การกำหนดใช้แผนตามคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2 ในประเทศไทย |
|
จากผลสำเร็จของการปฏิบัติการนั้นทำให้กลุ่มBOSTON
ได้เข้าควบคุมเศรษฐกิจของชาติ
โดยเป็นรัฐบาล จากการเปิดเผยของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)
กับนายวิชัย ตันศิริ
รมช.ศึกษาธิการ (ต.ค.๒๕๔๒) ว่า
"ได้รับร่างพ.ร.บ.ปรับปรุงกฎหมายคณะสงฆ์จาก
นายสัมพันธ์ ทองสมัคร
รมช.ศึกษาธิการยุค พ.ศ.๒๕๓๖
มาให้พิจารณาแสดงให้เห็นถึงว่ามีการเตรียมการสำหรับการเปลี่ยนแปลงองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย
ไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยโดยในวันที่
๘ - ๑๑ พ.ย. ๒๕๓๖ ได้มีการประชุม "1 st.
Accse - Thailand ชุมนุมผู้ประสานงาน
เพื่อประกาศพระวรสาร ครั้งที่ 1
" ที่พัทยา เพื่อกำหนด
แผนงาน
เพื่อการเฉลิมฉลองเพื่อประกาศพระวรสารสู่ปี
2000 ปี ที่ยิ่งไปกว่านั้นปรากฏเอกสารหลักฐานยืนยันว่า
ได้มีการปฏิบัติการโดยใช้แผนVATICAN
COUNCIL 2 หน้าที่ของกลุ่ม BOSTON คือการทำลายฐานเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ให้อยู่ในสภาพล้มละลายเพื่อให้เป็นไปตามแผนของประเทศมหาอำนาจ และองค์กรต่างศาสนา ที่จะดำเนินการเข้ายึดครองได้โดยสะดวก ต่อไปและเมื่อวางตัวบุคลากร ที่จะรับช่วงแทรกซึมขยายผลในการทำลายได้สำเร็จ จึงประกาศลาออกในต้นปีพ.ศ.๒๕๓๘ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มที่ ๒ สร้างกระแสมวลชนให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายสูงสุดของแผ่นดินโดยใช้รหัสเดิมคือ "เสรีภาพ และสิทธิมนุษยชน" ซึ่งจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะเข้ายึดครองทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย กลืนพระพุทธศาสนา โดยผ่านสถาบันการศึกษาได้ อย่างเบ็ดเสร็จถาวร สิ่งที่กล่าวนี้คือคำถามว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงใช่หรือไม่ ? และประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศชาติได้รับคืออะไร? สิ่งที่ควรพิจารณาและน่าสงสัยสังเกตเป็นอย่างยิ่งคือ การรณรงค์ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยข้ออ้างว่าฉบับเดิมปี พ.ศ.๒๕๓๕ ไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นฉบับเผด็จการ เพราะทหารเป็นผู้ร่างขึ้น ผู้สร้างกระแสให้เกิดขึ้นก็คือการรวมตัวของกลุ่มที่ ๑ กับกลุ่มที่ ๒ นั่นเอง ซึ่งในที่สุดรัฐบาลขณะนั้น (นายบรรหาร ศิลปอาชา) ก็ตกลงแก้ไขเพิ่มเติมว่าจะให้มีการเปลี่ยนแปลงและยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งยังไม่ทันมีการยกร่างนั้นก็ ยุบสภาเลือกตั้งเสียก่อน รัฐบาลจึงเปลี่ยนมาเป็น พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นับว่าเป็นรัฐบาลที่รับกรรมมากที่สุด เพราะเข้ามาโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นเพียงรัฐบาลแก้บน จะต้องถูกใช้เป็นตุ๊กตาที่ต้องถูกทำลาย ซึ่งกลุ่มที่ ๑ ได้ขยายเครือข่ายครอบคลุมระบบเศรษฐกิจและการธนาคารของประเทศไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว จึงร่วมมือกับกลุ่มที่ ๒ สร้างกระแสให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ อันเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของประเทศมหา อำนาจ และองค์กรต่างศาสนา ซึ่งได้วางแผนไว้อย่างรอบคอบรัดกุม โดยมีจุดมุ่งหมายให้เปิดทางให้ต่างชาติมีอำนาจและสิทธิ เท่ากับประชาชนไทยหรือมากกว่าในทางกฎหมาย รวมไปถึงการถอดพระพุทธศาสนาออกจากสถาบันสูงสุดของชาติ และบังคับให้รัฐต้องคุ้มครองศาสนาอื่นด้วย อีกทั้งลดอำนาจทั้งหมดของกองทัพให้สิ้นไป ดังได้นำเสนอมาแต่ต้นแล้วว่า พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันแห่งความมั่นคงของชาติ ได้รับการรับรองจากพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดนับตั้งแต่ผู้สร้างชาติไทย ดังปรากฏเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดแจ้ง เมื่อบุคคล องค์กร หรือมนุษย์เหล่าใด ที่ต้องการมิให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ บุคคลเหล่านั้นก็คือผู้ที่กบฏต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ใช่หรือไม่ ? ด้วยไม่มีใครจะสามารถเปลี่ยนสีธงและความหมายให้เปลี่ยนไปจากเดิมได้ และหากผู้ใดเปลี่ยนความหมายของสีแห่งธงไตรรงค์ มันผู้นั้นมิใช่ผู้ที่อยู่เหนือสถาบันพระมหากษัตริย์อันผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ แล้วเหตุใดบุคคลที่ครั้งหนึ่งเคยถูกทางการระบุว่าเป็นบุคคลที่มีอันตรายต่อชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ใช้วิธีการเข้ามาเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมพลพรรคจึงได้บังอาจนำพระพุทธศาสนา ออกจากการเป็นศาสนาประจำชาติ โดยไม่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญปรากฏเป็นหลักฐานดังนี้
|