ผมมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งจะบอกเล่าให้คุณฟังเรื่องนี้
ผมไม่ได้หวังให้ดีเด่นอะไรนัก และมันอาจจะไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์แต่ที่แน่ๆ
มันเป็นเรื่องสั้น ซึ่งไม่ได้หวังว่าจะต้องซาบซึ้งกินใจเหมือน
นิยายน้ำเน่า และก็ไม่ได้หวังให้คุณเชื่อ คุณอาจคิดว่านี่คือเรื่องเหลวไหลไร้สาระ
แต่ในความมีสาระใดๆย่อมต้องมีความไร้แก่นสาร ในทางตรงข้าม ณ จุดที่ไร้ซึ่งเหตุและผลย่อมต้องมี
เนื้อหาของตัวมันเองเช่นกัน.....เรื่องมีอยู่ว่า..............
ในเย็นวันหนึ่งขณะกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด(ที่ไม่ได้คิดอะไรมากไปไกล
กว่าเรื่องในชีวิตประจำวัน ห้องสมุด และวิชาเรียนในมหาวิทยาลัย)ทันใดนั้นเหมือนกับมีอะไรบางอย่าง
ที่ทำให้ความคิดของผมไปสะดุดเข้ากับเรื่องๆหนึ่งที่เคยอ่านพบในนิตยสารฉบับหนึ่งของฝรั่ง
คนเขียนคนนั้นตั้งคำถามขึ้นมาว่าคนเราจะพบโชคร้ายมากขึ้นจริงหรือในวันศุกร์(สุดอับโชค)ที่
13 หรือเป็นเพราะคนเชื่ออย่างนั้นจริงๆ จากนั้นเขาก็พล่ามต่อถึงผลการศึกษาวิจัยของเขาอีกยืดยาว
ประเด็นอยู่ที่ว่า ถ้าคนเรามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในสิ่งหนึ่ง
สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับคุณจริงๆหรือไม่ เรากำลังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุและผล-เหตุผลทาง
วิทยาศาสตร์........ศาสตร์ที่ทำให้สภาพรอบข้างและโลกนี้เป็นอย่างที่มันเป็น....เป็นอย่างที่คุณ...ผม...
และใครๆคุ้นเคยกันอยู่ในทุกวันนี้
แต่ จากหลักของความน่าจะเป็นแล้ว สิ่งที่ไม่น่าจะเกิด
มันก็อาจเกิดขึ้นได้สิ่งที่ดูแล้วเหลือเชื่อ ก็อาจจะเป็นไปได้ในบางครั้ง....อนาคตคือเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นและอาจเกิดขึ้นได้ในแนวทางต่างๆที่ใครล่ะ
จะเป็นผู้กำหนด.....
เป็นไปได้ไหม
? ที่เหตุการณ์มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นไปตามความคิดความเชื่อมั่นของคนหมู่มาก
ที่มีพลังหรือน้ำหนักมากกว่าคนส่วนน้อย แล้วส่งผลต่อความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ต่างๆโดยรวม
ตลอดจนชักนำให้เกิดขึ้นจริงๆในสภาพกาล-อวกาศที่เราอาศัยอยู่นี้
ความเชื่อ ความเชื่ออย่างแรงกล้า?
คำถามนี้ยังวนเวียนอยู่ในสมองของผมตลอดเวลา......ความเชื่อที่ว่ายังมีโลกอีกโลกหนึ่งที่ๆสิ่งที่
เราเชื่อเกิดขึ้นจริง โลกที่เกิดขึ้นจากจินตนาการแต่มีตัวตนให้สัมผัสได้
โลกที่ซ้อนกันอยู่กับโลกของเรา สถานที่ที่ทุกอย่างเป็นไปได้....ที่ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะ
เหตุผล และความรับรู้อย่างสามัญ...
หลังจากนั้นผมจึงเริ่มพิสูจน์ ผมเริ่มครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องต่างๆที่เหลือเชื่อ...
เหตุการณ์ประหลาดที่เคยเกิดขึ้นและมีผู้บันทึกเอาไว้ เช่น รถ เรือ เครื่องบิน
แม้แต่บุคคลที่เคยหาย
สาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยในสถานที่ต่างๆของโลก
เป็นไปได้ไหมที่ว่าทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ในโลกนี้ต่างก็เป็นสมาชิกของเซตอันเดียวกัน
กล่าวคือเซตของความมีอยู่จริง และถ้าสถาวะความเป็นจริงของใครหรืออะไรก็ตามเริ่มเปลี่ยนไปจากที่ควรจะ
เป็น เขา หรือ สิ่งนั้น ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ "ไม่จริง" สำหรับโลกปกติและจำต้องกลายเป็นสมาชิกของเซตอื่น
ที่เข้ากันได้ดีกว่าคือมีปัจเจกสภาวะ "เป็นจริง" เช่นเดียวกับจำนวนจินตภาพไม่ได้รวมอยู่
ในเซตของจำนวนจริงนั่นเอง โดยที่ในระหว่างที่ คน หรือ สิ่งต่างๆเหล่านั้นกำลังจะค่อยๆหายไป
ค่าองศาการเป็นสมาชิกของเขาจะอยู่ระหว่าง 0 กับ 1 ในขณะนั้นอาจเรียกมิติที่เขาอยู่ว่า
fuzzy world ก็เป็นได้ และกระบวนการ "หายไป" ของคนๆนั้นอาจเป็นกระบวนการที่ย้อนกลับได้หากเขามีความเชื่อเพียงพอ
ว่าเขา --เป็น-- หรือ --ไม่เป็น-- สมาชิกของระนาบมิติกาลเวลาที่เขาอาศัยอยู่นั้นๆ....หรือว่าในทางกลับกัน...สิ่งต่างๆ
ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าไม่มีอยู่จริงจะเลือนหายไปจากโลกของเรา
รวมทั้งสิ่งที่เราเชื่อว่ามีอยู่จริง ...ก็อาจจะมีตัวตนดำรงอยู่ ที่ใดที่หนึ่ง
ซึ่งไม่อาจมีใครทราบได้.......
หลังจากนั้นผมยังคิดต่อไปอีกถึงข้อพิสูจน์ต่างๆทางคณิตศาสตร์ที่ผิดและไม่อาจเป็นไปได้ตามหลักตรรกะ
ดังเช่นตัวอย่างง่ายๆของสมการต่อไปนี้
X=5 , -----> 10+8X = 15+7X
10+8X-2X 2 = 15+7X-2X 2
(2+2X)(5-X) = (3+2X)(5-X)
2+2X = 3+2X
ดังนั้น 2 = 3 !?!?!?
............นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งในหลายเรื่องที่ผมคิดเท่านั้น..........
ผมเห็นแล้วล่ะว่าคุณอาจไม่เชื่อ....ก็ถูกของคุณ...มันเป็นการพิสูจน์ที่ผิด-ผิดจากคำนิยามที่โลกนี้
เป็นผู้กำหนดให้ แต่ผมก็ได้คิดทบทวนปัญหาพวกนี้ต่อไปอย่างหนัก จนในที่สุดผมก็เริ่มเชื่อ.......................
..............ผมได้ค้นพบ...................
คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าผมพบอะไรเข้าที่นั่น
แต่จงเชื่อเถอะว่า เรื่องนี้จะเป็นเรื่องหนึ่งในอีกไม่กี่เรื่องสุดท้ายที่คุณจะมีสิทธิ์ได้อ่าน ในเวลาอีกไม่กี่เดือนนับจากนี้เพราะหลังจากเขียนเรื่องนี้เสร็จแล้วตัวผมและผู้ใดก็ตามที่ผ่านมาพบ และได้อ่านเรื่องนี้จะค่อยๆถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นตลอดไป....
ตัวคุณในตอนนี้รวมทั้งเรื่องราวของตัวคุณด้วย....จะหายไปจากความทรงจำของผู้คน ที่อยู่รอบข้างคุณทีละน้อย... กลายเป็นเพียงความฝันที่เลือนลางของใครบางคนที่กำลังจะตื่นเท่านั้น.......
ทำไมนะหรือ.....
ก็เพราะว่า........... ผมเชื่อ
=======================================================================
บันทึกผู้เรียบเรียง: ผมพบกระดาษแผ่นนี้แนบอยู่กับบัตรประจำตัวนิสิตของใครคนหนึ่งสอดอยู่ใน
ตำราเรียนเก่าๆที่ยืมมาจากห้องสมุดของคณะวิทยาศาสตร์ขณะกำลังนั่งลงอ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่ใต้ถุนของตึก
แถบ นีละนิธิ ในเย็นวันหนึ่ง ของฤดูหนาวปีพ.ศ. 2536 ขณะเรียนปริญญาตรีปีสุดท้าย.........
....ดูจากรหัสประจำตัวนิสิต....29XXXXX.....เขาเป็นรุ่นพี่ของผมอยู่หลายรุ่น
ส่วนกระดาษต้นฉบับของเรื่องนี้นั้นเก่าเก็บจนเหลืองด้วยกาลเวลา ขอบกระดาษก็มีลักษณะเปี่อยยุ่ย
คงมีหลายคนที่เคยเปิดอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน คนที่เคยอ่านคงจะนึกขันและใส่มันกลับเข้าไป
ในหนังสือให้รุ่นน้องมาอ่านกันต่อไปแต่จะมีใครนึกบ้างไหมว่ามีสักกี่คนแล้วที่ค่อยๆหายไปจากความทรงจำ
ของผู้คนรอบข้าง และหายไปจากที่ๆคุณและผมอาศัยอยู่ในเวลานี้
หลังอ่านจบ......ความที่ผมเป็นแฟนหนังสือมิติที่4 รู้รอบตัว และอัพเดทมาช้านาน จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเรื่องนี้ มาให้เพื่อนๆนักอ่านได้อ่านกัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองคิดถูกหรือผิดที่ส่งเรื่องมาตีพิมพ์ ถูกหรือไม่ที่อาจดึงคนอื่นๆเข้ามาร่วมชะตากรรมเดียวกับที่ตนเองจะต้องประสบ
แต่มีแรงผลักดันบางอย่างจากภายในที่ทำให้ผมต้องทำแบบนี้
แล้วคุณรู้ไหม หลังจากอ่านเรื่องนี้จบแล้วผมก็เริ่มเชื่อ....
DigiTaL-KRASH!!!
21 สิงหาคม 2538
หมายเหตุุ: ค่าองศาการเป็นสมาชิก
เป็นค่าของฟังก์ขันการเป็นสมาชิกของเซตฟัซซี่(fuzzy membership function)
ซึ่งเป็นเซตที่มีขอบเขตไม่ชัดเจน ตามทฤษฎีฟัซซี่ลอจิก ซึ่งดร.Lotfi A. Zadeh
นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน ที่มหาวิทยาลัย Berkeley รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นผู้คิดค้นขึ้น
ถ้าสนใจ คุณสามารถอ่านรายละเอียดในเรื่องนี้เพิ่มเติมได้จาก
- นพจุติ วิริยะกุล.ฟัซซี่ลอจิกเทคโนโลยี่สร้างเครื่องจักรให้เป็นคน.
รู้รอบตัว 7 (สิงหาคม 2535) :38-44
- Kosko,B. Fuzzy thinking:The new science of fuzzy logic .NewYork:
Hyperion,1993.
และถ้าจะอภิปรายปัญหาทางฟัซซี่ลอจิกกับ Zadeh โดยตรง
สามารถ
ติดต่อทางอินเตอร์เน็ตได้โดยส่งจดหมายอิเลกทรอนิกส์ไปที่ e-mail: zadeh@cs.berkeley.edu
หรือติดตามอ่านความเคลื่อนไหวของวงการฟัซซี่ลอจิกได้ในกลุ่มข่าว
com.ai.fuzzy ในยูสเน็ต
จากศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตที่คุณเป็นสมาชิกอยู่
เรื่องมีอยู่ว่า ผมเกิดความคิดเรื่อง fuzzy world นี้ขึ้น
ประจวบกับเกิดไอเดียที่จะสมมติตัวเองเป็น "ตัวละคร" เดินเรื่องอีกตัวหนึ่งในเรื่องนี้ด้วยโดยสมมติให้
"ตัวผมเอง" เป็นผู้เล่า---ว่าตัวเองไปพบกับโน๊ตของนายพลากร สอดอยู่ในหนังสือ
text book เล่มหนึ่ง แล้วนำมานั่งเล่าเรื่องให้ผู้อ่านฟัง.......ก็เหมือน
tale fromthe crypt หรือภาพยนตร์เรื่องไททานิก นั่นแหละครับคือจะมีตัวละครตัวหนึ่งเป็นผู้เล่าและตัวคนๆนั้น
ก็อยู่ในเรื่องเองด้วยเช่นกัน....
ดังนั้นถึงตอนนี้แล้วก็อย่า งง นะครับ นายพลากร อพันธกรณีเป็นตัวละครที่ผมสมมติขึ้นมาเท่านั้นเอง
เพื่อให้ตัวละครอีกตัวคือตัวผม เป็นผู้เอาเรื่องราวของตัวเขามาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง.....
.....หึ.....
ไม่แน่นะครับ....ลองก้มลงดูที่มือทั้งสองข้างของคุณสิ......ตอนนี้มันอาจจะเริ่มลางเลือนลงบ้างแล้วก็เป็นได้
...เพราะคุณได้อ่านเรื่องนี้เข้าเสียแล้ว....มาสิครับ ผมจะรอคุณอยู่ที่นั่น....
ที่โลก ฟัซซี่เวิร์ลด์....................................................