กรอบข้อความเล็กๆ แสดงอยู่ข้างๆ จุดกระพริบสีส้ม เขียนข้อความสั้นๆ ว่า
....อุกกาบาต ทิศทางโคจรมุ่งสู่โลก...
นครกดปุ่มบนแป้นคีย์บอร์ดด้วยความรวดเร็ว กรอบข้อความขนาดใหญ่แสดงขึ้นเกือบ
ครึ่งจอ แสดงข้อความสั้นๆ ตรงกลาง
...กำลังประมวลผลข้อมูลที่ได้รับ...
นครใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ...ราวกับจะเป็นการเร่งให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานเร็วขึ้น
กว่านี้ ทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แก่ใจว่า มันเป็นไปไม่ได้...
ตัวอักษรที่แสดงอยู่สักครู่หายไป มีตัวอักษรชุดใหม่แสดงขึ้นเต็มพื้นที่นั้น
....อุกกาบาตมวลประมาณ 1/4 ของมวลโลก ทิศทางเข้าหาโลกด้วยความเร็ว
สี่หมื่นกิโลเมตรต่อวินาที ความน่าจะเป็นที่จะชน 99เปอร์เซนต์
คาดการณ์เวลาพุ่งชน
1 เดือน 7 วัน 12 ชั่วโมง 30 นาที...
นครเปิดโปรแกรมจดหมายอิเลคทรอนิคส์ พิมพ์ข้อความลงในนั้นด้วยความรวดเร็ว
เขากดปุ่ม "ส่งจดหมาย" ในใจได้แต่หวังว่า สิ่งที่เขาค้นพบนั้น เป็นแค่เพียง
ความผิดพลาดของระบบตรวจจับวัตถุอวกาศของเขาเท่านั้น...
นครลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาตั้งใจจะไปนอนสักงีบ รถของเขาจอดรออยู่แล้วที่หน้า
สำนักงาน
นครเปิดประตูรถ เข้าไปนั่งประจำที่คนขับ เขาสตาร์ทเครื่องยนต์ รถออกตัว
อย่างนิ่มนวล
รถของเขาวิ่งไปตามถนนเมืองหลวง จราจรยามดึกคล่องตัวผิดกับในช่วงกลางวัน
...ความคิดเกี่ยวกับเรื่องอุกกาบาตยังคงวนเวียนอยู่ในสมอง...
...อุกกาบาตขนาด 1/4 ของโลก มวลขนาดนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่โลกจะปลอดภัย
นี่จะถึงกาลอวสานของมนุษย์แล้วรึ...
...เขายังจำได้ถึงในสมัยเด็ก เขาเคยเรียนรู้ว่า ในจักรวาล
อันกว้างใหญ่ไพศาล มีโลกที่เขาอาศัยอยู่เพียงโลกเดียวเท่านั้น และเป็นโลกที่
มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่...
...มนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลกแล้วประมาณสองหมื่นปี อาณาจักรมากมายรุ่งเรืองขึ้น
และ ล่มสลายไปตามกาลเวลา....
...มนุษย์อยู่อาศัยเพียงห้าสิบเปอร์เซนต์ของพื้นที่โลกเท่านั้น
เนื่องจากอีกห้าสิบเปอร์เซนต์
ที่เหลือนั้น มีบรรยากาศที่หนาและหนักมาก อีกทั้งมีความผันผวนของบรรยากาศสูง
จนไม่อาจจะมีสิ่งชีวิตใดๆ ดำรงอยู่ได้...
...สิบปีที่ผ่านมา นครได้ค้นพบการเปลี่ยนแปลงของแรงอัดบรรยากาศระดับต่ำมาก
เป็นข้อมูลในรูปของคลื่นที่มีฮาร์โมนิก และเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า
จักรวาลนั้นไม่ได้มีเพียง
แค่โลกที่เขาอยู่อาศัยเท่านั้น....
...คำรายงานของเขาต่อสภาวิจัยอากาศนานาชาติที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น ได้กลายเป็นผลงาน
ชิ้นเอกของเขา และของสภาวิจัย นอกเหนือจากงานการตรวจสอบสภาพบรรยากาศ
แห่งดินแดนต้องห้าม ซึ่งกินพื้นที่ไปร่วมห้าสิบเปอร์เซนต์ของโลก
และการตรวสอบสภาวะรอยต่อบรรยากาศทั้งสองของโลก...
...หน่วยงานเฝ้าฟังสภาวะจากนอกโลกถูกจัดตั้งขึ้น และเขาเองก็ได้ทำงานอยู่ในหน่วย
เฝ้าฟังหน่วยหนึ่งนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา...
นครเลี้ยวรถเข้าไปจ่อที่ประตูบ้านของเขา มือหนึ่งหยิบรีโมตเปิดประตูบ้านขึ้นมา
ในขณะ
ที่อีกมือหนึ่งเอื้อมไปปิดวิทยุ แต่แล้วก็ต้องชะงัก
เมื่อได้ยินข่าวด่วนแทรกขึ้นระหว่าง
รายการเพลง
"...รายงานข่าวจากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยนามจากสภาวิจัยอวกาศนานาชาติ เกี่ยวกับ
การค้นพบอุกกาบาตที่มีทิศทางพุ่งเข้าหาโลก..."
"...แหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยนามดังกล่าวยังได้อ้างถึงคำยืนยันจากหน่วยเฝ้าฟังอีกสองหน่วย
ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความจริง...."
"...ข่าวคืบหน้าจะนำเสนอต่อไป..."
นครปิดวิทยุ ...การค้นพบของเขาในขณะนี้ได้หลุดรั่วออกไปยังสื่อมวลชนเสียแล้ว
และอาจจะก่อให้เกิดความตระหนกตกใจขึ้นในส่วนต่างๆ ของโลกเป็นแน่ และเขาจะต้อง
หยุดข่าวนี้โดยด่วนที่สุด ไม่ว่ามันจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตามที...
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น นครรับสาย เสียงตะคอกดังเข้ามาเต็มหูของเขา...
"...ข่าวมันเรื่องอะไรกัน คุณนคร..."
เขาตอบกลับไปทางโทรศัพท์ พยายามทำเสียงพูดให้เป็นปกติ
"...ผมตรวจพบอุกกาบาตครับ ท่านอธิบดี แต่ผมไม่ทราบว่า เรื่องที่ผมค้นพบนั้น
รั่วไหลออกไปได้อย่างไร บางทีอาจจะมาจากใครบางคนในหน่วยเฝ้าฟัง ปล่อย
เรื่องออกไปกระมังครับ..."
เสียงตวาดสวนกลับมาในทันที
"...คุณต้องทำเรื่องราวให้เรียบร้อยลงให้เร็วที่สุด พรุ่งนี้ คุณออกสัมภาษณ์กับผม
บอกกับทุกคนว่า เรื่องนี้ไม่มีมูลความจริง ไม่งั้น ประเทศต้องปั่นป่วนแน่ๆ..."
"...ครับผม..." นครตอบรับ
นครเลื่อนรถเข้าจอดภายในบ้าน เขาปิดเครื่องยนต์และปิดประตูหน้าบ้าน แล้ว
เดินตรงไปยังประตูบ้าน ไขกุญแจ และตรงไปยังห้องนอน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่หัวเตียง เขายกขึ้นรับ
"...นครคะ ข่าวนั้นเป็นความจริงรึคะ..." เสียงหวานๆ มาตามสาย
...ตลอดเวลาสามปีของความสัมพันธ์ของนครและเจ้าของเสียงนั้น เขาไม่เคยเลย
แม้แต่ครั้งเดียวที่จะโกหก แต่ในเวลานี้ เขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้...
"...ไม่จริงจ๊ะ นอนหลับให้สบายนะคนดี..."
"...เหมือนกับนครกำลังปิดบังอะไรศศิ พูดออกมาตรงๆ เถอะค่ะ ศศิทำใจได้น่ะค่ะ..."
นครชะงัก ...การค้นพบของเขาเองยังไม่ได้รับการยืนยัน ในขณะเดียวกัน เขาเอง
ก็ไม่อยากจะโกหกบุคคลซึ่งเป็นที่รักของเขาเช่นกัน...
"...ว่าไงคะ..."
"...พรุ่งนี้..." นครตอบกลับไปในที่สุด
"...พรุ่งนี้ศศิมาหาผมที่สำนักงานนะครับ..."
นครวางหูโทรศัพท์ เขาเดินออกไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังท้องฟ้าที่ใสกระจ่าง
ท้องฟ้าที่ใสกระจ่าง ยังคงสว่างเหมือนกับที่มันเคยเป็นมานับตั้งแต่
เขาเกิดมาแล้ว กลางวันและกลางคืน เป็นเพียงเวลาอ้างอิงที่ทุกคนบนโลกใช้มา
นับตั้งแต่มีอารยธรรมบนโลกแล้ว เขาพยายามเพ่งมอง เผื่อบางทีเขาอาจจะเห็น
อุกกาบาตนั้นได้ด้วยตาเปล่า แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้แต่ๆ
นครปิดม่านลง ห้องตกอยู่ในความมืด
...พรุ่งนี้ งานคงจะรอเขาอยู่มากมายเป็นแน่...
=========================================================
นครเอื้อมมือไปปิดกริ่งนาฬิกาปลุก เขายกนาฬิกาปลุกที่บัดนี้เงียบสนิทขึ้นดู
ด้วยความเคยชิน ...ตีห้าครึ่ง... เช้าไปหน่อย แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า
วันนี้มีเรื่องอีกมากมายที่ต้องรีบทำ เขารีบลุกขึ้นจากเตียง และตรงเข้า
ห้องน้ำ...
เกือบเจ็ดนาฬิกา รถของเขาจอดเทียบที่หน้าสำนักงานในที่จอดประจำของเขา
กลุ่มคนมากมายพร้อมทั้งกล้องโทรทัศน์ กล้องถ่ายรูป ไมโครโฟน พุ่งตรงเข้ามา
ยังรถของเขา จนเขาไม่สามารถเปิดประตูออกไปได้
นครไขกระจกรถลง ไมโครโฟนมากมายมุดเข้ามาในรถจนแทบจะไม่มีที่ให้เขา
ได้หายใจ
"ท่านคะ ข่าวที่เผยแพร่ออกไปเมื่อคืนนี้เป็นความจริงรึเปล่าคะ"
"ท่านคะ พอจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุกกาบาตบ้างรึเปล่าคะ"
"ท่านครับ...ท่านคะ..."
คำถามมากมายกรูกันเข้ามาโถมทับตัวเขา นครผลักไมโครโฟนออกบางตัวเพื่อ
ให้เขาสามารถมองออกไปภายนอกได้ สายตาทุกคู่กำลังจดจ้องมาที่เขา...
"เดี๋ยวเราจะมีการเปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครับ ผมจะให้คำตอบในเวลานั้น"
นครกดปุ่มกระจกขึ้น ไมโครโฟนค่อยๆ ถอนออกไปจนกระทั่งกระจกเลื่อนปิดสนิท
เขา
เปิดประตูรถ ยามรักษาความปลอดภัยของสำนักงานสองคน เข้ามาช่วยเปิดทางสู่
ประตูของสำนักงาน
ประตูสำนักงานปิดลงด้านหลังตัวเขา ทิ้งให้กลุ่มนักข่าวรอคอยอยู่ด้านนอก
นครตรงรี่เข้าไปในห้องปฏิบัติการ โทรทัศน์จอกว้างถูกนำมาติดตั้งในสำนักงาน
รายงานข่าวอุกกาบาตอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่มากมายประจำอยู่ในที่ต่างๆ
เสียง
พูดคุยดังไปทั่วสถานที่ เมื่อเห็นนครเดินเข้ามา ทุกคนต่างลุกขึ้นตรงมายังเขา
"...ผมคิดว่าทุกคนคงจะทราบแล้วถึงเรื่องราวที่เล็ดรอดออกไปทางสื่อมวลชน
คุณวิชัย หน่วยเฝ้าฟังอื่นๆ มีคำตอบมาว่าอย่างไร..."
ชายร่างเล็กคนหนึ่งพูดขึ้น
"...ทุกหน่วยเฝ้าฟังยืนยันถึงตัวอุกกาบาต และทิศทางที่มายังโลกครับ ข้อมูลทุก
อย่างได้รับการยืนยัน..."
เสียงหนึ่งดังตามขึ้นมาจากในกลุ่มของพนักงาน
"...ท่านจะทำอย่างไรต่อไปครับ..."
นครสูดหายใจลึก
"...ตอนนี้ เราคงปิดบังอะไรไปไม่ได้อีกแล้ว แต่เราต้องแจ้งให้ทุกคนทราบว่า
ทุกคนกำลังหาทางทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เหลือเวลาอีกหกสิบวัน ผมเองก็
ยังไม่ทราบว่า พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไป..."
นครหันไปทางเลขาของเขา
"...คุณวีระ คุณช่วยติดต่อหัวหน้าหน่วยโครงการอื่นๆ ของสภาวิจัยฯ ให้ผมโดย
ด่วน ผมเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนคงกำลังจะรอฟังข่าวจากผมอยู่ เตรียมการประชุม
ด่วนก่อนเที่ยง..."
เลขาพยักหน้ารับทราบ
"...ท่านครับ อธิบดีนัดท่านแถลงข่าวในห้องแถลงข่าวเวลาสิบนาฬิกาครับ และ
อยากจะพบท่านเป็นการส่วนตัวเวลาเก้านาฬิกา..."
นครหันกลับไปยังกลุ่มพนักงาน สายตาแสดงความตกใจฉายอยู่เต็มแววตาของทุกคน
"...ผมขอให้ทุกคนทำงานต่อไปอย่างปกติ ผมและหัวหน้าส่วนต่างๆ จะประชุมร่วม
กันและหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วนต่อไป..."
เขาหยุดพูดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อไป
"...ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองเราทุกคนให้ผ่านวิกฤติการณ์นี้ไปได้ด้วยเถิด..."
ประตูสำนักงานเปิดออก ร่างหนึ่งโผเข้ามา และตรงเข้ากอดนคร สายตา
เต็มไปด้วยความตกใจกลัว
"นครคะ... ศศิถูกรุมถามจากนักข่าวจนศศิตั้งตัวไม่ถูกเลย..."
นครลูบแผ่นหลังอย่างแผ่วเบา ผมของศศิปรกอยู่บนแผงอกของเขา
"...ศศิเข้าไปพักในห้องทำงานของผมก่อน เดี๋ยวผมต้องตรวจข้อมูล เข้าพบอธิบดี
และมีแถลงข่าว แล้วเราคงได้พบกัน..."
ศศิเงยหน้าขึ้นมองนคร
"...ค่ะ ศศิจะรออยู่ที่ห้องนครนะคะ..."
นครมองตามศศิไปจนกระทั่งหล่อนหายเข้าไปในห้องทำงานของเขา จากนั้นก็ตรงเข้า
ไปที่คอมพิวเตอร์ในห้องปฏิบัติการที่เขาใช้อยู่เมื่อคืนก่อน
เปิดดูจดหมายอิเลกทรอนิคส์
...ทุกข้อความยืนยันถึงการค้นพบอุกกาบาต และยังรวมไปถึงข่าวที่ในขณะนี้ได้แพร่
กระจายออกไปแล้วทั่วโลก...
===========================================================
อธิบดีพูดขึ้นหลังจากที่รับฟังรายงานจากนครจนจบ
"ผมได้รับคำสั่งให้โอนเรื่องไปยังสหประชาชาติแล้ว ภายใน
เย็นวันนี้ เจ้าหน้าที่พิเศษจากสหประชาชาติจะบินตรงมา
ที่สำนักงานนี่ เราจะแถลงข่าวสั้นๆ
เกี่ยวกับการค้นพบในวันนี้
เท่านั้น และจะยังไม่ตอบคำถามใดๆ ในวันนี้..."
ท่านอธิบดีและนครออกจากห้องประชุม ตรงไปยังห้องแถลงข่าว
ทั้งสองนั่งลงในที่ที่ได้จัดเตรียมไว้ สายตาของทุกคน กล้อง
ทุกกล้องที่จับตรงมายังเขา ดูราวกับทั้งโลกกำลังตั้งใจฟังใน
สิ่งที่จะประกาศออกไป...
"...สวัสดีครับทุกคน ผมมาโนช ในฐานะอธิบดีกระทรวง
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพลังงาน ในฐานะผู้ดู
แลโครงการสภาวิจัยอวกาศนานาชาติ สำนักงานใหญ่
และที่นั่งข้างๆ
ผมนี้ ทุกท่านคงจะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วคือ คุณนคร
หัวหน้า
สภาวิจัยอวกาศนานาชาติ..."
"...เมื่อคืนที่ผ่านมา
ได้มีการค้นพบอุกกาบาตขนาดเศษหนึ่งส่วน
สี่ของมวลโลก พุ่งตรงมายังตำแหน่งที่โลกโคจรอยู่ และจากการ
ยืนยันเบื้องต้นจากหน่วยเฝ้าฟังของสภาวิจัยอวกาศนานาชาติใน
พื้นที่ และประเทศต่างๆ
ได้ยืนยันตรงกันในเรื่องดังกล่าวแล้ว..."
เสียงอื้ออึงดังขึ้นรายรอบ ไฟแฟรชสว่างวูบวาบอย่างต่อเนื่อง
"...ในขณะนี้นานาประเทศได้จัดตั้งแผนเร่งด่วนในการที่จะกระทำ
อย่างใดอย่างหนึ่งต่อวิกฤติการณ์นี้ รายงานอื่นๆ
จะเสนอให้ทราบ
ต่อไป..."
เสียงมายมายดังออกมาจากกลุ่มผู้สื่อข่าว อธิบดีฯ และนคร
ลุกขึ้น เดินออกจากห้องแถลงข่าว ไฟแฟรชยังคงสว่างตามหลัง
ทั้งสองจนกระทั่งประตูปิดลง...
=============================================
เวลาสิบเอ็ดนาฬิกา เจ้าหน้าที่ชั้นสูงบางส่วนมาถึงสำนักงาน
ทางเฮลิคอปเตอร์ การจราจรด้านหน้าสำนักงานในขณะนี้
ไม่ต้องพูดถึง เต็มไปด้วยรถรามากมายจอดเรียงราย
จนไม่สามารถจะเปิดการจราจรได้อีกต่อไป บริเวณรั้วสำนักงาน
มีคนหลายร้อยคน ถือป้ายกระดาษ และป้ายผ้าขนาดใหญ่ ข้อความ
เรียกร้องให้ทางสำนักงานออกมาทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
นครหันจากหน้าต่างในห้องทำงานของเขา มาที่จอโทรทัศน์
ข่าวแสดงถึงการจลาจลที่
เกิดขึ้นไปทั่วในประเทศต่างๆ คนมากมายเข้าทำลายร้านค้า
ทุบเอาข้าวของต่างๆ ภาพข่าวตัดไปยังคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลัง
ขุดหลุมหลบภัย จากนั้น ภาพก็ตัดไปยังโบสถ์ คนมากมายตรงเข้าไป
เพื่อฟังธรรม นครได้ยินเสียงตะโกนร้องจากด้านหน้าสำนักงาน
ผสมกับภาพข่าว ซึ่งขณะนี้ตัดไปยังทำเนียบรัฐบาล
...คนมากมายเดินโห่ร้องและพยายามบุกเข้าไปภายในรั้วทำเนียบ
รัฐบาล เจ้าหน้าที่พยายามผลักดัน แต่ก็ไม่เป็นผล รถดับเพลิง
ที่จอดเตรียมรับสถานการณ์ ฉีดน้ำเข้าไปที่ผู้คนเหล่านั้น
คนสอง
คนล้มลงไป แต่อีกสิบคนฝ่าเข้าไปได้
เจ้าหน้าที่เริ่มใช้ปืนยิงขึ้น
ฟ้า...
....เสียงปืนดังลั่นขึ้นจากด้านนอกสำนักงาน...
นครหันออกไปด้านนอก หน่วยคอมมานโดจำนวนมากกำลังตรึงอยู่
ที่ด้านหน้ารั้ว ผู้คนมากมายโห่ร้องอยู่ด้านนอก เขาหันกลับ
เข้ามาในห้อง ตรงไปยังโซฟารับแขก
...ศศิ แฟนของเขากำลังนั่งตัวสั่นเทาอยู่ที่นั่น...
============================================
เวลาล่วงเลยมาถึงสิบแปดนาฬิกา นายทหารจำนวนหนึ่ง
ตรงเข้ามาในสำนักงาน นครยืนรออยู่กลางห้องปฏิบัติการ
"...ผมคงต้องขอเชิญท่านและเจ้าหน้าที่ทุกคน ไปด้วยกัน
กับพวกเราที่กองบัญชาการทหารสูงสุด ทั้งนี้เพื่อความ
ปลอดภัยของทุกคน และเพื่อการดำเนินยุทธวิธีต่อไป เจ้า
หน้าที่จากสหประชาชาติท่านอื่นๆ พร้อมกับประธานาธิบดี
นายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ชั้นสูงท่านอื่นๆ ได้ไปรวมกัน
แล้ว..."
นครและคนอื่นๆในตัวอาคาร ต่างทยอยกันออกไปทางด้านหน้าของ
สำนักงาน ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่จอดอยู่บนลานจอดรถ
นครมองลงไปยังด้านล่าง คนสองสามคนพยายามบุกฝ่าหน่วย
คอมมานโด เสียงปืนดังขึ้น สองร่างกระเด็นตกเข้าไปภายใน
เขตรั้ว ร่างทั้งสองแดงฉานไปด้วยเลือด
คลื่นมนุษย์นอกรั่วเริ่มปั่นป่วน เพียงชั่วครู่
รั้วทั้งรั้วก็พังพาบลง
กับพื้น หน่วยคอมมานโดแตกกระจาย คนมากมายวิ่งเข้าไปใน
สำนักงาน บ้างก็ปาคบไฟ ระเบิดขวด ไปทางสำนักงาน
ศศิเกาะอยู่ข้างๆ นคร เขาหันกลับมาพูดกับศศิ
"...อย่างน้อยเราก็รอดพ้นจากจลาจลด้านล่างมาได้ และ
ผมหวังว่าเราจะต้องรอดพ้นจากอุกกาบาตเช่นกัน หวังว่า
เราคงจะมีทางออก..."
นครลูบผมศศิอย่างแผ่วเบา ไหล่ของศศิขยับขึ้นลง น้ำตา
พร่างพรูออกมาจากแก้มทั้งสองของศศิ แต่ไม่มีเสียงใดๆ
เล็ดรอด
ออกมา
เฮลิคอปเตอร์ใต่ระดับและบินจากมา
ทิ้งสำนักงานของนครที่กำลัง
ลุกโชติช่วงในกองเพลิงเอาไว้เบื้องหลัง
===============================================
ภายในฐานใต้ดินของกองบัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าโครงการ
ต่างๆ ของสภาวิจัยอวกาศแห่งชาติ หัวหน้าหน่วยข่าว ผู้บัญชาการ
ทหารสูงสุด ผู้เชี่ยวชาญผ่ายต่างๆ
ประชุมรวมกันอยู่ในห้องประชุม
ใหญ่ ประธานาธิบดีนั่งอยู่ทางด้านหน้าของห้องประชุม
นครกล่าวสรุปการค้นพบ และรายละเอียดของอุกกาบาตให้ทุกคนใน
ห้องประชุมได้ฟัง
"...จากการค้นพบที่ยืนยันแน่นอนแล้ว อุกกาบาตลูกดังกล่าวจะ
เข้าชนโลกในเวลาประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้า และโอกาสที่เราจะ
รอดพ้นต่อการชนในครั้งนี้ มีค่าเป็นศูนย์..."
เขาได้ยินเสียงดังจอแจดังขึ้นทั่วหอประชุม แต่เขาไม่ใส่ใจต่อ
เสียงนั้น เขากล่าวต่อไป
"...หนทางเดียวที่ผมแนะนำในขณะนี้ก็คือ เราต้องหาทางที่จะ
เดินทางออกจากโลกของเรา ผมทราบมาบ้างว่าทางโครงการ
สำรวจสภาพรอยต่อเขตบรรยากาศ มีผลงานที่น่าสนใจที่จะนำ
เสนอทุกท่านได้ทราบ..."
หัวหน้าโครงการลุกขึ้น เสียงดังรายรอบเงียบสนิทลง
"...ผมเป็นหัวหน้าโครงการสำรวจสภาพรอยต่อบรรยากาศ..."
เสียงนั้นดังไปทั่วห้องประชุม
"...การสำรวจของเรา พบว่า ถึงแม้สภาพบรรยากาศในบริเวณ
ต้องห้ามของโลกของเรา ไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้..."
"...แต่สภาพรอยต่อของบรรยากาศนั้น พอจะเอื้ออำนวยให้พวกเรา
ยังคงมีชีวิตไปได้ ถ้าหากเราจะมีเสบียงติดไปพอเพียง..."
"...ทางโครงการได้มีการทดลองสร้างพาหนะที่มีความหนาแน่น
อยู่ระหว่างเขตชั้นบรรยากาศปกติ และเขตชั้นบรรยากาศต้องห้าม
และได้ทดลองส่งสิ่งมีชีวิตออกไป..."
"...เราพบว่า สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ หากมีการป้อง
กันความร้อนจากบริเวณบรรยากาศต้องห้ามด้วยฉนวนที่หนาพอ..."
นครกล่าวต่อในที่ประชุม
"...จากการประชุมของหัวหน้าโครงการ และผู้เชี่ยวชาญสาขา
ต่างๆ เรามีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้..."
สายตาของนครกวาดไปทั่วหอประชุม สายตาจำนวนมากมองกลับ
มายังนคร ...บางทีนี่คงเป็นความหวังของมนุษย์โลกกระมัง...
"...พวกเรามีความเห็นว่า พาหนะดังกล่าว สามารถนำมา
ออกแบบใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และน่าจะรับมนุษย์ได้สักหนึ่ง
ครอบครัว พื้นที่เหลืออาจจะนำเอาพืช หรือสัตว์ติดไปด้วย
อย่างนอยคงจะดีกว่าสูญสิ้นมนุษย์ชาติบนโลกนี้..."
เสียงอื้ออึงดังขึ้นรายรอบ ...ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ...
นครหวนนึกไปถึงสิบปีที่แล้ว ไม่เคยมีใครเชื่อว่ามีดวงดาว
อื่นๆ นอกเหนือไปจากโลก เมื่อนครค้นพบคลื่นบรรยากาศ
ความดันต่ำที่ส่งมาจากนอกโลก แสดงให้เห็นว่า อย่างน้อย
จะต้องมีดาวดวงอื่น หรืออาจจะมีสิ่งชีวิตอื่นๆ นอกเหนือจาก
โลก และเมื่อคืนวานนี้เอง ที่นครได้รับการพิสูจน์แล้วว่า
โลกไม่ได้เป็นสถานที่เดียวในจักรวาล ...และบางที
ก็น่าจะมีดาวดวงอื่น ที่อาจจะมีความเหมาะสมที่มนุษย์จะมี
ชีวิตอยู่เช่นกัน...
ประธานาธิบดีลุกขึ้นจากที่นั่ง เสียงพูดคุยเงียบลง
ประธานาธิปดี
มองไปที่นคร แล้วกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง ก่อนที่จะกล่าวขึ้น
ด้วยเสียงอันหนักแน่น
"...ในอดีต มนุษย์ชาติของเรามีตำนานของเรือมนุษย์ ซึ่ง
นำสิ่งมีชีวิตอย่างละคู่ ติดตัวออกไปจนพบดินแดนใหม่ และได้
แผ่ขยายจนมาเป็นพวกเราในปัจจุบัน..."
"...บัดนี้คงจะถึงเวลาแล้ว
ที่พวกเราต้องทำในลักษณะเดียวกัน..."
"...ไม่ทราบว่ามีท่านใดจะคัดค้านหรือไม่..."
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ...
"...เราจะให้ทางสภาวิจัยอวกาศนานาชาติ ให้ความรู้ใน
เรื่องของการสร้างพาหนะสำหรับเดินทางบนรอยต่อของเขต
บรรยากาศ และให้มนุษย์ทุกคนที่สมัครใจ เดินทางออกจาก
โลก ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว ขอให้ประชุม
เพื่อหาแนวทางอื่นๆ ต่อไป..."
"...การประชุมในวันนี้จบเพียงเท่านี้..."
===============================================
ภายในห้องนอนขนาดเล็กพอเหมาะกับสองคน นครนั่งอยู่ใน
โซฟา ศศินอนซบอยู่บนตักของเขา
"...ผมได้ให้ทางโครงการสร้างพาหนะสำหรับเราไว้แล้ว แต่
ผมเองยังคงต้องเดินทางไปยังที่ต่างๆ ของโลก เพื่อถ่ายทอด
เทคโนโลยีการสร้างพาหนะเดินทางแก่ผู้สนใจ..."
สายตาของศศิมองขึ้นมายังนคร
"...ผมคงต้องขอให้ศศิรอผมอยู่ที่นี่ก่อน และผมจะกลับมาอีก
ครั้งเพื่อที่เราจะได้ไปด้วยกัน..."
มีเสียงเคาะประตูห้อง ศศิลุกขึ้นจากตักของนคร เขาเดินไป
เปิดประตู พูดคุยกับคนที่หน้าประตูและรับอะไรบางอย่างมาจาก
คนนั้น
นครกลับมาที่โซฟาพร้อมด้วยลูกแมวสีขาวขนฟูในมือ
"...โซเฟีย..." ศศิร้องขึ้น พลางยื่นมือออกไปรับแมวจาก
นคร กอดอย่างทนุถนอม
"...ผมขอให้เจ้าหน้าที่ไปค้นโซเฟียจากบ้านของคุณ โชคดี
จริงๆ ที่บ้านของคุณยังไม่เป็นไร..."
"...เจ้าหน้าที่ยังถามว่าคุณต้องการอะไรจากที่บ้านรึเปล่า..."
นครมองศศิ ใบหน้าของศศิสดชื่นขึ้นมากเมื่อมีลูกแมวตัวน้อย
อยู่ในอ้อมแขน
"...ศศิได้โซเฟียก็พอเพียงแล้วล่ะคะ เกรงใจเจ้าหน้าที่ของ
คุณเปล่าๆ ศศิขอขอบคุณคุณเจ้าหน้าที่มากค่ะ..."
เจ้าหน้าที่คนนั้นโค้งตัวเล็กน้อย แล้วปิดประตูห้อง
นครหรี่ไฟในห้อง เขานั่งลงที่เตียง
"...คืนนี้ผมยังคงอยู่กับคุณที่นี่
พรุ่งนี้เช้าผมจะออกเดินทาง
และเราจะมาพบกันอีกครั้ง..."
ศศิวางแมวลงบนโซฟา ลูกแมวตัวน้อยซบลงที่โซฟา ศศิเดินตรง
มาที่นคร นั่งลงและโอบกอดเขาอย่างแผ่วเบา
"..ศศิจะรอวันที่คุณกลับมา ไม่ต้องห่วงศศิหรอกค่ะ.."
นครบรรจงจูบลงที่ริมฝีบากของศศิ
"...ผมรักคุณ..."
เขาได้รับคำตอบในทันใด
"...ศศิก็รักคุณค่ะ..."
นครเอื้อมมือปิดไฟหัวเตียง งานหนักยังรอคอยเขาอยู่
...ความรอดของมนุษยชาติตกอยู่ในมือของพวกเขา...
...และเขาหวังว่า การตัดสินใจของประธานาธิบดีจะเป็น
เรื่องที่คุ้มค่าต่อทุกคน...
===============================================
เวลาสี่สัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว นครเดินทางไปยังประเทศ
ต่างๆ พร้อมกับทีมงาน แบบแปลนพาหนะสำหรับเดินทางไปบน
รอยต่อของบรรยากาศทั้งสองของโลกถูกเผยแพร่ออกทั่วไป
ประเทศต่างๆ เร่งสร้างพาหนะ และส่งคนผ่านทางรอยต่อบรรยากาศ
ด้วยพาหนะที่สร้างขึ้น แทบทุกจุดในบริเวณรอยต่อบรรยากาศ
คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ถนนหลายสายถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งรีบ
เพื่อส่งรถและคนไปยังบริเวณเขตรอยต่อบรรยากาศที่แบ่งพื้นผิว
โลกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือเขตบรรยากาศปกติ และ
อีกส่วนคือเขตบรรยากาศหนาแน่น
ในสัปดาห์สุดท้าย มีรายงานคลื่นความปั่นป่วนขนาดหนักจากเขต
บรรยากาศหนาแน่น เขตรอยต่อบรรยากาศเริ่มแปรปรวน แต่
โครงการส่งคนออกนอกโลกยังดำเนินต่อไป
...บางที เวลาอวสานของโลกจะใกล้เข้ามากระมัง...
นครเดินทางกลับไปยังกองบัญชาการทหารสูงสุด ในสองวัน
สุดท้ายก่อนที่อุกกาบาตจะพุ่งเข้าชนโลก
ทันทีที่เขาลงจากเฮลิคอปเตอร์ ศศิ ซึ่งรออยู่แล้วพร้อมกับ
ลูกแมวสีขาวในอ้อมแขน ก็ตรงเข้าหานคร
"...ศศิยินดีเหลือเกินที่ได้พบนครค่ะ..."
นครกอดศศิเอาไว้ในวงแขน
"...ผมเองก็เหมือนกันครับ งานดำเนินไปได้ด้วยดี
ตอนนี้ก็เหลือแต่เราที่ต้องอพยบเช่นกัน..."
เจ้าหน้าที่ภายในกองบัญชาการฯ เดินนำทั้งสองตรงไปยังพาหนะ
ของเขา ซึ่งได้จัดออกแบบสร้างเป็นพิเศษ พาหนะดังกล่าว
สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยล้อ และมีระบบขับเคลื่อนแบบเจ๊ต ติด
อยู่ด้วย ด้านบนของพาหนะมีใบพัดเหมือนกับเฮลิคอปเตอร์ ยาน
มีพื้นที่กว้างขวางพอที่จะบรรจุคนได้หลายร้อยคน
นครมองอย่างชื่นชม
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของเขา
"...เป็นไงบ้างครับ พาหนะแบบนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ
บุคคลพิเศษ และผู้นำประเทศ ผมได้สงวนลำหนึ่งเอาไว้สำหรับ
ครอบครัวของคุณนคร และพนักงานของคุณ มีที่ว่างมากมายพอที่
คุณนครจะสร้างสวนสัตว์
และผมได้ให้เจ้าหน้าที่ปลูกเรือนกระจก
เอาไว้ภายในบริเวณเปิดของยานไว้แล้ว..."
เจ้าหน้าที่จากสำนักงานของเขา กำลังทยอยขึ้นยานลำดังกล่าว
เขามองตรงไปยังบริเวณเปิดท้ายยาน เขาเห็นส่วนของต้นไม้
งอกงามพ้นออกมา มีนกสองสามตัวบินไปมาระหว่างต้นไม้เหล่านั้น
"...ขอบคุณมากครับ สำหรับทุกสิ่งที่คุณทำให้กับพวกเราทุกคน
แล้วคุณจะไปกับพวกเราไหมครับ..."
นครมองหัวหน้าโครงการสำรวจรอยต่อของบรรยากาศ ผู้ซึ่ง
เปลี่ยนงานมาเป็นหัวหน้าอำนวยการก่อสร้างพาหนะที่นครกำลัง
ชื่นชมอยู่
"...ผมจะไปกับพาหนะอีกลำหนึ่งที่ขนพนักงานในส่วนของหน่วย
งานผม..."
ทั้งสองรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน
นครมองขึ้นไปยัง
ท้องฟ้า กลางแสงสว่างสุกใสของท้องฟ้า เขาสามารถมองเห็น
ส่วนของอุกกาบาตได้ด้วยตาเปล่า
"...ผมหวังว่า ถ้าพวกเราสามารถหาโลกใหม่ได้ เราคงจะได้
พบกันอีก..." นครกล่าวแก่หัวหน้าโครงการสร้างพาหนะ
มือของทั้งสองจับกระชับกัน
"...ผมหวังว่าเราจะได้พบกันอีก..."
อุกกาบาตเริ่มกินพื้นที่ท้องฟ้าไปจนเกือบครึ่งแล้วในขณะนี้
นคร
ตรงขึ้นไปยังพาหนะที่อยู่ตรงหน้าของเขา
ศศิยืนรอเขาอยู่ที่ประ
ตูทางขึ้น
ใบพัดที่อยู่ด้านบนเริ่มหมุนด้วยความเร็วสูงขึ้น
ประตูทางเข้าถูก
ปิดลง นครและศศิตรงเข้าไปในห้องหลักของพาหนะตามทางเดิน
ในห้องหลักมีเก้าอี้จำนวนมากตรึงติดกับพื้น
นครและศศินั่งลงบน
ที่นั่ง และรัดเข็มขัด เขามองไปรอบๆ
เจ้าหน้าที่ที่เขาคุ้นเคย
นั่งอยู่ในแต่ละที่นั่ง พาหนะกำลังลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นดิน
บรรยากาศรอบยานเริ่มแปรปรวน ด้านหน้าของยานเป็นจอภาพ
ขนาดใหญ่ กำลังฉายภาพจากบริเวณต่างๆ ด้านนอก
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหานคร เขาพยายามยื้อยึด
ตัวเองกับพนักเก้าอี้ จนมาถึงตัวนครในที่สุด
"...คุณนครครับ จะมาดูรายละเอียดกับพวกเราในห้องควบคุม
ไหมครับ..."
"...ดีครับ..."
นครลุกขึ้นจากที่นั่ง
และเดินตามเจ้าหน้าที่ผู้นั้นไปทางห้อง
ควบคุมด้านหน้า..."
==============================================
ภายในห้องควบคุม
ชายผู้หนึ่งยืนรอพบนครอยู่ที่เก้าอี้กึ่งกลางแผง
ควบคุม
"...ผมกัปตันเกรียงชัย ยินดีมากครับที่ได้พบคุณนคร และเป็น
เกียรติมากที่ได้มีโอกาสรับใช้คุณนครและครอบครัวครับ..."
"ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมเองก็ยินดีมากทีเดียวที่ได้พบ
กับกัปตันเกรียงชัย
ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงมานานในฐานะกัปตันดีเด่นประ
จำการบินของประเทศครับ..."
กัปตันนั่งลง ชี้ให้นครดูที่จอภาพหนึ่งในหลายๆ จอภาพที่
กำลังแสดงถึงสภาพรอบข้างของพาหนะ
...นครนิ่งราวกับถูกสะกดเอาไว้ด้วยจอภาพที่กัปตันชี้อยู่นั้น...
"...หลุมดำ..." เขารำพึงออกมา
"...คุณกำลังพูดในสิ่งที่ผมกำลังคิดถึงอยู่เลยครับ..."
กัปตันตอบ
"...สภาพของบรรยากาศที่เห็น ทำให้ผมนึกไปถึงคำทำนายใน
คัมภีร์บทสุดท้ายที่ว่า ...ในวันสิ้นโลก
หลุมดำจะกลืนกินสิ่งต่างๆ ไปจน
หมดสิ้น ผู้ที่รอดพ้น จะได้พบกับดินแดนแหล่งใหม่ และจะทวีขึ้น
จนเต็มแผ่นดินใหม่นั้น..."
นครนิ่งเงียบ ...สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้ เขาไม่สามารถ
ที่จะอธิบายได้ แต่คำทำนายในคัมภีร์ทำให้เขาไม่สามารถนึกได้
เป็นอย่างอื่น
"...คุณมีความเห็นอะไรบ้างครับ..." กัปตันถาม
"...ผมคิดว่า เราคงต้องหลบจากสภาวะอากาศด้านหน้านี้
และหาทางลงไปยังบริเวณรอยต่อบรรยากาศให้ได้เร็วที่สุด ในขณะ
เดียวกันต้องออกห่างจากโลกให้ได้เร็วที่สุดเช่นกัน..."
"...ผมเองก็เห็นด้วยครับ ตกลงว่าเราจะเร่งเดินทางออกจาก
ตำแหน่งของโลก ทิศทางของอุกกาบาต และหลุมดำให้เร็วที่สุด..."
พาหนะเหวี่ยวตัวอย่างรุนแรง นครคว้าพนักที่นั่งของนักบินได้ทัน
ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ล้มกลิ้งลงไปทางประตูทางเข้า
กัปตันส่งคำสั่งไปยังส่วนควบคุมต่างๆ
แรงเหวี่ยงเกิดขึ้นอย่างต่อ
เนื่อง นครได้ยินเสียงกัปตันประกาศไปทั่ว
"...ขณะนี้เราเข้าสู่สภาวะอากาศแปรปรวน และเรากำลังจะ
มุ่งไปยังแนวรอยต่อบรรยากาศ ซึ่งผมจะพยายามลดระดับลงให้
นิ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่เนื่องจากสภาพแนวรอยต่อบรรยากาศ
ในขณะนี้แปรปรวนเช่นกัน ขอให้ทุกคนระวังการกระแทกในขณะ
ยานลงจอดสู่ระดับแนวรอยต่อด้วยครับ..."
"...ขอให้ทุกคนโชคดี..."
==============================================
ยานกับแนวรอยต่อของชั้นบรรยากาศอย่างรุนแรง มือของนคร
หลุดจากพนักพิง ล้มลงไปบนพื้น
สภาพรอยต่อของชั้นบรรยากาศมีความแปรปรวน แต่นครรู้สึกว่า
สภาพดังกล่าวยังดีกว่าการอยู่ในบรรยากาศก่อนหน้านี้มากนัก
เขาค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้น กัปตันปลดไมโครโฟนและหันกลับมายัง
เขา
"...เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณนคร..."
"...ไม่เป็นไรครับ ดูเหมือนว่าสภาพรอยต่อชั้นบรรยากาศจะ
ดีกว่าที่เราคิดนะครับ..."
"...ผมก็คิดเช่นกัน
คราวนี้ก็คงต้องพึ่งความเชื่อแล้วกระมังครับ
ในขณะนี้ผมเดินทางในทิศทางพุ่งออกจากตำแหน่งของโลก..."
กัปตันหยุดไปเล็กน้อย เขากดดูข้อมูลบนจอภาพ
"...ผมคงต้องพูดใหม่ว่า เรากำลังเดินทางในทิศทางพุ่งออก
จากตำแหน่งที่เคยมีโลกอยู่ เพราะในขณะนี้ระบบเรดาห์ไม่
พบดาวโลกแล้ว..."
...บางที อุกกาบาตคงจะชนโลกและแตกเป็นเสี่ยงๆ
ไปแล้วกระมัง...
...นครรู้สึกเหมือนกับตัวเขาและมนุษยชาติคนอื่นๆ
ในขณะนี้เหมือนกับ
ผู้ลี้ภัย ที่ล่องลอยไปตามกระแสคลื่นลมทะเล
ไปสู่ฝั่งแผ่นดินใหม่
ที่ไม่มีโอกาสล่วงรู้เลยว่าจะมีหรือไม่ และถ้ามี
แผ่นดินใหม่จะ
ต้อนรับพวกเขาหรือไม่...
กัปตันหยิบไมโครโฟนและหูฟังขึ้นสวมไว้ในตำแหน่งพูด
"...สภาพบรรยากาศในเขตรอยต่อ ในขณะนี้ปลอดภัยแล้ว
ทุกท่านสามารถปลดเข็มขัดนิรภัย และไปยังส่วนต่างๆ ของ
พาหนะได้ครับ..."
กัปตันลุกขึ้นจากที่นั่ง มองมาทางนคร
"...ถ้าคุณนครอยากจะเข้ามาในบริเวณห้องควบคุมนี้ ก็มาได้
ทุกเมื่อนะครับ
หรืออาจจะไปยังห้องพักที่ได้เตรียมไว้ให้แล้ว
รายละเอียดอื่นๆ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ได้ครับ..."
นครจับมือกับกัปตันเกรียงชัยอีกครั้ง
"...ขอบคุณมากครับ
ผมคงต้องขอตัวกลับไปหาคนที่กำลังรอผมก่อนครับ..."
===============================================
คืนวันผ่านไป นครและศศิ รวมทั้งเจ้าโซเฟียตัวน้อย
เริ่มปรับ
ตัวเข้ากับการอยู่อาศัยบนพาหนะขนาดใหญ่นั้น ในเวลาว่าง
เขา
และศศิจะเดินชมสวนป่าซึ่งปลูกอยู่ในบริเวณท้ายพื้นที่
บางเวลา
นครก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นดาดฟ้า เพ่งมองแนวรอยต่อบรรยากาศ
ราวกับเขากำลังท่องไปบนเรือเดินสมุทร และเพ่งมองเพื่อหา
แนวชายฝั่ง
....จะมีใครสักคนบ้างไหม ที่จะบอกนครว่า เขาจะถึงฝั่ง
สักวัน และที่นั่น โลกใหม่ที่สวยสดงดงาม
กำลังรอเขาอยู่....
================================================
**************************************************
================================================
...ในสถานที่เดียวกันนั้น เวลาเดียวกันนั้น
แต่ในขนาดอ้างอิง
และเวลาอ้างอิงที่แตกต่างกัน...
เสียงหญิงวัยกลางคนดังมาจากในครัว
"...นี่ ลูกเอ้... กินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นให้หมดซักที เย็นชืด
หมดแล้ว เดี๋ยวแมลงวันก็ลงไปตอมหรอก..."
"...ครับแม่..."
เด็กน้อยตักลูกชิ้นลูกสุดท้ายขึ้นใส่ปาก พลางลุกขึ้น
วิ่งเข้าไป
ในห้องนั่งเล่น เปิดเกมคอมพิวเตอร์ขึ้นนั่งเล่นต่อไป...
===============================================
....บางที ในขณะนี้ นครและคนอื่นๆ ที่ล่องพาหนะไปบน
รอยต่อของบรรยากาศ
คงจะพบโลกใหม่ที่ตั้งใจไว้แล้วกระมัง....
....ถ้านครไม่สนใจว่าโลกใหม่ต้องมีลักษณะกลมเหมือนโลกเดิม
ที่เขาเคยอยู่นะ....
ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอย โดยเริ่มจากประเทศเล็กๆ
ประเทศหนึ่งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วปัญหาก็เริ่มลามไป
สู่ประเทศใกล้เคียง กระโดดขึ้นไปถึงฮ่องกง ญี่ปุ่น โซเวียต ละติน
อเมริกา ย้อนกลับมาที่ตะวันออกไกล ผลกระทบไปสู่จีน ยุโรป และ
ในที่สุด ก็กลืนกินประเทศสุดท้ายคือ สหรัฐอเมริกา...
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ข่าวหนึ่งก็เป็นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ
การทดลองส่งยานอวกาศไปยังดวงดาวที่ค้นพบใหม่ และการใช้ยานอวกาศ
ที่มีเทคโนโลยีการร่นระยะทาง ทำให้การเดินทางเป็นไปได้โดยสะดวก
รวดเร็วมากขึ้น...
"...จากสภาพเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันนี้..." เสียงโฆษกประกาศข่าว
ดังขึ้นในแทบทุกบ้าน
"...ทุกประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอย แม้กระทั่งประเทศ
ที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุด แต่ถึงกระนั้น โครงการยูเรกาก็ยัง
ดำเนินหน้าต่อไป..."
"...ยูเรกา หรือ เราพบแล้ว เป็นผลจากการค้นคว้าของศาสตราจารย์
ดอกเตอร์วารินทร์ จากประเทศไทย โครงการดังกล่าว ถูกสานต่อโดยองค์การ
กิจการอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา..."
"...จากการตรวจสอบทางดาราศาสตร์เบื้องต้น พบว่า ดาวเคราะห์เอ็กซ์
-1999 ซึ่งพบโดยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์วารินทร์ มีองค์ประกอบของก๊าซ
ในอัตราส่วนที่คล้ายคลึงกับโลก และจากการทดสอบอุณหภูมิสี และสภาพอื่นๆ
ตามข้อมูลทั้งหมดแล้วพบว่า อุณหภูมิบนดวงดาวมีค่าประมาณ 50 องศา
เซลเซียส ซึ่งแม้คงจะร้อนเกินไปสำหรับเราๆ ท่านๆ แต่นั่นก็แสดงให้เราเห็นด้วยว่า
มนุษย์อาจจะมีชีวิตอยู่ในที่นั้นได้..."
"...ผลงานอีกอย่างที่จะทำให้โครงการยูเรกาได้รับความสำเร็จก็คือ
ศาสตราจารย์ดอกเตอร์มารีน ผู้เชี่ยวชาญแห่งองค์การกิจการอวกาศฯ
ได้ค้นพบทฤษฎีการเคลื่อนที่โดยอาศัยการกระตุ้นจากอนุภาคควากซ์ จาก
การทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่าสามารถทำให้วัตถุเคลื่อนที่ไปได้
จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที..."
"...ในวันที่ 9 ที่จะถึงนี้ นับได้ว่าเป็นก้าวใหม่ของมนุษย์ชาติ ท่าม
กลางการล่มสลายของเศรษฐกิจ แต่โครงการนี้ก็ยังถูกผลักดันให้ก้าวต่อไป
โดยความสนับสนุนจากกองทุณควากซ์ฟันด์ ซึ่งได้รับผลกำไรอย่างมากใน
ช่วงเวลาที่ผ่านมา และมีความปรารถนาที่จะฝากผลงานนี้ไว้ให้เป็น
มรดกแก่มวลมนุษย์ชาติ..."
เสียงประกาศนั้นจบสิ้นลง มีเสียงปรบมือดังขึ้น ก่อนที่ภาพจะฉายไปยัง
นักข่าวผู้หนึ่งผู้ซึ่งถามขึ้น
"...ท่านคะ เป็นสิ่งที่ดีที่กองทุนควากซ์ฟันด์เข้ามาร่วมทำให้โครงการนี้
ประสบความสำเร็จ แต่เนื่องในสภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายอย่างทุกวันนี้
ไม่ทราบว่า..."
=======================================================
...ทีวีถูกปิดลง ห้องตกอยู่ในความมืดสลัว ประตูห้องที่เปิดออก เผย
ให้เห็นร่างอันได้รูปทรงร่างหนึ่ง ทอดเงามืดมาทาบทับชายหนุ่มที่กำลัง
นั่งสงบอยู่ในโซฟาตัวใหญ่ หันหน้าเข้าไปยังทีวี ...
...มือขาวยาวเรียววางแนบลงที่ไหล่ข้างหนึ่งของชายผู้นั้น...
"...เป็นอย่างไรบ้างคะ นึกอย่างไรถึงมานั่งเงียบๆ มืดๆ อยู่คนเดียว..."
ชายหนุ่มคนนั้นเอื้อมมือขึ้นลูบมือขาวสวย จับไว้เพียงแผ่วเบา
"...เพิ่งดูข่าวน่ะ มารีนกลับมาเร็วนะวันนี้..."
"...ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะวารินทร์..." มารีน หรือดอกเตอร์มารีน
ผู้เป็นเจ้าของเรือนกายนั้นตอบ
"...ยานอวกาศถูกนำไปติดตั้งไว้แล้วที่แหลมคานาเวอรัล ทุกอย่างเหลือเพียง
แต่ลูกเรือคนอื่นๆ และเราสองคน จะขึ้นไปที่ยานเท่านั้นเอง..."
วารินทร์ หรือดอกเตอร์วารินทร์ ลุกขึ้น จ้องมองเงาอันได้รูปจากแสงที่ส่อง
ผ่านเข้ามาทางประตูห้อง
"...อย่างคุณนี่ ผมว่าน่าจะไปเดินแบบ ดีกว่ามาเป็นนักวิทยาศาสตร์นะครับ..."
สายตาของวารินทร์ดูจะสนับสนุนคำพูดอย่างนั้นได้ดี
"...อย่างคุณนี่ก็น่าจะไปเป็นนักร้องนะ เสียงดีออกอย่างนี้..."
มารีนเดินอ้อมโซฟาลงมานั่งเคียงคู่กับวารินทร์ แสงสะท้อนจากผนังห้องส่อง
กระทบใบหน้าของวารินทร์และมารีนสว่างเรื่อขึ้นในความมืด ขอบไหล่และผม
สว่างเจิดจ้าจากแสงที่ส่องเข้ามาตางประตูห้องนั้น
"...แล้วคนดีของผมจะต้องไปชมการแสดงผมทุกครั้งนะ..." วารินทร์เอื้อม
หน้าเข้ามาชิดใกล้ มือลูบผมยาวสลวยของมารีน กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยกรุ่น
อยู่ในสัมผัส
"...ถ้างั้น วารินทร์ไปเปิดการแสดงบนดาวเอ็กซ์-1999 ก่อนเป็นคอนเสิรต์
แรกสิคะ มารีนจะได้มีเวลาไปดูด้วย..."
"...ไม่เอาสิมารีน เลิกงานแล้วยังมาพูดถึงเรื่องงานอีก เก็บมันไว้วันพรุ่งนี้
เถอะนะ..."
"...แหม..." มารีนลากเสียงยาว "...เหลืออีกเพียงไม่กี่วันนี้เราต้อง
เดินทางแล้ว ว่าแต่วารินทร์เถอะ ไม่คิดถึงบ้างรึไง..."
"...ไม่อยากคิดน่ะ..." สำเนียงวารินทร์แข็งขึ้นเล็กน้อย แต่ก็พอที่มารีนจะ
จับความรู้สึกอันนั้นได้
"...ไม่นึกเลยว่า ทางควากซ์ฟันด์ที่ให้ทุนสนับสนุนเรา จะส่งคนไปกับเรา
ด้วย นอกจากนักบิน ลูกเรือ และเราสองคนแล้ว ยังต้องรับคนจากควากซ์
ฟันด์มาด้วย รู้ก็รู้อยู่ว่าผมเองเกลียดขี้หน้าพวกนี้เท่าไร ทำประเทศของ
ผมเสียป่นปี้หมด..." วารินทร์หันหน้ากลับไปยังทีวี ที่บัดนี้ไร้ซึ่งเสียงและ
ภาพใดๆ
"...วารินทร์คะ..." มารีนเอียงหน้าไปใกล้
"...วารินทร์ก็คิดว่า อย่างน้อย ถ้าไม่มีพวกเขา โครงการของเราก็คงไม่
เกิดสินะคะ คิดเสียอย่างนี้ค่อยน่าจะทำใจได้หน่อย..."
"...คิดสิ ทำไมจะไม่คิด..." วารินทร์หันหน้ากลับมายังวารีน ใบหน้า
สวยได้รูปนั้นอยู่ใกล้เพียงลมหายใจ
"...สิ่งที่ผมกลัวก็คือ คนพวกนี้อาจจะทำให้งานของพวกเราเสียได้ จริงๆ
แล้วถ้าจะส่งคนมาร่วมโครงการ ก็น่าที่จะส่งมาเสียตั้งแต่แรก ผมไม่อยาก
ให้คนที่ขาดประสบการณ์ มาทำให้การเดินทางของเราต้องมีอุปสรรค..."
วารินทร์หยุดไปชั่วครู่ ก่อนลดเสียงลงจนเป็นเสียงกระซิบ
"...แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะมารีน..."
"...สิ่งที่ผมรู้สึกมากที่สุดก็คือ เราสองคนคงจะไม่มีเวลาส่วนตัวกันอย่างนี้
อีก..."
"...โธ่ เรื่องแค่นี้เอง..." มารีนกระซิบ
"...ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถึงยานจะไม่กว้างนัก แต่เราสองคนมีห้องในยาน
เป็นสัดส่วนนะคะ มารีนเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว..."
"...ขอบใจจ๊ะมารีน..."
ไม่มีเสียงใดๆ จากทั้งคู่อีก เพียงบทเพลงหนึ่งที่เริ่มต้น และจินตนาการของ
ทั้งสองได้ล่องลอยไปไกลแสนไกล จนสุดที่ยานใดๆ จะเดินทางค้นหาได้...
=============================================================
...9 เดือน 9 ปีค.ศ.1999...
...เลขเก้าห้าตัว ดูราวกับจะเป็นฤกษ์งามยามดีของโครงการยูเรกา...
รถตู้พิเศษคันหนึ่ง แล่นไปบนถนนในที่ราบกว้างใหญ่
ในบริเวณ
นั้นมีอาคารขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมฝั่งคูน้ำ ไกลออกไปอีกด้านหนึ่ง
ของคูน้ำ มีรถมากมายจอดเรียงราย คนมากหน้าหลายตามารอคอย
สิ่งหนึ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น บ้างก็กำลังสนทนากัน
แต่ส่วนมากกำลัง
ส่องกล้องมายังกลางพื้นที่ราบกว้างใหญ่นั้น...
ณ กึ่งกลางลาน มีอาคารขนาดเล็กตั้งอยู่ มีโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่
ติดตั้งสูงขึ้นไปในอากาศ แต่วันนี้ อาคารนี้ไม่ได้ถูกใช้งาน
ดังเช่น
ที่เคยเป็นมา
ห่างออกไปเล็กน้อยในที่ราบกว้าง มีอาคารใหม่อีกหลังหนึ่งยืนเด่น
เคียงข้างวัตถุสีเงินลักษณะใจกลางคล้ายรูปทรงไข่ตัดครึ่ง มีปลาย
แหลม รอบข้างเป็นปีกยื่นออกมาหกปีก ในลักษณะสามเหลี่ยมที่ยอด
แหลมลู่เข้าสู่ปลายแหลมของโครงสร้างใจกลาง มีทางเดินเชื่อมใน
ลักษณะเดียวกับทางขึ้นเครื่องบินโดยสาร เชื่อมอาคารและวัตถุสีเงิน
นั้นเข้าด้วยกัน
...วารินทร์มองผ่านกระจกรถตู้ไปยังยานรูปทรงประหลาดนั้นที่กำลังเด่นอยู่
ตรงหน้าของเขา ราวกับยักษ์มาทิ้งมะเฟืองสีเงินผ่าครึ่งซีกเอาไว้ให้ดูต่างหน้า...
"...ผมเห็นยานที่คุณออกแบบทีไร ผมนึกถึงผลไม้ไทยทุกทีเลยสิ..."
วารินทร์รำพึงขึ้นเบาๆ โดยหวังจะให้มารีนผู้กำลังนั่งอยู่ข้างๆ
ได้ยิน
แต่ก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ จากมารีน วารินทร์หันมองไปยังมารีน
พบว่า
มารีนไม่ได้สนใจอยู่กับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย สายตาที่มองตรงไป
ยังยานอวกาศที่อยู่ตรงหน้าของมารีน ทำให้วารินทร์ต้องหยุดไว้เพียงแค่นั้น...
รถตู้จอดสนิทข้างอาคารที่อยู่ติดกับยานอวกาศ ทุกคนในรถทยอยกันลงจากรถ
"...ยานประหลาดนี่จะขึ้นได้รึเปล่าก็ไม่รู้สิ..." เสียงหนึ่งดังขึ้น
วารินทร์หัน
ไปทางต้นเสียง เห็นมารีนกำลังเดินเข้าไปหาคนหนึ่ง ซึ่งมีตราของกองทุน
ควากซ์ฟันด์ติดอยู่ที่หน้าอกด้านซ้าย
"...สวัสดี และยินดีต้อนรับคุณทั้งสองซึ่งเป็นตัวแทนของกองทุนควากซ์ฟันด์ค่ะ..."
เสียงมารีนราบเรียบ น้ำเสียงเจือความรู้สึกบางอย่าง
ที่ตรงใจกับความรู้สึกของ
วารินทร์ที่มีต่อแขกทั้งสอง
"...ยานอวกาศที่คุณเห็นอยู่ตรงหน้านี้ เป็นยานแบบใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยี
ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบัน และเทคโนโลยีที่เพิ่งคิดค้นใหม่โดยดิฉันเอง..."
"...จุดมุ่งหมายของการออกแบบยานนี้แต่ต้น ก็เพื่อเป็นยานเดินทางจากสถานี
อวกาศที่โคจรอยู่รอบโลก ซึ่งกำลังจะสร้างเสร็จในปี ค.ศ.2002
แต่การออก
แบบนั้นได้รองรับการเดินทางจากโลกด้วย โดยการใช้ระบบขับเคลื่อนเสริม
ของยานที่มีอยู่..."
"...ที่ด้านล่างของตัวยาน เป็นระบบคอมพิวเตอร์ และเครื่องเร่งอนุภาค
ไซโคลตรอน ตัวอนุภาคที่มีความเร็วกว่าแสงที่เพิ่งคิดค้นขึ้นได้
จะทำหน้าที่
เป็นหลุมหนอนขนาดเล็ก ที่จะช่วยพาเราทะลุไปยังจุดหมายปลายทางได้
จากการทดลองระบบเบื้องต้น เราประสบความสำเร็จในการย้ายวัตถ
พืช
สัตว์ และมนุษย์ จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งที่คำนวณเอาไว้ล่วงหน้าแล้วได้..."
"...คุณเห็นปีกทั้งหกของยานใช่ไหม ภายในปีกนั้นมีเครื่องยนต์สามชนิดอยู่
ด้วยกัน ชุดที่สำคัญและเป็นตัวหลักของยานนี้ก็คือ
ระบบโครงข่ายสนาม
พลังแม่เหล็กไฟฟ้า ระบบนี้จะใช้หลักการของการสร้างเส้นแรงแม่เหล็ก
ขนาดสม่ำเสมอขึ้นรอบๆตัวยาน..."
"...เส้นแรงสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่ถูกสร้างขึ้น จะมีความแน่นหนาจนเส้น
แรงแม่เหล็กของโลกไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ และทำให้เกิดปฏิกิริยาในลักษณะ
เดียวกันกับสารกึ่งตัวนำยิ่งยวดที่คุณเคยเห็นภาพถ่าย แต่ระบบนี้สร้างแรงต้าน
ในลักษณะที่มีขนาดใหญ่กว่ากันมาก ถ้าคุณนึกไม่ออก
ลองนึกถึงภาพของ
รถไฟฟ้าแม่เหล็ก หรือไม่ก็ลองนึกไปถึงตอนที่คุณเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ตอน
คุณยังเด็ก ที่แม่เหล็กด้านเดียวกัน จะผลักกัน
สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่สร้างขึ้นนี้
มีลักษณะใหญ่กว่ากันมาก..."
"...ผลพลอยได้ของสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้านี้ จะสามารถก่อให้เกิดบริเวณ
ปิดเล็กๆ รอบตัวยาน ซึ่งดิฉันก็ได้ออกแบบให้มีการบรรจุชั้นบรรยากาศเอาไว้
สนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า และชั้นบรรยากาศเทียม จะช่วยไม่ให้ยานถูกทำลาย
หรือเกิดความเสียหายจากการกระทบของอุกกาบาต หรือเทหวัตถุฟากฟ้าใดๆ
ในอวกาศ และที่สำคัญ จะช่วยกรองรังสีแกมม่า และอนุภาคประจุไฟฟ้าที่อยู่
ทั่วไปในอวกาศ และโดยเฉพาะบนชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ต่างๆ
แม้กระทั่ง
ของโลกเอง ไม่ให้ทะลุผ่านเข้ามายังตัวยานได้โดยง่าย
เพราะอุปกรณ์อิเลก
ทรอนิคส์ในยาน จะเปราะบางต่ออนุภาคแกมม่ามาก..."
"...รังสีแกมม่า และอนุภาคประจุไฟฟ้าบางส่วน อาจจะผ่านเข้ามายังผนัง
ของยานได้ แต่ผนังของยานจะถูกสร้างขึ้นจากโครงอลุมินัมอัลลอยด์แบบ
รังผึ้ง ซึ่งมีลักษณะเบาแต่แข็งแรง เหมือนกับโครงสร้างของเครื่องบิน
ดาวเทียม และยานอวกาศทั่วไปที่คุณเห็น ผนังชั้นถัดมาจะเคลือบด้วยสาร
ผสมระหว่างแพลตินัมกับไทเทเนียม เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและทนต่อการ
กัดกร่อน ด้านนอกสุดจะเป็นเซรามิกสังเคราะห์
ในลักษณะคล้ายคลึงกับ
ผิวด้านนอกบางส่วนของกระสวยอวกาศ แต่เป็นวัสดุใหม่ที่ทนทานกว่าเดิม
และจะใช้กับยานนี้เป็นลำแรก..."
"...ระบบขับเคลื่อนสำรอง ซึ่งทำหน้าที่เป็นระบบคุมทิศทางของยานด้วย
คือทรัสเตอร์จำนวนสิบสองตัวที่ติดอยู่ในปีกทั้งหก ตัวทรัสเตอร์จะทำ
หน้าที่ปล่อยอิออนของก๊าซร้อนออกมา เพื่อเป็นแรงขับดันของยาน
ใน
ลักษณะคล้ายคลึงกับตัวทรัสเตอร์ที่ติดอยู่กับเครื่องบินรบ
กระสวยอวกาศ
และทรัสเตอร์ที่คุณจะพบบนดาวเทียมขนาดกลาง และขนาดใหญ่..."
"...ระบบขับเคลื่อนสำรองอีกตัวหนึ่ง จะว่าไปแล้วเป็นระบบดั้งเดิมของ
ธรรมชาติก็ได้ นั่นคือระบบใบพัดแบบเดียวกับเฮลิคอปเตอร์
ตัวใบพัด
จะช่วยยกตัวยานให้ขึ้นไปยังชั้นบรรยากาศในระดับความสูงประมาณยี่สิบ
กิโลเมตร ในขณะนี่ตัวทรัสเตอร์จะช่วยทำหน้าที่ต่อไปหลังจากนั้น
แต่
ระบบทั้งสามจะช่วยกันไปในขณะที่เรายังอยู่ในชั้นบรรยากาศ
เป็นการทำให้
ทุกคนวางใจได้ว่า แม้ระบบยานจะเสียหายทั้งหมด
ตัวใบพัดก็จะช่วย
หน่วงให้พวกเราลงพื้นอย่างปลอดภัยที่สุด..."
คำอธิบายอันยาวยืดของมารีนจบลง ตัวแทนจากกองทุนควากซ์ฟันด์ขณะ
นี้เงียบกริบ
"...ยังจะไปกับพวกเราอีกไหม.."
คำถามสั้นๆ ถูกปล่อยออกไป ไม่มีคำตอบใดๆ จากตัวแทนทั้งสอง
เพียง
แต่การพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตอบรับ...
==================================================
ภายในอาคาร ทุกคนใส่ชุดแต่งตัวเป็นชุดอวกาศ
...วารินทร์มองไปยัง
ตัวแทนจากกองทุนควากซ์ฟันด์ทั้งสอง ซึ่งได้รับการฝึกเตรียมตัวเดิน
ทางในอวกาศเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็เช่นกัน
...บางที
...ผลของการค้นคว้า และงานที่จะต้องไปทำต่อเนื่อง อาจมีคุณค่าใน
ระดับเดียวกับการให้เงินมาค้นคว้ากระมัง ที่ทำให้ทั้งสองได้มีโอกาสมา
ด้วยกันในครั้งนี้... ...ทำไมคนรวยถึงต้องมีอภิสิทธิ์ด้วยนะ
วารินทร์
ได้แต่คิดอยู่ในใจ...
ทุกคนสวมชุดเรียบร้อย ประตูหนึ่งเปิดขึ้น เผยให้เห็นทางเดินเชื่อมต่อ
ไปยังยานอวกาศ
ทุกคนรวมทั้งวารินทร์ และมารีน เดินตรงไปยังยานอวกาศ
ที่นั่น ทุกคน
ได้รับหมวก วารินทร์มองตามมารีน ซึ่งกำลังเดินเข้าไปภายในยาน
ใน
ใจของวารินทร์ขณะนี้อยากที่จะดึงมารีนเข้ามาสวมกอด แล้วร้องเพลง
แบบหนังที่เขาและเธอได้พากันไปดูเมื่อปีที่ผ่านมา ...ดูราวกับมารีนจะ
รับความรู้สึกได้ มารีนหยุดยืนอยู่ในลักษณะที่ขาข้างหนึ่งอยู่ในยาน
หันกลับมาสู่วารินทร์ซึ่งยืนมองจากด้านหลัง
"...วารินทร์คะ..."
วารินทร์นึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น...
"...ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยานลำนี้ออกแบบมาเป็นพิเศษ ทุกอย่างถูก
ทดสอบมาแล้ว คุณห่วงแต่งานของคุณที่อยู่บนดาวดวงโน้น
ก็แล้วกันนะคะ..."
มารีนหันกลับ และมุดเข้าไปภายในยาน
...โธ่... ...วารินทร์คิดได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะตามกัปตัน
และลูกเรือ
คนอื่นๆ เข้าไปในยาน...
===============================================
ทุกคนนั่งประจำที่ สวมหมวกติดเข้ากับชุด ประตูยานถูกปิดลง
เสียงกัปตันประกาศขึ้น ในระบบสื่อสารของหมวก
"...ต่อไปนี้เป็นการตรวจสอบระบบทั้งหมดของยาน และความพร้อมของ
ลูกเรือ ทุกคนขานตามลำดับตำแหน่งในยาน..."
"...รองกับตันพร้อม ระบบควบคุมหลักพร้อม..."
"...ระบบนำร่องพร้อม ระบบร่นระยะทางพร้อม..."
"...ช่างเครื่องที่หนึ่งพร้อม ระบบขับเคลื่อนสนามแม่เหล็กพร้อม
ระบบขับเคลื่อนสำรองพร้อม..."
"...ช่างเครื่องที่สองพร้อม ระบบช่วยชีวิตพร้อม ระบบสภาวะแวดล้อมพร้อม
ระบบบรรยากาศพร้อม ระบบอื่นๆ พร้อม..."
"...แพทย์ประจำเครื่องพร้อม..."
"...ผู้เชี่ยวชาญที่หนึ่งพร้อม..."
เสียงสวยของมารีนดังขึ้น วารินทร์ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนขาน
"...ผู้เชี่ยวชาญที่สองพร้อม..."
"...ลูกเรือที่หนึ่งพร้อม..."
"...ลูกเรือที่สองพร้อม..."
...อย่างไม่น่าเชื่อ ลูกเรือเก้าคน ...ถ้าเวลานำขึ้นยานเป็นเวลาเก้าโมง
เก้านาทีด้วยก็คงสวยที่สุดเป็นแน่ วารินทร์ได้แต่คิด...
"...ปลดทางเดินเชื่อมต่อ ระบบควบคุมภาคพื้นดินพร้อม..." เป็นเสียง
จากหอบังคับการภาคพื้นดิน
"...ทุกระบบพร้อม เริ่มนับจากสามสิบ..." กัปตันเริ่มประกาศนับถอยหลัง
"...สามสิบ..."
"...เปิดระบบใบพัด..."
"...ยี่สิบห้า..."
"...ใบพัดทำงานยี่สิบห้าเปอร์เซนต์..."
"...ยี่สิบ..."
"...เปิดการทำงานระบบทรัสเตอร์..."
"...สิบห้า..."
"...ทรัสเตอร์เตรียมพร้อมรับคำสั่ง..."
"...ใบพัดทำงานห้าสิบเปอร์เซนต์..."
"...สิบ..."
"...เปิดระบบสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า..."
"...เก้า...แปด..."
"...ระบบสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าทำงานห้าสิบเปอร์เซนต์..."
...วารินทร์รู้สึกได้ถึงสภาพของยาน ที่ตอนนี้กำลังโคลงเคลงไปมาเหมือน
กับเรือที่อยู่บนคลื่น วารินทร์มองไปทางซ้ายมือ มารีนนั่งสงบนิ่ง
...ทุกสิ่ง
คงเรียบร้อยกระมัง...
"...เจ็ด...หก..."
"...เปิดระบบบรรยากาศเทียม..."
"...ห้า...สี่..."
"...ระบบบรรยาการเทียม สมดุลย์..."
"...สาม..."
"...สอง..."
"...จุดทรัสเตอร์.."
"...ใบพัดทำงานเจ็ดสิบห้าเปอร์เซนต์..."
"...หนึ่ง..."
"...ยานยกระดับ..."
...วารินทร์เริ่มรู้สึกถึงแรงกดที่เกิดขึ้น เสียงวี๊ดดังขึ้นรายรอบ
เพียงชั่วครู่
เสียงทั้งหมดก็สงบลง ตัวยานหยุดโคลงเคลงไปก่อนหน้านั้นแล้ว
แต่วารินทร์
ไม่ทันได้สังเกต คงเป็นเพราะแรงกดที่กระทำต่อตัวเขาจนไม่อาจที่จะนึกถึง
สิ่งอื่นใดได้อีก ฉากทางด้านหน้าของยานเลื่อนเปิดออก
เผยให้เห็นขอบโค้ง
ของเทหวัตถุฟากฟ้าสีน้ำเงิน แต่งแต้มด้วยเส้นสายสีขาวสวยงาม
อยู่ทางด้าน
บนของตัวยาน หมู่ดาวจำนวนมากกว่าที่วารินทร์เคยเห็น
กำลังส่องสว่างอยู่
เต็มพื้นที่สีดำที่เหลือ
...ยานอวกาศกำลังเคลื่อนที่เป็นวงโคจรรอบโลก...
"...เข้าวงโคจรส่งถ่ายปลอดภัย..."
"...เปิดระบบแรงโน้มถ่วงเทียม..."
"...ระบบแรงโน้มถ่วงเทียมทำงาน..."
"...ทุกคนปลดหมวก ไปมาภายในยานได้..."
เสียงกัปตันประกาศ ราวกับเป็นเสียงสวรรค์ที่วารินทร์รอคอยมานาน
วารินทร์
ปลดหมวก ปลดเข็มขัดยึดที่นั่ง มองไปยังที่นั่งของมารีน
ที่ขณะนี้ว่างเปล่า...
วารินทร์ลุกจากที่นั่ง วางหมวกบนเก้าอี้ซึ่งล็อคหมวกติดไว้โดยอัตโนมัติ
ระบบ
แรงโน้มถ่วงเทียมที่ยานสร้างขึ้น ส่งแรงให้ตัวของวารินทร์
สามารถยืนอยู่ได้
บนพื้น ถึงแม้จะไม่เทียบเท่าบนโลก แต่วารินทร์ก็รู้สึกอุ่นใจเหมือนกับกำลังเดิน
ทางอยู่บนเครื่องบินธรรมดา
วารินทร์เดินเข้าไปยังห้องถัดไป เป็นห้องประชุม
จากนั้นเป็นทางเดินเล็กๆ ไป
สู่เคบินของลูกเรือ เคบินของเขาและมารีนอยู่สุดทางติดกับห้องน้ำ
ห้องเก็บอุปกรณ์
และต่อไปยังส่วนที่เป็นระบบคอมพิวเตอร์หลักของยาน
ประตูเปิดออก ...นางฟ้าสาวสวยกำลังยืนหันหน้าให้เขา
โดยมีฉากเป็นโลกสีคราม และ
มวลหมู่ดาวอยู่เบื้องหลัง...
...วารินทร์ไม่รอช้า เดินตรงเข้าไปหานางฟ้านั้น...
"...มารีน..." วารินทร์พูดได้เพียงเท่านั้น
"...มารีนเป็นห่วงเพียงแต่ตอนที่ยานออกจากบรรยากาศของโลกเท่านั้นแหละค่ะ..."
เป็นคำอธิบายที่ช่วยบรรเทาความรู้สึกของวารินทร์ลงได้
"...ยานลำนี้ใช้เทคโนโลยีที่เคยสำเร็จมาแล้วของกระสวยอวกาศ และยานสำรวจต่างๆ
ตัวยานเองเคยถูกส่งขึ้นโคจรรอบโลกมาแล้วในลักษณะเช่นนี้มาแล้ว
ทุกอย่างถูก
ปรับปรุงแก้ไขและทำงานได้อย่างดี ยกเว้นก็แต่เพียงระบบขับเคลื่อนเพื่อส่งยานขึ้น
จากโลกเท่านั้น ที่ครั้งสุดท้ายยังคงมีปัญหาอยู่บ้าง..."
มารีนพูดออกมาตามตรง
...ตอนนี้ไม่มีตัวแทนจากแหล่งสนับสนุนอยู่ด้วยแล้ว วารินทร์สามารถมองความรู้สึก
ของมารีน ที่ตอนนี้แสดงออกมาได้อย่างดี
"...แต่ก็เท่าๆ ที่เราทราบกันอยู่ สภาวะเศรษฐกิจของโลก
ทำให้มารีนไม่อาจจะเลื่อน
โครงการยูเรกานี้ต่อไปได้อีก ทางกองทุนก็จะเลิกสนับสนุน
ถ้าเป็นอย่างนั้น
ความ
ฝันของมารีนที่จะออกเดินทางไปยังดาวดวงที่อยู่ไกลโพ้นก็คงไม่สำเร็จ..."
วารินทร์นิ่งเงียบ รู้ดีว่าตอนนี้เขาควรจะทำเช่นไร
"...มารีนเคยฝันมานานแล้ว..." มารีนเดินไปยังหน้าต่างขนาดใหญ่ของยานภายในเคบิน
ที่มีขนาดเล็กกระทัดรัดนั้น นั่งลงบนเตียง
มองออกไปยังหมู่ดวงดาวที่อยู่เบื้องหน้า
"...มารีนเคยฝันตั้งแต่เป็นเด็กว่า ที่ทางฝั่งโน้นของหมู่ดาวที่มารีนมองไป
มารีนคง
จะได้เห็นดาวที่เหมือนกับโลก และเมื่อมารีนไปถึง
มารีนก็คงจะได้พบกับสิ่งมีชีวิต
มากมาย คงจะได้เห็นต้นไม้ ทุกสิ่งที่อาจจะแปลกออกไป
แต่ก็ดูราวกับเป็นโลก
อีกใบหนึ่ง บางทีมารีนคงจะเห็นนางฟ้าอยู่ที่นั่นก็ได้..."
มารีนหันกลับมามองวารินทร์ ผู้ซึ่งตอนนี้นั่งลงเคียงข้าง
"...ตอนนี้ความฝันของมารีนก็กำลังจะกลายเป็นความจริงแล้ว โดยมีวารินทร์เป็น
ผู้จุดประกายให้แก่มารีน..."
"...ผมเองก็เช่นกัน ผมเคยฝันที่จะได้เห็นนางฟ้า
และตอนนี้ นางฟ้าก็มาอยู่ข้างๆ
ผมแล้ว และผมจะต้องขอบคุณนางฟ้าของผม ที่ช่วยให้ฝันของผมเป็นความ
จริงขึ้นมาเหมือนกัน..." วารินทร์หยุดไปชั่วครู่ แล้วกระซิบลงที่ข้างหูของมารีน
"...ผมเคยได้ยินโครงการของสภาวิจัยอวกาศ ถึงเรื่องการทดลองของนักบิน
อวกาศชายและหญิงบนกระสวยอวกาศ เรามาเริ่มต้นการทดลองดีมั้ย..."
"...บ้า... พูดอะไรก็ไม่รู้..."
...ไม่มีเสียงพูดใดๆ จากทั้งสองอีก เพียงหมู่ดาวและโลกสีครามที่อยู่เบื้อง
หลัง เป็นพยานถึงความสัมพันธ์และความสำเร็จในเบื้องต้นของคนทั้งสอง...
(จบบทที่หนึ่ง)