้
อย่างดีอีกด้วย นี่เป็นด่านป้องกันอย่างแรก แต่ถ้ามันผ่านมาได้ก็จะพบกับเครื่องกำเนิดแสงเลเซอร์
ความเข้มสูงนับพันดวงที่โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ในวงโคจรของดาวพุธ ขณะนี้ข้าพเจ้าได้สั่งการให้
ฐานควบคุมตั้งให้ระบบล็อคเป้าของทุกดวงจับวัตถุลึกลับไว้เป็นเป้าหมายตลอดเวลา"
ขุนพลเฒ่าหรี่ตา"แต่ถ้ามันยังรอดมาได้อีก คราวนี้เห็นทีจะต้องเจอกับกองยานรบของสหพันธ์
โลกและกองทัพอวกาศของสหรัฐอเมริกาสักหน่อยแล้ว"
กล่าวพลางหันไปมองอัลมินอฟที่ทรุดตัวลงนั่งด้วยว่าไม่สามารถยกอะไรขึ้นมาเป็นข้อโต้แย้งได้อีก
"ดังนั้นเรื่องความปลอดภัย ขอให้ทุกท่านจงวางใจได้"
ท่านนายพลกล่าวสรุป "แต่ตอนนี้
ข้าพเจ้าต้องขอมติของทุกท่านเสียก่อน"
*************************************************
4.
ดร.อนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ กำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิดคำนึง
เขานั่งอยู่เงียบๆคน
เดียวในห้องผู้โดยสารของยานขนส่งชั้นหนึ่งขณะที่มีข่าวด่วนถึงตัวเขาจากโลก
ดร.อนุรักษ์เอื้อมมือไปเปิดเครื่องสื่อสารเพื่ออ่านข่าว
บนจอปรากฎข้อความว่า
" เรื่อง มติของคณะกรรมการ BODSOD ต่อวัตถุประหลาด
2419c [ชื่อรหัส : orb]
เรียน ดร.อนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ
20 มีนาคม ค.ศ.2419
ตามที่ได้มีการประชุมลับของคณะกรรมการป้องกันภัยจากอวกาศห้วงลึกเมื่อ
5 วันที่ผ่านมา
จากข้อมูลการชี้แจงของ รศ.ดร.กรวิทย์ กิติเกษม คณะกรรมการเห็นควรให้มีการจัดตั้งทีมสำรวจ
เพื่อไปสังเกต orb ในระยะใกล้ รวมทั้งศึกษารายละเอียดบนพื้นผิวและภายในทุกอย่าง
ในกรณีที่
เป็นยานอวกาศต่างดาว เพื่อความปลอดภัยของคณะสำรวจทางสหพันธ์โลกจะมอบยานพิฆาตดารา
สตาร์เบลด-5 กับลูกเรือและกัปตันไว้ให้อยู่ภายใต้อาณัติของท่านเพื่อคุ้มกันขณะลงจอดลงบน
orb
เพื่อเป็นเกียรติกับทีมนักวิจัยบนฐานสังเกตการณ์
"ฮอรัส" ที่ค้นพบเทหวัตถุลึกลับดังกล่าว
ขอแต่งตั้งให้รศ.ดร.กรวิทย์ กิติเกษม เป็นผู้สั่งการคณะสำรวจคณะนี้อยู่บนสถานีอวกาศภาคพื้นดิน
ณ แหลมฟลอริดา ส่วน ดร.อนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ ผู้ค้นพบ ขอแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะสำ
รวจที่จะไปกับยานสตาร์เบลด-5 โดยมีผู้ช่วยคือมร.คลาร์ค โจนส์ วิศวกรและผู้เชี่ยวชาญด้านระ
บบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงาน BODSOD รวมทั้งคณะวิศวกร
นักฟิสิกส์ และนักบินของกองทัพอวกาศอีก 20 นาย ทั้งนี้โปรดจงระลึกไว้เสมอว่าถ้ามีเหตุผิดปกติที่อาจเป็นอันตรายเกิดขึ้น
ขอให้ท่านรีบอพยพคณะนักสำรวจ ออกจากวัตถุดังกล่าว เพราะหากเกิดกรณีดังกล่าว
ทาง BODSOD จะมีคำสั่งให้เครื่องยิงลำแสงเลเซอร์ทำลาย orb ทันที
ด้วยความนับถือ
นายพล เกรเกอร์ แม็คฟลาย
ประธานหน่วยงาน BODSOD
............อ่านจบแล้วอนุรักษ์มีท่าทางเคร่งเครียดจนเห็นได้ชัด
เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสกับคีย์บอร์ด
ระบบสัมผัสบนพื้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว จอภาพปรากฏข้อความ
B.O.D.S.O.D.
Interplanetary Communication line
status : Activated.
เสียงคอมพิวเตอร์ดังขึ้น "โปรดมองเข้ามาในช่องอ่านดวงตา"
ดร.หนุ่มทำตาม
"ตรวจจับลักษณะดวงตา ข้อมูลถูกต้อง" เสียงดังขึ้นอีกครั้งขณะที่จอภาพปรากฏข้อความ
anurak login OK
%voice-cmd-mode อนุรักษ์ป้อนคำสั่ง
VCM done
จอภาพปรากฏอักษรขึ้นตอบรับ
"ต่อเครื่องประจำตัว ดร.กรวิทย์" อนุรักษ์สั่งงานด้วยเสียง
พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
ยานด้วยสายตาครุ่นคิด จอภาพสว่างขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าดร.กรวิทย์ปรากฏขึ้นบนจอ
"ว่าไงอนุรักษ์ มีเรื่องด่วนอะไรหรือ" เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย
"ขอโทษนะครับอาจารย์ที่ติดต่อมาตอนนี้
ผมเพิ่งได้รับข่าวด่วนถึงผมจาก BODSOD เดี๋ยวนี้
เอง เรื่องมติของคณะกรรมการ" ชายหนุ่มหยุดไว้แค่นี้ แล้วทำท่าทางอึดอัดใจเล็กน้อย
"ข่าวดีไม่ใช่หรือ ที่คณะกรรมการมีมติไม่ทำลายมันแต่ให้ทางเราจัดทีมไปสำรวจน่ะ"
กรวิทย์ ถามยิ้มๆ
"ข่าวนั้นเป็นข่าวดีครับ แต่เรื่องผู้ร่วมงานที่จะไปกับทีมนี่สิ"
เขาทำท่าไม่พอใจอีก "ผมไม่
ค่อยถูกชะตากับ มร.คลาร์ค โจนส์ คนนี้เลยครับ
ผมเคยร่วมงานกับเขาครั้งหนึ่ง เขาเป็น
คนอยากดัง ทำงานเพื่อหวังเงินทองและชื่อเสียงของตัวเองมากจนเกินจำเป็นครับ
บางครั้งเขาทำ
ให้ทีมงานที่เขาไปอยู่เกิดการแตกแยกกันอีกด้วย"
"อนุรักษ์...อนุรักษ์...ศิษย์ของฉัน" กรวิทย์กล่าว
ใช้น้ำเสียงเหมีอนกับที่เคยปลุกปลอบให้
กำลังใจเขาเสมอมา เมื่อครั้งยังเป็นนิสิต "การทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้น
บางครั้ง..."
"อาจารย์อย่าเพิ่งโอ๋ผมเลยครับ" อนุรักษ์โต้กลับ"
อาจารย์ทราบไหมว่า คนคนนี้เข้ามาอยู่
ในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านระบบคอมพิวเตอร์ของ BODSOD ได้อย่างไร...เพราะเขาถูกซื้อตัว
มาด้วยเงินจำนวนมหาศาลไงครับ. เอาละเขาเก่งจริง เขาเป็นแครกเกอร์ผู้มีความสามารถที่สุด
อาจจะที่สุดในโลกก็ได้ ข้อนี้ผมยอมรับ แต่เขาก็ใช้ความสามารถของเขาในการเจาะเข้าทำลายระ
บบข้อมูลด้าน เศรษฐกิจ การทหาร และอื่นๆ
ในคอมพิวเตอร์ของหลายๆหน่วยงาน รวมทั้ง
BODSOD จนพังพินาศมาแล้วครั้งหนึ่ง ที่เขาอ้างว่าเป็นการทดสอบความสามารถของตัวเอง
เกือบ
ต้องติดคุกแล้วละครับ แต่ไม่ทราบคณะกรรมการฯคิดอย่างไรจึงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ
และซื้อตัว
มาทำงานกับเราด้วยค่าตัวที่สูงมากซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม"
ชายหนุ่มหยุดชั่วคราว แล้วออกความเห็น "การมีคนๆนี้นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อทีมสำรวจ
เชียวครับ"
"ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าคนๆนี้เป็นใคร
มาจากไหน คุณก็รู้อยู่ว่าผมออกไปทำวิจัยที่
ฐานบนพลูโตนั่นเป็นเวลานานมาก จนไม่ได้ติดตามเรื่องภายใน
BODSOD ที่เกิดขึ้นนัก" กรวิทย์
หยุดพูดแล้วจ้องตาดร.หนุ่มผ่านทางจอภาพ "แต่เท่าที่ผมทราบ เจ้าสตอย อัลมินอฟ
นั่นแหละที่ส่งชื่อเจ้าหมอนี่เข้าร่วมทีมด้วยแล้วท่านประธานก็ขัดไม่ได้เสียด้วยเนื่องจากเป็นมติของส่วนรวม
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรขอให้คุณลองทำงานร่วมกับเขาในครั้งนี้อีกครั้งก็แล้วกัน
ครั้งเดียวจริงๆ"
ดร.หนุ่มถอนหายใจยาว................................................
"ตกลงเอาเป็นว่าแค่นี้ก่อนนะ วันนี้ผมเพลียมาก"
กรวิทย์ตัดบทพร้อมทั้งเอื้อมมือจะปิดสวิทช์
การสื่อสารของคอมพิวเตอร์ชนิดติดตามตัวที่เหน็บอยู่ที่เอว
"สวัสดีครับอาจารย์ งั้นเท่านี้ก่อนนะครับ"
อนุรักษ์กล่าวขึ้นในที่สุด เป็นอันว่าเขาต้องร่วม
งานกับจอมนักเจาะระบบฐานข้อมูลตัวเอ้สติไม่เต็มเต็งนายนี้อีกครั้งแล้ว
ป่วยการคิด เขาถอนหาย
ใจเฮือกใหญ่แล้วล้มตัวลงนอน
**************************************************
5.
สองสัปดาห์ผ่านพ้นไป ทีมสำรวจก็ถูกตั้งขึ้น
ตรวจความเรียบร้อย แล้วออกสู่อวกาศ...
ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว...วัตถุประหลาดดังกล่าวเป็นยานอวกาศของพวกต่างดาวอย่างแน่นอน
ทีมสำรวจต่างรู้สึกทึ่งในความมโหฬารของมันเมื่อยานสตาร์เบลด-5
เคลื่อนเข้าไปใกล้ ทั้งที่
ยานรบลำนี้ก็เป็นลำหนึ่งในจำนวนยานรบรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งแล้วแท้ๆ
แต่ก็ยังดูเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับยานต่างดาว...มันเหมือนกับว่า เอาเม็ดกวยจี๊ไปเทียบกับลูกบาสเก็ตบอล
ยังไงยังงั้นแหละ
รูปร่างของยานต่างดาวเป็นทรงกลมสมบูรณ์แบบ
แม้ผิวจะมีรอยขีดข่วนด้วยกาลเวลา แต่ก็
เป็นประกายวาววับยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์ ยานทรงกลมดูลึกลับและสวยงามอย่างประหลาดล้ำ
..
คณะสำรวจใช้ยานสำรวจลำเล็กบินสำรวจไปรอบยานลำนั้น
จากนั้นใช้เครื่องหยั่งลงไปสำ
รวจพื้นผิวตัวยานก่อน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุกรณียานมีระบบป้องกันตนเอง
แต่ผลคือปลอดภัย คณะสำรวจจึงทำการสำรวจต่อไปจนพบประตูทางเข้าบานหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าคนธรรมดาราว
4-5 เท่า ดูเหมือนเป็นทางออกฉุกเฉินสำหรับเปิดด้วยมือ มร.คลาร์คออกความเห็นว่าทางเข้าออกประตูตามปกติ
น่าจะใช้ระบบอะไรสักอย่างที่ทำให้รอยต่อของเนื้อโลหะที่บานประตูอื่น(ถ้ามี)แนบสนิทจนหาไม่พบ
..แล้วดร.อนุรักษ์ก็ติดต่อเข้ามาในเย็นวันหนึ่ง .
"อาจารย์ครับ ทางเราเปิดทางเข้าออกได้แล้วครับด้วยฝีมือการถอดรหัสของ
คลาร์ค"
น้ำเสียงดูตื่นเต้น "อันที่จริงเรามีปากเสียงกันก็หลายครั้งในระหว่างทำงาน
แต่คราวนี้ต้องยกให้
เป็นฝีมือของเขาครับ ดูเหมือนหลายปีมานี่เขาปรับปรุงนิสัยให้ดีขึ้นได้มากครับ
ดูเขาตั้งใจทำงาน
ให้กับหน่วยงานของเราอย่างจริงจังแม้จะยังคงบุคลิกกวนโทสะตามแบบฉบับของเขาไว้ตามเคย"
อนุรักษ์สาธยายให้อาจารย์ของเขาฟัง
"ดีมาก ขอให้คุณรายงานความก้าวหน้าเข้ามาเป็นระยะนะ
แล้วรักษาความสามัคคีของทีม
เข้าไว้" ดร.กรวิทย์ให้กำลังใจ
เวลาล่วงไปอีก 6 เดือน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคณะสำรวจได้ทำการสำรวจมากมายใน
ทุกส่วนของตัวยานต่างดาว เขาได้ค้นพบอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้จากเทคโนโลยีล้ำยุคที่เป็นประ
โยชน์มากมายแต่ทุกชิ้นมีขนาดใหญ่กว่าปกติราว 4-5 เท่าเช่นเดียวกับประตู
ในยานอวกาศไม่มีสิ่ง
มีชีวิตหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงซากโครงกระดูกที่กลายเป็นฝุ่น แหลกอยู่กับผนังด้านหนึ่งของห้องควบคุมหลักเท่านั้นข้อมูลที่เหลืออยู่ในคอมพิวเตอร์หลักของยาน
บอกให้ทราบแต่เพียงว่ายานนี้เป็นยานสู่ดาราชื่อ กอนดอร์เป็นยานเดินทางระหว่างดวงดาว
ที่มีผู้บังคับรุ่นแรกของพิภพ วาลินอร์ ซึ่งอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ออกไปเป็นระยะทาง
200 ปีแสงและตั้งอยู่ในส่วนแขน orion arm เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ของเราดังที่ดร.กรวิทย์ได้ทำนายไว้จริงๆ
ยานลำนี้ไม่ใช่ยานเดินทางธรรมดาเท่านั้นหากแต่ผู้สร้างของมันยังได้บรรจุเรื่องราวเกี่ยวกับโลกของพวกเขา
และความรู้ทางวิทยาการทั้งหมดของเขาไว้ในนั้นอีกด้วยแต่เป็นที่น่าเสียดายว่าข้อมูลในหน่วยความจำ
ถูกทำลายหายไปส่วนใหญ่เนื่องจากกาลเวลา
คลาร์คต้องทำงานอย่างหนักหามรุ่งหามค่ำเมื่อประสบเข้ากับปัญหานี้
เขาสามารถดึงข้อมูล
จากส่วนที่ยังเหลืออยู่ของหน่วยความจำหลักของยานออกมาจนได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่ข้อมูลในส่วนของหลักการของระบบขับเคลื่อนยานได้ถูกทำลายจนไม่เหลืออะไร
ไว้ให้ศึกษาเลย
รัฐบาลโลกจัดประชุมลับสุดยอดกับคณะผู้บริหาร
BODSOD เกี่ยวกับยานลำนี้เป็นเวลานาน
หลายสัปดาห์จนกระทั่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางทั่วโลก
จนในที่สุดผลการประชุม
ได้สรุปออกมาสั้นๆว่าจะยังคงให้ทีมนักสำรวจศึกษาองค์ประกอบและรายละเอียดของยานลำนี้ต่อไปตลอดระยะเวลา
9 เดือนที่เหลือจนกว่ามันจะผ่านออกไปนอกระบบสุริยะเนื่องจากความพยายามใดๆ
ที่จะทำให้ยานเคลื่อนที่นั้นไร้ผลมันเหมือนกับว่ามีแรงมหาศาลอะไรอย่างหนึ่งมาต่อต้านแรงขับดัน
ที่ถูกส่งให้กับยานโดยเครื่องยนต์จรวดของชาวโลกที่ถูกนำขึ้นไปติดตั้งไว้กับตัวยาน
ทุกครั้งไป
ในเวลาที่เหลืออยู่ เพื่อไม่ให้เสียยานลำนี้ไปเปล่าๆรัฐบาลโลกจึงเห็นสมควรให้ทีมนักวิทยา
ศาสตร์ดัดแปลงยานลำนี้เสีย เพื่อใช้มันบรรจุข้อมูลเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับมนุษย์โลกในทุกๆด้าน
เช่นเดียวกับยานวอยเอเจอร์ในอดีตเมื่อสี่ร้อยปีก่อน
เครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ต่างๆ
ของชาวโลกก็ถูกขนขึ้นไปติดตั้ง และแม้แต่รหัสพันธุกรรมของมนุษย์ เซลไข่และสเปิร์มแช่เยือกแข็ง
ก็ถูกเก็บรักษาไว้ใกล้กับมดลูกเทียมเช่นกัน คอมพิวเตอร์หลักของยานได้รับการโปรแกรมใหม่ให้
ตรวจวัดและเสาะหาดาวเคราะห์ที่มีสิ่งแวดล้อมเหมาะสมกับการดำรงชีพของมนุษย์เช่นเดียวกับโลก
ที่อาจมีอยู่ในระบบดาวฤกษ์อื่นๆเพื่อวันหนึ่งข้างหน้าเซลไข่และสเปิร์มที่ได้รับคัดเลือกแล้วจะถูกผสมกัน
ในมดลูกเทียม แล้วมนุษย์กลุ่มใหม่ก็จะเติบโตขึ้นภายในยานเรียนรู้ที่มาของพวกเขารวมทั้ง
รับเอาวิทยาการทั้งหมดของโลกทุกแขนงที่บรรจุอยู่ในยานต่างดาวลำนั้น พวกเขานั่นเองที่รัฐบาลโลกฝากความหวังไว้ว่าจะให้กำเนิดอารยธรรมของมนุษยชาติต่อไปในอนาคต
บนดาวเคราะห์ดวงอื่น
โครงการนี้เป็นไปได้ด้วยดีจากความร่วมมือกันของทุกๆฝ่าย
ยานต่างดาวก็ถูกดัดแปลงจน
เสร็จสมบูรณ์ในเวลาไม่นานนัก
แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่พบหลักการขับเคลื่อนยานอยู่นั่นเอง!
*************************************************
6.
เวลาได้ผ่านไปอีก 5 เดือน ขณะนี้ยานได้เข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าวงโคจรของดาว
ศุกร์แล้ว...
ในที่สุดเสียงสัญญาณติดต่อก็ดังขึ้น
ดร.กรวิทย์กดเปิดสวิทช์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เอว
พลางมองเข้าไปที่จอภาพ
ลูกศิษย์ของเขานั่นเอง ไม่ใช่ใครอื่น
"พบแล้วครับอาจารย์ พบแล้ว!" ดร.อนุรักษ์ตะโกนก้องด้วยความยินดี
ตาตี่ๆฉายแววเป็น
ประกายสดใส
"พบแล้ว พบอะไร แล้วเป็นยังไง" กรวิทย์ถาม
พยายามทำใจที่ลูกศิษย์ของเขามักจะออก
อาการโอเวอร์จนเกินควร
"ยูเรก้า..." ใบหน้ากวนโทโสของฝรั่งนายหนึ่งโผล่เข้ามายิ้มเผล่อยู่ที่มุมกล้อง
บังอนุรักษ์
เสียสนิท
"ออกไปน่ะ คลาร์ค กำลังพูดเป็นการเป็นงานกันอยู่น่า"
ดร.หนุ่มผลักไสเจ้านั่นออกไป ทั้ง
คู่จึงเริ่มทะเลาะกันอีกตามเคย
"เมื่อไรพวกคุณจะหยุดเถียงกันเสียที แล้วบอกผมมาทีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่นั่น"
ดร.กรวิทย์
ชักรำคาญ เขาเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า ความเป็นอัจฉริยะกับการเป็นคนบ้าถูกขีดคั่นอยู่ด้วยเส้น
บางๆเพียงเส้นเดียว
ชายหนุ่มทั้งสองจึงหยุดทะเลาะกัน แล้วหันมามองท่านรองศาสตราจารย์ผ่านจอภาพ
ดร.อนุรักษ์หันไปมองคลาร์คอย่างขอความเห็น
เจ้าหนุ่มคลาร์คยักไหล่แล้วแบมือตามสไตล์
"ยูพูดก็แล้วกัน"
"โอเค" ดร.หนุ่มหันกลับมามองจอภาพ "คือเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทีมนักวิทยาศาสตร์ของคณะสำ
รวจค้นพบห้องเครื่องของยานลำนี้เข้าแล้วครับ เป็นที่น่าประหลาดใจที่ขนาดของมันเล็กมากเมื่อ
เทียบกับขนาดของยานที่มีความใหญ่โตมหาศาล มันมหัศจรรย์จริงๆครับ ในที่สุดทีมของผมก็ค้นพบว่า
ที่ยานลำนี้หยุดนิ่งตลอดเวลาเมื่อใช้จุดศูนย์กลางของกาแล็กซีเป็นจุดอ้างอิงก็เพราะว่าสนามแรงโน้มถ่วงรอบตัวยานมีค่าคงที่นั่นเอง
ยานลำนี้ไม่ขึ้นกับแรงดึงดูดของวัตถุใดในอวกาศเลย มันคือยานกราวิทัตครับ"
"โอ๊ะ เป็นไปได้หรือ" ดร.กรวิทย์อุทานอย่างตกตะลึง
"ก็ไอ้ยานแบบนี้มันมีอยู่แต่ในนิยาย
วิทยาศาสตร์คลาสสิกชุดสถาบันสถาปนาของไอแซค อาซิมอฟ ในสมัยโบราณเท่านั้นเองนี่นา"
"แต่ตอนนี้มันเป็นจริงขึ้นมาแล้วครับ
มีความเป็นไปได้ที่ยานกราวิทัตทำงานได้โดยหลักการ
ของคลื่นความโน้มถ่วงเหมือนกับที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์อธิบายสนามแห่ง
ความโน้มถ่วงว่าเป็นความโค้งของกาล-อวกาศโดยรอบวัตถุทุกอันในเอกภพ.... อาจารย์ฟังอยู่หรือเปล่า
ครับ" ชายหนุ่มถามทันที เมื่อเห็นผู้ฟังตกตะลึงไปชั่วขณะจากข่าวที่เขาบอก
"ฟังอยู่ เล่าต่อซิ" ดร.กรวิทย์ตอบมาทางจอภาพ
"...ดังนั้นการเคลื่อนที่ของวัตถุใดๆที่จะยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสนามแห่งความ
โน้มถ่วงรอบตัวมันเอง ต้องยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและทิศทางของกาล-อวกาศรอบ
วัตถุนั้น การเปลี่ยนแปลงรูปร่างและทิศทางของกาล-อวกาศ ยังผลให้เกิดการเคลื่อนที่ของคลื่นแผ่
ไปทั่วอวกาศด้วยความเร็วเท่ากับแสง คือคลื่นแห่งความโน้มถ่วง ข้อนี้อาจารย์คงทราบดี"
ชายหนุ่ม
จ้องมองนัยน์ตาของท่านรองศาสตราจารย์ผ่านจอผลึกเหลว
"ฮื่อ" รับคำในลำคอ "ว่าต่อไปสิคุณอนุรักษ์"
"ในทางกลับกัน ผมว่าถ้ามีทางที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงของสนามแรงโน้มถ่วงรอบวัตถุนั้น
จนรูปร่างและทิศทางของกาล-อวกาศรอบวัตถุนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้มากพอ วัตถุนั้นก็จะเริ่มเคลื่อน
ที่น่ะสิครับ" อนุรักษ์กล่าวต่ออย่างมั่นใจ
"เป็นไปได้" กรวิทย์เห็นด้วย
"ขณะนี้ผมให้วิศวกรในทีมงานรวมทั้งมร.คลาร์ค
หาระบบที่เชื่อมต่อระหว่างเครื่องกับ
ห้องควบคุมยานที่มีคอมพิวเตอร์หลักติดตั้งอยู่ครับ คาดว่าจะซ่อมแซมระบบควบคุมให้บังคับกลับมาโลกได้ภายในวันหรือสองวันนี้"
"ดีมาก ผมจะรายงานให้คณะกรรมการ BODSOD ทราบ
เลิกการติดต่อ"
สองวันต่อมาระบบควบคุมก็ซ่อมเสร็จเรียบร้อยและยานต่างดาวกำลังจะเริ่มเดินทางเข้า
มาสู่วงโคจรรอบโลก มีการถ่ายทอดสดแพร่ภาพออกทางโทรทัศน์
ทั่วโลกและระบบสุริยะชั้นใน
ดุจเดียวกับการเหยียบพื้นดวงจันทร์ของมนุษย์ในช่วงศตวรรษที่ 20
ภายในศูนย์ควบคุมสถานีอวกาศภาคพื้นดิน
แหลมฟลอริดา ดร.กรวิทย์และทุกคนในห้องควบ
คุมกำลังตั้งใจมองเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ภายในห้องควบคุมหลักของยานต่างดาวผ่านกล้อง
โทรทัศน์อย่างตั้งอกตั้งใจ
"ขั้นแรกขอให้คุณบังคับยานลำนั้นกลับสู่โลกอย่างช้าๆ
อย่าลืมว่ายานลำนี้ไม่ได้เดินเครื่องมา
เป็นเวลานับแสนปีขึ้นไป" กรวิทย์กล่าวลงในไมโครโฟน
"ครับ" ดร.อนุรักษ์รับคำหนักแน่น "คลาร์ค เริ่มบังคับยานกลับโลกได้"
คลาร์คยิ้มแป้น ใบหน้าฉายแววของคนสติแตก
งานนี้เขาต้องดังแน่ ดังแน่ๆ!!! เขาคิดพลาง
พรมนิ้วมือลงบนคีย์บอร์ดรวดเร็วจนมองไม่ทัน ทำแบบนี้ไง!!! เขาคีย์ข้อมูลเส้นทางสุดท้ายลงไป
ดร.อนุรักษ์เหลียวกลับไปมองคลาร์คได้ทันเห็นเส้นทางการเดินทางอันใหม่ของยานพอดี
"นายจะทำอะไร คลาร์ค
บ้าแล้วหรือไง จุดหมาย...อัลฟ่า เซนเทารี ด้วยความเร็วสุง
สุด...เรอะ!" เขาถลันตัวพรวดเข้าไปจะคว้าข้อมือของคลาร์ค
แต่ก็สายไปเสียแล้ว...
คลาร์คกด enter ได้ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง
"นายทำอะไรลงไปรู้ไหม นาย..." เสียงเครื่องประจุพลังงานของยานเริ่มครางกระหึ่ม..
"นายทำอะไร.....ร"เสียงสุดท้ายของดร.อนุรักษ์ตะโกนเข้ามาในไมโครโฟน
ท่ามกลาง
ความตกตะลึงของทุกคนในห้องควบคุมภาคพื้นดินและผู้ชมการถ่ายทอดสดทั่วระบบสุริยะชั้นใน
"อ๊าค...ค"
สิ้นเสียงจากทีมสำรวจ จอภาพของเครื่องโทรทัศน์ก็ปรากฏอาบไปด้วยเลือด
สดๆของมนุษย์พร้อมทั้งร่างที่แหลกเหลวไม่มีชิ้นดีของทีมสำรวจที่พบกับความกดจากความเร่ง
อันมหาศาลของตัวยาน
ยานพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสงหายไปจากจอภาพ
คลื่นแรงโน้มถ่วง
กำลังมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาจากสภาพบิดเบี้ยวของกาล-อวกาศรอบตัวยาน
พุ่งกระทบผิว
ของดวงอาทิตย์เข้าอย่างจัง...เกิดการรบกวนสมดุลของแรงดันจากการแผ่รังสีและแรงกดจากมวล
ก๊าซร้อนภายในตัวดาวฤกษ์ที่มีมานานหลายพันล้านปี...
ดวงอาทิตย์กำลังบ้าคลั่ง!!!
"ดร.กรวิทย์ครับ มีรายงานจากฐานบนดาวพุธว่ามวลสารบางแห่งบนพื้นผิวชั้นนอกของ
ดวงอาทิตย์ ประมาณ 10 เปอร์เซนต์ได้รับผลกระทบจากแรงขับเคลื่อนของยานครับ
ส่วนที่กำลัง
ระเบิดบางส่วนได้พุ่งออกมาที่โลก ด้วยความเร็วสูงมาก"
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรายงานด้วย
ลำคอแห้งผาก
ดร.กรวิทย์หน้าถอดสี เช่นเดียวกับทุกคนในที่นั้น
จุดจบของโลกมนุษย์กำลังจะมาถึงในอีกไม่
กี่นาทีนี้ แม้จะไม่ถึงขนาดรบกวนดวงอาทิตย์จนเกิดเป็นโนวาได้
แต่มวลสารบางส่วนที่กระเด็น
ออกมาจากดวงอาทิตย์ก็มีความร้อนอันมหาศาลเพียงพอที่จะเผาผลาญโลก และดาวเคราะห์ชั้นในทั้งสามดวงให้แหลกลาญได้ไม่ยากนัก
"เรามีเวลากี่นาที พอจะอพยพผู้คนหนีไปได้บ้างไหม"
เขาถาม รู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้
กับความหวังอันริบหรี่
"สิบหกนาทีครับ" เจ้าหน้าที่อีกคนกระซิบตอบ
ดวงตาเหลือกโพลงด้วยความหมดหวัง
ดร.กรวิทย์ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว....เขา วิ่ง
วิ่ง วิ่ง ออกไปยังสนามหญ้านอกหอควบคุม
แล้วสะดุดล้มลงฟุบหน้านิ่งอยู่กับสนามหญ้าภายใต้ร่มไม้อันร่มรื่นของสวนหย่อมรอบๆห้องควบคุม
เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงอบอุ่นแจ่มใสตามปกติ
ภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพของแปดนาทีที่แล้วตอนที่แสงเริ่มออกเดินทางจากดวงอาทิตย์
ข้อนี้เขาทราบดี
แต่ตอนนี้เทพแห่งดวงอาทิตย์ได้พิโรธเสียแล้ว
ภายในสิบนาทีนี้เขาจะต้องถูกเผาไหม้ไม่
เหลือทรากด้วยพลาสมาความร้อนสูงที่หลุดออกมาจากดวงอาทิตย์ อันนี้เป็นภัยภิบัติที่ไม่อาจแก้ไขได้
กรวิทย์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
.ยังเหลืออีกสามนาที
เขาคิดในใจ ก็ยังดีที่รัฐบาลโลกตัดสินใจให้ดัดแปลงยานลำนั้นเสียก่อน..........บัดนี้เองที่ความฝันของมนุษยชาติ
ในการเดินทางระหว่างดวงดาวเกิดเป็นความจริงขึ้นได้ในที่สุด
คราวนี้เขาเชื่อแล้วล่ะว่าความเป็นอัจฉริยะกับการเป็นคนบ้านั้นถูกขีดคั่นอยู่ด้วยเส้นบางๆ
เพียงเส้นเดียว
แต่โชคไม่ดีจริงๆที่คราวนี้เส้นนั้นได้หลงเข้าไปในข้างคนบ้าเสียแล้ว
พลันสติของเขาก็ดับวูบลงพร้อมกับเสียงปะทุอันกึกก้องจากท้องฟ้าเบื้องบน.......!!!
หมายเหตุ
*โปรดอย่าแปลกใจเกี่ยวกับนามสกุลของดร.อนุรักษ์คนนี้
เพราะการที่คนไทยที่อพยพไปตั้ง
รกรากบนอาณานิคมในอวกาศตั้งแต่ปีพ.ศ. 2800 เป็นต้นมา นิยมเปลี่ยนนามสกุลของตนเป็นทำ
นองนี้ก็เพื่อจะเตือนใจให้ลูกหลานไม่ใช้ทรัพยากรอย่างประมาทจนทำให้เกิดมลพิษแปดเปื้อนนิคม
ของตนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นบนพิภพแม่ของเขาอีกเป็นครั้งที่สอง : ผู้เขียน
**คณะกรรมการป้องกันภัยจากอวกาศห้วงลึก (Board of
Deep Space Object
Defence ,BODSOD)คือผู้ให้ทุนสนับสนุนการสร้างฐาน"ฮอรัส"
แห่งนี้ หน่วยงานนี้ถือกำเนิดขึ้น
จากแนวคิดที่ได้มาจากหน่วยป้องกันภัยทางอวกาศขององค์การนาซาที่ก่อตั้งขึ้นหลังเหตุการณ์ดาว
หางชนดาวพฤหัสบดีเมื่อสี่ร้อยกว่าปีที่แล้วมาโดยหน่วยงาน BODSOD
เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับสหพันธ์โลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังจากการยุบองค์การสหประชาชาติเมื่อปี
พ.ศ.2621 : ผู้เขียน
ศัพท์เทคนิคในเรื่อง
1.ค่า g หรือความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก มีค่าประมาณ 9.8 เมตรต่อวินาทียกกำลัง
2
2.AU (Astronomical Unit) เป็นหน่วยวัดระยะทางในอวกาศ
โดย 1 AU เท่ากับระยะ
ทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์
3.พาร์เสค (parsec) เป็นหน่วยวัดระยะมางในอวกาศ โดย 1 pc. = 206265 AU
4.ปีแสง (light year,LY.) เป็นหน่วยวัดระยะทางในอวกาศเช่นเดียวกัน คือระยะทางที่แสง
เดินทางไปในระยะเวลา 1 ปี โดย 1 LY = 0.3065 pc.
5.Portable Holocube : ในปัจจุบัน(ในปี2538
ขณะที่เขียนเรื่องนี้)ทางบริษัทไอบีเอ็มกำลังพัฒนาแผ่นซีดีรอมความจุสูง (High
Density CD-ROM) โดยพยายามใช้ลำแสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสั้นลงและความถี่สูงขึ้นในการเซาะร่องลงบนตัวแผ่นซีดี
ทำให้มีความจุสูงขึ้นได้อีกมาก แต่ราคายังแพงอยู่ นอกจากนี้ยังได้มีความพยายามในการพัฒนาเอาซีดีรอมมาซ้อนกันหลายๆชั้นที่เรียกว่ามัลติเลเยอร์ซีดีอีกด้วยเพื่อให้เก็บข้อมูลได้มากขึ้น
(แน่นอน แพงอีกตามเคย) [ขณะที่โพสเรื่องนี้ลงถนนนักเขียน พ.ศ. 2541 นั้นในที่สุดเทคโนโลยีตัวนี้ก็ออกวางขายในตลาดเป็น
DVD ROM แล้ว -ผู้เขียน] แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบนี้ใกล้จะถึงขีดจำกัดของมันแล้ว
ตอนนี้มีคณะผู้วิจัยหลายคณะคิดเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลลงบนที่เก็บข้อมูลรูปร่างสามมิติ
แทนที่จะเป็นสองมิติอย่างซีดีรอม กล่าวคือเมื่อเราใช้การเก็บแบบสามมิติ ข้อมูลก็จะได้มาจากการยิงแสงเลเซอร์ไปอ่านข้อมูลในจุดๆหนึ่งในพิกัด
โคออดิเนท (x,y,z) ของวัตถุที่ใช้เก็บข้อมูลก้อนนั้น ซึ่งเมื่อฉายแสงในแง่มุมต่างๆค่าการหักเหแสงก็จะไม่เท่ากันอีกด้วย
ดังนั้นจุดหนึ่งๆจะสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างน้อย 6 ค่า หรือมากกว่านั้นไม่ใช่ค่าเดียวเหมือนซีดีรอม
(ตำแหน่งที่มีร่องบนแผ่นซีดีแทนค่า 0 ส่วนตำแหน่งที่ไม่มีร่องแทนค่า 1
ถ้าจำไม่ผิด) แต่ holocube รูปลูกบาศก์สามารถฉายแสงเลเซอร์เข้ามาอ่านข้อมูลที่จุดใดจุดหนึ่งในก้อนลูกบาศก์ได้ถึง
6 ทิศทางจากด้านต่างๆของลูกบาศก์ จึงสามารถอ่านข้อมูลได้ถึง 6 ค่าเป็นอย่างน้อยตามที่กล่าวมาข้างต้น
6.เรือใบอวกาศชนิดใช้แสงเลเซอร์เป็นพลังขับดัน (laser sail)
เป็นยานอวกาศชนิดหนึ่งที่
พัฒนามาจากความคิดในด้านหลักการทำงานของเรือใบอวกาศ (solar sail) ซึ่งใช้ลมสุริยะที่พัด
ออกมาจากดวงอาทิตย์เป็นพลังขับดันในอดีตเมื่อหลายปีที่แล้ว
ในขณะนี้ (ในปี 2538)วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกากำลังออกแบบ
ระบบขับดันและระบบเครื่องยนต์ที่จะใช้ในยานอวกาศรุ่นใหม่ๆสำหรับเดินทางออกสู่อวกาศระหว่างดวงดาว
หนึ่งในนั้นก็คือ laser sail นี้เอง นอกจากนั้นยังมียานที่ขับเคลื่อนด้วยลำอนุภาค
ที่จะถูกยิงออกมาจากเครื่องเร่งอนุภาคในดาวเคราะห์น้อย
แล้วอนุภาคเหล่านั้นก็จะถูกดักจับไว้ใน
สนามแม่เหล็กที่เกิดรอบวงแหวนขนาดยักษ์หน้าตัวยานที่ทำด้วยซูเปอร์คอนดักเตอร์
(ตัวนำไฟฟ้ายิ่งยวด) เพื่อก่อให้เกิดการถ่ายเทโมเมนตัมให้กับตัวยานต่อไป